3

ตอนที่ 3


 

ชลันธรเดินเข้าไปในมหาวิทยาลัย รูปลักษณ์ใหม่ของหล่อนดึงดูดสายตาของคนรอบข้างได้เป็นอย่างดี บางคนมองจนเหลียวหลัง บางคนมองแล้วหันไปซุบซิบกัน หลายคนในนั้นเป็นเพื่อนร่วมคณะของหล่อน ที่เคยเรียนด้วยกันมาเกือบสามปี แต่ไม่มีใครจำหล่อนได้เลยสักคน รวมทั้งแพรพรเพื่อนสนิทที่สุดของหล่อนด้วย

“ยายแพร” หญิงสาวหยุดยืนตรงหน้าผู้เป็นเพื่อน

แพรพรนั่งอ่านหนังสืออยู่หน้าคณะ พอได้ยินเสียงของหล่อนก็เงยหน้าขึ้นมอง ดวงตาเรียวยาวหรี่ลง ก่อนเบิกโตด้วยความตกใจเมื่อจำได้ว่าหล่อนเป็นใคร

“ยายน้ำ เธอไปทำอะไรมา ทำไมถึง...” เพื่อนสาวชี้ผมของหล่อน “เป็นแบบนี้”

“ไม่ได้ทำอะไร แค่ผมยาวขึ้นเท่านั้นเอง”

“นั่นแหละ” แพรพรเดินวนรอบตัวหล่อน “เธอไม่ชอบไว้ผมยาวไม่ใช่เหรอ แล้วคิดยังไงถึงได้ไปต่อผม”

“ไม่ได้คิด แค่อยากลองทำอะไรใหม่ๆ บ้าง” หญิงสาวตอบเลี่ยงไป เพราะไม่อยากโกหก

ผู้เป็นเพื่อนลุกขึ้นยืน แล้วยื่นมือมาจับผมหล่อน

“ใหม่จริงๆ ใหม่จนฉันจำเธอแทบไม่ได้ ว่าแต่ไปต่อผมที่ร้านไหนมาเหรอ ทำไมถึงได้เหมือนจริงขนาดนี้”

“ใกล้ถึงเวลาเรียนแล้ว เราไปที่ห้องกันเถอะ”

ชลันธรจูงมือเพื่อนสาวออกเดิน แต่แพรพรขืนตัวไว้แล้วดึงมือหล่อนไปดู ดวงตาเรียวยาววาววับ ก่อนถามด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น

“กำไลนาคบาศ ฝีมือประณีต งดงามที่สุด เธอไปได้มาจากไหน”

“ลุงของฉันให้มา”

“ไม่ยักรู้ว่าเธอมีลุง” แพรพรเงยหน้ามองหล่อนแวบหนึ่ง แล้วก้มลงพิจารณากำไลนาคราช “ทองคำบริสุทธิ์ ไพลินน้ำงาม ลวดลายละเอียดอ่อน ฝีมือช่างระดับนี้ ต้องทำในราชสำนักแน่นอน ถอดให้ฉันดูหน่อยได้ไหม”

“ไม่ได้ คนให้เขาห้ามถอด”

“ทำไมล่ะ” เพื่อนสาวเงยหน้าขึ้นมอง แต่ยังไม่ปล่อยมือหล่อน

“ไม่รู้สิ เขาไม่ได้บอก” หญิงสาวตอบแบ่งรับแบ่งสู้ เพราะขืนบอกว่าถอดไม่ออก ผู้เป็นเพื่อนต้องซักไม่จบแน่

“เธอรู้ใช่ไหมว่าฉันชอบพญานาคมากแค่ไหน”

“รู้” หล่อนพยักหน้า

“เธอรู้ใช่ไหมว่าฉันสะสมของทุกอย่างที่เกี่ยวกับพญานาค”

“รู้ แต่กำไลวงนี้ ฉันขายให้เธอไม่ได้หรอก” หญิงสาวพูดดักคอ

แพรพรปล่อยมือหล่อน แล้วเอ่ยอย่างเคืองๆ “ฉันไม่ได้บอกว่าจะซื้อวงนี้ ฉันแค่อยากให้เธอช่วยไปถามลุงว่ายังมีวงอื่นอีกไหม ฉันอยากขอซื้อต่อสักวง”

“เอาไว้เจอเขาแล้วฉันจะถามให้นะ ตอนนี้เราไปเรียนกันก่อนดีกว่า ขืนเข้าห้องช้าโดนบ่นหูชาแน่”

ชลันธรเดินนำเพื่อนสาวเข้าไปในอาคารเรียน แพรพรมองกำไลนาคราชตาละห้อย ก่อนถอนใจด้วยความเสียดาย

เสียงคุยจ้อกแจ้กดังออกมาจากห้องเรียน ชลันธรเปิดประตูเดินนำเข้าไปก่อน จากนั้นแพรพรจึงเดินตามเข้าไป ทันทีที่เพื่อนในห้องเห็นหน้าหล่อน เสียงพูดคุยก็หยุดชะงักลง ก่อนดังขึ้นอีกครั้งด้วยความประหลาดใจ เมื่อเห็นหล่อนมาเรียนในภาพลักษณ์ของสาวหวาน เกล้าผมเปียพันรอบศีรษะ แทนที่จะมาในคราบทอมบอยผมซอยสั้น เหมือนที่เคยเห็นจนชินตา

“เธอไปกินอะไรมาน้ำ กินของผิดสำแดงเหรอ ถึงได้เปลี่ยนไปขนาดนี้” เพื่อนสาวร่วมภาควิชาถาม

