บทที่ ๗

บทที่ ๗

หญิงปริศนายามวิกาล

 

หลังมื้ออาหาร บุรฉัตรขอตัวขึ้นไปส่งย่าปรุงที่ห้อง แม่เจียมพาสองสาวไปยังห้องพักซึ่งอยู่ชั้นล่างทางปีกซ้ายของตึก

“ห้องเยอะแยะไปหมดเลย นี่ใช้หมดทุกห้องเลยเหรอคะแม่เจียม” ดาริกาถามด้วยความอยากรู้ขณะก้าวตามหญิงสูงอายุผ่านห้องที่เรียงรายตามทางเดิน ส่วนใหญ่จะปิดไว้ แต่บานประตูยังงดงามตามสภาพเดิมและสะอาดเอี่ยม

“ห้องที่ใช้งานมีไม่กี่ห้องค่ะ ห้องนอนคุณย่าอยู่ชั้นสองทางปีกซ้าย ส่วนห้องคุณฉัตร เธออยู่อีกฟากทางตะวันตกมองเห็นแม่น้ำ ห้องป้าอยู่ชั้นล่างใกล้กับที่พวกหนูพักกันแหละค่ะ ส่วนใหญ่ที่ไม่ได้ใช้ก็ปิดไว้ ข้างในก็ยังเก็บรักษาไว้ตามเดิม เป็นห้องทำงานบ้าง ห้องนั่งเล่นบ้าง ห้องหนังสือสมัยคุณปู่ทวดกับคุณย่าทวดก็ยังเหมือนเดิม” 

แม่เจียมอธิบาย ก้าวไปจนถึงทางเดินซึ่งแยกออกเป็นซ้ายขวา แล้วพาสองสาวเลี้ยวซ้ายก้าวขึ้นบันไดไป แสงจากโคมแก้วบนเพดานสาดแสงเหลืองนวลตา ให้ความรู้สึกอบอุ่นและดูลึกลับในคราเดียว ดาริกาขยับเข้าใกล้ เกาะแขนอเดลลาไว้แน่น

“ไปห้องคุณปู่ทวดกับคุณย่าทวดก่อนนะคะ มาบ้านท่าน ไปกราบท่านสักนิด”

แม่เจียมเลี้ยวขวาเมื่อก้าวพ้นบันไดมาแล้ว เปิดประตูห้องแรกออก กลิ่นหอมเอียนลอยฟุ้งออกมา อเดลลาเดาไม่ถูกว่าคือกลิ่นดอกไม้หรือกลิ่นธูป เธอก้าวตามแม่นมของบุรฉัตรเข้าไปยืนกลางห้อง สัมผัสพื้นไม้ขัดเงาเย็นเฉียบใต้ฝ่าเท้า กลางห้องปูพรมเปอร์เซียผืนใหญ่แดงเข้มระบายดอกไม้เกลื่อนผืน แจกันกระเบื้องเคลือบทรงสูงสองใบเสียบดอกไม้สดช่อใหญ่ วางบนโต๊ะไม้ในตำแหน่งมุมขอบพรมซ้ายขวา

