7

บทที่ ๖


บทที่ ๖

 

นภนต์ไม่มีแก่ใจสนใจของฝากที่เพื่อนกำลังจัดใส่ถุงให้เขา ตอนนี้เขาสนใจแต่ข้างนอกนั่น เดือนอ้ายอาสาไปส่งแขกให้พี่สาว แต่กลับหายไปเสียนาน เมื่อชะเง้อชะแง้มองจากหน้าต่างห้องรับแขกไปทางระเบียงหน้าบ้านก็เห็นคนตัวเล็กขยับปากเจื้อยแจ้วโดยมีนัยน์ตาคมทอดมอง เขาแน่ใจว่าตนมิได้ตาฝาดไปที่เห็นรอยยิ้มประดับบนใบหน้าของสิทธา พลันก็รู้สึกรุ่มร้อนใจ

ทีกับเขา จะเอ่ยปากแต่ละคำราวกับกลัวดอกพิกุลร่วง ทีกับคนอื่นทั้งยิ้มแย้มเจื้อยแจ้วเจรจาราวนกแก้วนกขุนทอง มันน่าสั่งสอนให้หลาบจำ!

“หนูดี เธอไม่ต้องไปส่งว่าที่เจ้าบ่าวเหรอ ออกไปส่งก่อนก็ได้” เขาข่มใจบอกเพื่อน

“ไม่เป็นไรนี่ ก็หนูดีล่ำลาคุณสิทธาแล้ว และยายอ้ายก็อาสาไปส่งให้”

“แล้วทำไมเขายังไม่ไปอีกล่ะ”

น้ำเสียงไม่สบอารมณ์ของเพื่อนชายทำให้ดลฤดีต้องวางมือจากของฝากแบรนด์เนม เธอก้าวไปยืนข้างหน้าต่าง มองตามสายตาของนภนต์สลับกับใบหน้าถมึงทึงของเขา

“หงุดหงิดอะไรน่ะเดียว”

“เฮ้ย เปล่า” คนหงุดหงิดรีบปฏิเสธอย่างร้อนตัว ซ้ำยังโบ้ยไปอีกทาง “เราก็แค่ห่วงแทนหนูดี เรื่องแบบนี้ใช่ว่าไม่เคยเกิดขึ้นไม่ใช่เหรอ หนูดีควรจะใส่ใจคุณสิทธามากกว่านี้”

หญิงสาวนิ่งคิดตามคำเพื่อน พร้อมกับที่เรื่องราวในอดีตของคนรุ่นพ่อแม่ย้อนเข้ามาในความทรงจำ ในอดีต...แม่เคยไว้ใจน้องสาวมากถึงกับให้ช่วยเลี้ยงดูเธอ แต่ใครเลยจะคาดคิด น้าซึ่งเธอรักดั่งแม่แท้ๆ เป็นคนแย่งความรักของพ่อไปจากพวกเธอ

แววตาที่เปี่ยมด้วยความมั่นใจตลอดมาไหววูบ ก่อนเจ้าหล่อนจะรีบปัดคำเตือนของเพื่อนออกไปจากใจเมื่อคนรักขึ้นรถกลับออกไปแล้ว เธอหันมายิ้มพลางคล้องแขนกับนภนต์อย่างซาบซึ้งใจที่เขาคิดแทนและเป็นเดือดเป็นร้อนแทนเธอเสมอ

“เดียวน่ะคิดมาก แต่อย่างไรก็ขอบใจน้า หนูดีรู้ว่าเดียวรักและหวังดีกับหนูดีที่สุด”

ชายหนุ่มลอบถอนใจและพยายามไม่คิดมากเช่นกัน เขาจิ้มหน้าผากเพื่อนที่ซบกับต้นแขนของตนอย่างหยอกเย้า ไม่ทันสังเกตว่าผู้ที่กำลังจะก้าวเข้ามาในห้องรับแขกชะงักอยู่หลังกรอบประตู

เดือนอ้ายปวดหนึบในอกเสียจนหมดความตื่นเต้นที่จะได้ของฝาก แล้วอย่างนี้เธอจะหลอกตัวเองได้อย่างไรว่านภนต์กับญาติผู้พี่ที่เธอเคารพรักมิได้มีใจให้กัน มิตรภาพที่ทั้งสองมีต่อกันทำให้เดือนอ้ายอดคิดไม่ได้ว่า ใครก็ตามที่พยายามแทรกกลางความสัมพันธ์ของพวกเขา...อาจไม่มีวันได้รับความรักความสำคัญเป็นที่หนึ่งจากนภนต์และดลฤดี

ไม่ว่าเธอ มณิศร หรือสิทธาต่างก็น่าสงสาร แต่เมื่อเทียบกับคนอื่นแล้ว เดือนอ้ายกลับคิดว่าเธอคือคนที่น่าเห็นใจน้อยที่สุด เพราะหากวันใดนภนต์เบื่อเธอขึ้นมา อย่างน้อยเธอก็ไม่ถูกใครสมเพชเวทนามากนักเพราะไม่มีใครรู้เห็นความสัมพันธ์ นอกจากเพื่อนรักสองคนเท่านั้น หญิงสาวยิ้มเยาะตัวเองก่อนจะเดินไปอีกทางเพื่อกลับห้องของตน

