7

ตอนที่ 7


ฟาดิลหยิบเงินดอลลาร์และเงินยูโรปึกใหญ่ที่แอบกักตุนเอาไว้ออกมาจากตู้เซฟในห้องทำงาน แล้วยัดใส่กระเป๋าเดินทางใบย่อมอย่างร้อนรน ทั้งที่เครื่องปรับอากาศแสนเย็นฉ่ำ แต่เหงื่อเม็ดเป้งกลับไหลย้อยจากหน้าผากลงมาค้างอยู่ที่ปลายจมูกโด่งงุ้ม เขาพยายามควบคุมมืออันสั่นเทาให้รูดซิปปิดกระเป๋าที่แน่นเอี้ยดไปด้วยสมบัติส่วนตัวอย่างทุลักทุเล ทว่ารูดไปได้เพียงครึ่งเดียวซิปก็ติด ไม่ว่าจะออกแรงดึงอย่างไรก็ไม่สำเร็จจึงจำต้องตัดใจแต่เพียงเท่านั้น

ไม่มีเวลาแล้ว!

“กาบาล! เอารถออก!” ฟาดิลตะโกนพลางหันไปคว้าพาสปอร์ตบนโต๊ะทำงานอย่างเร่งร้อน “กาบาล! ฉันเรียกไม่ได้ยินหรือไงวะ...”

เสียงของดอกเตอร์ฟาดิลขาดช่วงไปทันทีที่เห็นร่างใหญ่โตเกือบสองเมตรยืนพิงกรอบประตูห้องทำงานอยู่ เขาเป็นชายผิวดำที่มีเค้าโครงหน้าแบบคนมีเลือดผสม ยิ่งโกนศีรษะแบบสกินเฮดยิ่งเน้นให้เห็นว่าเขามีจมูกโด่งคมและมีโหนกแก้มสูงเหมือนชาวยุโรป แต่สิ่งที่ทำให้ดูผิดแผกแตกต่างจากคนที่มีเชื้อสายแอฟริกันทั่วไปคือดวงตาสีฟ้าอมเทาที่ชืดชาไร้ชีวิตชีวา

“ดึกดื่นป่านนี้จะรีบไปไหนเหรอ ดอกเตอร์”

ริมฝีปากหนาแย้มขึ้นเป็นรอยยิ้ม ยิ้ม...ที่ไปไม่ถึงดวงตา

“ฌะ...ฌอง-ลุค...”

ฟาดิลถอยกรูดจนแผ่นหลังกระแทกตู้หนังสือดังโครม ดวงตาเบิกค้างด้วยความหวาดกลัวสุดขีด...ใครบ้างจะไม่กลัวเมื่อมัจจุราชมายืนอยู่ตรงหน้า!

“หรือว่าจะรีบไปเยี่ยมดอกเตอร์ดูวาลในนรกกันล่ะ หือ?”

ชายที่สวมเสื้อโคตสีดำราคาแพงระยับหัวเราะเสียงเย็น น้ำเสียงของเขาเรียบเรื่อย แต่กลับฟังดูคุกคามชวนให้ขนอ่อนบนหลังคอตั้งชัน

“อย่า...อย่าทำฉัน ฌอง-ลุค อย่าทำอะไรฉันเลย...”

เขาปล่อยกระเป๋าหลุดจากมือ ปึกเงินหล่นออกมากระจายเกลื่อนพื้น

“เห็นฉันเป็นปีศาจร้ายหรือยังไงกัน ฟาดิล คนอย่างฉันจะไปทำอะไรดอกเตอร์ผู้ยิ่งใหญ่อย่างแกได้”

ฌอง-ลุคสืบเท้าเข้าไปใกล้อีกฝ่ายช้าๆ มือทั้งสองข้างที่ล้วงอยู่ในกระเป๋าเสื้อโคตทำเอาคนมองตัวสั่น

ปืน! ในกระเป๋าของมันต้องมีปืนอยู่แน่ๆ!

“ใหญ่ชนิดทำอะไรเหมือนไม่เคยเห็นหัวฉันสักนิด!”

“ฉัน...ฉัน...”

ฟาดิลพูดแทบไม่เป็นคำ ในขณะที่อีกฝ่ายหย่อนสะโพกนั่งบนขอบโต๊ะทำงาน

“ไม่ต้องเสียเวลาแก้ตัวหรอกฟาดิล ฉันขี้เกียจฟัง เห็นๆ กันอยู่คาตาว่าแกกับมิเชลรวมหัวทำอะไรกัน” ดวงตาสีหม่นจ้องใบหน้าซีดเผือดของคนตรงหน้าเขม็ง “แกรู้ใช่ไหมว่าจุดจบของคนทรยศเป็นยังไง”

“ฉัน...ฉันไม่ได้ทรยศ ฉันคิดจะบอกแกอยู่แล้ว แค่...แค่...ต้องรวบรวมข้อมูลแล้วตรวจสอบให้แน่ใจก่อน”

เขาเอ่ยละล่ำละลักเสียงสั่น ตอนที่เห็นภาพศพของ มิเชล ดูวาล จากข่าวทางโทรทัศน์ ก็รู้ในทันทีว่าตนเองคงไม่แคล้วเป็นเหยื่อรายต่อไป ถึงได้รีบหาทางเผ่นออกจากอียิปต์ไปกบดานที่ไหนสักแห่งโดยเร็วที่สุด ไม่นึกเลยว่าเจ้าพ่อตลาดมืดจะไหวตัวทัน พุ่งมาดักรอเขาถึงที่

“แกนี่มันน่าสมเพชฉิบ คิดว่าฉันโง่นักหรือไง” ฌอง-ลุคหัวเราะเสียงเหี้ยมเกรียม เขายื่นเท้าในรองเท้าหนังจากอิตาลีไปเขี่ยปึกเงินที่กระจายอยู่บนพื้นอย่างหยามหยัน “ไหนแกลองบอกเหตุผลมาสักข้อซิว่าทำไมฉันถึงไม่ควรแล่เนื้อแกทีละชิ้นแล้วโยนให้จระเข้กิน”

“เพราะ...เพราะฉัน...มีข้อมูลของนังเด็กที่เป็นผู้ซื้อของไอ้แอรอน...”

