7

บทที่ 7

7


สิ้นเสียงหวานอันเปี่ยมรัก อังกูรก็สิ้นสุดความอดทน ชายหนุ่มสวมชุดให้เธอลวกๆ พลันช้อนร่างบางขึ้นแนบอก พาเดินละลิ่วกลับไปยังห้องนอนกว้างใหญ่เพื่อกระทำการสำคัญ อย่างไรคืนนี้เขาต้องได้เธอ

“ถอดแว่นตาให้พี่หน่อย” 

ปวีราปฏิบัติตามคำสั่ง นิ้วเรียวสวยดึงแว่นทรงหยดน้ำกรอบดำออกจากใบหน้าคมคร้าม ดวงตากลมโตไหวระริก กายบางสั่นสะท้านยามถูกผลักให้เอนกายนอนราบลงกับเตียงนอนอันเย็นเยียบ จากเครื่องปรับอากาศอุณหภูมิยี่สิบองศาที่ถูกเจ้าของห้องเปิดทิ้งไว้ครู่ใหญ่

อังกูรจับจ้องร่างงามตาไม่กะพริบ ขณะปลดกระดุมเสื้อตัวเองและถอดมันออก

“พี่ถอดชุดให้นะ” 

โดยไม่รอให้เธออนุญาต เขาจับร่างงามพลิกไปมาราวกับตุ๊กตาล้มลุก ไม่ถึงสองนาทีก็อยู่ในชุดวันเกิดไม่ต่างจากเขา ชุดนอนของทั้งสองถูกโยนไปวางรวมกันสักใดสักที่ข้างเตียง 

“เปิดไฟได้ไหม พี่อยากเห็นปัณชัดๆ” เขาร่ำร้อง 

เมียตัวเล็กผงกหัวยินยอมแบบเหม่อลอย ไฟบนเพดานเป็นระบบอัตโนมัติ เพียงแค่มือหนาประกบเข้าหากันสองครั้ง ความสว่างไสวก็สาดส่อง 

นัยน์ตาลุ่มลึกหยุดที่เรือนกายงดงามบนเตียงนอนนุ่มเด้ง ภรรยาของเขาผุดผาดด้วยกลิ่นอายของสาวน้อยผู้ไม่ประสีประสา เธอทอดกายระทดระทวยราวกับนางฟ้าตกสวรรค์ตัวน้อยๆ ส่วนเขาก็ไม่ต่างกับซาตานร้ายผู้พร้อมพรากพรหมจรรย์ไปจากเธอ จนกลัวว่าหากพลั้งเผลอเอาแต่ใจแล้ว จะทำให้ผิวขาวผุดผ่องเป็นยองใยของเธอเกิดเป็นรอยฟกช้ำ 

ปวีราเปราะบางเหลือเกิน อกอวบได้รูปพอเหมาะพอดีกับมือหนา เอวคอดกิ่วของเธอเล็กนิดเดียว นิ้วเรียวแกร่งลูบบั้นท้ายกลมกลึง ทุกสัดส่วนของเมียเขาน่าปรารถนาและเป็นต้นแบบผู้หญิงที่ผู้ชายยอมตายหากได้เชยชมสักครั้ง 

ทว่าปวีราเป็นของเขาชั่วนิจนิรันดร์ ไม่ว่าใครหน้าไหนก็ไม่มีสิทธิ์แตะต้อง!

นิ้วเรียวแตะไล้เส้นไหมสีดำปกคลุมใจกลางความเป็นหญิงอันน่าหลงใหล เธอกำลังจะเป็นเมียของเขาอย่างเต็มตัว เขาจะทะนุถนอมและทำให้เธอมีความสุขเท่าที่สามีคนหนึ่งจะทำให้ภรรยาได้ 

ร่างสูงคร่อมเรือนกายขาวผ่อง ปวีราหลับตาพริ้มเตรียมตัวรับศึกหนัก ทว่าคนตัวโตกลับโน้มกายไปเปิดลิ้นชักข้างเตียง จากนั้นก็หยิบขวดที่มีลักษณะคล้ายโรลออนออกมาเปิดโดยการบิดหัวปั๊ม

“เอ่อ...พี่พร้อมจะทำอะไรคะ” และสิ่งปริศนาในมือเขาคืออะไร... 

เขาเทของเหลวที่มีลักษณะคล้ายเจลสีใส ทว่าเจือกลิ่นหอมอ่อนๆ คล้ายกลิ่นสตรอว์เบอร์รีใส่มือตัวเอง

“ผิวปัณแพ้อะไรหรือเปล่า” คุณสามียังมีแก่ใจมาถาม

“มะ...ไม่ค่ะ” คนตัวเล็กทำหน้างุนงง เขาจะทาโลชันให้เธอเหรอ 

คำถามคือ มันใช่เวลาไหมล่ะ

“นี่เจลสูตรอ่อนโยนต่อน้องสาวปัณ รับรองว่าไม่เหนียวเหนอะหนะ ของบริษัทเพื่อนพี่เอง” 

อวดสรรพคุณเสร็จก็โยนเก็บเข้าลิ้นชักส่งๆ เล่นเอาปวีราอ้าปากค้างด้วยความอึ้งกับการเตรียมการของเขา 

“เบบี้อ้าขาให้พี่หน่อยสิ”

ร่างบางอ่อนระทวย แทบละลายหายไปในเตียงกับสรรพนามเรียกขานแบบใหม่ ขาเรียวซึ่งหุบเข้าหากันในทีแรกค่อยๆ กางออก ผิวแก้มเธอทั้งร้อนฉ่าและแดงก่ำด้วยความรู้สึกอับอายกับการเปิดเผยส่วนลี้ลับที่ไม่เคยให้ใครเชยชมมาก่อนในชีวิต 

นิ้วโป้งหนาไล้ซอกขาเลยมาถึงเนินนุ่มของเธอแผ่วเบา ก่อนจะค่อยๆ ส่งอีกนิ้วแทรกสอดเข้าไป 

“อ๊ะ...พี่พร้อมขา...” หญิงสาวสะดุ้งโหยง มันเป็นประสบการณ์แปลกใหม่ที่เธอไม่เคยสัมผัสมาก่อน 

“ลูกคนแรกพี่ขอเป็นเด็กผู้หญิง จะได้น่ารัก อ้อนเก่งเหมือนปัณ” เขาบอกถึงความต้องการ พลางควานลึกหยอกเย้ากับความอ่อนนุ่ม 

“อ่า...ค่ะ ปะ...ปัณก็อยากได้ลูกสาว ลูกเราจะต้องน่ารักมากแน่ๆ”

“เราอาจจะได้ลูกแฝดเหมือนพี่พอร์ชก็ได้”

“อ่า...ค่ะ อ๊า...”