 

นภนต์ปฏิเสธอยู่ร่วมมื้อเย็นกับเพื่อนหลังจากที่เมื่อวานเขามิได้เข้าไปที่ร้านแล้ววันหนึ่ง แต่จนแล้วจนรอดก็ไร้เงาเจ้าของใบหน้าแฉล้มออกมาส่งแขก เป็นเหตุให้แขกกดโทรศัพท์หาคนที่หลบหน้าหลบตาทันทีที่ขับรถออกมา

“ฮัลโหล”

“ทำไมไม่ลงมาส่งฉัน ทีกับคนอื่นล่ำลากันนานสองนาน” เขากระชากเสียงใส่ ยิ่งปลายสายยังคงเงียบ เขาก็ยิ่งหัวปั่น “ยั่วฉันหรืออ้าย อยากให้ฉันหึงหวงต่อหน้าหนูดีเรอะ ไม่มีทาง!”

“อ้ายรู้ค่ะ” เธอตอบเสียงเบาอย่างเหนื่อยล้าเต็มที

“รู้ก็ดี! จะได้ไม่คิดทำอะไรที่มันเปล่าประโยชน์” เขากดตัดสายก่อนจะเหยียบคันเร่งสุดเท้า

เดือนอ้ายลดโทรศัพท์ลงพลางถอนหายใจยาว ไม่มีน้ำตาเพราะวาจาร้ายกาจของเขาอีกต่อไปแล้ว ใจที่เจ็บจนชามันเป็นอย่างนี้นี่เอง มันทำให้เธอรู้สึกเสมือนว่าไม่มีหัวใจ

ประตูห้องนอนที่เปิดผางเข้ามาโดยไม่มีสัญญาณบอกดึงสติหญิงสาวกลับมา เธอฝืนแย้มยิ้มให้ญาติผู้พี่ที่หอบหิ้วของฝากเข้ามาพะรุงพะรัง ก่อนจะวางกองไว้กลางเตียงของเธอ มีทั้งถุงยี่ห้อเครื่องหนังชื่อดัง น้ำหอม ยาทาเล็บ และสิ่งที่ทำให้เธอยิ้มกว้างที่สุดก็คือช็อกโกแลตหลากยี่ห้อห้ากล่องด้วยกัน

“ของอ้ายหมดเลยเหรอคะ ขอบคุณนะคะพี่หนูดี” เธอพนมมือไหว้โดยไม่ละสายตาไปจากกล่องช็อกโกแลต

“ของอ้ายหมดเลย ก็พี่มีน้องสาวคนเดียวนี่นา”

เดือนอ้ายผินมองพี่อย่างทั้งรักและบูชา พี่สาวของเธอมีหัวใจยิ่งใหญ่และเป็นธรรมเสมอมา เดือนอ้ายไม่เคยให้อภัยแม่ที่ทำผิดต่อแม่ของดลฤดี พี่สาวเธอเสียอีกที่ไม่เคยถือโทษโกรธเกลียดน้าแท้ๆ พี่ของเธอกลับใช้ชีวิตในทางที่สวยงามต่อไป แล้วยังมีน้ำใจเผื่อแผ่ให้แก่ลูกของคนทรยศเช่นเธอ

“แล้วไม่ใช่กินแต่ช็อกโกแลตนะ อย่างอื่นที่พี่ให้ก็รู้จักใช้บ้าง เป็นสาวแล้วนะเรา อย่าคิดจะขึ้นคานให้พี่เลี้ยงเชียว”

“ไม่ดีหรือคะ อ้ายจะช่วยเลี้ยงลูกให้พี่หนูดีกับคุณสิทธา”

ดลฤดีนิ่งงันไป เธอเชื่อว่าเดือนอ้ายอาสาอย่างบริสุทธิ์ใจ แต่ก็อดประหวัดถึงเรื่องที่เคยเกิดขึ้นในอดีตไม่ได้ ความคิดนั้นเกิดขึ้นอย่างอัตโนมัติ ย้อนไปตั้งแต่ที่เธอมีน้าเป็นผู้เลี้ยงดูต่างแม่อีกคน ก่อนที่เธอจะค่อยๆ เรียนรู้เมื่อเติบใหญ่ว่าพวกท่านไม่ใช่พี่น้องที่รักใคร่กันนัก หญิงสาวเจ็บใจที่เธอเคยเอนเอียงไปรักน้ามากกว่าแม่ ก่อนจะได้รู้ธาตุแท้ว่าผู้หญิงซื่อๆ จิตใจดี แท้จริงกลับเป็นชู้กับพี่เขยของตน

เธอเรียนรู้จากความฟอนเฟะของผู้ใหญ่ และคิดว่าจุดเริ่มต้นทั้งหมดเกิดจากความไม่รักกันระหว่างพี่น้อง ดลฤดีจึงเลือกทำดีและมีน้ำใจต่อเดือนอ้าย และทุกครั้งที่มองสบดวงตากลมโตฉายแววซื่อสัตย์ เธอก็กระหยิ่มว่าตนฉลาดกว่าน้าหรือแม่ของตน

หากไม่มีคำพูดของนภนต์เตือนให้ฉุกคิดถึงเรื่องราวแต่หนหลังขึ้นมา...

