6

คนที่ถูกเลือก

6

คนที่ถูกเลือก

 

หญิงสาวผมยาวนั่งเหม่อมองออกไปอย่างไร้จุดหมายอยู่บริเวณเติ๋นชั้นสองของเรือนไม้บะเก่าหลังเดิม พื้นไม้ที่ยกตัวสูงขึ้นภายใต้หลังคาที่ปูทับซ้อนกันด้วยกระเบื้องดินขอแบบเก่าทำให้ตัวบ้านเย็นสบาย แม้ไม่มีเครื่องทำความเย็นใดๆ ก็ตาม จะมีก็เพียงแต่พัดลมโบราณที่ยังคงพอใช้งานได้เท่านั้น สายลมเย็นเอื่อยเฉื่อยโชยมาเบาๆ กระทบใบหน้าหวาน เช้านี้ดูสงบกว่าทุกๆ วัน ด้วยเพราะย่างเข้าวันที่หกของงานศพยายทวดแล้ว แขกส่วนใหญ่จึงจะเดินทางมาร่วมงานกันเฉพาะช่วงเย็น จะมีเพียงกลุ่มญาติๆ และคนบ้านใกล้เรือนเคียงที่เดินเข้าๆ ออกๆ โรงครัว กับวงศ์ญาติที่มานั่งพูดคุยกันหลังจากไม่ได้พบปะกันนานเท่านั้น

“พี่มันตรา ดูนี่สิ”

เด็กสาวนามจุ๊บแจงเดินขึ้นมาบนเรือนไม้พร้อมกับรี่เข้ามาหาลูกพี่ลูกน้องของเธอที่นั่งเหม่อลอยอยู่บนเติ๋นหน้าแท่นที่วางโลงศพของยายทวด ในมือถือของเล่นที่มีคนซื้อมาให้เพื่อนำมาอวดมันตราตามประสาเด็กน้อยที่ยังไม่ยอมโตสักที

“อันนี้น้าสาวให้มา อันนี้ลุงอินทร์ให้มา...ส่วนอันนี้...”

ระหว่างที่เด็กน้อยจ้ออยู่ไม่หยุดนั่นเอง เธอรู้สึกได้ว่ามันตราดูเหม่อลอย เจ้าของเรือนผมยาวสลวยนั้นจ้องมองไปยังเบื้องหน้า แต่ก็ไม่รู้ว่ามองไปที่จุดไหนกันแน่ มือเล็กโบกขึ้นลงไปมาต่อหน้ามันตรา แล้วก็เป็นไปตามที่เธอคาดเอาไว้

“พี่มันตรา!!”

เจ้าเด็กตัวแสบเขย่าแขนเรียวของผู้มีศักดิ์เป็นพี่อย่างแรง ทำเอาร่างบางไหวไปเกือบทั้งตัว มันตราจึงได้สติ

“คะ...คะ?!” หญิงสาวผมยาวสะดุ้งโหยง 

จุ๊บแจงทำแก้มพองอย่างงอแง ก็ด้วยพี่สาวของเธอไม่ยอมสนใจเธอเลยแม้แต่น้อย มัวแต่นั่งเหม่อลอยอยู่นั่นละ

“ขอโทษจ้า ขอโทษ...จุ๊บแจงมีอะไรหรือเปล่า” มันตราเอ่ยถาม มือเรียวข้างซ้ายที่สวมแหวนเก่าของยายทวดขยับขึ้นเกาแก้มแก้เขินอยู่น้อยๆ

“หนูต่างหากที่ต้องถามพี่ คิดอะไรอยู่เหรอคะ”

เด็กสาวตัวน้อยถามก่อนจะขยับเข้ามาใกล้เธออย่างสนใจ กระโปรงสั้นถกขึ้นมาจนเห็นขาอ่อน มันตราพี่สาวคอยดึงไม่ให้ชายกระโปรงของจุ๊บแจงถลกขึ้นมาจนเห็นกางเกงใน แม้จุ๊บแจงจะอายุ 14 ปีแล้ว แต่เธอก็ยังทำตัวเหมือนเด็กที่ไม่รู้จักโตเสียที