ขณะชายหนุ่มชวนเธอพูดคุยเพื่อผ่อนคลาย นิ้วหนาก็สอดลึกเข้าไปด้านในจนปวีราสะดุ้งเฮือก หยดน้ำซึ่งคลอหน่วยในดวงตาฉ่ำหวานพลันเอ่อไหลออกจากหางตา

“ฮึก...เจ็บ” เธอสะกดกลั้นความเจ็บไว้ไม่ไหว 

“อยากให้พี่หยุดก่อนไหม” อังกูรถามไถ่ มือหนาลูบผมเปียกชื้นอย่างอาทร ทำท่าจะถอดถอนปลายนิ้วจากเนื้ออ่อนนุ่ม

ปวีราบอบบางและนุ่มนิ่มไปทั้งตัว เขาเองก็ไม่กล้าทำรุนแรงกับเธอ พึงระลึกเสมอว่าครั้งแรกของเธอจะต้องเป็นที่น่าจดจำและสวยงาม เขาจะไม่ทำให้เธอต้องเจ็บปวดหรือจดจำสิ่งที่ไม่ดีเป็นอันขาด

“ต่อเถอะค่ะ ปัณพอทนไหว...แค่ไม่ชินเฉยๆ” ปลายเสียงคนพูดสั่นเครือ ตากลมโตปรือปรอยฉ่ำหวานด้วยอารมณ์หวามไหว

มันเจ็บก็จริง แต่ก็มีความรู้สึกบางอย่างแฝงอยู่ 

ทว่าอังกูรตัดสินใจเปลี่ยนเป้าหมาย เห็นทีเขาต้องเริ่มใหม่ตั้งแต่ต้น ก่อนจะทำให้ภรรยาตัวน้อยกลัวจนเข็ดขยาดกับการร่วมรักระหว่างกันตลอดการใช้ชีวิตคู่ 

ปวีราที่นอนนิ่งเตรียมพร้อมรับการบุกรุกมองหน้าหล่อเหลาของสามี อังกูรส่งยิ้มอ่อนโยน นิ้วเรียวแกร่งเกี่ยวปอยผมสีน้ำตาลไหม้มาทัดใบหูเล็ก 

ผิวกายเธอขาวกระจ่าง ตัดกับผมสีน้ำตาลไหม้อย่างลงตัว...เธอสวยเหลือเกิน

เขาอยากได้เธอแทบบ้าอยู่แล้ว 

“พี่พร้อม มีอะไรหรือเปล่าคะ ทำไมถึงหยุด ปัณทำอะไรผิดหรือเปล่าคะ” 

ริมฝีปากบางเม้มแน่น เป็นสัญญาณบอกว่าเธอกำลังกังวลใจ ทำไมเขาจะไม่รู้ เขาอยู่กับเธอมาทุกช่วงชีวิต ตั้งแต่เธอเกิดมาเลยด้วยซ้ำ

คิดถึงอดีตแล้วก็ทำให้เขาอดยิ้มออกมาไม่ได้ 

“เปล่า พี่แค่คิดถึงตอนสมัยพวกเราเป็นเด็ก แต่ก่อนปัณตัวเล็กมาก จะอุ้มแต่ละที พี่ก็กลัวจะทำตก กลัวว่าปัณจะเจ็บตัวเพราะพี่”

“ทำไมจู่ๆ พี่ถึงพูดเรื่องนี้ขึ้นมาล่ะคะ” เจ้าของนัยน์ตาอินโนเซนต์ถามอย่างงุนงง มันเกี่ยวอะไรกับสถานการณ์ตอนนี้งั้นหรือ 

“เพราะการกระทำของพี่ครั้งนี้จะทำให้ปัณเจ็บ”

“ถึงจะเจ็บ ถ้ามีพี่พร้อมอยู่ข้างๆ ปัณก็กลัวไม่หรอกค่ะ” เธอบอกอย่างมั่นใจ พี่พร้อมไม่มีวันทำร้ายเธอแน่นอน

สิ่งที่ปรากฏในคลองจักษุทั้งใหญ่โตและดูดุดัน แต่ปวีราก็ปลอบใจตัวเองว่าอย่างไรเธอก็หนีไม่พ้น มันเป็นเรื่องธรรมชาติ 

“เจ็บเหมือนมดกัด” สามีปลอบใจเสียงพร่า พลันค่อยๆ แทรกกายแกร่งเข้ามาภายในความอ่อนนุ่ม หมุนวนฝากรักอย่างล้ำลึก  

ปวีรานิ่วหน้าพร้อมกับหลับตาแน่น ชั่ววินาทีนั้นรู้สึกราวกับร่างกายปริร้าวและแตกออกเป็นเสี่ยงๆ บทบรรยายจากนิยายเรื่องใดๆ ก็ไม่สู้เจอกับประสบการณ์จริงด้วยตัวเองในตอนนี้ 

“เจ็บก็มาลงกับพี่”

สิ้นคำเขา มือนุ่มก็ขยุ้มหัวสามีอย่างไม่ปรานี เอวบางคอดสอดรับกับสะโพกหนาซึ่งบดเบียดเคลื่อนเข้าเคลื่อนออกอยู่สี่ห้าครั้ง ความรู้สึกแรกที่สัมผัสได้คือความเจ็บปวด ทว่าวินาทีต่อมาก็แปรเปลี่ยนเป็นความเสียวซ่านและอุ่นวาบ

สองแขนเรียวโอบรอบคอสามีเอาไว้ ปวีรามองข้ามไหล่บึกบึนไปที่กระจกบานใหญ่ เธอพบว่าพี่พร้อมยามบรรเลงรักช่างน่าหลงใหลและเร่าร้อนอย่างร้ายกาจ ท่าทางของเขาฉายชัดถึงความเป็นแบดบอยตัวพ่อ

‘พี่พร้อมน่ะไม่ธรรมดาหรอกนะ’

ชลิดา เพื่อนรักของเธอผู้เป็นเจ้าของฉายาแคซาโนวีเมืองไทยเคยกล่าวถึงสามีเธอไว้อย่างนั้น ดูท่าจะไม่ไกลจากความเป็นจริง 

การหมายจะเป็นเจ้าของเขาทั้งตัวและหัวใจไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ถึงอย่างนั้น ปวีราก็คิดว่าคงไม่เกินความสามารถตัวเองเท่าไร ในเมื่อพี่พร้อมหลงใหลในตัวเธอถึงเพียงนี้ เธอก็ใช้สิ่งนี้มัดใจเขาให้ได้

จะเป็นอย่างไร หากเธอเป็นฝ่ายทำแบบนี้กับพี่พร้อมบ้าง...

แค่คิดถึงเธอก็ขนลุกเกรียวไปทั่วร่าง

อังกูรเห็นคนใต้ร่างนิ่งเงียบไม่ตอบสนองต่อสิ่งใด เขาเลยแกล้งขยับกายในตัวเธออีกครั้ง

“นี่แค่ลูกคนแรก อีกสี่ห้าคนปัณจะไหวเหรอ” คุณสามีหยอกเย้า

ปวีรากลั้นเจ็บจนหน้าแดง แต่ก็เลือกที่ยิ้มจะให้เขาอย่างโง่งมคงคอนเซปต์ภรรยาผู้แสนดี ก่อนจะอุบอิบพูดออกมาอย่างเอียงอาย

“ปัณไหวค่ะ”

ไม่ไหวบอกไหว!

สัญชาตญาณดิบของนักล่าที่ไม่ได้ออกล่าเหยื่อมานานเข้าครอบงำ ทำให้เขาขย้ำและกลืนกินเมียตัวเล็กอย่างหลงใหลมัวเมาจนล่วงเลยเข้าสู่วันใหม่ เวลาตีสามปวีราผล็อยหลับคอพับไปด้วยความอ่อนแรง อังกูรจำต้องยอมจบภารกิจผลิตลูกแต่เพียงเท่านี้ ถึงแม้จะอยากสานต่อซ้ำแล้วซ้ำเล่า 

ก็เมียเขาทั้งหอมหวานและอ่อนนุ่มไปหมดทุกสัดส่วน โดยเฉพาะกลางลำตัว 

ไม่เคยมีครั้งไหนที่เขาอยากจะฝากฝังความเป็นชายไว้ภายในนั้นอย่างไม่มีที่สิ้นสุด เสร็จกิจแล้วก็จบกัน 

ทว่าสำหรับปวีราแล้วลึกซึ้งกว่านั้น... 