“เปล่า ฉันยังเหมือนเดิม ชุดนักศึกษาก็ตัวเดิม แค่ผมยาวขึ้นเท่านั้น”

“ไม่จริงอ่ะ ฉันว่าเธอสวยขึ้น” เพื่อนอีกคนพูด “เธอมีความรักใช่ไหม ถึงได้ลุกขึ้นมาแต่งเนื้อแต่งตัว มีอะไรดีๆ ไม่ยอมบอกกันเลยนะ”

“เปล่า ฉันไม่ได้มีอะไรทั้งนั้นแหละ แค่อยากไว้ผมยาวตามใจแม่ พวกเธอเลิกล้อฉันได้แล้ว” หญิงสาวพยายามอธิบาย ทว่าไม่มีใครสนใจฟัง ต่างคนต่างคิดหาเหตุผลกันไปคนละแบบ จนกระทั่งแพรพรทนไม่ไหว จึงเข้ามาช่วยกู้สถานการณ์ให้หล่อน

“เลิกล้อกันได้แล้ว แค่เปลี่ยนทรงผม ไม่เห็นจะแปลกเลย ถ้ายายน้ำโกรธขึ้นมา ไม่ยอมให้ลอกเลกเชอร์ พวกเธอจะเดือดร้อน”

“นั่นสิ แค่เปลี่ยนทรงผม ไม่เห็นต้องมีอะไรพิเศษเลย อยากเปลี่ยนก็เปลี่ยน เรื่องแค่นี้พูดกันอยู่ได้” เพื่อนผู้ชายที่ยืมเลกเชอร์ของหล่อนเป็นประจำพูดขึ้น ก่อนเพื่อนคนอื่นๆ จะทยอยเห็นด้วยอย่างพร้อมเพรียง

“ไปนั่งกันเถอะน้ำ”

แพรพรเดินนำไปนั่งที่ประจำของทั้งสอง ซึ่งเป็นเก้าอี้แถวหน้าตรงข้ามกับกระดานไวต์บอร์ด ชลันธรเดินตามไปนั่งข้างๆ พอนั่งลงเรียบร้อย หล่อนก็พูดกับเพื่อนสาว

“ขอบใจนะ”

“ไม่เป็นไร แค่เรื่องเล็กน้อยเอง” ผู้เป็นเพื่อนยิ้มเจ้าเล่ห์ แล้วชี้มาที่ข้อมือหล่อน “แลกกับกำไลที่เหมือนวงนี้ ฉันว่าคุ้มยิ่งกว่าคุ้ม”

ชลันธรกลอกตาอย่างอ่อนใจ แล้วหันไปมองเพื่อนที่นั่งอยู่ข้างหลัง เมื่ออีกฝ่ายเอื้อมมือมาสะกิดแขนหล่อน

“เธอรู้เรื่องอาจารย์สมบุญไหมน้ำ”

“ไม่รู้ เรื่องอะไรเหรอ” หญิงสาวย้อนถาม อาจารย์สมบุญหรือรองศาสตราจารย์สมบุญ คำสืบกลาง เป็นอาจารย์ประจำวิชาคติชนวิทยา เขาเป็นชายวัยห้าสิบปีเศษ รูปร่างผอมสูง ผมบาง สวมแว่นตาหนาเตอะ เชี่ยวชาญเรื่องคติชนวิทยาติดลำดับต้นๆ ของเมืองไทย เวลาสอนไม่ชอบให้มีเสียงรบกวน แม้แต่เสียงกระซิบเบาๆ ก็ไม่ได้

“เขาลือกันว่าอาจารย์ลาไปบวชที่อินเดียสามเดือน”

“จริงเหรอ แล้วแบบนี้ใครจะสอนแทนล่ะ” แพรพรยื่นหน้ามาถาม คนถูกถามหันไปมอง แล้วส่ายหน้าอย่างจนคำตอบ

“ไม่รู้เหมือนกัน”

ชลันธรเปิดสมุดเลกเชอร์ของตน แล้วเขียนวันที่ลงบนหัวมุมด้านขวา อาจารย์สมบุญดูเป็นคนธรรมะธัมโม แต่ไม่คิดว่าเขาจะทิ้งชั้นเรียนเพื่อไปบวชกะทันหันแบบนี้ ไม่รู้ว่าอาจารย์ที่มาสอนแทน จะมีความรู้เท่าเขาหรือเปล่า

เสียงเปิดประตูห้องเรียนดังขึ้น เสียงพูดคุยรอบตัวเงียบลง กลิ่นหอมประหลาดลอยมาเข้าจมูกหล่อน เหมือนกลิ่นดอกไม้ผสมกับสมุนไพร แต่ไม่ใช่กลิ่นน้ำหอมที่มีขายทั่วไปแน่นอน เสียงฝีเท้าเดินมาหยุดตรงหน้าหล่อน หญิงสาวเงยหน้าขึ้นมอง ก่อนเบิกตาอย่างตกใจ

ชายหนุ่มที่ยืนตรงหน้าหล่อนหล่อเหมือนเทพบุตร ผิวขาว รูปร่างสูงสง่า คิ้วดกหนาได้รูปสวย จมูกโด่งตั้งตรง ริมฝีปากหยักลึก ดวงตาใต้แว่นตากรอบทองคมกริบ ให้ตายเถอะ! เขาเหมือนชายในฝันของหล่อนไม่มีผิด เพียงแต่ดวงตาของเขาเป็นสีดำ ไม่ใช่สีน้ำเงินเข้ม เขาตัดผมรองทรงสั้น ไม่ได้ไว้ยาวถึงกลางหลัง และสวมกางเกงขายาวสีดำกับเสื้อเชิ้ตสีฟ้าอ่อน ไม่ได้สวมชุดโบราณอวดแผงอกกำยำ