อเดลลาจ้องมองภาพถ่ายขาวดำขนาดใหญ่สองภาพแขวนเคียงกันบนผนังตรงหน้า ล้อมกรอบไม้สีน้ำตาลเข้มสลักลวดลายลงทองดูขรึมขลัง ภาพซ้ายคือบุรุษวัยประมาณสี่สิบเศษ ยืนหลังตรง ใบหน้าคมเข้มดูภูมิฐาน สวมเสื้อสีขาวเข้ารูปคอตั้ง คล้องสายนาฬิกาพกและนุ่งผ้าสีเข้มแบบเดียวกับปู่ทวดจิอานโน อีกภาพคือสตรีวัยใกล้เคียงกัน ใบหน้าสะสวยยิ้มละไมฉายแววเมตตา ผมดำสนิทเปิดหน้าผากรวบเก็บไปไว้ด้านหลังคล้ายผมเกล้า รูปร่างบอบบาง สวมเสื้อสีขาวระบายลูกไม้ตรงคอแล้วจับจีบเป็นชั้นลงมาตรงหน้าอก ประดับด้วยสร้อยไข่มุกหลายเส้นสั้นยาวไล่ระดับกัน แขนเสื้อจับจีบพองตรงต้นแขนแล้วไล่สอบมาถึงปลายแขน ทำให้นึกถึงเสื้อเอ็ดเวอร์เดียนเบลาส์แบบที่สตรียุโรปยุคโบราณนิยมสวมใส่ ไหล่ซ้ายคล้องผ้าพาดเฉียงลงคล้ายสายสะพาย กลัดตรึงด้วยเข็มกลัดอัญมณีสีเข้มรูปไข่ ล้อมด้วยอัญมณีเม็ดเล็ก ทิ้งชายผ้ามาผูกไว้ตรงสะโพกอีกข้าง เธอสวมผ้านุ่งคล้ายชายในภาพที่แขวนเคียงกันแต่สีอ่อนกว่า

“นี่ละค่ะ คุณทวดเปรื่องและคุณทวดวง ไปกราบท่านเถอะค่ะ” แม่เจียมเอ่ย 

อเดลลาทรุดตัวลงนั่งตามดาริกา พนมมือแล้วก้มลงกราบบนพื้นพรมตรงหน้าภาพถ่ายทั้งสอง

‘พวกหนูฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะคะ ขออนุญาตเข้ามาพักในบ้านของคุณปู่ทวดและคุณย่าทวด ช่วยปกป้องคุ้มครองหนูกับเพื่อนของหนูด้วย ถ้าหนูสองคนทำสิ่งใดไม่เหมาะสมโดยไม่รู้ ไม่ตั้งใจ ให้อภัยพวกหนูด้วยนะคะ’

อเดลลากล่าวอธิษฐานในใจแล้วก้มกราบ เมื่อเงยหน้าขึ้นนั่ง จึงรู้สึกถึงสายตาของคุณย่าทวดที่จ้องมองมาดุจมีชีวิต เธอไม่แน่ใจว่าตาฝาดหรือเพราะแสงสลัว แต่เห็นประกายระยับทอวูบขึ้นในดวงตากลมดำขลับของสตรีในภาพ ริมฝีปากอวบอิ่มก็คล้ายจะแย้มรอยยิ้มมากกว่าแรกเห็น

 

ห้องที่แม่เจียมจัดเตรียมไว้อยู่ชั้นล่าง ออกจากประตูข้างของโถงกลาง เดินตามระเบียงตัวตึกไปไม่ไกลนักก็ถึงห้องใหญ่กว้างขวาง เพดานสูงอย่างบ้านแบบเก่า หน้าต่างใหญ่สองบานเปิดรับลมเย็นจากแม่น้ำเจ้าพระยา เห็นพุ่มพฤกษ์เขียวขจีอยู่ด้านนอก ห้องสีเหลืองอ่อนอาบแสงยามเย็นดูอบอุ่น รับกับผ้าม่านสีเขียวมะกอกลงลวดลายเส้นทองคดโค้ง ตัดกับเตียงไม้มะฮอกกานีขัดมันสีน้ำตาลเข้มเกือบดำริมหน้าต่าง ที่นอนปูด้วยผ้าขาวสะอาดตา วางหมอนสวมปลอกสีขาวสองใบดูนุ่มน่าหนุนนอน อีกฟากหนึ่งตั้งตู้ใบใหญ่ทำจากไม้ชนิดเดียวกัน สลักลวดลายบนบานเปิดทั้งสอง มีโต๊ะกับเก้าอี้เข้าชุดกันวางชิดผนังตรงข้ามปลายเตียง ดาริกาเดินรอบห้อง แตะโน่นชมนี่ด้วยความตื่นเต้น