“พี่ว่าอ้ายทำตัวแบบสาวๆ บ้างเถอะ พี่อยากเห็นอ้ายมีแฟนจริงๆ น้า เพื่อนคนนั้นก็ไม่เลว ชื่ออะไรนะ ที่เคยมาที่บ้านเราครั้งหนึ่ง”

“โชติค่ะ” ผู้เป็นน้องตอบก่อนเสหลบตา “แต่ว่าอ้ายไม่ได้ชอบโชติแบบนั้น เราเป็นเพื่อนกันจริงๆ ค่ะพี่หนูดี”

“เหรอ แล้วสเปกของอ้ายเป็นแบบไหนล่ะ ลองบอกพี่ซิ เผื่อช่วยหาให้”

เดือนอ้ายหัวเราะขันความมีน้ำใจของพี่ แต่ก็ถูกญาติผู้พี่จับมือเขย่าพร้อมกับบังคับเอาคำตอบ แก้มนวลจึงซับสีเรื่อขึ้นมาเมื่อไพล่นึกถึงคนที่เธอแอบชอบ แม้เขาจะไม่มีอะไรเฉียดใกล้สเปกของเธอก็ตาม

“อ้ายชอบคนที่เป็นผู้ใหญ่” หญิงสาวตอบอ้อมแอ้ม “สุภาพ แล้วก็ใจดีค่ะ”

ดลฤดีกวาดตามองสำรวจทั่วดวงหน้าของน้อง โดยเฉพาะแก้มแดงสุกปลั่งตอกย้ำว่าคำตอบนั้นออกมาจากก้นบึ้งจิตใจ เจ้าตัวจึงได้เขินอายเช่นนี้

ช่างบังเอิญเหลือเกินที่สเปกของเดือนอ้ายตรงกับคนรักของเธอ แต่อาจเป็นแค่ความบังเอิญกระมัง เพราะถ้าเดือนอ้ายคิดไม่ซื่อกับเธอก็คงไม่ทำตัวเป็นกาวประสานยามเธอกับสิทธาผิดใจกัน หญิงสาวบอกตัวเอง แต่ไม่วายที่อีกใจหนึ่งแย้งขึ้นว่า นั่นอาจเป็นทางที่อีกฝ่ายจะได้เชื่อมหาสิทธาก็เป็นได้

ดลฤดีไม่ชอบตัวเองในตอนนี้เอาเสียเลย เธอเคยคิดว่าตนฉลาดและเป็นผู้ควบคุมทุกอย่างในชีวิต แต่บัดนี้เธอกำลังสูญเสียความมั่นใจ ถึงกระนั้นหญิงสาวก็สัพยอกกลับเหมือนไม่ได้เกิดความผิดปกติขึ้นกับใจตัวเอง

“แหม จะหาแฟนหรือหาพ่อกันแน่ยะยายอ้าย”

เดือนอ้ายหัวเราะแห้งๆ...นั่นสินะ คงเพราะพ่อด่วนจากไปตั้งแต่เธอยังเด็ก เธอจึงขาดภูมิคุ้มกันด้านความรัก ไปหลงใหลได้ปลื้มคนผิดเช่นนี้กระมัง

“พี่ไปพักก่อนละ อ่านหนังสือสอบไปเถอะยายแก่”

จนกระทั่งผู้เป็นพี่ออกไปจากห้องแล้ว เดือนอ้ายก็ไม่ได้บอกความรู้สึกอัดแน่นในใจว่าเธอก็รักและหวังดีกับพี่อย่างที่สุด ใช่แต่นภนต์ที่พี่คิดว่ามีเพียงเขาให้พึ่งพาได้...และเชื่อใจแต่เพียงนภนต์

 

สัปดาห์แห่งการสอบครั้งสุดท้ายของนักศึกษาชั้นปีที่สี่ใกล้เข้ามา แต่ก็มีงานน่าตื่นเต้นกว่าเบี่ยงเบนความสนใจของรุ่นพี่ปีสุดท้ายไปจากการสอบ นั่นคืองาน ‘บายเนียร์’ ที่นักศึกษารุ่นน้องรวบรวมเงินจัดให้เพื่อเป็นการเลี้ยงอำลา

“อ้ายๆ แกรู้หรือยังว่างานบายเนียร์ของเอกเราจัดที่ไหน” พิมพ์อักษรวิ่งกระหืดกระหอบมาถาม