“สวัสดีครับนักศึกษาทุกคน ผมชื่ออาจารย์มุจลินท์ นาคาวงศ์ ตั้งแต่วันนี้ผมจะมาสอนพวกคุณแทนอาจารย์สมบุญ ระหว่างเรียนอนุญาตให้พูดกันได้ แต่เวลาที่ผมสอนขอให้ทุกคนเงียบ ถ้ามีข้อสงสัยให้ยกมือถาม และผมไม่ชอบคนไม่ตรงเวลา” เขาแจกรอยยิ้มไปรอบห้อง ก่อนหยุดสายตาที่หล่อน “มีใครจะถามอะไรไหมครับ”

ชลันธรขนลุกซู่ น้ำเสียงและรอยยิ้มของเขาก็เหมือนชายในฝันของหล่อน แถมยังชื่อมุจลินท์อีก มันบังเอิญเกินไปหรือเปล่า

“อาจารย์เป็นลูกครึ่งหรือเปล่าคะ” เพื่อนร่วมชั้นเรียนคนหนึ่งของหล่อนยกมือถาม

“ผมดูเหมือนลูกครึ่งเหรอครับ”

“ค่ะ” หญิงสาวพยักหน้า “แต่เหมือนหลายชาติรวมกัน ยุโรป ละติน เอเชีย ตกลงอาจารย์เป็นลูกครึ่งชาติไหนคะ”

“ข้อนี้ขอไม่ตอบนะครับ เพราะผมก็ไม่รู้เหมือนกัน คงต้องกลับไปถามคุณพ่อคุณแม่ดูก่อน”

“อาจารย์ที่คณะนี้ส่วนใหญ่เป็นศิษย์เก่า แต่หนูไม่เคยเห็นอาจารย์มาก่อนเลย อาจารย์เรียนจบจากที่ไหนคะ” เพื่อนสาวอีกคนยกมือถาม

“อังกฤษครับ ครอบครัวของผมอยู่ที่นั่น ผมเพิ่งกลับมาเมืองไทยไม่นาน พอดีทางคณะติดต่อไป ผมยังไม่มีงานประจำทำ จึงตอบตกลงมาสอนแทนครับ”

“บ้านอาจารย์อยู่ที่ไหนคะ” เพื่อนสาวคนเดิมถาม “เผื่ออยู่ใกล้บ้านหนู”

“ตอนนี้ผมอยู่นนทบุรีครับ”

“อาจารย์แต่งงานหรือยังคะ” เพื่อนร่วมชั้นอีกคนถาม

“ยังครับ” เขาตอบสั้นๆ แต่เรียกเสียงกรี๊ดได้ลั่นห้อง

“อาจารย์จะสอนพวกเรานานไหมคะ” แพรพรยกมือถามบ้าง

“ผมจะสอนพวกคุณจนกว่าอาจารย์สมบุญจะกลับจากอินเดียครับ”

“อาจารย์สอนตลอดไปได้ไหมคะ” เพื่อนสาวที่นั่งอยู่ข้างหลังหล่อนพูดขึ้น เรียกเสียงตบมือจากนักศึกษาสาวคนอื่นๆ ได้กราวใหญ่

“คุณมีอะไรจะถามผมไหมครับ” เขาก้มลงถามหล่อน

ชลันธรยกมือขึ้น มองสบตา แล้วถามเสียงเรียบ “เมื่อไรอาจารย์จะเริ่มสอนคะ”

อาจารย์มุจลินท์ชะงัก ก่อนหัวเราะชอบใจ

“จบการสัมภาษณ์ครับ เพื่อนของเราเบื่อแล้ว” เขาหยิบหนังสือบนโต๊ะมาเปิด แล้วหันมาถามหล่อน “อาจารย์สมบุญสอนถึงไหนแล้วครับ”

“วันนี้อาจารย์สมบุญจะสอนเรื่องนาคาคติค่ะ”

“โอเค งั้นเรามาเรียนเรื่องนาคาคติกัน” เขาวางหนังสือลงที่เดิม แล้วเดินมายืนหน้าชั้น “คติชนวิทยาที่เรากำลังเรียนกันอยู่ตอนนี้ เป็นสาขาหนึ่งที่ศึกษาข้อมูลทางวัฒนธรรมของมนุษย์ ที่มีการถ่ายทอดสืบต่อกันมา ทั้งในสังคมชนบทและสังคมเมือง ไม่ว่าจะเป็นตำนาน นิทาน เพลง สุภาษิต คำพังเพย การละเล่น การแสดง เครื่องมือเครื่องใช้ อาหารการกิน ความเชื่อ ประเพณี หรือพิธีกรรม ล้วนเป็นสิ่งที่นักคติชนวิทยาสนใจศึกษา” เขามองไปรอบห้อง แล้วเริ่มพูดอีกครั้ง