“ฉันก็มีลูกน้องคอยรายงานข่าวนะ ไม่อย่างนั้นจะรู้เหรอว่าพวกแกคิดไม่ซื่อ” ชายหนุ่มแบะปาก “ฉันรู้ว่าเด็กนั่นชื่ออะไร พักอยู่ที่ไหนกับใคร และรู้ว่าง่ายแค่ไหนที่จะทำให้มันหายไปจากโลกนี้”

“แต่ถ้าแกทำอย่างนั้น แกจะไม่มีวันรู้ความลับของอาร์สิโนเอ...” เสียงของฟาดิลสั่น เขาหลุบตาลงมองพื้นเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายจับความรู้สึกนึกคิดที่ซ่อนอยู่ภายในใจได้ “นังเด็กนั่นต้องรู้เรื่องมาจากไอ้แอรอนไม่มากก็น้อย ฉัน...ฉันเอาตัวมันมาให้แกพร้อมกำไลได้”

“อา...นี่แกกำลังจะยื่นข้อแลกเปลี่ยนใช่ไหม” ฌอง-ลุคเดาะลิ้น ดวงตาฉายแววเหี้ยมเกรียม “ไอ้ฉันมันคนใจร้อนเสียด้วย ให้รอนานๆ ไม่ไหวหรอกนะ ฉันให้เวลาแกอาทิตย์หนึ่ง ถ้าไม่ได้ข่าวอาร์สิโนเอกับนังเด็กนั่น เตรียมไปสังสรรค์กับไอ้มิเชลในนรกได้เลย”

“น้อยไป ฉันขอสองอาทิตย์”

“แกคิดว่าแกอยู่ในฐานะที่ต่อรองได้อย่างนั้นเหรอฟาดิล น่าจะรู้ดีนะว่าแค่ยิงสุนัขรับใช้อย่างแกทิ้งสักตัวสองตัว ไม่ใช่เรื่องยากอะไรสำหรับฉันเลยสักนิด”

“ฉันรู้...” ฟาดิลจ้องมือที่ซุกอยู่ในเสื้อโคตของฌอง-ลุคอย่างหวาดระแวง “แต่...ถ้าแกคิดจะฆ่าฉันจริงๆ แค่ส่งลูกน้องหน้าโง่คนไหนสักคนมาก็จบแล้ว ลงทุนถ่อมาเองแบบนี้แสดงว่าฉันน่าจะยังเป็นประโยชน์กับแกอยู่...บ้าง”

“นับว่ายังฉลาดอยู่บ้าง”

ฌอง-ลุคหัวเราะ เขาหยิบบุหรี่และไฟแช็กออกมาจุดสูบ ฟาดิลจึงเห็นในวินาทีนั้นเองว่าในมือของเจ้าพ่อตลาดมืดไม่มีอาวุธใดๆ ทั้งสิ้น แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่อาจวางใจได้ เพราะเขามีบรรดาลูกน้องคอยประกบอารักขาประดุจเงาตามตัว ป่านนี้คงยืนคุมเชิงกันอยู่เต็มพื้นที่ ถึงรอดออกไปจากห้องนี้ได้ก็ไม่มีวันรอดเงื้อมมือของลิ่วล้อที่อยู่ด้านนอกอยู่ดี

“ฉันได้ยินมาจากไอ้มิเชลว่า มีแค่แกกับมันสองคนเท่านั้นที่เคยเห็นบันทึกเรื่องอาร์สิโนเอของ อาร์เธอร์ วินสตัน ฉะนั้นแกน่าจะพอรู้ว่ามันจะทำอะไรต่อไปและจะไปที่ไหนต่อ”

“บันทึกนั่น...ถูกเผาไปหมดแล้ว ฉันเองก็พอจำได้บางส่วน...ถ้าแกให้เวลาฉันตามที่ขอ ฉันคงปะติดปะต่อเรื่องราวแล้วควานหาตัวพวกมันมาให้แกได้”

ฟาดิลโกหกคำโตเพื่อเอาตัวรอด เขาจะจำบันทึกของ อาร์เธอร์ วินสตัน ที่เห็นครั้งสุดท้ายเมื่อสิบกว่าปีก่อนได้อย่างไรกันเล่า แถมไอ้เวรแอรอนก็เผามันทิ้งไปพร้อมๆ กับข้าวของอย่างอื่นของอาร์เธอร์ผู้เป็นบิดานานแล้ว ไม่สิ...ต้องเรียกว่าเผาไปพร้อมบ้านทั้งหลังมากกว่า แม้จะชังน้ำหน้าชายหนุ่มเข้าไส้ แต่ต้องยอมรับว่ามันใจเด็ดเอาเรื่อง เผาวอดทุกอย่างชนิดไม่เหลือแม้แต่เถ้าธุลี ร่องรอยของอาร์สิโนเอจึงเงียบหายไปนับตั้งแต่นั้น และมีเพียงแอรอนเท่านั้นที่รู้

“ฉันไม่ต้องการตัวไอ้สารเลวแอรอน ฉันต้องการให้มันตาย ส่วนนังเด็กผู้ซื้อชาวไทยนั่น รีดข้อมูลมาให้หมดแล้วเชือดทิ้งซะ โบ้ยความผิดให้แอรอนไปให้หมด”

น้ำเสียงของชายหนุ่มเยียบเย็นจนคนฟังรู้สึกเหมือนถูกมีดน้ำแข็งแทงทะลุผ่านโสตประสาท ฌอง-ลุคพ่นควันสีเทาหม่นออกทางจมูกช้าๆ

“ฉันต้องการแค่กำไลกับคนที่รู้ว่าจะไขปริศนาของมันได้ แกคิดว่าตัวเองจะทำงานนี้แทนมิเชล เพื่อนรักของแกได้หรือเปล่า”

“ได้...ฉันทำได้...”