เขารักเธอหรือเปล่า...ข้อนี้เขาไม่แน่ใจ 

แต่ที่แน่ๆ เขาไม่เคยไม่ชอบเธอ ไม่ว่าในรูปแบบความสัมพันธ์ไหนก็ตาม ไม่ว่าเธอจะเป็นน้อง หรือว่าจะกลายมาเป็นเมียเหมือนในตอนนี้  

เขาชอบการที่มีเธอในอ้อมกอด ทั้งยังเพิ่งค้นพบว่าการจูบไม่ได้น่ารังเกียจและสกปรกอย่างที่คิด 

ความรู้สึกนี้เรียกว่าอะไร เขาเชื่อว่ายังมีเวลาค้นหาคำตอบอีกทั้งชีวิต 

หญิงสาวคงเหนื่อยกับการกระทำที่เอาแต่ใจของเขาไม่น้อย เห็นได้ชัดว่าหน้าเธอค่อนข้างซีดขาว ครั้งหน้าเขาควรจะเบามือกับเธอมากกว่านี้ 

อังกูรลูบปอยผมที่หล่นลงมาปรกเสี้ยวหน้าหวานซึ่งฉายชัดถึงความอ่อนเพลียเบาๆ ไอร้อนผะผ่าวพลันแล่นเข้าสู่นิ้วมือเรียวแกร่ง ไวเท่าความคิด ร่างสูงผุดลุกขึ้นนั่งด้วยความร้อนใจ วางหลังมือบนหน้าผากมน ก่อนจะสัมผัสถึงความร้อนราวกับไฟ ทำให้ใจแกร่งร้อนรนอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน 

เขาเปิดตู้เสื้อผ้าฉวยเสื้อและกางเกงนอนมาใส่ลวกๆ แล้วช้อนร่างบางในชุดนอนกระโปรงขึ้นแนบอก ปากก็ตะโกนเรียกสาวใช้ลั่น

“แจ๋น! แจ๋นอยู่หรือเปล่า”

“ค่าคุณพร้อม มีอะไรหรือเปล่าคะ” แจ๋นถือแปรงสีฟันวิ่งมาหน้าตาตื่นทั้งที่ขี้ตายังเกาะขอบตา เห็นได้ชัดว่ายังไม่อาบน้ำ

“เปิดบ้านที ฉันจะพาคุณปัณไปโรงพยาบาล”

“คุณปัณไม่สบายเหรอคะ!” เห็นท่าทางร้อนรนและใบหน้าอันซีดเซียวของคนในอ้อมแขนเจ้านาย แจ๋นก็รีบวิ่งไปปฏิบัติตามคำสั่งด้วยความห่วงใยนายสาวไม่แพ้กัน จากนั้นอังกูรก็บึ่งรถไปโรงพยาบาลอย่างรวดเร็วผิดวิสัยคนใจเย็นเป็นแม่น้ำอย่างยิ่ง


ในห้วงฝันที่มีหมอกสีขาวล้อมรอบกาย ปวีรารู้สึกราวกับตัวเองลอยวูบไปมากลางอากาศ โสตประสาทคล้ายได้ยินเสียงเรียกชื่อตัวเองอย่างร้อนรนมาจากดินแดนอันไกลโพ้น

“ปัณ! ได้ยินพี่หรือเปล่า น้องโอเคไหม”

“อือ...” 

ด้วยความสงสารคนรอคอย นาทีนั้นเธออยากลืมตาตื่น ทว่าเปลือกตาหนักอึ้งกลับไม่ให้ความร่วมมือเลย หญิงสาวไม่มีเรี่ยวแรงจะเปิดเปลือกตา มิหนำซ้ำเนื้อตัวเหมือนถูกบางอย่างที่หนักกดทับจนปวดเมื่อยไปหมดทั้งตัว เธอจึงไม่อาจฝืนตัวเองภายในห้องพักผู้ป่วยของโรงพยาบาลเอกชนชื่อดังที่ตกแต่งอย่างหรูหรา มีการแยกพื้นที่ของห้องผู้ป่วยและห้องนั่งเล่นเป็นสัดส่วน เรียกได้ว่าสะดวกสบายและกว้างขวางไม่ต่างกับการนอนพักในโรงแรมหรูระดับห้าดาว แต่ผู้คนซึ่งอัดแน่นอยู่ในนั้นไม่มีใครมีแก่ใจจะชื่นชมความสวยงาม โดยเฉพาะคนเป็นสามี

ข่าวสามีหามภรรยาหมาดๆ เข้าโรงพยาบาลอย่างกะทันหันกระจายถึงสองบ้านอย่างรวดเร็ว ทันทีที่พระอาทิตย์แตะขอบฟ้าสมาชิกสองบ้านต่างก็พากันแห่มายืนล้อมรอบเตียงคนป่วย ไม่ทันข้ามวัน ห้องครัวขนาดย่อมในห้องพักวีไอพีก็เต็มไปด้วยอาหารชนิดอ่อน ผลไม้ และของบำรุงมากมาย

สองแฝดที่ตื๊อจะมาเยี่ยมอาปัณให้ได้ก็นอนดูทีวีอยู่ในห้องนั่งเล่น ส่วนผู้สูงวัยอย่างท่านพิพัฒน์กับคุณหญิงรำไพเพิ่งยอมกลับไปเมื่อครู่ โดยสั่งการไว้ว่าหากปวีราได้สติให้รีบโทร. แจ้งข่าวทันที ก่อนออกจากห้องก็ไม่วายกระแอมเสียงพลางกำชับกับหลานชายว่าถึงท่านจะอยากได้หลานแค่ไหน ก็ขอให้เพลาๆ มือกับหลานคนโปรดหน่อย 

ใบหูของคนฟังแดงก่ำ เพราะที่ปู่พูดมาไม่ผิดจากความเป็นจริงเลยแม้แต่น้อย เขาหักโหมกับเธอมากไปจริงๆ

อังกูรยังอยู่ในชุดนอนอย่างเสื้อยืดกางเกงผ้าสวมสบาย กระนั้นเขาก็ยังดูดีเสมอ ชายหนุ่มกุมมือเจ้าของร่างบอบบางในชุดผู้ป่วยสีสะอาดตาที่นอนซมบนเตียง หน้าตาเคร่งเครียดยิ่งกว่าประชุมสำคัญครั้งใด โดยมีเพื่อนสนิทพ่วงตำแหน่งพี่เขยตบบ่าปลอบใจอยู่ข้างๆ 

“อย่าเครียดไปเลยมึง เดี๋ยวยายน้องก็ฟื้น หมอบอกแล้วว่าไม่ได้เป็นอะไรมาก ไม่มีอะไรต้องกังวล” ปรานต์เองก็ห่วงน้องสาวไม่แพ้กัน แต่ห่วงคนที่สภาพเหมือนคนไม่ได้นอนมาทั้งคืนมากกว่า ไล่ให้กลับบ้านไปพักผ่อนก็ไม่ยอมไป เรียกว่าไม่ยอมขยับตัวไปไหนเลยดีกว่า เพราะเจ้าตัวยืนยันว่าจะอยู่เฝ้าภรรยาด้วยตัวเอง 