“นาคาคติ หรือความเชื่อเรื่องนาค เป็นความเชื่อที่แพร่หลายในเขตวัฒนธรรมลุ่มน้ำโขง ดังปรากฏให้เห็นในรูปแบบของวัฒนธรรมด้านต่างๆ เช่น วรรณกรรมท้องถิ่น พิธีกรรม สถาปัตยกรรม หัตถกรรม และจิตรกรรม เป็นต้น แต่ความจริงแล้วความเชื่อเรื่องนาค มีต้นกำเนิดมาจากอินเดียใต้ ด้วยมีภูมิประเทศเป็นป่าเขา ทำให้มีงูชุกชุม และด้วยเหตุที่งูเป็นสัตว์ที่มีพิษร้ายแรง งูจึงเป็นสัตว์ที่มนุษย์ให้ความนับถือว่ามีอำนาจ ชาวอินเดียใต้นับถืองูเป็นสัตว์เทวะชนิดหนึ่งในเทพนิยายและตำนานพื้นบ้าน”

ชลันธรจดข้อความลงในสมุดเลกเชอร์ แล้วเงยหน้ามองไปรอบตัว เสียงอาจารย์หนุ่มทุ้มลึกน่าฟัง นักศึกษาชายนั่งเงียบ ส่วนนักศึกษาหญิงมองเขาตาปรอย โดยเฉพาะแพรพรจ้องตาไม่กะพริบเลย

“ความเชื่อเรื่องนาคแพร่หลายไปทั่วทวีปเอเชีย รวมทั้งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ของเราด้วย ดังปรากฏตำนานมากมายเกี่ยวกับนาค เช่น ตำนานพระทองกับนางนาคในพงศาวดารกัมพูชา ตำนานสิงหนวัติทางภาคเหนือของไทย ที่เล่าว่ามีพญานาคแปลงกายมาช่วยชี้ที่ตั้งเมืองใหม่ และตำนานพญานาคแห่งหนองแส ที่วิวาทกันจนถูกไล่ให้อพยพไปอยู่ที่อื่น การอพยพครั้งนั้นทำให้เกิดแม่น้ำสายต่างๆ หนึ่งในนั้นคือแม่น้ำโขง ซึ่งผู้คนที่อาศัยอยู่ในแถบนั้นต่างเชื่อว่าเกิดจากการแถกตัวของพญานาค”

“อาจารย์คะ” แพรพรยกมือขึ้น “ตำนานพวกนั้นหนูเคยอ่านในหนังสือแล้ว อาจารย์มีตำนานอื่นเล่าให้พวกเราฟังไหมคะ”

“ตำนานที่ไม่มีอยู่ในหนังสือ ความจริงก็พอมีอยู่บ้าง พวกคุณอยากฟังเหรอ”

“อยากค่ะ / อยากครับ” ทุกคนตอบพร้อมกัน แต่แพรพรเสียงดังที่สุด

“ถ้างั้นผมจะเล่าตำนานที่ชอบที่สุดให้พวกคุณฟัง มันเป็นตำนานของดินแดนลับแลที่ชื่อว่า นาคาพิภพ...”

ชลันธรชะงักมือที่กำลังจดข้อความ ‘นาคาพิภพ’ ชื่อนี้คุ้นหูหล่อนนัก เพราะแม่เพิ่งเล่าให้ฟังเมื่อเช้า แต่มันคงไม่ใช่ตำนานเดียวกันหรอก หญิงสาวเงยหน้ามอง น้ำเสียงและรูปลักษณ์ของอาจารย์หนุ่มตรึงทุกคนเอาไว้ และครั้งนี้รวมถึงตัวหล่อนด้วย พอได้มองก็ไม่อาจถอนสายตาหนีได้

“โลกมนุษย์มีมิติที่ทับซ้อนกันซ่อนอยู่ เบื้องบนคือเมืองสวรรค์ เบื้องล่างคือเมืองบาดาล สวรรค์เป็นที่อยู่ของทวยเทพ ส่วนบาดาลเป็นที่อยู่ของเหล่านาคาและนาคี ซึ่งมีชื่อเรียกว่า ‘นาคาพิภพ’ ดินแดนแห่งนี้มีอาณาเขตกว้างใหญ่ ประกอบด้วยสามเมือง แต่ละเมืองไม่ขึ้นต่อกัน ปกครองด้วยระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ นับถือองค์วิรูปักษ์นาคราชเป็นผู้ปกครองสูงสุด

“ภายในเมืองมีประชากรอยู่หนาแน่น ผู้ปกครองพำนักอยู่ในเวียงวังสวยงาม ส่วนไพร่ฟ้าข้าแผ่นดินอาศัยอยู่ในบ้านเรือนรอบนอก ต่างทำมาหากิน เพาะปลูกพืชผล และติดต่อค้าขายระหว่างกัน ไม่ต่างจากเมืองมนุษย์ เพียงแต่เมืองบาดาลนั้นสงบสุขกว่าเมืองมนุษย์มาก ส่วนใหญ่ชอบสวดภาวนาและฟังธรรม ความปรารถนาสูงสุดในชีวิตคือการก้าวพ้นโลกียธรรม๒ไปสู่โลกุตรธรรม๓

“นาคาในนาคาพิภพแบ่งออกเป็นหลายวรรณะ ตามกำเนิดของแต่ละตน นาคาที่มีวรรณะสูงสุดคือนาคาในวงศ์โอปปาติพญานาค ซึ่งเป็นนาคาที่ถือกำเนิดด้วยกายเนรมิต หมายความว่ากำเนิดและเติบโตทันที นาคาเหล่านี้จะเปี่ยมด้วยฤทธานุภาพ มีอิทธิฤทธิ์สูง และมีรูปกายงดงาม นาคาในวรรณะนี้จะเป็นชนชั้นปกครอง ได้แก่ ราชา ราชินี และเชื้อพระวงศ์ชั้นสูง