“ห้องสวยหรูมากเลย ใหญ่กว่าห้องทุกห้องที่บ้านหนูมารวมกันเลยค่ะแม่เจียม”

“พักผ่อนให้สบายนะคะ คุณฉัตรเลือกห้องนี้ให้ ห้องเธอก็อยู่ข้างบนขึ้นไปนี่แหละค่ะ ชุดนอนกับเครื่องใช้ป้าเตรียมไว้ให้ในตู้แล้วนะคะ” แม่เจียมเอ่ยพลางเปิดตู้ออก มองเห็นเสื้อผ้าพับเก็บเรียงไว้อย่างเป็นระเบียบ “ห้องน้ำอยู่ใกล้ๆ นี่แหละ ออกประตูไปทางซ้ายอยู่สุดระเบียง”

“ขอบคุณมากค่ะแม่เจียม” อเดลลาเอ่ยขอบคุณ

“ขอบพระคุณแม่เจียมมากค่ะ” ดาริกาเอ่ยขึ้นบ้าง เดินเข้าไปจับแขนผู้สูงวัย

“ป้าขอตัวก่อนนะคะ จะไปเตรียมของที่ต้องใช้พรุ่งนี้ มีอะไรขาดเหลือบอกป้าได้เลยค่ะ นอนหลับฝันดีนะคะคืนนี้” หญิงสูงวัยเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม ก่อนจะก้าวออกไปแล้วปิดประตูตามหลัง

“สวย คลาสสิก แต่ทึมๆ ยังไงพิกล ดูอีกทีก็เหมือนปราสาทแดรกคูลา” ดาริกาเอ่ยขณะทรุดนั่งบนเตียง เหลียวมองไปรอบห้อง “ฉันว่ามันเย็นๆ เยือกๆ ยังไงไม่รู้สิ จะมีผีเปล่าเนี่ย”

“บ้านเก่าก็แบบนี้แหละ อย่าคิดมากน่าดา” อเดลลาเอ่ยเสียงเรียบทั้งที่รู้สึกไม่ต่างกัน เธอนั่งลงบนเตียง เปิดกระเป๋าใบเล็กที่ติดตัวมา หยิบผ้าเช็ดตัวกับชุดนอนออกมาคลี่

“ฝากเนื้อฝากตัวกับคุณปู่ทวดคุณย่าทวดแล้ว ค่อยสบายใจหน่อย” ดาริกาเอ่ยคล้ายปลอบใจตัวเอง “ฉันไปอาบน้ำดีกว่า เหนียวตัวตั้งแต่อยู่ในครัวแล้วละ เธอรออยู่นี่ก่อนนะ” พูดจบก็ฉวยข้าวของแล้วเดินออกจากห้องไป

อเดลลาเพิ่งรู้สึกเหนื่อยล้า ปวดหัวไหล่และต้นคอจนต้องยกมือขึ้นคลึงเบาๆ กลิ่นหอมสะอาดอ่อนๆ จากผ้าปูและปลอกหมอนฟุ้งขึ้นมาเมื่อเอนกายลงนอน ถอนหายใจไล่ความเหน็ดเหนื่อย จ้องมองโคมไฟที่ห้อยลงมาจากเพดานนิ่ง

อากาศเย็นทำให้รู้สึกเคลิ้ม อเดลลาหลับตาลงหวังจะพักเพียงครู่ แต่ไม่วายวูบหลับไป รู้สึกตัวอีกครั้งจึงยันกายขึ้นนั่งกะพริบตา เธอยังไม่ได้อาบน้ำนี่นา เหลียวมองหาดาริกาแต่ไม่เห็น คงยังอาบน้ำไม่เสร็จ ชะเง้อมองไปนอกหน้าต่างเห็นพุ่มไม้ผลิดอกสะพรั่งในสวนข้างนอก แม้ตะวันเริ่มยอแสง แต่ยังไม่มืดนัก