“นั่งดีๆ สิ เดี๋ยวกระโปรงก็เปิดหมดหรอก” พี่สาวบ่นเบาๆ

“อืม...จุ๊บแจงเคยเห็นบ่อน้ำเก่าระหว่างทางไปทุ่งนาของยายมั้ย” มันตราเปิดประเด็น 

ดวงตากลมโตของจุ๊บแจงกะพริบปริบๆ เธอครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะรีบโผงผางขึ้นมาจนมันตราถึงกับสะดุ้ง มือไม้ของเด็กน้อยกวัดแกว่งไปมาเพื่อหาทิศทางของบ่อน้ำเก่าแก่นั้น ในหัวพยายามเรียบเรียงประโยคเพื่ออธิบาย แต่กลับกลายเป็นคำสั้นๆ ที่หลุดออกมาเหมือนไม่ได้ผ่านการเรียบเรียงอะไรเลย “บ่อน้ำ...แบบ...อ่า...เก่า...ที่...อ่า...เอ่อ...”

“ใจเย็นๆ จุ๊บแจง ค่อยๆ พูด” พี่สาวบอกช้าๆ

เด็กน้อยพยายามสูดหายใจเข้าให้ลึกที่สุด ก่อนจะพ่นออกมาช้าๆ เพื่อเรียกสติ เธอชี้ไปทางทิศเหนือของตัวบ้าน ด้านหลังเรือนที่มีทางเดินเล็กเชื่อมไปทางศาลพ่อปู่สมิงตาไฟนั่นเอง

“ใช่จ่า[W1] [DL2] ” มันตราค่อยๆ ตอบเธอ

“ตรงบ้านร้างผีลุงพลใช่มั้ยคะ” เด็กน้อยถาม

จังหวะนั้นเองลมเย็นยะเยือกโชยมาจนรู้สึกได้ ขนที่แขนของจุ๊บแจงตั้งเด่ชูชัน มือเล็กรีบถูกแขนไปมาให้ขนพวกนั้นลู่ลงไปเสียที

“ลุงพล?”

มันตราย้ำคำอย่างแปลกใจกับชื่อที่ได้ยิน เหมือนกับว่าเธอเคยได้ยินชื่อคนคนนี้มาจากที่ไหนสักแห่ง 

จุ๊บแจงพยักหน้าหงึกๆ ดวงตากลมเล็กมองไปรอบๆ แขนสองข้างเท้ากับพื้นไม้ เขยิบตัวเข้ามานั่งจนชิดกับมันตรา มือเล็กป้องปาก แล้วจึงรีบเล่าเรื่องที่เธอรู้มาให้พี่สาวฟังด้วยเสียงกระซิบ

“ที่แถวนั้นเป็นที่ของลุงพลน่ะค่ะ เมื่อก่อนยายทวดก็เคยจ้างแกให้ไปนอนเฝ้าทุ่งนาอยู่หรอก” เด็กสาวเริ่มเล่าด้วยเสียงค่อย

“แกน่ะเป็นคนดี ไปเฝ้าทุ่งนาเมื่อไหร่ก็จะเก็บมะกอกป่ามาฝากตลอด แต่มาวันหนึ่งเมียแกที่ชื่อน้าสรดันมาหนีไปกับผู้ชายอื่นน่ะสิคะ”

มันตราพยักหน้าอย่างเห็นอกเห็นใจ

“ลุงพลแกเสียใจมาก ไม่ยอมทำการทำงานอะไรสักอย่างเลยค่ะ เอาแต่กินเหล้าทั้งวัน...”