เนื่องจากปวีราเข้าออกโรงพยาบาลบ่อยพอๆ กับการไปเดินเล่นห้างสรรพสินค้าหรือเที่ยวต่างประเทศ สมาชิกของบ้านวัฒนานนท์จึงค่อนข้างชินชากับสถานการณ์เช่นนี้ ต่างจากอังกูรที่เพิ่งเจอเหตุการณ์นี้เป็นครั้งแรก 

ปกติปรานต์คิดว่าอังกูรฉลาดมาตลอด แต่ไหนแต่ไรมาเพื่อนเขาไม่เคยสูญเสียการควบคุมต่อสิ่งใดมาก่อน จนกระทั่งครั้งนี้... ดูจากท่าทางร้อนรนจนนั่งไม่ติดของเพื่อนรัก เจ้าน้องเขยป้ายแดงคงหลงกลน้องสาวเขาเข้าแล้ว 

ยายน้องไปร่ายมนตร์ดำอีท่าไหนวะ! มันถึงได้เป็นเอามากขนาดนี้ 

“ใช่จ้ะตาพร้อม ได้นอนพักอีกสักเดี๋ยวลูกปัณก็ฟื้น แม่ว่าพร้อมไปทานข้าวก่อนดีไหมลูก นั่งแบบนี้มาตั้งแต่เช้าแล้ว เดี๋ยวล้มหมอนนอนเสื่อไปอีกคนจะแย่” แม่ยายแสดงความห่วงใยต่อลูกเขยคนโปรด ตั้งแต่เข้ามาในห้องพักฟื้น นางเห็นอังกูรเอาแต่จ้องไปที่บุตรสาว น้ำสักหยดก็ไม่ยอมแตะ 

เห็นแล้วคนเป็นแม่ก็อดปลื้มใจไม่ได้ นับว่าเลือกคนไม่ผิด ไม่เสียแรงที่รักและเอ็นดูไม่ต่างจากลูกแท้ๆ มาตั้งแต่เด็ก ตาพร้อมของนางช่างแสนดีอะไรอย่างนี้ ปลื้มใจแทนลูกปัณเสียจริงที่มีสามีห่วงใยเช่นนี้ 

 “ไม่เป็นไรครับคุณแม่ พร้อมจะรอทานกับน้อง”

“โธ่ พ่อคุณทูนหัวของแม่” น้ำเสียงไม่สู้ดีของลูกเขยทำเอาคนเป็นแม่ยายปลื้มแล้วปลื้มอีก นางหันไปสบตากับสามีที่เผยความรู้สึกผ่านแววตาไม่ต่างกัน อังกูรนั้นช่างเพียบพร้อมไปหมดทั้งหน้าตา ฐานะ และชาติตระกูล ลูกปัณของนางช่างโชคดีเป็นหนักหนา 

ผ่านไปวันครึ่ง ปวีราก็ยังคงนอนหลับใหลไม่ได้สติ อังกูรทำตัวเสียมารยาทด้วยการเรียกนายแพทย์ประจำตัวมาสอบถามอาการของภรรยาถึงสองครั้งสองครา ลุงหมอเพียงแต่ยิ้มพลางตอบอย่างใจเย็นว่าเดี๋ยวก็ฟื้น อาการเธอไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง แค่นอนหลับเท่านั้น

แค่หลับงั้นหรือ...

ตั้งแต่เกิดมาเขาไม่เคยพบเจอใครที่หลับมาราธอนอย่างเมียเขามาก่อน แต่ในเมื่อคนเป็นหมอยืนยันหนักแน่น เขาก็ทำได้เพียงแค่รอให้เธอตื่นขึ้นมา 

ราวบ่ายสองโมงโทรศัพท์เครื่องบางเฉียบของภรรยาก็มีเสียงเรียกเข้า เป็นชลิดานั่นเองที่โทร. มา หญิงสาวกำลังจะขึ้นเครื่องไปประชุมที่สิงคโปร์กับบิดา เจ้าตัวพูดพร่ำถามคำถามเขาเสียยาว อีกทั้งอังกูรยังได้ยินเสียงเธอทะเลาะกับบิดาเชิงว่าจะยกเลิกนัดเพื่อมาหาเพื่อนสนิทที่โรงพยาบาล เขาจึงปลอบใจแกมขู่ว่าเพื่อนรักเธอปลอดภัยดี และสัญญาว่าจะดูแลปวีราอย่างดี เจ้าหล่อนจึงยอมรามือและวางสายไป 

ชายหนุ่มส่ายหัว ไม่รู้ว่าปวีราโชคดีหรือโชคร้ายกันแน่ที่มีเพื่อนแบบนี้ 

พระอาทิตย์ใกล้ตกดิน ญาติสนิทส่วนใหญ่ทยอยกลับบ้านไปหมดแล้ว เหลือเพียงผู้เป็นสามีและสาวใช้ประจำตัวอย่างแจ๋นอยู่ใกล้ๆ คอยรับใช้ผู้เป็นนายร่างบางบนเตียงซึ่งยังคงนอนแน่นิ่ง 

เธอพลิกเปลี่ยนท่านอนน้อยครั้ง ท่าทางเหมือนคนหลับลึก เป็นผู้หญิงที่นอนเรียบร้อยที่สุดเท่าที่เขาเคยเจอมา สายตาคมคร้ามแฝงแววเครียดขรึมจดจ่ออยู่ที่ดวงหน้าอ่อนละมุนซึ่งแดงก่ำด้วยพิษไข้สลับกับแท็บเล็ตเครื่องบางในมือ

เขาไม่ได้อ่านรายงานที่นุชนาถส่งมา แต่ใช้เวลาไปกับการอ่านบทวิเคราะห์ทางวิชาการเรื่องการนอนหลับพลันนึกสงสัยว่ากิจวัตรตามปกติภรรยาของเขาตื่นนอนกี่โมง ที่แน่ๆ เธอเป็นคนขี้เซาและหลับลึกมาก 

ตอนเด็กๆ จำได้ว่าเธอชอบนอนกลางวัน ต่างกับเปรมวราที่ร้องไห้จ้าตอนเขาบอกว่าได้เวลานอนกลางวันแล้ว ส่วนภรรยาเขารีบกุลีกุจอไปเอาหมอนและเงี่ยหูรอให้เขาเล่นนิทานยามบ่ายให้ฟัง 

หรือนั่นจะส่งผลมาถึงปัจจุบัน?