‘น่าจะออกไปเดินเล่นในสวนมากกว่านั่งจมอยู่ในห้องแบบนี้’

อเดลลายันกายลุกขึ้นแล้วออกมายืนหน้าห้อง เดินกลับไปตามทางเดิม ผ่านห้องหับมากมาย เงาของเธอเลื่อนไหลราวมีชีวิตเมื่อก้าวผ่านแสงไฟบนเพดาน เมื่อพ้นประตูบานใหญ่เข้าสู่ห้องโถง ทุกอย่างเงียบสงัด ไม่มีใครสักคนในบริเวณนั้น ถ้าปราศจากแสงจากโคมระย้ากลางห้อง รอบตัวคงวังเวงไม่น้อย เธอก้าวผ่านตู้ไม้สีน้ำตาลใบใหญ่ชิดผนังด้านซ้าย เหลือบมองชุดรับแขกสไตล์หลุยส์ตั้งเด่นกลางห้อง มองเลยพ้นไปไกลเกินแสงจะสาดถึง เห็นเครื่องเรือนตั้งเรียงรายเป็นเงาดำอยู่ในความสลัวคล้ายกลุ่มคนกำลังนั่งซุ่มอยู่ เธอเบนสายตากลับมา สลัดความคิดฟุ้งซ่านแล้วก้าวต่อ

ก่อนจะพ้นประตูหน้า อเดลลาผงะเล็กน้อยเมื่อไอเย็นพัดวูบมาปะทะ รู้สึกได้ถึงสายลมวนอยู่รอบกายคล้ายจะยื้อเธอไว้ คล้ายแว่วเสียงกระซิบแผ่วริมหู

‘อย่าออกไป...’

แต่เพียงครู่เดียว พลังรุนแรงบางอย่างกลับเข้าแทนที่ กระแสนั้นดุจเกลียวเชือกแน่นเหนียวตวัดรัด ฉุดร่างบอบบางให้ก้าวผ่านประตูออกไปอย่างรวดเร็ว หญิงสาวพยายามฝืนต้าน แต่เรี่ยวแรงกลับหดหายไปหมด จำต้องก้าวลงบันไดมุขหน้าไปอย่างว่าง่าย พลังลึกลับพาเธอเดินอ้อมไปข้างตึกเข้าสู่บริเวณสวนซึ่งยามนี้มืดสลัวด้วยต้นจามจุรีสยายกิ่ง แผ่ใบหนาทึบบดบังแสง เหลียวมองไปรอบตัว เห็นไม้สูงยืนต้นตะคุ่ม มองคล้ายปีศาจยามวิกาลกำลังรอขย้ำเหยื่ออยู่ในเงามืด

‘นี่ต้องเป็นความฝันแน่ๆ ตื่นสิ อเดลลา ตื่นเดี๋ยวนี้เลย’

หญิงสาวพยายามปลุกตัวเองออกจากห้วงภวังค์ แต่กลิ่นหอมโชยมากระทบจมูก บอกว่าทุกอย่างไม่ใช่ความฝัน เสียงน้ำไหลก็ได้ยินถนัดชัดเจน เมื่อเขม้นมองไปข้างหน้า เห็นพุ่มไม้ผลิดอกขาวโพลนอยู่รอบฐานน้ำพุกลางสวน ยิ่งเมื่อเดินเข้าไปใกล้ ละอองน้ำเย็นเฉียบจากโถในมือรูปปั้นหญิงสาวกลางแอ่งน้ำพุกระเซ็นมากระทบผิว ย้ำให้ตระหนักว่านี่คือเรื่องจริง