ฟาดิลรีบรับคำโดยไม่หยุดคิดทบทวนแม้ชั่วอึดใจ แม้เขาจะไม่รู้เรื่องของอาร์สิโนเอเท่ากับอาร์เธอร์หรือมิเชล แต่วินาทีนี้เขาต้องเอาชีวิตรอดให้ได้ จึงจำต้องรับปากส่งๆ ไปก่อน

“งั้นเหรอ” ฌอง-ลุคมองคนที่ยืนตัวลีบแนบกับตู้หนังสืออยู่ครู่หนึ่ง ดวงตาของเขานิ่งสนิทจนเดาไม่ออกว่ากำลังคิดอะไรอยู่ “สองอาทิตย์นะฟาดิล ฉันให้เวลาแกสองอาทิตย์ ถ้าแกเล่นตุกติก คงรู้นะว่าผลที่ตามมาจะเป็นยังไง”

“ฉันจะทำให้ได้ภายในสองอาทิตย์”

“ก็ดูกันไปว่าจะทำได้จริงอย่างที่ปากพูดหรือเปล่า” ชายหนุ่มเอื้อมมือไปหยิบรูปภาพที่โผล่ออกมาจากแฟ้มบนโต๊ะขึ้นดูอย่างไม่สนใจคนที่กลัวจนตัวสั่นเบื้องหน้าอีกต่อไป ตัวภาพเบลออยู่บ้างเนื่องจากเป็นเพียงภาพที่พรินต์ออกมาจากคอมพิวเตอร์อย่างง่ายๆ ทว่าชัดเจนพอที่จะเห็นได้ว่าคนที่อยู่ในภาพเป็นใคร

“หือ...รูปนี้น่าสนใจดีนี่”

ภาพชายหนุ่มเดินตามหญิงสาวหน้าหวานในพิพิธภัณฑ์นั้นคงไม่สะดุดตาเขาเท่าใดนัก หากไม่เห็นรอยยิ้มปรากฏอยู่บนใบหน้าของฝ่ายชาย...เพิ่งเคยเห็นไอ้คนที่วันๆ อยู่แต่กับมัมมี่และโบราณวัตถุแสดงทีท่าสนใจผู้หญิงจนออกนอกหน้าเป็นครั้งแรก

“ฉันได้ข่าวว่าไอ้แอรอนตามปกป้องนังเด็กคนนี้น่าดูใช่ไหม”

สายของเขารายงานว่า แอรอน วินสตัน เห็นความสำคัญของผู้ซื้อชาวไทยมากจนเรียกได้ว่าผิดปกติวิสัยของคนอย่างไอ้หมอนั่นอย่างที่สุด

“ไอ้แอรอนมันตามประกบอยู่ตลอด ตั้งแต่ที่พิพิธภัณฑ์ยันพีระมิด น่าจะมีความสัมพันธ์ส่วนตัวกันลึกซึ้งมากกว่าที่ตาเห็น”

ฟาดิลกลืนน้ำลายลงคออย่างยากเย็น นี่...หมายความว่าฌอง-ลุคคอยจับตาดูความเคลื่อนไหวของเขากับมิเชลมาตั้งแต่ต้นจริงๆ ด้วย

“น่าสนุกไม่เบา” ฌอง-ลุคจี้บุหรี่ไปบนใบหน้าของแอรอนในรูปถ่าย แล้วหัวเราะเสียงต่ำลึกอยู่ในลำคอ กระดาษค่อยๆ ไหม้จนไม่เหลือส่วนใบหน้าให้เห็นอีกต่อไป “รู้ไหมฟาดิล พวกมือดีที่สุดในวงการฉันมักพลาดกันตอนไหน”

“หะ...หา?”

“ก็ตอนที่คิดว่าตัวเองเจ๋งที่สุดไง” ชายหนุ่มโยนรูปถ่ายลงบนโต๊ะ แล้วขยี้ก้นกรองบนใบหน้าของหญิงสาวจนกระดาษไหม้เป็นรูโหว่ “เวลาประสบความสำเร็จมากๆ คนเรามักเหลิงจนลืมระวังตัวและเผยจุดอ่อนออกมาในที่สุด ถ้าศัตรูจับไม่ได้ก็แล้วไป แต่ถ้าจับได้...ก็จบเห่”

ในโลกมืด การเปิดเผยจุดอ่อนแม้เพียงเศษเสี้ยวเดียวอาจนำพาไปสู่ความตายอย่างง่ายดาย...

ฟาดิลผวาเมื่อเห็นฌอง-ลุคหยัดกายขึ้นยืน แต่ก็ไม่รู้ว่าจะถอยหนีไปไหนแล้ว ความหวาดกลัวสลายคราบนักวิชาการผู้สุขุมเยือกเย็นไปจนหมดสิ้น

เจ้าพ่อตลาดมืดมองคนที่ยืนตัวสั่นเป็นเจ้าเข้าแล้วเหยียดยิ้มขบขันแกมเยาะหยัน

ใครบ้างไม่กลัวตาย...