มือเรียวใต้ฝ่ามือหนาคล้ายขยับเบาๆ อังกูรเงยหน้าหล่อเหลาขึ้นมองอย่างจับสังเกตประสาคนรู้สึกตัวไว พบว่าเปลือกตาซึ่งปิดนิ่งสนิทมาหลายชั่วยามเริ่มขยับเขยื้อน เขาลุ้นให้เธอตื่นยิ่งกว่าอัตราการเติบโตของตลาดหลักทรัพย์เช้านี้ 

แสงสีขาวนวลวิบวับผ่านเข้ามาในม่านตา ปวีราค่อยๆ เปิดเปลือกตาหนักอึ้งขึ้นอย่างเชื่องช้า เธอกลอกตามองไปโดยรอบ 

เพดานสีขาว สัญลักษณ์โรงพยาบาลอันแสนคุ้นเคย สถานที่เช็กอินยอดฮิตของคุณหนูปวีรา วัฒนานนท์

บัดซบ! นี่เธอเข้าโรงพยาบาลอีกแล้วหรือนี่ 

หญิงสาวมึนหัวจนต้องหลับตาแล้วลืมขึ้นมาใหม่ สมองพยายามคิดทบทวนไปถึงเหตุการณ์ก่อนหน้า จำได้ว่าหลังจากให้ความร่วมมือกับสามีในการปั๊มลูกอย่างขยันขันแข็งกับเขาจนถึงรุ่งสาง เธอก็สลบเหมือดไปเลย 

อนิจจา...ช่างน่าละอายใจเหลือเกิน ปวีราสังเวชใจกับความอ่อนหัดของตัวเองจนไม่กล้าสบตากับสามี

“ปัณฟื้นแล้ว รู้สึกยังไงบ้าง ยังปวดหัวหรือเจ็บตรงไหนอีกหรือเปล่า” เขาถามด้วยความห่วงใย แววตาพี่พร้อมอ่อนล้า เหมือนคนไม่ได้นอนมาทั้งคืนอย่างไรอย่างนั้น 

โถ...พี่พร้อมผู้น่าสงสารของเธอ เขาคงไม่ชินกับสภาพนี้ของเธอสินะ 

ปวีราส่ายหน้าให้เขาคลายความกังวลใจ ความจริงแล้วเธอปวดเมื่อยตัวไปหมด โดยเฉพาะช่วงเอว และตรงส่วนนั้น แต่ใครจะกล้าบอกเขากันล่ะ แค่นี้เธอก็ดูอ่อนปวกเปียกในสายตาเขาจะแย่อยู่แล้ว เกิดเขากลัวเธอเจ็บจนไม่กล้าซ้ำรอย แล้วออกไปกินจุบกินจิบนอกบ้านขึ้นมาจะทำยังไง เธอจะไม่ยอมให้มันเกิดขึ้นเด็ดขาด

เธอไม่ยอมเป็นน้ำพริกถ้วยเก่าหรอกนะ!

เธอต้องยืนหนึ่งในใจเขาตลอดกาล

“ปัณสบายดีทุกอย่าง พี่พร้อมอย่าห่วงไปเลยค่ะ” เธอส่งยิ้มหวาน หวังให้เขาเบาใจ 

“พี่ขอโทษ เป็นความผิดของพี่ที่รุนแรงกับปัณจนเกินไป”

หญิงสาวทั้งสองพากันหน้าแดง โดยเฉพาะแจ๋นที่ถึงกับตาโต หูผึ่งขึ้นมาทันที 

อย่าบอกนะว่า...เสียงร้องอู้อ้าของคุณปัณเมื่อคืน...ข้าวสารกลายเป็นข้าวสุกแล้วสินะ คุณผู้ชายร้ายกาจแท้ๆ ทำเอาคุณปัณสลบเหมือดคาเตียง นี่มันยิ่งกว่าจำเลยรัก หรือซาตานร้ายที่พ่ายแพ้ นิยายโปรดของเธอเสียอีก

คุณพร้อมช่างไม่ธรรมดาจริงๆ! 

“พี่พร้อม แจ๋นก็อยู่ด้วยนะคะ” ปวีราเตือนสติสามีเขินๆ 

สามี...

คำนี้ช่างทำให้รู้สึกจั๊กจี้อย่างบอกไม่ถูก หัวใจสาวฟูฟ่องประหนึ่งดอกไม้ที่บานในยามเช้า ในที่สุดวันนี้ของเธอก็เดินทางมาถึง เธอไม่ต้องแอบรักเขาอีกต่อไป สามารถจีบเขาได้อย่างเปิดเผย อ่อยสามีตัวเองน่ารักจะตาย

“แจ๋นไม่รู้ไม่เห็น ไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้นค่ะ” 

แจ๋นโบกไม้โบกมือพลางสั่นหน้าระรัว อังกูรเอื้อมมือหยิบกระเป๋ามาเปิดออกแล้วฉวยธนบัตรสีเทาส่งให้อีกฝ่ายไปหาอะไรกินข้างนอก เพราะแม่บ้านสาวก็เฝ้าปวีรามานานพอกับเขา เท่านั้นแจ๋นก็หน้าบาน แจ้นออกไปหาอะไรอร่อยๆ กินด้วยความสบายใจ 

พอพ้นสายตาก้างขวางคอ คนตัวโตก็เคลื่อนกายจากเก้าอี้ขึ้นมานั่งบนเตียงขนาดนอนคนเดียว แต่เพราะปวีราตัวเล็กจึงมีเนื้อที่เหลือค่อนข้างเยอะ หญิงสาวขยับตัวมานั่งห้อยขา อังกูรจึงถือวิสาสะตามขึ้นมาบนเตียง เขาโอบกอดเธอไว้หลวมๆ อยากจะขอโทษสักร้อยสักพันครั้ง แต่ก็รู้ว่าคงไม่พอ 

สองแขนเรียวโผกอดลำคอหนาแล้วซุกหน้ากับอกอุ่น แล้วถูหัวทุยราวกับแมวน้อยอ้อนเจ้าของ หลับไปหลายชั่วโมง คิดถึงเขาจะแย่ 

ปวีราแหงนมองเขาอย่างเพ้อๆ สามีใครหนอ ขนาดโทรมยังหล่อขนาดนี้

สามีเธอไงล่ะ!

หญิงสาวเชิดอกอยู่ในใจ ขืนทำต่อหน้า เขาก็ได้หาว่าเธอบ้าน่ะสิ

อังกูรลูบหัวทุยของคนช่างอ้อนไปมาราวกับปลอบขวัญ

“ขวัญเอ๋ยขวัญมา ปัณยังเจ็บตรงนั้นอยู่ไหม” 

ปวีราฟุบกับอกหนา เขินจนหน้าไหม้ คำถามเขาจะตรงทื่อไปไหน

“ยังชาอยู่นิดๆ ค่ะ เดี๋ยวก็คงดีขึ้น” ข้าวหลามออร์แกนิกของเขาออกจะใหญ่ปานนั้น

“เมื่อคืนพี่ตกใจแทบแย่ ปัณตัวร้อนเป็นไฟ หน้าก็ซีดชื้นเหงื่อไปหมด” 

เสียงเขายังเจือความกังวลอยู่เล็กๆ ปวีรารีบโอบเอวปลอบใจร่างหนา หวังว่าอีกหน่อยเขาคงจะชินกับโรคสำออยเข้าๆ ออกๆ โรงพยาบาลของเธอ

“เดี๋ยวอีกหน่อยพี่พร้อมก็ชิน อย่าตกใจไปเลยนะคะ ปัณจะพยายามทำตัวให้แข็งแรง”

“อาการเจ็บป่วยมันบังคับกันได้ที่ไหน ปัณจะแข็งแรงขึ้นได้ยังไงถ้าไม่ออกกำลังกาย” 

คิ้วหนาขมวดเป็นปม นัยน์ตาสีนิลฉายแววเคร่งเครียดจริงจัง ปวีราเห็นอย่างนั้นก็ผงกศีรษะจูบคางเขาเป็นการปลอบขวัญ เดาว่าสภาพเธอก่อนเข้าโรงพยาบาลคงทำเขาตกใจไม่น้อย