อเดลลาก้าวเชื่องช้าผ่านแนวไม้พุ่มกับไม้ยืนต้นขนาดใหญ่ที่ขนานไปกับตัวตึกทอดยาว กลืนหายเข้าไปในเงื้อมเงามืดเบื้องหน้า แม้จะหวาดหวั่นปานใด แต่ก็ไม่อาจขัดขืนพลังประหลาดนั้นได้ ไม่มีเงาของบุรฉัตร แม่เจียม หรือใครสักคนที่พอจะทำให้อุ่นใจ รอบกายดูวังเวงราวหลุดเข้าไปอยู่ในโลกสนธยา แว่วเพียงเสียงแมลงกลางคืนกรีดปีกระงมกับเสียงย่ำสวบสาบบนพื้นหญ้าเท่านั้น หญิงสาวเดินบุกพุ่มหญ้ารกทึบเข้าไปโดยไม่กลัวเกรง จนครู่ใหญ่จึงมาหยุดยืนหน้าแนวรั้วสูง มีไม้เลื้อยทอดเถาเกี่ยวเกาะดูรกร้าง

อเดลลาพยายามขยับเขยื้อน แต่ร่างกายกลับชาแข็งเหมือนถูกตรึงไว้ สังหรณ์ว่าบางสิ่งที่น่าพรั่นพรึงกำลังจะมา พลันกลิ่นสาบฉุนลอยมาในอากาศ เหม็นคล้ายเนื้อเน่าตากแห้ง ต้องฝืนทนสูดดมเข้าไปอย่างไม่มีทางเลี่ยง

“มาแล้วรึ” 

เสียงแหบโหยลอยมาจากที่ใดที่หนึ่ง อเดลลาเพ่งมอง เห็นบ้านหลังใหญ่มืดทะมึนตั้งตระหง่านอยู่ท่ามกลางแมกไม้รกทึบ รู้สึกได้ว่ามีใครบางคนกำลังจ้องมองมาจากที่นั่น

“ใคร...นั่นใคร” หญิงสาวหลุดคำพูดออกมาจนได้ ลมเย็นพัดวูบมาจนหนาวสะท้าน หอบเอากลิ่นเหม็นมาอวลอยู่รอบกาย

“จำฉันไม่ได้แล้วรึ” เสียงห้วนสั้นเป็นเสียงผู้หญิง ลอยแว่วมาจากบ้านหลังนั้น แสงสีเหลืองที่เรื่อเรืองขึ้นเป็นจุด ก่อนขยายออกเป็นวงกว้าง คือแสงจากตะเกียงดวงเล็กที่ตั้งอยู่บนราวระเบียงชั้นสองนั่นเอง อเดลลาขนลุกซู่ เบิกตาโพลงเมื่อเห็นร่างขาวโพลนยืนนิ่งบนระเบียง ก่อให้เกิดเงาดำทาบยาวบนผนัง ไหวพะเยิบพะยาบดุจมีชีวิต

“จำฉันได้รึยัง” เจ้าของเสียงเป็นหญิงสาวร่างเพรียวบาง สวมเสื้อสีขาวเข้ารูปแบบเดียวกับเสื้อของคุณย่าทวดในรูปถ่าย ใบหน้าสะสวยก็ดูคล้ายคลึงแทบจะเป็นพิมพ์เดียวกัน ต่างกันแต่สีหน้าหญิงคนนี้ถมึงทึง ตาดุดันจ้องเขม็ง ผมดำขลับหวีเสยไปข้างหลัง ขับผิวขาวเผือดไร้เลือดเนื้อให้ดูกลืนไปกับสีเสื้อ

“ไม่...ฉันจำไม่ได้” อเดลลาปฏิเสธ ริมฝีปากซีดเซียวของอีกฝ่ายกระตุกยิ้ม แต่เป็นยิ้มที่ดูน่ากลัวเหลือเกิน เพราะแววตายังแข็งกร้าวดังเดิม

“ลืมง่ายเสียจริง จำไม่ได้หรอกหรือว่าเธอคือต้นเหตุ” เสียงเกรี้ยวกราดดังขึ้น ถลึงตาจนดูโตกว่าเดิม