“วรรณะต่อมาคือนาคาในวงศ์ชลาพุชพญานาค เป็นนาคาที่ถือกำเนิดด้วยการปฏิสนธิในครรภ์มารดา นาคาในวรรณะนี้มีอิทธิฤทธิ์เป็นรองนาคาในวงศ์โอปปาติพญานาค เพราะมีภาวะกำเนิดที่ต่ำกว่า ส่วนใหญ่เป็นชนชั้นผู้ใต้ปกครอง ได้แก่ ข้าราชการ ข้าราชบริพาร และพลเมืองทั่วไป ประชากรในนาคาพิภพอยู่ในวรรณะนี้มากที่สุด

“นอกจากนี้ในนาคาพิภพยังมีนาคาอีกสองวรรณะคือ นาคาในวงศ์อันฑชพญานาค เป็นนาคาที่ถือกำเนิดจากไข่ และนาคาในวงศ์สังเสทชะพญานาค เป็นนาคาที่ถือกำเนิดจากเหงื่อไคลหรือน้ำที่ไม่สะอาด นาคาในสองวรรณะนี้มีรูปกายไม่สวยงาม มีอิทธิฤทธิ์น้อย และมีความเป็นเดรัจฉานค่อนข้างมาก ทำหน้าที่เฝ้าพรมแดนระหว่างเมืองบาดาลกับเมืองมนุษย์

“นาคาทั้งสี่วรรณะยังแบ่งออกเป็นสองประเภท ได้แก่ กามรูปีพญานาค คือ นาคาที่เสวยกามคุณ และอกามรูปีพญานาค คือ นาคาที่ไม่เสวยกามคุณ แม้นาคาแต่ละตนจะมีวรรณะแตกต่างกัน แต่นาคาทุกตนสามารถก้าวพ้นโลกียธรรมไปสู่โลกุตรธรรมได้ไม่ต่างกัน ด้วยการถือศีล บำเพ็ญเพียร สะสมบุญบารมีอย่างเคร่งครัด ในขณะที่ยังมีชีวิต”

“มนุษย์อย่างพวกหนูสามารถไปยังดินแดนนาคาพิภพได้ไหมคะ” เพื่อนนักศึกษาคนหนึ่งยกมือถาม

“คุณอยากไปที่นั่นเหรอ” อาจารย์หนุ่มถาม

“ค่ะ” นักศึกษาคนเดิมพยักหน้า “ฟังแล้วเหมือนละครจักรๆ วงศ์ๆ ที่คุณยายหนูชอบดูเลยค่ะ ถ้าได้ไปที่นั่นสักครั้งคงจะดี”

“ตามตำนานเล่าว่านาคาพิภพตั้งอยู่ในมิติที่เหลื่อมซ้อนกับโลกมนุษย์ สองโลกติดต่อกันโดยใช้เส้นทางสายวารี แต่ไม่บ่อยครั้งนักที่นาคาจะเหยียบย่างขึ้นมาบนโลกมนุษย์ ด้วยถือตนว่าอยู่ในสถานะกึ่งเทวา มีวรรณะสูงกว่าเหล่ามนุษย์ทั่วไปมากนัก” เขาหยุดคิด แล้วพูดต่อ “หากมนุษย์อย่างพวกคุณอยากไปที่นั่น คงต้องหาประตูเชื่อมมิติให้เจอก่อน ซึ่งผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันอยู่ที่ไหน”

“อาจารย์คะ” แพรพรยกมือขึ้น “หนูชอบพญานาคมาตั้งแต่เด็ก ถ้าอยากเกิดเป็นนาคต้องทำยังไงบ้างคะ”

“ทางพุทธศาสนาเชื่อว่าผู้ที่มาเกิดเป็นพญานาค เป็นผู้ที่ทำบุญเจือด้วยราคะ ส่วนพญาครุฑศัตรูคนสำคัญของนาค เป็นผู้ที่ทำบุญเจือด้วยโมหะ สำหรับคุณผมคิดว่าเกิดเป็นมนุษย์ประเสริฐแล้ว เพราะมนุษย์สามารถไปถึงนิพพานได้ ส่วนนาคต้องจุติลงมาเป็นมนุษย์ก่อน ถึงจะบรรลุนิพพานได้ ดังนั้นอย่าอยากเป็นนาคเลยครับ”

“เหรอคะ” แพรพรทำหน้าผิดหวัง

อาจารย์มุจลินท์ก้มมองนาฬิกาข้อมือ แล้วเงยหน้าขึ้นพูดกับทุกคน

“วันนี้หมดเวลาเรียนแล้ว ผมขอให้ทุกคนไปรวบรวมตำนานเกี่ยวกับพญานาค ที่มีในประเทศไทยและประเทศเพื่อนบ้านมาส่งสัปดาห์หน้า ใครรวบรวมได้มากที่สุด ละเอียดที่สุด ผมมีรางวัลให้ด้วย”

“รางวัลอะไรคะ” เสียงร้องถามดังเซ็งแซ่ขึ้นทันที และแน่นอนเสียงแพรพรดังที่สุด

“ไม่บอกครับ เอาไว้ถามคนที่ได้ดูเอง” อาจารย์หนุ่มยิ้มให้ทุกคน โดยยิ้มให้หล่อนเป็นคนสุดท้าย แล้วเปิดประตูเดินออกไป