ทว่าเดือนอ้ายได้แต่สั่นศีรษะ ส่วนจารุณีที่นั่งอ่านหนังสืออยู่ด้วยกันเป็นฝ่ายย้อนถามแทน

“รู้ข่าวอะไรมา บอกมาเดี๋ยวนี้เลยนะแก”

พิมพ์อักษรสูดหายใจลึก ก่อนจะสบตากับเพื่อนสนิทแน่วนิ่งขณะตอบ

“ที่ร้านจี๊ซบาร์”

“กรี๊ด จริงเหรอแก๊ เขาบอกว่าร้านนั้นเป็นแหล่งรวมดารากับไฮโซเลยนะ เราจะได้เจอใครบ้างไหมนี่” จารุณีกุมมือกลางอกด้วยท่าทางเพ้อฝัน

“เสียใจด้วยนะแก งานนี้ปิดร้านฉลองจ้า” พิมพ์อักษรตอบกลั้วหัวเราะ

“ปีนี้รุ่นน้องเราป๋ามากเลยอะ พวกแกจำได้ไหม ตอนที่เราจัดให้รุ่นพี่นี่เกือบเป็นธีมงานวัดกับยาดอง”

เพื่อนทั้งสองพูดคุยเรื่องงานที่เคยจัดและกำลังจะเกิดขึ้นในอนาคตอย่างออกรส ขณะที่เดือนอ้ายกลับทำหน้านิ่วเมื่อไพล่นึกถึงเจ้าของร้าน ป่านนี้เขาจะรู้หรือไม่ว่าเธอและเพื่อนคือลูกค้ากลุ่มนั้น แล้วทำไมใจเจ้ากรรมจึงต้องเต้นแรง สมองที่ควรจดจำเนื้อหาที่จะสอบกลับครุ่นคิดว่าจะแต่งตัว แต่งหน้าอย่างไร

“เออ ว่าแต่เราจะได้เจอเจ้าของร้านไหม” จารุณีถามด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นอีกครั้ง “คนที่มีข่าวว่าคบกับมิลกี้น่ะแก ขนาดเห็นแค่แขนยังหล่อเลย”

พิมพ์อักษรปรายตามองเดือนอ้ายอัตโนมัติ แม้ที่พูดคุยกันคืนนั้นเดือนอ้ายจะบอกว่าเป็นความชอบฝ่ายเดียวเหมือนกับที่เธอชอบดารา แต่เธอกลับคิดว่านภนต์ก็ทอดไมตรีให้เพื่อนของตนเช่นกัน ถึงกระนั้นเธอกับโชติก็ตั้งใจว่าจะเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับของพวกตนสามคน

“คิดเรื่องชุดก่อนดีกว่าไหม นังกิ๊บ”

เธอดึงจารุณีออกจากความสนใจเรื่องนภนต์ แล้วก็ได้ผล อีกฝ่ายรีบผละไปหาเพื่อนสนิทอีกคนที่โรงอาหารเพื่อจะได้ปรึกษาเรื่องเสื้อผ้าหน้าผมทันที

“มีอะไรหรือเปล่าอ้าย แกเงียบๆ ไป” พิมพ์อักษรถามอย่างห่วงใยพลางนั่งลงบนม้าหินอ่อนแทนที่คนที่เพิ่งลุกไป

เดือนอ้ายส่ายหน้าหวือ ก่อนจะหันไปยิ้มให้เพื่อน

“ตื่นเต้นน่ะสิ ไม่เคยไปร้านแบบนั้นเลย”

พิมพ์อักษรหัวเราะชอบใจ ก่อนที่หัวข้อสนทนาทั้งหมดหลังจากนั้นจะเป็นเรื่องการเตรียมตัวไปงานทั้งสิ้น พวกเธอผ่านวัยเด็กสู่วัยสาวมาแล้วก็จริง แต่งานเลี้ยงและที่กำลังจะสำเร็จการศึกษาในอนาคตก็ทำให้รู้สึกเสมือนย่างเข้าสู่วัยผู้ใหญ่เต็มตัว

ทว่าเดือนอ้ายไม่ได้รู้ว่าตนกำลังเสียเวลานึกหาชุดที่จะสวมใส่ไปเปล่าๆ ปลี้ๆ เพราะทันทีที่นภนต์รู้ข่าวจากผู้จัดการร้าน เขาก็พุ่งตรงไปยังห้องเสื้อฝีมือนักออกแบบชาวไทยในห้างสรรพสินค้าทันที

 

“ไปชอปอะไรมายะยายอ้าย”

ดลฤดีทักญาติผู้น้องที่กลับมาถึงบ้านตอนหัวค่ำพร้อมถุงห้างสรรพสินค้าชื่อดัง ส่วนตัวเธอก็กำลังจะขึ้นรถออกไปสังสรรค์และนำของฝากจากฝรั่งเศสไปให้เพื่อนร่วมแก๊งที่ร้านของนภนต์