“ฉันต้องการข้อมูลเกี่ยวกับผู้ซื้อของไอ้แอรอนอย่างละเอียด รู้ใช่ไหมว่าเวลาฉันพูดว่าละเอียดหมายความว่ารวมไปถึงเรื่องเล็กน้อยทั้งหมดด้วย ห้ามตกหล่นแม้แต่เรื่องเดียว”

“กาบาลกำลังรวบรวมข้อมูลของเด็กคนนั้นอยู่” ฟาดิลลอบถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อเห็นอีกฝ่ายก้าวถอยหลังกลับไปยังประตู ฌอง-ลุคระมัดระวังตัวอยู่เสมอ เขาไม่เคยหันหลังให้คนที่ตนไม่ไว้ใจด้วยกลัวว่าจะถูกลอบทำร้าย  “ถ้า...มันยังมีชีวิตอยู่...ไม่เกินพรุ่งนี้ จะส่งข้อมูลทุกอย่างที่หาได้ไปให้”

“ไม่ต้องอ้อมค้อมหรอก ถามมาตรงๆ เลยก็ได้ว่าฉันเป่ากบาลมันทิ้งหรือยัง” ชายหนุ่มดีดนิ้วเพียงสองครั้ง ลูกน้องที่รออยู่ด้านนอกก็ลากร่างไร้สติของกาบาลมาโยนไว้บนพื้นเบื้องหน้าเจ้านาย ตามใบหน้าของชายหนุ่มมีรอยฟกช้ำและรอยแผลแตกจนได้เลือดหลายแห่ง “ถ้าขี้ข้าผู้ซื่อสัตย์ของแกฟื้นแล้วละก็ บอกมันด้วยว่าข้อมูลที่ฉันต้องการต้องอยู่บนโต๊ะอาหารเช้าของฉันไม่เกินแปดโมงเช้า ไม่อย่างนั้นก็จูบก้นกันและกันลาโลกได้เลยทั้งเจ้านายและลูกน้อง!”

 

“กินรองท้องไปก่อน ถึงที่พักแล้วผมจะหาอย่างอื่นให้กินอีกที”

แอรอนยื่นแซนด์วิชที่ซื้อจากร้านออนเดอะรัน ซึ่งเป็นร้านสะดวกซื้อตามปั๊มน้ำมันชั้นดีขึ้นมาหน่อยให้ราวินทรา

“ฉันไม่หิว!” หญิงสาวตอบเสียงห้วน ดวงตากลมโตตวัดมองชายหนุ่มที่กำลังปิดประตูรถอย่างโกรธเคืองก่อนจะหลุบมองเข็มขัดหนังสีเข้มที่พันธนาการข้อมือของตนติดกับประตูรถอย่างแน่นหนา

ถึงหิวก็กินไม่ได้อยู่ดีไม่ใช่หรือไง ไอ้คนบ้า!

“อ้อ ขอโทษที” แอรอนมองตามสายตาของเธอไปแล้วแค่นหัวเราะเสียงต่ำอยู่ในลำคอ “ถ้าไม่ทำแบบนี้ เกิดคุณชิ่งหนีไปตอนผมลงไปซื้อของ ผมก็ต้องเล่นวิ่งไล่จับกับคุณอีก เหนื่อยตายโหง”

ชายหนุ่มพูดพลางกัดแซนด์วิชคำโตเคี้ยวตุ้ยๆ ดวงตาฉายแววครุ่นคิดและเคร่งเครียด

“ก็ปล่อยฉันไปสิ จะได้ไม่ต้องเหนื่อย” ราวินทราเม้มริมฝีปากแน่น เธอพยายามกระตุกเข็มขัดหนังหลายต่อหลายครั้งจนผิวอ่อนรอบข้อมือแดงช้ำไปหมด นึกถึงตอนที่ถูกจับยัดใส่รถแล้วมัดเอาไว้ก็โกรธจนอยากกระโจนข่วนหน้าเขานัก!

“ผมคิดว่าเราคุยกันรู้เรื่องไปตั้งแต่เมื่อชั่วโมงที่แล้วเสียอีก”

ชายหนุ่มกินแซนด์วิชอย่างรวดเร็ว ผ่านไปยังไม่ถึงห้านาทีขนมปังชิ้นยาวก็หายลงท้องไปจนเกือบหมด

“คุณรู้เรื่องอยู่คนเดียวละไม่ว่า!” ราวินทราตะโกนใส่หน้าเขาอย่างเหลืออด “คุณสัญญาแล้วว่าจะไปส่งฉัน แล้วก็ผิดคำพูด!”

“แล้วผมก็สัญญาด้วยว่าคุณจะต้องปลอดภัย แต่ที่นั่นไม่ปลอดภัยผมก็ต้องพาคุณหลบออกมาตั้งหลักก่อน” แอรอนยัดแซนด์วิชคำสุดท้ายเข้าปากก่อนจะเปิดกระป๋องน้ำอัดลมดื่มตามไปรวดเดียวครึ่งกระป๋อง “จะโวยวายอะไรก็หัดดูสถานการณ์เสียบ้างสิคุณ”

“แล้วทำไมต้องไปตั้งหลักไกลถึงอะเล็กซานเดรียด้วยเล่า ตั้งหลักที่สถานทูตก่อนก็ได้ มิสนริสสาเพื่อนฉันต้องพร้อมช่วยเราเต็มที่แน่ๆ อย่างน้อยก็ให้ช่วยติดต่อไปทางเจ้าหน้าที่ตำรวจก่อนก็ได้ว่าคุณไม่ได้เป็นคนฆ่าผู้ชายคนนั้น ฉันยินดีเป็นพยานให้”