ชลันธรเก็บสมุดเลกเชอร์ใส่กระเป๋าสะพาย แม้อาจารย์หนุ่มจะดูไม่ค่อยน่าไว้ใจนัก แต่ก็ต้องยอมรับว่าเขาสอนดี ความรู้แน่น น้ำเสียงน่าฟัง แถมมีกลวิธีกระตุ้นให้ลูกศิษย์ตั้งใจทำการบ้านอีก ถ้าเขาไม่ได้ชื่อมุจลินท์และหน้าตาไม่เหมือนชายในฝันของหล่อน การเรียนในวันนี้คงสนุกมากกว่านี้

“เมื่อกี้ฉันเห็นอาจารย์ยิ้มให้เธอนานกว่าคนอื่น มีลับลมคมในอะไรกันหรือเปล่า” เพื่อนสาวคนหนึ่งถาม

“ลับลมคมในบ้าบออะไร เธอจับเวลาหรือไง ถึงได้รู้ว่าเขายิ้มให้ใครนานกว่ากัน”

“ไม่มีก็ดีแล้ว” แพรพรพูดขึ้น ดวงตามองจิก “เพราะฉันจองอาจารย์ไว้แล้ว เราสองคนจะได้ไม่ต้องเลิกคบกัน”

“ได้ยังไง เธอมีสิทธิ์อะไรมาจองอาจารย์ ฉันก็ชอบอาจารย์เหมือนกันนะ” เพื่อนสาวคนแรกโวย ก่อนเพื่อนคนอื่นๆ จะโวยตาม

“ใช่ นั่นพ่อของลูกฉันเลยนะ”

“ระวังคำพูดกันหน่อย เขาเป็นอาจารย์ของเรานะ ถ้าคนอื่นมาได้ยินเข้าจะไม่ดี ฉันหิวข้าวแล้ว ไปกันเถอะแพร”

ชลันธรหยิบกระเป๋าสะพายพาดบ่า แล้วลากเพื่อนสาวเดินออกจากห้อง

 

“ไม่รู้ว่ากินข้าวกับอะไร ทำไมถึงหล่อขนาดนี้”

เสียงพร่ำเพ้อของแพรพรดังขึ้นอีกครั้งหลังจากเงียบไปอึดใจเดียว ชลันธรกลอกตาอย่างอ่อนใจ วันนี้เพื่อนของหล่อนทำตัวน่าเบื่อมาก แพรพรพูดถึงอาจารย์มุจลินท์ทั้งวัน ไม่เว้นแม้แต่ตอนเรียนวิชาครอบครัวและเครือญาติในคาบบ่าย จนเกือบถูกอาจารย์เชิญออกจากห้องเรียน

“ถ้ามีการประกวดอาจารย์หล่อที่สุดในประเทศไทย ฉันว่าอาจารย์มุจลินท์ต้องได้ที่หนึ่งแน่เลย คนอะไรไม่รู้หล่อยังกับเทพบุตรแปลงกายมา เธอเห็นด้วยกับฉันไหมน้ำ”

ชลันธรลดหนังสือในมือลง อยากถอนใจสักเฮือก แพรพรคลั่งไคล้อาจารย์หนุ่มคนเดียวไม่พอ ยังมีแก่ใจมาชวนหล่อนเป็นแนวร่วมด้วย

“ฉันว่าเขาดูแปลกๆ”

“แปลกยังไง” ผู้เป็นเพื่อนถาม

“ฉันว่าเขาหล่อเกินไป หล่อเหมือนไม่ใช่คน” หล่อนตอบตามที่คิด ทว่าไม่เข้าหูคนฟัง

แพรพรชักสีหน้าไม่พอใจ แล้วกางปีกปกป้องอาจารย์หนุ่มทันที

“ฉันว่าเธอต่างหากที่แปลก อาจารย์หล่อขนาดนี้ ดันไปว่าเขาไม่ใช่คน”

“ฉันไม่ได้ว่าเขา ฉันแค่บอกให้ฟัง” หญิงสาวเอ่ยอย่างหงุดหงิด ไม่รู้จะอธิบายอย่างไร ครั้นจะเล่าความฝันให้อีกฝ่ายฟัง ก็กลัวว่าเพื่อนสาวจะไม่เชื่อ ดีไม่ดีจะหาว่าหล่อนบ้า

“น้ำ” เสียงเรียกคุ้นหูดังขึ้น

ชลันธรหันไปมอง เจ้าของเสียงชื่อคือภาสกร เขาเป็นเพื่อนเล่นของหล่อนมาตั้งแต่เด็กๆ เพราะพ่อของทั้งสองเป็นเพื่อนสนิทกัน ชายหนุ่มเรียนคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จึงแวะมาหาหล่อนที่คณะบ่อยๆ บางครั้งมากินข้าวเที่ยงด้วย บางครั้งมาช่วยหล่อนทำรายงาน ส่วนวันนี้เขามารับหล่อนกลับบ้านด้วยกัน

“ขอโทษที ฉันมาช้าไปหน่อย เธอรอนานไหม”

“ไม่นาน นั่งก่อนสิ” หญิงสาวชี้ที่ว่างข้างตัว

ภาสกรทรุดตัวลงนั่ง แล้วหันมาถามหล่อน “เมื่อกี้คุยอะไรกันเหรอ ได้ยินแว่วๆ ว่าหล่อเหมือนไม่ใช่คน”

“พวกเราไม่ได้พูดถึงนายหรอก เพราะนายมันไม่หล่อ อย่างมากก็แค่พอไปวัดไปวา” แพรพรยิ้มเยาะ

ชายหนุ่มหันไปมอง แล้วโต้กลับไป “ก็ยังดีกว่าเธอ เข้าวัดไม่ได้ เพราะกลัวร้อน”