“ปัณโอเคขึ้นมากแล้วค่ะ ลุงหมอบอกว่าไงบ้างคะ”

“ลุงหมอบอกว่าปัณเป็นแค่ไข้หวัดธรรมดา แต่ร่างกายค่อนข้างอ่อนแรง เลยให้แอดมิตอีกคืน”

ปวีราผงกหัวกับคำบอกเล่า ไม่แปลกใจกับคำวินิจฉัยของนายแพทย์ประจำตระกูล เธอซบเขานิ่ง ซึมซับเอาความอบอุ่นจนพอใจแล้วจึงทำท่าจะผละออก ด้วยกลัวเขาจะล้มป่วยไปอีกคน

ระหว่างนั้นก็ได้ยินเสียงแปลกปลอมดังครืดคราดลอยมากระทบหู ดูเหมือนจะมาจากคนที่เฝ้าเธออย่างใกล้ชิดมาทั้งวัน

“นี่พี่พร้อมยังไม่ได้ทานข้าวเที่ยงอีกเหรอคะ” 

อย่าว่าแต่ข้าวเที่ยง แม้แต่ข้าวเช้าคนตัวสูงก็ไม่ได้แตะเลยสักคำ

“ยังครับ เมียนอนสลบอยู่ พี่มีแก่ใจกินเสียที่ไหน”

ฟังถ้อยคำแล้วดีต่อใจ ก้อนเนื้อข้างซ้ายแทบจะละลายกลายเป็นคาราเมลอุ่นๆ พี่พร้อมช่างเป็นสามีดีเด่นอะไรอย่างนี้ ห่วงเธอจนไม่เป็นอันกินข้าวกินปลา 

“ปัณหิวข้าวแล้ว เรากินข้าวกันนะคะ” 

เธอทำเสียงงุ้งงิ้งเหมือนยุงบิน อังกูรรับรู้ได้ทันทีว่าเธอกำลังปลาบปลื้มกับคำพูดเขาอยู่

ปวีราคนเดิมกลับมาแล้วสินะ

“แล้วอยากกินอะไร พี่จะให้ชิตพลไปหาซื้อมาให้” เดาว่าเธอคงไม่อยากกินอาหารคนป่วยที่โรงพยาบาลจัดมาให้ 

“ปัณแล้วแต่พี่พร้อมค่ะ...แต่ถ้าได้ข้าวต้มปลาก็คงดี” บอกเขาไม่เต็มปาก คล้ายกับเกรงใจ ไม่อยากให้เขาต้องยุ่งยากใจ 

หนึ่ง...

สอง...

สาม...

“งั้นเรากินข้าวต้มปลาร้าน...แถว...กันไหม”

พลาดเสียที่ไหน!

“ปัณตามใจพี่พร้อมค่ะ ของปัณไม่ใส่ผักไม่ใส่ขิง ส่วนของพี่พร้อมใส่ผักกับขิงเยอะๆ ปัณรู้ว่าพี่พร้อมชอบ” มุมปากบางยกยิ้มเอาใจ

อังกูรขยี้ผมยุ่งเหยิงของคนเจ้าเล่ห์อย่างระอาใจ เพื่อนบางคนบ่นว่ามีเมียไม่ต่างกับมีแม่คนที่สอง ทั้งขี้บ่นและเอาใจยาก แต่สำหรับเขามีเมียก็ไม่ต่างกับมีลูก ทั้งขี้อ้อนและน่ารัก นิสัยเด็กน้อยของเธอทำให้ชีวิตเขามีสีสันอย่างบอกไม่ถูก

ด้วยความประสงค์ของเจ้านายทั้งสอง ชิตพลจึงต้องถ่อไปจองคิวต่อแถวซื้อข้าวต้มปลากะพงถึงย่านสตรีตฟูดที่มีผู้คนและนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติพลุกพล่านเต็มสองข้างทาง เดชะบุญที่ร้านเพิ่งเปิดและรอคิวไม่นานนัก ไม่ถึงสองชั่วโมงลูกน้องผู้รู้ใจเจ้านายจึงกลับมาพร้อมกับข้าวต้มปลาหอมฉุย 

แจ๋นซึ่งกลับมาพอดีจัดการเทข้าวต้มสองถุงลงชาม จากนั้นก็ยกมาวางบนโต๊ะคร่อมเตียงสำหรับผู้ป่วย ข้าวต้มปลาเจ้าดังส่งกลิ่นหอมหวนชวนรับประทานจนปวีราแอบน้ำลายสอ เธอหิวจนตาลายไปหมดแล้ว

“หอมน่ากินจังเลยนะคะ” ดวงตากลมโตเปล่งประกายเสมอยามเจอของถูกใจ 

“ปัณกินเองไหวหรือเปล่า ให้พี่ป้อนมั้ย” เพราะทำผิดกับเธอไว้เยอะ อังกูรจึงอยากจะชดเชยด้วยการดูแลคนตัวเล็กให้สะดวกสบายได้มากที่สุด 

ถ้าไม่เห็นแก่สภาพอ่อนเพลียของคนที่เฝ้าเธอมาหลายชั่วโมง ปวีราก็อยากใช้มารยาออดอ้อนให้เขาป้อนอยู่หรอก

อันที่จริงอาการป่วยของเธอก็ไม่ได้มาจากเขาคนเดียว มันสะสมมาตั้งแต่ก่อนจัดงานแต่งแล้ว อีกอย่างเมื่อคืนถึงเธอจะเจ็บ แต่ก็ไม่ได้ร้ายแรงปางตายอะไรขนาดนั้น เธอชอบด้วยซ้ำที่เขาทำแบบนั้นกับเธอ บทเรียนรักจากพี่พร้อมทำให้เธอแทบสำลักความสุขตาย เธอรู้แล้วว่าทำไมนางเอกในละครถึงต้องแกล้งทำตัวง่อย อ่อนแออยู่บ่อยๆ   

เป็นอย่างนี้ก็ดี พี่พร้อมจะได้ตามใจเธอมากๆ 

“ไหวค่ะ พี่พร้อมก็กินด้วยกันนะคะ”

“อืม ปัณก็กินเยอะๆ ล่ะ จะได้มีแรง”

คุณสามีไม่วายกำชับด้วยความห่วงใย ก่อนจะลงมือจัดการอาหารของตัวเองบ้าง เนื่องจากไม่มีอะไรตกถึงท้องมาตั้งแต่เช้าแล้วเหมือนกัน

ปวีราลอบมองสามี เธอไม่รู้ว่าการเริ่มต้นเช้าวันแรกในการใช้ชีวิตคู่ของสามีภรรยาคู่อื่นเป็นอย่างไร แต่มื้อแรกของพวกเธอในห้องพิเศษของโรงพยาบาลก็ไม่เลวเหมือนกัน เธอเพิ่งรู้ว่านอกเหนือจากครอบครัว การที่มีใครมาคอยดูแลทุกข์สุขห่วงใยกันมันดีถึงเพียงนี้ 

หลังจากรับประทานอาหารกันเรียบร้อยก็ได้เวลากินยา ปวีราไม่มีอาการต่อต้านแต่อย่างใด เธอกลืนยาลงคออย่างว่าง่าย เพราะอยากออกจากโรงพยาบาลเต็มทน 