“ต้นเหตุ...เรื่องอะไร” อเดลลางุนงง เธอไม่เคยรู้จักผู้หญิงคนนี้มาก่อน แต่ถูกกล่าวหาโดยไม่รู้ต้นสายปลายเหตุ

“ฉันต้องแบกความอับอายอดสูไว้คนเดียว” เสียงกระด้างเปลี่ยนเป็นสั่นเครือเจือสะอื้น “ต้องทุกข์...ทรมานอยู่เพียงเดียวดาย”

“ฉันไม่รู้จักคุณ แล้วจะไปทำอะไรคุณได้ยังไง” อเดลลาตะโกนออกไป รู้สึกว่าร่างกายเริ่มผ่อนคลาย เธอขยับปลายนิ้วและยืดแขนออก

“ไม่รู้จัก?” น้ำเสียงและสีหน้าผู้ที่ยืนอยู่บนระเบียงดูขมขื่น หล่อนเอื้อมมือจับตะเกียงขึ้นมาถือไว้ตรงหว่างอก แสงสาดเข้าใต้คาง ก่อเกิดเงาดำบนใบหน้าขาวซีดดูน่ากลัว “ฉันถูกประณาม ผู้คนพากันรังเกียจ สาปแช่ง”

“คุณมีอะไรบอกฉันได้นะคะ” อเดลลาก้าวไปจับขอบรั้ว สังหรณ์ประหลาดผุดขึ้นมาในใจ

“อยู่ไป...ก็มีแต่คนเกลียดฉัน” หญิงยามวิกาลเอ่ยเสียงเครือ ลดมือที่ถือตะเกียงลง อเดลลาตกใจเมื่อเห็นหล่อนจ่อเปลวไฟเข้าตรงชายเสื้อ

“อย่านะ!” หญิงสาวตะโกนห้าม ยื่นมือออกไปกวัดแกว่งทั้งที่ไกลเกินกว่าจะเอื้อมถึง “อย่าทำแบบนั้นนะคุณ”

“พวกแกจะต้องเสียใจไปจนวันตาย!” 

หญิงบนชั้นสองระเบิดเสียงหัวเราะบ้าคลั่ง เปลวไฟสีส้มโหมไหม้เสื้อสีขาวอย่างรวดเร็ว เปลวสะบัดลุกขึ้นลามเลียใบหน้า เผาเส้นผมสีดำพึ่บเดียวจนเห็นศีรษะโล้นเลี่ยน ร่างนั้นดิ้นเร่า อ้าปากกรีดร้องโหยหวน ยกมือขึ้นตะกุยใบหน้าและลำคอจนเนื้อหนังหลุดตามนิ้วออกเป็นแผ่น เห็นเนื้อแดงสดกำลังเดือดปุด

“โอ...” อเดลลาคราง เบิกตากว้างด้วยความตกใจ ได้แต่ยืนตัวแข็ง มองนิ่งอยู่อย่างนั้น

แต่แล้วเพียงครู่เดียว ร่างนั้นกลับปีนขึ้นไปบนราวระเบียง ทรงตัวอยู่ครู่หนึ่ง แล้วกระโจนลงมาอย่างรวดเร็ว

อเดลลาได้สติ ถอยหลังกรูด แต่ช้าเกินไป มือซึ่งมีเปลวเพลิงลุกไหม้จนบางส่วนเหลือเพียงกระดูกพุ่งเข้ารวบลำคอเธอไว้

“ยะ...อย่า” อเดลลาอึกอัก หายใจติดขัด พยายามแกะมือเหนียวหนึบออก กลิ่นเนื้อไหม้โชยคลุ้งอยู่ตรงปลายจมูก

“จำฉันได้หรือยังล่ะ หึๆ” 