“ชุดใส่ไปงานบายเนียร์น่ะค่ะ” นักศึกษาสาวตอบฉะฉานก่อนถามกลับ “พี่หนูดีจะไปไหนหรือคะ”

“นัดเพื่อนๆ ไว้ที่ร้านของเดียวน่ะ แต่พี่บอกคุณสิทธาแล้ว เขาจะได้ไม่ต้องรบกวนอ้ายเพื่อถามถึงพี่ โอเค้”

เปลือกตาซึ่งแต่งแต้มสีเป็นสโมกกีอายขยิบลงอย่างเจ้าเสน่ห์ ดลฤดีขึ้นรถและขับออกไปก่อนที่เดือนอ้ายจะทันปฏิเสธว่าไม่เป็นการรบกวนแต่อย่างใด แต่ถ้าทั้งสองคนเข้าใจกัน เธอก็ควรจะโล่งใจไปเปลาะหนึ่งไม่ใช่หรือ แล้วความรู้สึกหน่วงหนึบในใจเช่นนี้เกิดจากอะไร

หญิงสาวก้าวขึ้นบันไดหงอยๆ บ้านหลังใหญ่เงียบเหงาเมื่อเป็นเวลาพักผ่อนของคนงาน อย่าว่าแต่พวกเขาเลย แม้แต่เธอเองก็มักจะเก็บตัวอยู่ในห้องนอนเสียเป็นส่วนใหญ่ ไม่ว่าดลฤดีจะอยู่บ้านหรือไม่ก็ตาม

ทว่าเดือนอ้ายต้องขมวดคิ้วด้วยความแปลกใจทันทีที่เข้ามาพบกล่องกระดาษขนาดใหญ่กลางเตียงของตน เธอพลิกดูชื่อผู้รับบนกล่อง แต่ก็ไม่ปรากฏหลักฐานอันใด พอดีกับที่แม่บ้านมาเคาะประตูถามว่าเธอกินอะไรมาหรือยัง

“เรียบร้อยแล้วค่ะพี่แมว ขอบคุณนะคะ ว่าแต่กล่องนี้ของใครคะ ไม่เห็นมีชื่อผู้รับเลย”

“ของคุณอ้ายแหละค่า มีเมสเซนเจอร์มาส่งเมื่อเย็นนี้เอง”

เดือนอ้ายแปลกใจยิ่งกว่าเดิมเสียอีก เมื่อประตูห้องปิดลงอีกครั้ง เธอจึงเปิดฝากล่องกระดาษมันวาวที่ไม่ได้ปิดเทปกาวป้องกัน เธอหยิบชุดกระโปรงสีขาวไข่มุกออกมาอย่างทะนุถนอม ก็มันช่างนิ่มมือเสียจนเธอกลัวมันจะขาด เมื่อกางออกดูเต็มตัวจึงเห็นว่ามันเป็นเดรสสั้นคลุมเข่า คอปาด แขนเสื้อเปิดเปลือยไหล่ตกไปอยู่ด้านข้าง และมีเข็มขัดเส้นเล็กแต่งโบกระชับช่วงเอวเพื่อเน้นสัดส่วนเรือนร่างให้แก่ผู้สวมใส่

เธออดคิดไม่ได้ว่าใครก็ตามที่เลือกชุดนี้มีรสนิยมดีกว่าเธอเสียอีก เมื่อเทียบกับเดรสสีฟ้าลายหินอ่อนที่เธอซื้อมา พลันสายตาหญิงสาวก็เหลือบเห็นการ์ดในกล่อง เธอรีบเปิดดูพร้อมกับหัวใจที่เต้นไม่เป็นจังหวะ

ฉันอยากเห็นเธอใส่ชุดนี้ วันพฤหัสเจอกัน

ไม่ต้องลงท้ายด้วยชื่อ ข้อความเอาแต่ใจกึ่งบังคับและลายมือหวัดน้อยๆ สื่อถึงนภนต์ได้อย่างชัดเจน น่าอายเหลือเกินที่เธอเต็มใจจะปฏิบัติตามคำสั่งของเขา แค่เขาบอกว่าจะไปเจอ ก้อนเนื้อในอกก็พองโตจนคล้ายร่างกายจะล่องลอย เท้าไม่ติดพื้นอย่างไรอย่างนั้น

เดือนอ้ายลืมความขุ่นข้องหมองใจเมื่อวานนี้ไปเสียสิ้น เป็นครั้งแรกที่เธออยากโทร. หาเขา บอกขอบคุณและระบายความตื่นเต้นในใจ แต่ก็ไม่กล้าพออยู่ดีนั่นแล ความกล้ามากที่สุดที่มีทำให้เธอเลือกส่งข้อความขอบคุณไปแทน ไม่ลืมตามด้วยรูปการ์ตูนที่เขาซื้อให้เธอ

ทว่ายังไม่ทันระงับใจมิให้หลงใหลกับความเอาใจใส่ของนภนต์มากไปกว่านี้ ชื่อของคนที่นึกถึงก็ปรากฏเป็นชื่อผู้โทร. เข้ามา