“นายว่าฉันเป็นผีเหรอ”

“ใช่ ก็เธออยากว่าฉันก่อนทำไม” ภาสกรจ้องเขม็ง แพรพรจ้องตอบ ไม่มีใครยอมใคร

“ฉันไม่ได้ว่านาย ฉันแค่พูดเรื่องจริง”

“ฉันก็พูดเรื่องจริงเหมือนกัน เธอจะเดือดร้อนทำไม”

ชลันธรมองเพื่อนรักทั้งสองอย่างอ่อนใจ แพรพรกับภาสกรเป็นไม้เบื่อไม้เมากันมาตลอด เจอหน้ากันทีไรต้องทะเลาะกันทุกที หญิงสาวบอกว่าเขาขี้เก๊ก อวดร่ำอวดรวย และหลงตัวเอง ส่วนภาสกรบอกว่าเพื่อนสาวของหล่อนปากจัด กระโดกกระเดกเหมือนม้าดีดกะโหลก และหน้าเงิน

“เลิกทะเลาะกันได้แล้ว เราไม่ได้พูดถึงนาย แต่พูดถึงอาจารย์คนใหม่”

“อาจารย์คนไหน มาสอนแทนใคร แล้วฉันรู้จักหรือเปล่า” ภาสกรหันขวับมาถาม เขาชอบทำตัวเป็นเจ้าข้าวเจ้าของหล่อน ทั้งที่หล่อนบอกหลายครั้งแล้วว่าไม่เคยคิดกับเขามากกว่าเพื่อน แต่ชายหนุ่มไม่รับฟัง แถมยังทำเหมือนไม่ได้ยิน

“เขามาสอนแทนอาจารย์สมบุญ เพิ่งเริ่มสอนวันนี้วันแรก นายไม่รู้จักเขาหรอก”

“เขาอายุเท่าไร”

“ไม่รู้สิ” หล่อนส่ายหน้า “คงยี่สิบห้าถึงสามสิบปีนี่แหละ”

“เขาแต่งงานหรือยัง”

“เห็นบอกยังไม่ได้แต่ง”

“เขามีแฟนหรือเปล่า”

“ฉันไม่รู้” หล่อนขึ้นเสียง ชักหงุดหงิด “นายจะถามทำไมนักหนา เขาจะมีแฟนหรือไม่มีแฟน มันก็ไม่เกี่ยวอะไรกับพวกเรา”

“นั่นสิ นายเป็นพ่อยายน้ำหรือไง ถึงได้ซักเหลือเกิน” แพรพรพูดแทรกขึ้นมา

ชายหนุ่มหันขวับไปมอง แล้วต่อว่าอย่างขุ่นเคือง “ฉันไม่ได้พูดกับเธอ ทำไมถึงชอบสอดนัก”

“นายว่าฉันสอดเหรอ”

“พอที” หล่อนลุกพรวดขึ้นยืน “ฉันจะกลับบ้านแล้ว ถ้าเธอสองคนอยากทะเลาะกัน ก็เชิญตามสบายเลย”

ชลันธรคว้ากระเป๋าเดินออกไป สองคู่ปรับขึงตาใส่กัน ก่อนสะบัดหน้าไปคนละทาง ภาสกรวิ่งตามหล่อนมา ส่วนแพรพรเดินไปที่หอสมุด

 

แสงแดดอุ่นยามเย็นอาบลำน้ำจนกลายเป็นสีทองอร่ามตา สายลมปลายฝนต้นหนาวพัดผ่านทิวไม้ นกน้อยบินกลับรังนอนส่งเสียงร้องเจื้อยแจ้ว บนลานดินเหนือโค้งน้ำกว้าง เรือนไทยคหบดีหลังหนึ่งซ่อนตัวอยู่ในหมู่ไม้เขียวชอุ่ม หลบเร้นจากสายตาของผู้คนและความวุ่นวายของโลกภายนอก บนเรือนไม้สักทองหลังงาม องค์มุจลินท์นาคราชทรงก้าวพระบาทมายืนตรงนอกชาน ดวงพักตร์คมคายสงบนิ่ง ดวงเนตรสีน้ำเงินเข้มทอดไปยังผืนน้ำเงียบสงบ หากไม่ทรงเห็นด้วยพระเนตรขององค์เอง จะไม่ทรงเชื่อเลยว่าโลกมนุษย์ยังมีธรรมชาติงดงามเช่นนี้หลงเหลืออยู่อีก

องค์นาคาแย้มพระสรวล ตอนตัดสินพระทัยขึ้นมาอยู่บนโลกมนุษย์ เพื่อศึกษาดูใจบุตรสาวของพระขนิษฐา ทรงผ่านมาพบสถานที่แห่งนี้โดยบังเอิญ จึงทรงเนรมิตเรือนหลังนี้ขึ้น เพื่อให้เป็นที่อาศัยของอาจารย์มุจลินท์ มนุษย์หนุ่มที่ทรงสร้างขึ้น เพื่อเป็นตัวแทนของพระองค์ และเพื่อให้ตัวตนของอาจารย์หนุ่มสมจริงขึ้น นอกเหนือจากเรือนหลังนี้แล้ว พระองค์ยังทรงเนรมิตบัตรประชาชน พาสปอร์ต และปริญญาบัตรด้านมานุษยวิทยาให้เขาด้วย จากนั้นจึงดลใจให้อาจารย์สมบุญเดินทางไปอินเดีย และดลใจให้คณบดีรับพระองค์ไปสอนแทน