“สถานทูตหรือมิสนริสสาเพื่อนคุณก็ช่วยผมไม่ได้หรอก ฌอง-ลุคไม่ใช่คนที่จะต่อกรด้วยง่ายๆ”

คิ้วเข้มเลิกขึ้นนิดๆ เมื่อได้ยินคำว่า ‘เรา’ จากปากของเธอ จะพลั้งปากพูดหรือตั้งใจพูดก็ช่างเถอะ แต่ฟังแล้วรู้สึกดีเหมือนกันแฮะ

“ไม่ลองแล้วจะรู้ได้ยังไงกันเล่า คนชื่อฌอง-ลุคอะไรนั่นจะยิ่งใหญ่สักแค่ไหนกันเชียว”

ราวินทรามองคนที่กำลังแกะแซนด์วิชอีกห่อด้วยความรู้สึกหมดหวังระคนกรุ่นโกรธ เธอเพียรเกลี้ยกล่อมเขามานานกว่าชั่วโมงแล้ว แต่นอกจากเขาจะไม่ใส่ใจฟังแล้ว ยังขับรถพาเธอออกจากตัวเมืองอีก

“ถ้าคุณรู้จักฌอง-ลุคดีเท่าผม คุณจะไม่กล้าพูดแบบนี้แน่ หนูน้อย” แอรอนบิแซนด์วิชไส้ปลาแซมอนรมควันในมือออกเป็นชิ้นๆ วางเรียงเอาไว้ในกล่องที่บรรจุมันมาจากร้าน “มันมีอิทธิพลพอตัว ฆ่าคนมาไม่รู้เท่าไหร่ยังลอยนวลมาได้จนป่านนี้ กระดิกนิ้วนิดเดียวก็พลิกขาวเป็นดำได้ในพริบตา มันหว่านเงินเลี้ยงพวกเจ้าหน้าที่ไว้เยอะ เส้นสายแน่นปึ้ก จะงัดข้อกับมันตรงๆ ไม่ใช่เรื่องง่าย”

“แต่เพื่อนฉันเป็นเจ้าหน้าที่สถานทูต อย่างน้อยก็น่าจะขอความช่วยเหลือจากเจ้าหน้าที่ตำรวจระดับสูงได้ พวกเขาต้องฟังเรื่องของทางฝั่งเราแน่ เชื่อฉัน...อื๊อ!”

ประโยคที่เหลือหายไปทันทีที่ชายหนุ่มยัดแซนด์วิชที่บิเป็นชิ้นใส่ปากของเธออย่างรวดเร็วจนไม่ทันตั้งตัว ชิ้นขนมปังนั้นอาจพอดีคำสำหรับเขา แต่ใหญ่เกินไปสำหรับปากเธอ จึงกลายเป็นว่าเขาต้องใช้ปลายนิ้วชี้ดันจนเข้าไปในปากของเธอจนหมดด้วยท่าทางเหมือนกำลังป้อนอาหารสัตว์เลี้ยงไม่มีผิด!

“เคี้ยวสิ” ไม่พูดเปล่าเขายังใช้มือบีบกรามเบาๆ บังคับให้ราวินทราขยับปากเคี้ยว “ไม่หิวก็ต้องกินให้มีแรงไว้ก่อน ไม่งั้นจะเอาแรงที่ไหนไว้วิ่งหนีผมกันล่ะ ฮึ”

“เห็นคนตายสยองคาตาแบบนั้นแล้ว คุณยังคิดว่าฉันจะกินเข้าไปลงอีกเหรอ”

ที่จริง...ก็กินลงนะ...

หญิงสาวรีบเคี้ยวแล้วกลืนอาหารลงท้องอย่างรวดเร็ว เพิ่งรู้ตัวตอนที่ลิ้นแตะแซนด์วิชอุ่นๆ นั่นเองว่าตนก็หิวอยู่เหมือนกัน ทั้งหิว...ทั้งอ่อนเพลีย ดังนั้นเมื่อเขาป้อนแซนด์วิชให้เธออีกชิ้น เธอจึงยอมกินโดยที่เขาไม่จำเป็นต้องออกคำสั่งซ้ำ ร่างกายมนุษย์ก็เป็นเสียแบบนี้ เมื่อถึงขีดสุดก็พร้อมทรยศเจ้าของอยู่เสมอ

“มีคนตายแล้วยังไง ต้องให้ตายตามไปด้วยงั้นเหรอ คนตายน่ะไปสบายแล้ว ไม่รับรู้อะไรหรอก ส่วนคนเป็นก็ต้องใช้ชีวิตกันต่อไป จริงไหม ฉะนั้นไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ต้องให้ท้องอิ่มเอาไว้ก่อน เดี๋ยวก็คิดออกเองว่าจะต้องทำอะไรต่อไป” แอรอนยักไหล่

ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือเปล่า แต่ราวินทราแน่ใจว่าเห็นประกายแห่งความหม่นเศร้าเจืออยู่ในแววตาของเขา ก่อนจะจมหายไปในสีฟ้าอมเขียวราวท้องทะเลเมดิเตอร์เรเนียน...ดูเหมือนเขามีเรื่องบางอย่างซ่อนลึกอยู่ภายในใจ บางอย่าง...ที่เขาอาจไม่ค่อยอยากพูดถึงนัก

“ดื่มโกโก้ร้อนหน่อยไหม ร่างกายจะได้อบอุ่นขึ้น” ชายหนุ่มยื่นแก้วกระดาษแบบกันร้อนที่มีฝาปิดเรียบร้อยไปจ่อที่ริมฝีปากของหญิงสาว