“ทำไมไม่โทร. มา”

คำทักทายแรกก็ดุเสียแล้ว เดือนอ้ายมองค้อนชุดในกล่องราวกับมันเป็นตัวแทนของคนใจร้าย

“อ้ายเกรงใจ กลัวรบกวนคุณ”

“อ้อ” ชายหนุ่มหัวเราะเบาๆ “แล้วไป แบบนี้ก็ดี ฉันโทร. กลับจะได้ไม่เบียดเบียนเงินค่าขนมของเด็กอย่างเธอ”

“อ้าย...อ้ายขอบคุณมากนะคะ”

“สำหรับชุดหรือที่ฉันโทร. ไป” เขาถามยั่วเย้า

“ทั้งหมดค่ะ” เธอตอบอย่างจริงใจ

“ขอบคุณแปลว่าจะใส่ใช่ไหม”

“ค่ะ” หญิงสาวตอบรับเสียงเบา

“ดีมาก ว่าง่ายๆ แบบนี้สิอ้าย น่ารัก” นภนต์ทอดหางเสียง เขาไม่รู้เลยว่ายามใดที่เอ่ยกับเธอด้วยน้ำเสียงเช่นนั้น คนฟังพลอยสะท้านไปทั้งใจ “ตลกดีนะ เธอเป็นผู้หญิงที่คาดเดายากที่สุด ฉันคิดว่าเธอจะยกเรื่องศักดิ์ศรีลูกผู้หญิงขึ้นมาอ้าง แล้วปฏิเสธไม่รับของจากฉันเพื่อเพิ่มคุณค่าให้ตัวเอง”

ถ้อยคำที่เอ่ยตามความคิดของชายหนุ่มกระแทกใจเดือนอ้ายอย่างแรง ใบหน้าสาวม้านชา เธอยอมรับว่ามัวแต่ปลาบปลื้มกับความใส่ใจของเขาเสียจนลืมว่าเขาอาจจัดเธอเป็นผู้หญิงประเภทที่ซื้อได้ด้วยเงิน

เออหนอ อย่าว่าแต่แลกด้วยเงินเลย เธออาจไม่เคยมีศักดิ์ศรีให้รักษาตั้งแต่แม่บังเกิดเกล้าทำเรื่องน่าอับอายในอดีตนั่นแล้ว

“คืนนี้นอนดึกหรือเปล่า”

“คะ?” คนฟังชักตามไม่ทัน

“จะอยู่รอหนูดีหรือเปล่า ถ้ารอฉันจะได้มอมเหล้าหนูดีแล้วพาไปส่งเธอ”

“อย่านะคะ”

คำห้ามปรามอย่างตื่นตกใจเรียกเสียงหัวเราะจากชายหนุ่ม หัวใจสาวสั่นไหวราวกับเสียงกังวานของเขาสะท้อนอยู่ข้างใน

“พูดเล่นน่า เท่านี้ก่อนนะอ้าย แล้วส่งข้อความมาหาฉันบ้าง ถ้าไม่อยากทะเลาะ”

ยังไม่ทันตอบรับ คนออกคำสั่งแกมข่มขู่ก็วางสายไปเสียก่อน เดือนอ้ายได้แต่มองค้อนหน้าจอโทรศัพท์ที่ปรากฏชื่อของเขาและระยะเวลาสนทนา ถึงจะเป็นเวลาแค่สามนาที...สั้นกว่าบทเพลงเพลงหนึ่งเสียอีก แต่ก็ทำให้หัวใจสาวพองฟูและลอยล่อง

ถ้าหัวใจของเธอเป็นผืนดินแห้งผาก โดยมีคำพูดร้ายกาจของเขาเป็นดั่งจอบเสียมที่ชาวนาใช้ขุดลงไป ความใจดีของนภนต์ก็เปรียบเสมือนหยดน้ำที่ไหลลงสู่ผืนดิน ทำให้หัวใจเธอกลับมาชุ่มฉ่ำ ลืมวาจาร้ายๆ ที่เขาเคยตอกใส่เธอ

 

วงสังสรรค์ของแก๊งเพื่อนเจ็ดคนยังคงมีขึ้นที่ชุดโซฟาติดกระจกใสบานใหญ่ มองออกไปเห็นสระน้ำสีฟ้าใสและวงดนตรีสดภายนอก แม้ลูกค้าบางคนจะรู้จักคนมีชื่อเสียงในกลุ่มนักแสดงสาว แต่ก็ไม่มีใครกล้าเข้ามารบกวนเวลาส่วนตัวของพวกเขา และต่างกินดื่มสังสรรค์กับเพื่อนของตน

นภนต์กำลังพูดคุยเรื่องรถกับตระการ ทายาทโชว์รูมนำเข้ารถหรูจากยุโรป ส่วนดลฤดีก็กำลังอวดกระเป๋าใบใหม่แก่มนสิการและสาวๆ ก่อนที่ตระการจะสะกิดเขาพลางบุ้ยใบ้ไปยังนางเอกวัยรุ่นกับเพื่อนอีกสองคนซึ่งกำลังก้าวเข้ามาในร้าน