ระหว่างนอนดูซีรีส์เกาหลีกับสามี พยาบาลสาวก็เข้ามาวัดไข้อีกครั้ง ก่อนจะแจ้งข่าวดีว่าอุณหภูมิลดลงจนเกือบหายเป็นปกติ พรุ่งนี้เช้าถ้าไม่มีอาการอะไรก็กลับบ้านได้ เท่านั้นคนป่วยก็คลี่ยิ้มหวานเหมือนโลกทั้งใบกลายเป็นสีชมพู 

“พี่พร้อม ปัณอยากอาบน้ำ” ปวีราบอกเขาเสียงฉอเลาะ ตอนนี้รู้สึกเหนียวตัวจนทนไม่ไหว อยากเอาตัวไปแช่น้ำอุ่นๆ เต็มทน

“เดี๋ยวพี่อาบให้”

เขาเอ่ยอาสาเสียงขรึม แต่ดวงตาฉายชัดถึงความปรารถนาอันซ่อนอยู่ภายใน ส่งผลให้ผิวแก้มเนียนใสร้อนฉ่า ทุกฉากทุกตอน และทุกท่ายังคงแจ่มชัดอยู่ในหัวราวกับภาพฉายซ้ำวนไปมา 

แค่คิดถึงเหตุการณ์เมื่อคืน ความรู้สึกหวามไหวระคนซ่านเสียวก็ขมวดเป็นเกลียวอยู่ในท้องน้อย

ร่างสูงเข้ามาประคองคนป่วยเข้าไปในห้องน้ำของโรงพยาบาลซึ่งทำความสะอาดอย่างดีเยี่ยม ผิวกายเปลือยเปล่าจากการถูกลอกคราบสัมผัสกับความเย็นชื้น แน่นอนว่าอังกูรไม่ปล่อยเธอเสียเปรียบอยู่ฝ่ายเดียว คุณสามีถอดเสื้อผ้าของตัวเองออก ก่อนจะโอบเอวคอดให้ร่างน้อยมาพิงแผ่นอกหนา สายน้ำอุ่นละมุนรินรดกายบาง มือหนาขัดถูทุกซอกทุกมุมราวกับเธอเป็นเด็กทารก อดไม่ได้ที่จะจูบเธอเบาๆ คาดไม่ถึงว่าคนตัวเล็กจะจูบตอบ 

ทว่าเมื่อสบตากับเจ้าของใบหน้าแดงก่ำด้วยพิษไข้ เขาก็ทำอะไรเธอไม่ลง อังกูรพยายามหักห้ามใจ ไม่แตะต้องเธอตามใจปรารถนา ร่างบางจึงถูกห่อด้วยผ้าขนหนูผืนหนา สวมทับด้วยเสื้อคลุมอาบน้ำอีกหนึ่งชั้น สุดท้ายเขาก็ไล่ให้เธอไปรอด้านนอก

ปวีราพยักหน้าว่าง่าย ทว่าพอพ้นหลังเขาก็ทำหน้างออย่างไม่สบอารมณ์

พี่พร้อมนะพี่พร้อม ไม่ได้ดั่งใจเมียเลยจริงๆ!

“ไหว้พระก่อนนอนสักหน่อย ปัณจะได้หลับฝันดี”

แค่นั้นยังไม่พอ หลังจากสวมชุดนอนเขาก็ออกปากชวนเธอไหว้พระสวดมนต์ เป็นเพราะเมื่อคืนเธอกับเขามัวแต่หมกมุ่นในกามารมณ์ เลยลืมสิ้นถึงรสพระธรรม 

อังกูรเคยบวชเรียนมาก่อนจึงสวดมนต์ได้อย่างคล่องแคล่ว ส่วนฝ่ายมารอย่างเธอน่ะหรือ...ปวีราได้แต่พึมพำตามกระท่อนกระแท่น พลางคร่ำครวญอยู่ในอก

คืนนี้อังกูรจัดชุดใหญ่ยกบทสวดมาหลายบท และตบท้ายด้วยการชวนนั่งสมาธิต่ออีกสิบห้านาที ไม่ทันถึงสิบนาที ร่างบางซึ่งหลับตาอยู่ในท่านั่งขัดสมาธิก็เอนเอียงไปมา ก่อนจะคอพับเข้าเฝ้าพระอินทร์ไปในที่สุดจนถึงเช้าวันต่อมา 

‘ปัณเก่งกว่าพี่ นั่งสมาธิจนถึงเช้า’

คำชมแกมล้อเลียนทำเอาปวีราแทบอยากจะมุดช่องคลอดมารดากลับไปเกิดใหม่เป็นคนสวยรวยธรรมะให้รู้แล้วรู้รอด เพราะเมื่อคืนเธอเผลอหลับกลางอากาศ โดยมีน้ำลายเยิ้มมุมปากเป็นพยาน 

ภาพลักษณ์เธอในสายตาสามีติดลบจนป่นปี้ไปหมดแล้ว... 

“พี่พร้อมอย่าล้อปัณสิคะ ก็เมื่อคืนปัณทั้งง่วงทั้งเพลีย” เธอมีอาการเหมือนคนเจ็ตแล็ก มึนๆ งงๆ คิดอะไรไม่ออกก็นอนไว้ก่อน 

“พี่เข้าใจครับ”

เข้าใจแล้วทำไมต้องทำหน้าล้อเลียนเธอไม่เลิกด้วยเล่า คนนิสัยไม่ดี!

คุณหมอเข้ามาตรวจอาการปวีราอีกครั้ง จากนั้นก็สร้างความตื่นเต้นดีใจให้คนป่วยด้วยการอนุญาตให้กลับบ้านได้ 

ปวีราดีใจออกนอกหน้าแล้วบอกลาสถานที่คุ้นเคยด้วยรอยยิ้ม หวังว่าจะไม่พบกันอีกเร็วๆ นี้


ทันทีที่สองสามีภรรยากลับมาถึงบ้าน ไลก้ากับทิปปี้ก็กระโจนเข้าใส่พ่อแม่ในร่างมนุษย์ด้วยความดีใจ หลังจากงงงวยว่าคู่แต่งงานใหม่หายไปไหนกันมาทั้งวันทั้งคืน 

ทิปปี้น่ารักกับปวีรามากขึ้น เจ้าเหมียวยอมให้เธอกอดและลูบหัว ไม่รู้เพราะอังกูรมองอยู่หรือสงสารเธอกันแน่ ส่วนชายหนุ่มก็ปล่อยให้เธอหยอกเย้ากับลูกๆ ครู่ใหญ่ รอกระทั่งแจ๋นจัดโต๊ะอาหารเสร็จค่อยชวนเธอไปกินข้าวเช้าด้วยกัน 

“พี่คิดว่าปัณควรต้องออกกำลังกายอย่างจริงจัง” 

มือที่กำลังจะหยิบปาท่องโก๋ทอดกรอบเข้าปากกินเป็นชิ้นที่สี่เกิดอาการชะงัก นิ้วเรียวสวยชี้เข้าหาตัว 

“ปัณเนี่ยนะคะ”

“ใช่ ปัณไม่รู้สึกอย่างนั้นเหรอ” อังกูรเอ่ยก่อนจะยกแก้วกาแฟดำขึ้นจิบ 

เป็นครั้งแรกที่ปวีรารู้สึกว่าพี่พร้อมกำลังทำหน้าดุใส่เธออย่างจริงจัง

“แต่ปัณไม่ได้อ้วนนะคะ” เธอก้มมองหน้าท้องตัวเอง หรือว่าเธออ้วนโดยไม่รู้ตัว? มือบางลูบหน้าท้องตัวเองไปมา ก็ไม่นี่นา แต่พอเขาพูดก็ชักไม่มั่นใจขึ้นมา 