ลมหอบหนึ่งพัดเข้ามาในเรือน พื้นกระดานลั่นเบาๆ แล้วตามด้วยเสียงคนคุกเข่า

“มีอะไรเวคิน” องค์นาคารับสั่งถาม โดยไม่ผินพระพักตร์ไปทอดพระเนตร ด้วยทรงรู้ว่าผู้ที่สามารถเข้าใกล้พระองค์ได้ มีเพียงราชองครักษ์ผู้นี้เพียงผู้เดียว

“กระหม่อมไม่เข้าใจพ่ะย่ะค่ะ”

“ไม่เข้าใจอะไร” ทรงหันพระวรกายไปตรัสถาม องครักษ์หนุ่มทำหน้าอึดอัด จนต้องตรัสถามอีกครั้ง “ว่ายังไงเวคิน”

“เหตุใดพระองค์ต้องทำถึงเพียงนี้ด้วย” เขาโพล่งออกมา “แค่พาตัวนางกลับเมืองรัตนบาดาลก็น่าจะเพียงพอแล้ว ไม่เห็นต้องทรงลำบากมาอยู่เมืองมนุษย์เลย”

“ไม่พอหรอกเวคิน เราต้องการหัวใจของนาง ไม่ได้ต้องการแค่ร่างกาย อีกอย่างการอยู่เมืองมนุษย์ก็สนุกดี เจ้าน่าจะทำตัวให้ผ่อนคลายบ้าง ที่นี่ไม่มีอันตรายสำหรับพวกเราหรอก”

“อย่าเพิ่งทรงวางพระทัยพ่ะย่ะค่ะ” เขาเอ่ยด้วยสีหน้าหนักใจ “กระหม่อมรู้มาว่าท้าวเตชทัตขึ้นมาเมืองมนุษย์บ่อยๆ ถ้าบังเอิญมาพบกันเข้าคงไม่ดีนัก”

องค์มุจลินท์ทรงหันไปทอดพระเนตรลำน้ำ แล้วย้อนนึกถึงเหตุการณ์เมื่อยี่สิบปีก่อน ความขัดแย้งระหว่างพระองค์กับท้าวเตชทัต พญาครุฑผู้ดูแลท้องฟ้าด้านทิศตะวันออก เริ่มต้นจากมณีเนตรหนีมาเที่ยวบนโลกมนุษย์ และได้พบกับสดายุ บุตรชายของท้าวเตชทัต ซึ่งเกิดจากหญิงมนุษย์โดยบังเอิญ บุตรชายของพญาสุบรรณหลงรักขนิษฐาของพระองค์ ทว่าครุฑกับนาคไม่อาจครองคู่กันได้ ซ้ำร้ายหล่อนยังมอบหัวใจให้ชายอื่นไปแล้ว ด้วยความเสียใจทำให้เขาล้มป่วยลง

ท้าวเตชทัตทนเห็นบุตรชายตายไม่ได้ จึงจับตัวมณีเนตรไปทรมาน เพื่อชิงดวงแก้วมณีนาคาของหล่อนมาต่ออายุให้ลูกของตน แต่บุตรพญาสุบรรณเข้ามารับกรงเล็บแทนมณีเนตร เขาสิ้นชีพด้วยน้ำมือของผู้เป็นพ่อ ท้าวเตชทัตโกรธแค้นมาก

เขาจะสังหารหล่อน แต่พระองค์มาช่วยไว้ทัน แล้วทำร้ายพญาสุบรรณจนบาดเจ็บ ก่อนบินหนีไปเขาลั่นวาจาว่าจะแก้แค้นทุกคนที่ทำให้บุตรชายเสียชีวิต

“เจ้าอาจคิดมากเกินไปก็ได้” ทรงหันมาตรัสกับองครักษ์หนุ่ม “เวลาล่วงเลยมานานแล้ว ท้าวเตชทัตไม่เคยมาให้เราเห็น และไม่เคยไประรานมณีเนตรเลย บางทีเขาอาจทำใจได้แล้วกระมัง”

“ถ้าเป็นเช่นนั้นได้ก็ดี แต่กระหม่อมสังหรณ์ใจว่าจะไม่ใช่ เพราะวิสัยของครุฑนั้นลุแก่โทสะ เจ้าคิดเจ้าแค้น พระองค์ต้องทรงระวังไว้ให้มาก”

“เจ้าอย่ากังวลไปเลยเวคิน เราร่ายเวทปกป้องบ้านหลังนี้ และบ้านเทวาพิทักษ์ไว้แล้ว ครุฑตนใดก็ล่วงล้ำเข้ามาไม่ได้”

“แต่กระหม่อม...”

“ไม่ต้องแต่แล้ว” รับสั่งตรัสบท “วันนี้เจ้าเหนื่อยมามากแล้ว ไปพักผ่อนให้สบายเถอะ เราจะยืนอยู่ตรงนี้อีกสักพัก แล้วจะกลับห้องเอง”

“พ่ะย่ะค่ะ” เขาค้อมศีรษะคำนับ แล้วลุกเดินออกไป

องค์มุจลินท์ทรงถอนพระปัสสาสะ ความกังวลใจขององครักษ์หนุ่มทำให้ทรงหวั่นพระทัย แต่จะให้ถอยหลังกลับตอนนี้ พระองค์ก็ทรงทำไม่ได้เช่นกัน เพราะสิบเก้าปีที่ทรงเฝ้าดูชลันธรผ่านคันฉ่อง ทำให้ทรงรู้ว่าชีวิตอมตะไม่มีค่าเลย หากต้องอยู่อย่างเดียวดาย

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น