ใบหน้าสยองติดไฟลุกโชนอยู่ห่างไปแค่คืบ มองเห็นผิวหนังบวมเป่งเหมือนไก่ย่าง ดวงตาในเบ้าลึกแดงฉานจ้องมองอย่างมุ่งร้าย ปากเกรียมไหม้แสยะกว้าง มองเห็นของเหลวข้นยืดเป็นสายในโพรงปาก ลิ้นสีแดงคล้ำตวัดขึ้นแลบเลียก่อนจะเลื้อยออกจากช่องปากเหมือนงู มันพุ่งตรงมาจ่อใกล้ใบหน้าอเดลลาจนได้กลิ่นเน่าเหม็นตลบอบอวล หญิงสาวแทบขาดใจด้วยความกลัวที่พุ่งถึงขีดสุด เธอตัดสินใจดึงมือซึ่งยึดลำคอออกสุดแรง

กร๊อบ!

ข้อมือทั้งสองข้างหักหลุดติดมือ อเดลลาสะบัดทิ้งด้วยความขยะแขยง หันหลังแล้ววิ่งกลับไปตามทางเดิม คิดเพียงว่าต้องไปให้พ้นจากที่นี่โดยเร็วที่สุด เธอวิ่งสุดแรงไกลแค่ไหนไม่อาจคะเน มาหยุดยืนกระหืดกระหอบเมื่อมองเห็นแนวตึกอยู่ข้างหน้า เดินซวนเซเข้าไปพิงหลังกับผนังเย็นเฉียบเพื่อหยุดพักหายใจ เหลียวมองไปด้านหลังเห็นเพียงความมืดสงัดเงียบ ถอนใจเฮือกใหญ่อย่างโล่งอก ยกมือขึ้นปาดเหงื่อเปียกชุ่มตามใบหน้าและลำคอ

เสียงกิ่งไม้หักดังเปรี๊ยะ ตามด้วยเสียงหัวเราะเยือกเย็นแหวกความสงัดทำเอาขนลุกเกรียว เมื่อเหลียวขวับไปมองก็ต้องตกใจแทบสิ้นสติ

“โอ...ไม่” หญิงสาวก้าวถอยหลัง สายตาจับจ้องไปยังเบื้องบน

แสงสว่างเด่นชัดในความมืด ร่างติดไฟลุกโชนลอยลิ่วมาในอากาศเหมือนบินได้ แหวกยอดไม้สูงดังสวบสาบ มันกำลังพุ่งตรงมาทางนี้ โผต่ำลงเมื่อใกล้ถึงจุดที่เธอยืนอยู่ สัญชาตญาณผลักอเดลลาให้ออกวิ่ง เสียงครางแหบต่ำชวนขนลุกไล่ตามมาด้านหลัง มองเห็นแสงสะท้อนวาบกับผนังตึกประชิดเข้ามาทุกขณะ แม้จะเหน็ดเหนื่อยหวาดกลัวเพียงใด แต่สมองสั่งเธอว่าอย่าหยุด

“ว้าย!” 

อเดลลาสะดุดบางสิ่งจนพุ่งถลาไปข้างหน้า ร่างบอบบางล้มลง คางและหน้าอกกระแทกพื้นดังพลั่ก ความกลัวมีมากกว่าความเจ็บปวด เธอกลิ้งตัวหมุนกลับมาอย่างรวดเร็ว

ร่างในเปลวเพลิงยืนห่างออกไป มันย่างเข้ามาช้าๆ ปากกว้างแสยะยิ้มทำให้ชิ้นหนังไหม้เกรียมบนใบหน้าหลุดร่วง ของเหลวข้นไหลยืดเป็นสายลงพื้น อเดลลาถดตัวหนีสุดชีวิต แต่ร่างสยองก้าวเข้ามายืนค้ำไว้แล้วทิ้งตัวลงมาทันที

“กรี๊ด!” หญิงสาวหลับตาปี๋ กรีดร้องสุดเสียงเมื่อมันรวบร่างเธอเอาไว้


 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น