“นายโดนเด็กจับแน่ๆ หนูดี เธอจะว่าอย่างไร” ชายหนุ่มยุเพื่อนสองคนที่รักกันดีเสียเหลือเกิน

ดลฤดีแลตามสายตาของเพื่อน แล้วก็ได้เห็นตัวจริงของนักแสดงรุ่นใหม่ที่อ่อนวัยกว่าตนเกือบสิบห้าปี เพราะมีคลื่นลูกใหม่เช่นนี้จึงทำให้เธอตัดสินใจออกจากวงการไวกว่าที่คิด เธอไม่ต้องการช่วงชิงบทนางเอกกับเด็กๆ พวกนี้ คนอย่างดลฤดีไม่ชอบแข่งขัน เธอจะคบหาหรือทำงานก็แต่กับคนที่เห็นค่าของเธอ

หญิงสาวพิจารณาผู้ที่ก้าวมาทางโต๊ะที่พวกตนนั่งอยู่ มณิศรสวมเดรสเกาะอกรัดรูปสีดำ แต่งประกายด้วยกากเพชรสีม่วงและสีเงินระยิบระยับท่ามกลางแสงสลัวภายในร้าน ไม่หลงเหลือความเป็นเด็กเอาเสียเลย และเจ้าตัวคงจะพอใจให้ใครต่อใครมองว่าไม่ใช่เด็กเช่นกัน

“พี่เดียว ทำไมไม่รับสายหรืออ่านข้อความจากมิลกี้เลยล่ะคะ มิลกี้ไม่สบายใจเลยมาหาที่ร้าน”

ร่างบางที่ผอมบางเฉพาะส่วนเบียดกายนั่งแทรกระหว่างนภนต์กับตระการ ส่วนเพื่อนสาวสองคนของมณิศรนั่งถัดจากตระการออกไป เจ้าของร้านซึ่งอึดอัดเต็มทีลอบถอนใจขันๆ เมื่อเห็นเพื่อนยกนิ้วหัวแม่มือให้อย่างชอบใจกับสถานการณ์นี้

“มิลกี้มีธุระอะไรกับพี่หรือเปล่าคะ” นภนต์ฝืนแย้มยิ้มขณะเอ่ยถาม ตรงข้ามกับใจที่ขุ่นจัดเมื่อรับรู้ได้ว่าอีกฝ่ายชักก้าวก่ายชีวิตของเขามากไป

“ไม่มีแล้วคิดถึงไม่ได้เหรอคะ” เด็กสาวแสร้งพ้อกระเง้ากระงอด

รอยยิ้มยังคงประดับบนใบหน้าชายหนุ่ม เขาคร้านจะต่อความเชิงชู้สาวกับเธอจึงเอ่ยแนะนำเพื่อนๆ แต่ละคนตามมารยาท

“มิลกี้จำพี่หนูดีกับพี่ฝ้ายได้ค่ะ เคยเห็นในข่าวสังคมบ่อยๆ พี่หนูดีไม่น่ารีบออกจากวงการเลยนะคะ ไม่อย่างนั้นเราอาจจะได้ร่วมงานกัน”

ดลฤดีเพียงยิ้มอย่างไว้ตัว ลำพังเพราะไม่ถูกชะตาเด็กคนนี้ยังไม่เท่าไร แต่คำพูดคำจาของเด็กเมื่อวานซืนยังขัดหูอีกต่างหาก เธอปล่อยให้มนสิการสวมหน้ากากชักชวนเด็กสาวพูดคุย ขณะที่เธอหมดสนุกเสียแล้ว

“เดียว เดินไปส่งหน่อย”

“อ้าว ทำไมรีบกลับล่ะหนูดี” มนสิการแปลกใจ ตามด้วยตระการที่เอ่ยสำทับ

“นั่นสิ”

“เอ่อ เพราะมิลกี้หรือเปล่าคะ” มณิศรเอียงคอถามด้วยท่าทางใสซื่ออย่างประดิษฐ์

“ไม่เกี่ยวกับน้องหรอกค่ะ พอดีว่าที่เจ้าบ่าวพี่ห่วง ไม่อยากให้กลับดึก” อดีตนางเอกรุ่นพี่ตอบกลับพร้อมรอยยิ้มมุมปากดังเคย

เมื่อนภนต์ลุกตามดลฤดีออกไป กลุ่มคนที่เรียกตัวเองว่าเพื่อนต่างก็พูดคุยกับมณิศรอย่างออกรส พวกผู้ชายวางท่าคุยโตถึงธุรกิจการงาน ส่วนบรรดาผู้หญิงก็ชักชวนนางเอกวัยรุ่นที่กำลังมีชื่อเสียงพูดคุยเรื่องเทรนด์แฟชั่นและการออกกำลังกายที่กำลังมาแรง