“ฉันกินแบบนี้ไม่ถนัด แก้มัดสิ ฉันจะได้ดื่มเองได้”

“ขืนแก้มัดให้ คุณก็สาดโกโก้ลวกหน้าผมพอดี ดื่มๆ เข้าไปเถอะน่า อย่าเรื่องเยอะนักเลย มีคนป้อนให้สบายจะตาย”

แอรอนพูดอย่างรู้ทัน เขาใช้มือข้างหนึ่งช้อนท้ายทอยของราวินทราเอาไว้ให้แหงนเงยขึ้น ส่วนอีกมือเทโกโก้เข้าไปในปากของเธออย่างชำนิชำนาญ ไม่หกเลอะเทอะแม้แต่หยดเดียว

“เดี๋ยวก่อนสิคุณ...มันร้อน...”

ในตอนแรกหญิงสาวนึกว่าเครื่องดื่มร้อนๆ คงลวกปากและลิ้นของเธอจนพองแน่ๆ แต่โกโก้นั้นกลับอุ่นพอดี แถมยังมีรสชาติหวานหอมจนเผลอดื่มไปเสียหลายอึก

“ไม่ร้อนหรอกน่า ผมเช็กแล้ว ดื่มเถอะ”

เป็นอีกครั้งที่คำพูดของแอรอนทำเอาราวินทราวางหน้าไม่ถูก เขากินอาหารของตนเองอย่างลวกๆ แต่กลับบิแซนด์วิชเป็นชิ้นๆ ให้เธออย่างใส่ใจ แล้วไหนจะคอยระวังเรื่องอุณหภูมิของเครื่องดื่มอีกเล่า ช่างเป็นคนที่มีความย้อนแย้งในตัวสูงจนเดาทางไม่ถูกจริงๆ

“ฉัน...ฉันกินไม่ไหวแล้ว...”

หญิงสาวพูดอ้อมแอ้มไม่เต็มเสียงแล้วเบือนหน้าไปอีกทาง เธอขยับตัวซุกประตูรถเพราะไม่อยากให้เขาได้ยินเสียงหัวใจที่เต้นรัวในจังหวะแปลกๆ

“คุณกินน้อยไปนะ มิน่าตัวถึงเบาอย่างกับลูกแมว จะกินแซนด์วิชอีกหน่อยไหม”

แอรอนเขย่าแก้วที่เครื่องดื่มพร่องไปกว่าครึ่ง แล้ววางลงในที่วางแก้วข้างที่นั่งคนขับโดยไม่เซ้าซี้ให้เธอดื่มอีก

“ไม่” ราวินทราส่ายหน้า “ตกลงคุณจะไม่แก้มัดให้ฉันจริงๆ ใช่ไหม ฉันเจ็บข้อมือไปหมดแล้วนะ”

“อดทนอีกนิดนะ เดี๋ยวพอเราไปถึงจุดที่ผมนัดกับเพื่อนไว้ ผมจะแก้มัดให้คุณก็แล้วกัน”

ชายหนุ่มเหลือบมองรอยแดงบนข้อมือของหญิงสาวนิดหนึ่งก่อนจะเสทำเป็นไม่เห็น ขนาดอยู่ในเงามืดสลัวยังเห็นชัดขนาดนี้ พรุ่งนี้ผิวขาวๆ ของเธอคงขึ้นรอยช้ำเป็นปื้นอย่างน่าเสียดายเป็นที่สุดแน่

“เพื่อนคุณ? นี่คุณ...นัดกันตั้งแต่เมื่อไหร่”

“ก็ส่งข้อความนัดกันตอนลงไปซื้อของเมื่อกี้ ไม่ต้องห่วงนะ ข้อความจะลบตัวเองหลังเปิดอ่าน ไอ้พวกนั้นตามรอยเราไม่เจอแน่”

“ฉันไม่ห่วงเรื่องโทรศัพท์สายลับบ้าบอของคุณหรอก แต่ฉันห่วงสวัสดิภาพของตัวเองมากกว่า” ราวินทราเม้มริมฝีปากแน่นอย่างขุ่นเคือง “ไหนคุณบอกว่าเพื่อนฉันหรือสถานทูตช่วยคุณไม่ได้ไง แล้วทำไมถึงคิดว่าเพื่อนของตัวเองช่วยได้ เขาเป็นผู้มีอิทธิพลยิ่งใหญ่กว่าคนที่ชื่อฌอง-ลุคอย่างนั้นเหรอคะ”

“เพื่อนผมไม่ได้ยิ่งใหญ่กว่าไอ้ฌอง-ลุคหรอก เพียงแต่มันเอาตัวรอดเก่งกว่าเพื่อนคุณแน่ เรื่องนี้อันตราย ผมไม่อยากดึงคนไม่รู้อีโหน่อีเหน่มาเดือดร้อนมากไปกว่านี้อีกแล้ว”

“ก็เพราะมันอันตรายแบบนี้ เราถึงควรไปหาตำรวจหรือเจ้าหน้าที่ของทางการไม่ใช่หรือไง”

“ผมไปหาตำรวจไม่ได้หรอก” แอรอนคาดเข็มขัดแล้วสตาร์ตรถ เตรียมพร้อมออกเดินทางอีกครั้ง

“ทำไมล่ะ...”

ราวินทราชะงัก หากลองนึกย้อนไปถึงเหตุการณ์ร้ายแรงที่เผชิญมาตลอดทั้งวัน คำถามแรกที่ควรถามหลังชายหนุ่มบอกว่าไม่อาจโผล่หน้าไปพบตำรวจได้ ไม่ใช่ ‘ทำไม’ แต่เป็น ‘เขาเป็นใคร’ ต่างหาก! คนดีๆ ที่ไหนจะพัวพันกับพวกผู้ร้ายฆ่าคนตายกันเล่า!