“พี่ไม่ได้ว่าปัณอ้วน แต่อยากให้ปัณออกกำลังกายเพื่อสุขภาพ ปัณจะได้ไม่ต้องเข้าโรงพยาบาลบ่อยๆ ไม่ดีหรือ”

เขาแอบไปคุยกับหมอประจำตัวเธอมาเรียบร้อยแล้ว การที่ปวีราป่วยจนต้องแอดมิตเข้าโรงพยาบาลบ่อยครั้ง ส่วนหนึ่งเป็นเพราะเธอไม่ทำตามคำแนะนำของหมอ ไม่ยอมออกกำลังกาย ไม่กินผักทุกชนิด แถมของโปรดของเธอคือชานมไข่มุก ไก่ทอด และของหวานทุกชนิด แล้วอย่างนี้จะมีสุขภาพที่ดีได้อย่างไร 

“แต่ปัณวิ่งไม่เก่ง” 

คนขี้เกียจออกกำลังกายพยายามหาเหตุผลมาคัดค้าน แต่ดูเหมือนจะไม่เข้าหูคนฟัง 

เขาไม่ได้สั่งให้เธอไปวิ่งเสียหน่อย การออกกำลังกายมีหลากหลายวิธี แต่ดูเหมือนปวีราจะไม่เข้าใจ เห็นทีเขาต้องเปิดโลกใบใหม่ให้เธอยล  

“พรุ่งนี้พี่มีนัดเล่นสควอชกับเพื่อน พี่ว่าจะพาปัณไปด้วย” เขาเอ่ยชวนแกมบังคับ

ปวีราทำหน้าเหมือนถูกบังคับให้กินผักสดสักสิบกิโลก็ไม่ปาน 

“แต่พี่พร้อมจะไปสนุกกับเพื่อน พาปัณไปด้วยจะเกะกะเป็นภาระเปล่าๆ นะคะ ปัณอยู่บ้านได้ค่ะ อีกอย่างการพาทิปปี้กับไลก้าไปเดินเล่นในสวนก็เป็นการออกกำลังกายเหมือนกัน” ภรรยาผู้เกียจคร้านยกข้ออ้างมาสารพัดสารเพ

“ไม่เกะกะหรอก ปัณจำแพตตี้กับนานาได้หรือเปล่า” เขาเอ่ยถึงภรรยาของเพื่อนซึ่งเป็นดาราชื่อดังที่โลดแล่นอยู่ในวงการมาหลายสิบปี จนตอนนี้ก็ยังโด่งดังเป็นดาวค้างฟ้า สองสาวมีกิจการที่ทำร่วมกันคือ เป็นเจ้าของเสื้อผ้าแบรนด์ดังที่มียอดขายสูงไม่แพ้แบรนด์หรูจากต่างประเทศ 

ปวีราพยักหน้าหงึกๆ ทำไมจะจำไม่ได้ล่ะ ทั้งสองเป็นดาราดังที่มาร่วมงานแต่งเธอไงล่ะ ภารตายังเข้ามาทักทายอวยพรเธออยู่เลย ท่าทางเป็นคนอัธยาศัยดีไม่น้อย อย่างน้อยก็ไม่หยิ่งเหมือนดาราที่เธอเคยพบปะตามงานในวงสังคม 

“แพตตี้เป็นเมียไอ้รบ เจ้าของบริษัทผลิตภัณฑ์ที่พี่ใช้กับเราเมื่อคืนก่อน ส่วนนานาเป็นเมียไอ้ต้น เจ้าของโรงเรียนนานาชาติที่สองแฝดเรียนอยู่ สองคนนั้นก็ไปด้วย เพราะฉะนั้นปัณไม่ต้องกลัวเหงา พี่สแกนให้แล้ว สองคนนี้คบได้ ถึงจะอายุแก่กว่าปัณนิดหน่อยก็เถอะ”

ปัณไม่ได้กลัวเหงา แต่ปัณตื่นไม่ไหว ปัณขี้เกียจ ไม่ไปไม่ได้เหรอ... 

ปวีราอยากแกล้งตายขึ้นมากะทันหัน ให้เธอไปออกกำลังกาย ขอยอมตายเสียดีกว่า 

“พี่พร้อม แต่ปัณไม่...” คนตัวเล็กทำตาปริบๆ หวังอ้อนให้เขาใจอ่อน 

แต่ดูเหมือนจะไม่ได้ผล...

อังกูรส่ายหน้า ครั้งนี้เขายอมไม่ได้จริงๆ เธอต้องหัดมีวินัยในเรื่องการดูแลสุขภาพตัวเองเสียบ้าง ไม่ใช่เพื่อใคร แต่เพื่อตัวเธอเอง 

“เริ่มเล่นกี่โมงเหรอคะ” สุดท้ายปวีราก็ได้แต่ถามเขาเสียงหงอย 

อังกูรหัวเราะฮึในลำคอ มือหนาเอื้อมไปขยี้หัวคนขี้เกียจอย่างหมั่นไส้ คิดว่ารู้เหตุผลที่เธอไม่อยากไปแล้ว 

ไม่อยากตื่นเช้าละสิ

แต่น้องน้อยสบายมานานไปแล้ว ถึงเวลาต้องดัดนิสัยเด็กแอบดื้อเสียบ้าง

เขาแสร้งทำหน้าขรึม ปรายตามองเมียที่อ้าปากเคี้ยวปาท่องโก๋เหมือนคนหมดอาลัยตายอยากด้วยความขำขัน 

“ปกติพี่เริ่มวอร์มตอนหกโมง แต่เห็นแก่ปัณที่เพิ่งฟื้นไข้ พี่ไม่อยากให้หักโหมมากนัก ออกจากบ้านสักเจ็ดโมงก็แล้วกัน”

เจ็ดโมงเช้า!? คุณพระคุณเจ้าช่วย!

ดวงตากลมโตเบิกกว้าง กลีบปากสีหวานเผยอค้างอย่างตะลึงพรึงเพริด ทว่าพอสามีหันมา เธอก็หุบปากฉับ ยิ้มแหยถามเขาเสียงอ่อยๆ

“มันจะไม่เช้าไปเหรอคะ ปัณกลัวพี่พร้อมจะเหนื่อย”

“พระอาทิตย์ขึ้นก็ไม่เช้าแล้วครับคนสวย เอาน่า ไปลองดูก่อน ถ้าไม่เวิร์ก ปัณจะเปลี่ยนไปลองเรียนเทนนิสหรือไม่ก็เรียนเต้นแบบยายพริ้งก็ได้ พี่ไม่บังคับเราอยู่แล้ว พี่หวังดีกับเรานะรู้ไหม พอปัณแข็งแรง เราจะได้มีเจ้าตัวเล็กให้ปู่ไง ไม่ดีเหรอ”

เขาออกปากมาเสียขนาดนี้แล้วเธอจะทำอะไรได้ นอกจากรับปากเขาอย่างจ๋องๆ 

“ดีค่ะ” อะไรที่พี่ว่าดี น้องก็ว่าดี 

อังกูรลอบยิ้มสมใจ เวลาเธอทำหน้าหงอยนี่... 

โคตรจะน่ารัก!

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น