มณิศรเลือกแล้ว เธอสนใจจะไปดูรถสปอร์ตเล็กๆ สักคันที่โชว์รูมของตระการ และจะไปเข้าคลาสเต้นซุมบาที่โรงแรมของมนสิการ

 

“คิดอย่างไรไปจีบเด็ก” ดลฤดีเปิดฉากซักเพื่อนทันทีที่เดินมาถึงลานจอดรถ “อย่าบอกนะว่าไม่ได้จีบ หนูดีไม่เชื่อเด็ดขาด เพราะไม่อย่างนั้นเดียวคงไม่ยอมให้ควงไปไหนต่อไหน แถมมาทำตัวเป็นเจ้าข้าวเจ้าของแบบนี้”

นภนต์เกาท้ายทอยแก้เก้อ ที่เพื่อนสนิทว่ามานั้นถูกต้องทุกประการ เขาเป็นฝ่ายเข้าไปพูดคุยกับนางเอกวัยรุ่นในวันที่กองละครซึ่งเจ้าหล่อนแสดงมาเลี้ยงฉลองปิดกล้องที่ร้าน แล้วมณิศรก็ดูจะหลงใหลได้ปลื้มเขาในทันที...เช่นเดียวกับผู้หญิงทุกคนที่ได้รู้จักเขา ถัดจากคืนนั้นไม่กี่วันเขาก็ออกเดตกับเธอ

เหตุที่นภนต์ทอดไมตรีให้แก่เด็กสาวก่อนก็เพราะอยากลบภาพและความรู้สึกติดตาต้องใจใครบางคนออกไป แต่บัดนี้เขารู้แล้วว่ามันไม่เป็นผล และรังแต่จะสร้างความรำคาญใจตามมา

“ไม่ยักรู้ว่าเพื่อนของหนูดีชอบเด็กเอ๊าะๆ ไม่งั้นจะแนะนำให้”

“เฮ้ย เปล่า” เขาปฏิเสธเร็วไวโดยไม่ต้องคิด ก่อนจะทำหน้านิ่วแปลกใจ “ใคร”

“ไหนบอกว่าเปล่ายะ” หญิงสาวย้อนเพื่อน แต่ก็ยอมเฉลย “อ้ายไง”

“ตลก!”

แม้จะทำทีเป็นรับไม่ได้กับคำพูดของเพื่อน ทว่าหัวใจชายหนุ่มกลับโลดแรงขึ้นอย่างน่าประหลาด เขาเกือบจะกลบเกลื่อนรอยยิ้มได้ไม่สนิท หากไม่มีประโยคต่อไปของดลฤดี

“ไม่ตลก หนูดีคิดดูแล้ว กันไว้ดีกว่าแก้”

“หมายความว่าไง”

“หนูดีแค่นึกถึงที่เดียวเคยเตือนน่ะ ก็เลยแกล้งยุให้ยายอ้ายมีแฟนแต่ยุไม่ขึ้น พอหลอกถามสเปกผู้ชายของยายอ้ายดูก็ตรงกับคุณสิทธาดีๆ นี่เอง มิน่าล่ะ...”

มิน่าล่ะ เดือนอ้ายถึงทำท่าจะเป็นจะตายเวลาอยู่กับเขา แต่กับคนรักของพี่สาวกลับยิ้มแย้มและพูดจาเป็นต่อยหอย ที่แท้ก็แอบปลื้มนักธุรกิจหนุ่มใหญ่ผู้นั้น มันไม่หัวสูงไปหน่อยหรือไร มิหนำซ้ำเธอยังสนตะพายเขาไว้ ทำให้เขาติดกับเสน่ห์ความเป็นธรรมชาติของเธอ ที่เคยหลงคิดว่าตนเป็นภมรดื่มกินเกสรบริสุทธิ์ แท้จริงอาจเป็นกับดักล่อของดอกไม้กินแมลง

นภนต์ลูบต้นแขนเพื่อนอย่างปลอบประโลม ทั้งที่ในใจกำลังเดือดปุด แต่ก็ต้องพูดให้เพื่อนสบายใจ

“อย่าเพิ่งคิดมาก เอาเป็นว่าเราจะช่วยหนูดีสอดส่องแน่นอน”

ได้ยินคำรับปากเป็นมั่นเป็นเหมาะ ดลฤดีก็พลอยสบายใจขึ้นบ้าง เธอโบกมือให้เพื่อนสนิทก่อนขึ้นรถ 

หนุ่มสาวหารู้ไม่ว่าแม้ลูกค้าคนอื่นจะไม่กล้าเข้ามาทักทายคนดังในเวลาส่วนตัว แต่ไม่ได้หมายความว่าใครสักคนจะไม่กล้าแอบถ่ายภาพอดีตนางเอกที่มีข่าวว่าจะแต่งงาน ยืนจับมือถือแขนกับเพื่อนชายซึ่งดูสนิทสนมเกินกว่าคำว่าเพื่อนในเวลากลางค่ำกลางคืน

 


รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น