“ก็...ผมมีเรื่องนิดหน่อย”

จะว่าไปก็...ไม่นิดหรอก ยาวเป็นหางว่าวเชียวละ บางเรื่องจ่ายเงินเคลียร์ไปแล้ว บางเรื่องก็ยัง ยิ่งมีคดีฆาตกรรมติดตัวแบบนี้ด้วยแล้ว รับรองว่าไอ้พวกโจรในคราบผู้รักษากฎหมายได้แกล้งสั่งขังซังเตแล้วเรียกเงินแพงหูฉี่แน่

“นิดหน่อยที่ว่านั่นมีแต่เรื่องผิดกฎหมายล้วนๆ เลยใช่ไหม” ดวงตากลมโตหรี่มองเขาอย่างไม่ไว้ใจ

“แล้วไอ้ที่คุณเจอมาทั้งวันนี่มีเรื่องถูกกฎหมายสักกี่เรื่องกันเล่า ถ้าไม่ได้โตมาในโลกเทพนิยาย มีเพื่อนเล่นเป็นยูนิคอร์น นอนดูสายรุ้ง วิ่งเล่นในทุ่งหญ้ามาตั้งแต่เกิดแบบคุณก็คงเดาได้ตั้งแต่ถูกวิ่งไล่ที่มหาพีระมิดแล้ว”

“ขอโทษที่ฉันมีเพื่อนเล่นเป็นยูนิคอร์น นอนดูสายรุ้ง วิ่งเล่นในทุ่งหญ้ามาตั้งแต่เกิดก็เลยใสซื่อเสียจนคิดว่าคุณเป็นคนดี ไม่ใช่พวกผู้ร้าย” ราวินทราย้อนเขาเข้าให้

“แหม...ก็ไม่ถึงขนาดเป็นผู้ร้ายหรอกคุณผู้หญิง ผมก็แค่นักโบราณคดีที่ไม่มีใบอนุญาตเท่านั้นเอง”

“นักโบราณคดีที่ไม่มีใบอนุญาต?”

คนฟังเริ่มรู้สึกสังหรณ์ใจตงิดๆ พิกล ตั้งแต่พบหน้ากันมา อีตาคนนี้ไม่มีเรื่องไหนเรียกได้ว่าถูกต้องสักอย่าง!

“อือฮึ” แอรอนพยักหน้า เขาพารถออกสู่ถนนใหญ่อย่างไม่รีบร้อน ไม่อยากไปถึงที่นัดหมายก่อนเวลา การรออยู่กับที่นิ่งๆ อาจเพิ่มความเสี่ยงในการตกเป็นเป้าโจมตีมากขึ้นไปอีก

“หมายความว่ายังไงไม่ทราบ”

คิดว่ารู้คำตอบอยู่แล้ว แต่อยากรู้นักว่าเขาจะ ‘แถ’ อะไรอีก

“ก็หมายความว่าผมเข้าไปขุดค้นตามสุสานต่างๆ ในอียิปต์โดยไม่มีใบอนุญาตไง”

“แล้วก็เอาของที่ขุดได้ไปขายโดยไม่ได้รับอนุญาตด้วยใช่ไหม นั่นเขาเรียกว่าโจรขุดสุสานต่างหากเล่า!” ถ้าไม่ติดว่ามือถูกพันธนาการเอาไว้ละก็ ราวินทราคงกระโจนเข้าไปข่วนหน้าเขาแล้ว “ที่โยกโย้ไม่ยอมไปหาตำรวจแต่แรกก็เพราะกลัวจะโดนจับเท่านั้นใช่ไหม ไม่ใช่เพราะกลัวคนอื่นจะเป็นอันตรายหรือกลัวคนที่ชื่อฌอง-ลุคอะไรนั่นเลยสักนิด! โอ๊ย! หนีเสือปะจระเข้ชัดๆ นี่มันเวรกรรมอะไรของฉันกันเนี่ย!”

ประโยคท้ายๆ หญิงสาวหลุดพูดเป็นภาษาไทยรัวเร็วอย่างโกรธเกรี้ยว

“อยู่ใกล้กันแค่นี้ ไม่ต้องตะโกนก็ได้น่า แสบแก้วหู” แอรอนทำเสียงจึ๊กจั๊กในลำคออย่างรำคาญใจ “โอเค ผมยอมรับก็ได้ว่ามีคดีติดตัวอยู่บ้าง แต่นั่นไม่ใช่สาเหตุหลักที่ผมไม่ยอมไปพบตำรวจ ไอ้ฌอง-ลุคเป็นบุคคลอันตราย มันทำเรื่องเลวร้ายได้มากกว่าที่คุณเจอวันนี้อีก ถ้าเลี่ยงการปะทะได้ผมก็จะเลี่ยง แต่ถ้าเลี่ยงไม่ได้จริงๆ ผมก็ต้องแน่ใจก่อนว่าคุณจะอยู่ในที่ปลอดภัย ที่อำนาจมืดของมันเอื้อมมือไปไม่ถึง อย่าลืมสิว่าคุณเป็นพยานคนเดียวที่ยืนยันได้ว่าผมไม่ได้ฆ่าไอ้มิเชลนะ เกิดคุณเป็นอะไรไป ผมก็ซวยสิ”

“สุดท้ายก็วนกลับมาเรื่องเดิมคือห่วงตัวเองที่สุดนั่นละ!” หน็อย...ขึ้นต้นเสียดิบดี แต่ลงท้ายได้น่าต่อยนัก ทำเอาเธอเกือบเคลิ้มไปกับคำพูดของเขาแล้วเชียว! “สรุปแล้ว ที่ฉันต้องเดือดร้อนขนาดนี้เพราะโจรกับโจรทะเลาะกันแย่งกำไลแค่วงเดียวใช่ไหม”

“อูย...เรียกโจรก็แรงเกินไปนะคู้น ผมไม่ได้ปล้นชิงทรัพย์ใครเสียหน่อย แค่ขุดของที่คนตายไม่มีโอกาสได้ใช้แล้วออกมาขายเท่านั้นเอง ถ้าว่ากันตามหลักการแล้ว ก็ไม่ต่างอะไรกับเก็บของที่คนทิ้งแล้วมาขายเป็นของมือสองนั่นละ”

“ไม่เหมือนเลยสักนิด! ตรรกะความคิดของคุณนี่มันพังพินาศจริงๆ ‘ของที่คนตายไม่มีโอกาสได้ใช้แล้ว’ ที่คุณว่ามีชื่อเรียกเป็นทางการว่า ‘โบราณวัตถุ’ ย่ะ ถือเป็นสมบัติของชาติ ไม่สิ...ถ้าเป็นที่อียิปต์นี่ต้องเรียกว่ามรดกโลก! ต่างกับของมือสองที่คนทิ้งไว้ข้างกองขยะคนละโยชน์!”

ราวินทรารู้สึกเหมือนเส้นเลือดในสมองกำลังเต้นตุบๆ จนพลอยรู้สึกเวียนหัวแปลกๆ...ผู้ชายคนนี้ปลิ้นปล้อนนัก หากจับไม่ได้ไล่ไม่ทันคงหลงเชื่อลมปากของเขาไปแล้ว

“คุณนี่ท่าจะเก่งเรื่องประดิษฐ์คำจำกัดความนะ เรเวน คล่องเชียว” แอรอนเหลือบมองสีหน้าเหมือนอยากจะฆ่าเขาเต็มแก่ของหญิงสาว แล้วแทบกลั้นหัวเราะไม่อยู่

“ก็ไม่คล่องเท่ากับสกิลการปั้นน้ำเป็นตัวของคุณหรอก”

ตอนแรกนึกว่าเกลียดท่าทางอวดดีของเขามากแล้ว แต่เกลียดสีหน้าเยาะหยันแบบนี้มากกว่าเป็นสิบเท่า

“ขอบคุณที่ชม โกหก ปลิ้นปล้อน กะล่อน ตอแหลเนี่ย งานถนัดของผมเชียวละ ส่วนมากไม่ค่อยมีใครจับได้เสียด้วย”

ชายหนุ่มยอมรับหน้าตาเฉย ท่าทางภาคภูมิใจเสียจนหญิงสาวอดหมั่นไส้ไม่ได้

“ฉันไม่ได้ชม ฉันด่า” ราวินทราเอนตัวพิงเบาะเมื่อรู้สึกว่าศีรษะหนักอึ้งจนทรงตัวแทบไม่อยู่ “ฉันรู้ไส้รู้พุงคุณหมดแล้ว อย่าหวังว่าจะหลอกอะไรฉันได้อีกเลย”

“โถ เรเวน เรเวน เรเวน” แอรอนส่ายหน้า เรียวปากหยักลึกยกแย้มขึ้นเป็นรอยยิ้มขบขัน “จะรู้ทันผมให้ได้จริงๆ ละก็ต้องไปฝึกมาอีกร้อยปีโน่น”

“หมาย...หมายความว่า...ยังไง...”

เสียงพูดที่เปล่งออกไปอ้อแอ้เสียจนหญิงสาวยังอดตกใจไม่ได้ ปลายลิ้นของเธอชาพอๆ กับปลายนิ้วมือและนิ้วเท้า

“ก็หมายความว่า ราตรีสวัสดิ์นะจ๊ะหนูน้อย”

ชายหนุ่มเอื้อมมือไปขยี้ศีรษะของเธอเบาๆ ในขณะที่สองตายังคงจับจ้องไปบนท้องถนนยามราตรี

“คุณ...คุณใส่อะไรในโกโก้...” ราวินทราเกร็งตัว เบี่ยงศีรษะหลบสัมผัสจากเขา เธอพยายามลืมตา แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่อาจฝืนความง่วงงุนที่พุ่งเข้าจู่โจมสติสัมปชัญญะของตนเองได้เลย “คนเลว...คุณคิดจะทำอะไร...”

“ผมรู้ว่าคุณโกรธ แต่ทั้งหมดนี้ก็เพื่อความปลอดภัยของคุณเองนะ เรเวน” เสียงทุ้มต่ำของเขาค่อยๆ ห่างไกลออกไปเรื่อยๆ พร้อมๆ กับที่ดวงตาของเธอเริ่มพร่ามัวลงทุกที “คุณจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ตามใจ แต่ในเมื่อผมรับปากแล้วว่าผมจะปกป้องคุณ รับรองว่าผมไม่ผิดคำพูดแน่”

“ไป...หลอกเด็กเถอะไป...”

หญิงสาวหลับตาลงอย่างอ่อนแรง ลมหายใจเริ่มผ่อนเข้า-ออกอย่างสม่ำเสมอ บ่งชัดว่าเจ้าตัวกำลังเข้าสู่ห้วงนิทรา

“ก็หลอกอยู่นี่ไง” มุมปากหยักลึกกระตุกขึ้นเป็นรอยยิ้มเมื่ออีกฝ่ายเงียบเสียงไปแล้ว

คุณจะต้องปลอดภัย ผมสัญญา...

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น