นัยน์ตาจุ๊บแจงหลุบลงเล็กน้อย เหมือนกับว่าพอได้เล่าออกมาแล้วก็ยิ่งเห็นใจลุงพลมากจริงๆ ด้วยลุงพลก็เป็นคนขยันขันแข็ง แม้ความรู้จะไม่มาก แต่แกก็ชำนาญในสิ่งที่แกทำอยู่จริงๆ

“จนวันนึงที่แกเกิดเสียสติขึ้นมา อุ้มลูกชายของแกที่ชื่อแดงไปโยนลงบ่อน้ำนั่นแหละค่ะ...จริงๆ บ่อน้ำนั้นน่ะเป็นบ่อน้ำที่ทุกคนเขาใช้กันอยู่ประจำ กว่าจะมาเจอศพก็ตอนเช้าวันนั้นแหละ...ส่วนลุงพลแก...” จุ๊บแจงอ้ำๆ อึ้งๆ อยู่นาน ก่อนจะพูดต่อ

“...แกก็ไปแขวนคอตายอยู่ที่ต้นมะกอกป่า ใกล้ๆ ศาลพ่อปู่นั่นแหละค่ะ”

เรื่องนี้ทำให้มันตราถึงบางอ้อ เมื่อพูดถึงคนที่แขวนคอตายที่ต้นมะกอกป่า เขาก็คือคนที่ป้าหล้าพูดถึงวันก่อนนั่นเอง

“แล้วศพของแดง...” มันตราถามต่อ

“น้าดำเป็นคนลงไปเอาศพขึ้นมาค่ะ ก็ทำพิธีปกติ...แต่ว่า...” เด็กสาวเริ่มไม่แน่ใจว่าควรจะเล่าเรื่องนี้ต่อหรือเปล่า...

“อะไรเหรอ” มันตราเอียงคอสงสัย

เด็กน้อยสูดหายใจเข้าลึกๆ อีกครั้ง ก็ด้วยเรื่องที่กำลังจะเล่าต่อไปนี้ไม่เคยถูกเล่าต่อให้ผู้ใหญ่คนไหนได้ทราบมาก่อน  เพราะพวกผู้ใหญ่ชอบหาว่าเด็กๆ กุเรื่องผีน่ากลัวๆ ขึ้นมาหลอกกันเอง บางทีก็แกล้งกันจนวิ่งเตลิดเปิดเปิง ทั้งๆ ที่ศพของเจ้าแดงก็ประกอบพิธีต่างๆ ตามความเชื่อของคนในหมู่บ้านไปแล้วแท้ๆ

“พวกหนูน่ะหลังจากนั้นก็เคยไปเล่นที่บ่อนั้นอยู่สองสามครั้ง แล้วทุกครั้งที่ไปอ่า...มันจะเหมือนกับมีใครอีกคนมาเล่นด้วยตลอด แรกๆ พอบอกพวกผู้ใหญ่ก็โดนด่ากลับมาเสียทุกครั้ง จนครั้งล่าสุดหนูนาหลานสาวพ่อใหญ่แกปีนขึ้นไปบนบ่อแล้วตกลงไป... ดีที่ไม่ได้บาดเจ็บอะไรมาก แต่พวกหนูสิโดนด่าแหลก...ก็เลยไม่ไปเล่นแล้วแถวนั้น...”

เด็กน้อยทำหน้าเหนื่อยหน่าย ไม่ใช่เพราะเธออยากกลับไปเล่นแถวนั้น แต่เป็นเพราะเรื่องที่ถูกต่อว่ากลับมาต่างหาก

“แต่มันก็อันตรายนะ ทำไมไปปีนบ่อน้ำแบบนั้นล่ะคะ” มันตราท้วง

“นั่นแหละพี่มันตรา หนูนาบอกว่าเห็นเด็กผู้ชายวิ่งอยู่บนฝาไม้ กระโดดๆ อยู่หลายทีก็ไม่เห็นไม้จะพังลงไป แต่พอหนูนาปีนขึ้นไป ไม้มันพังลงทันทีเลย แถมเด็กนั่นก็หายไปไหนไม่รู้...มารู้ทีหลัง...” เด็กสาวสูดหายใจเข้าพร้อมๆ กับที่ริมฝีปากเม้มแน่น

“...มารู้ทีหลังว่าเด็กที่หนูนาเห็นคือ เจ้าแดง ลูกชายลุงพลที่ตายไปแล้วนั่นแหละ”

“อะ... เอ๋?...” มันตราถึงกับเลิกคิ้วสูง

“ก็นั่นแหละ หนูนาถึงกับจับไข้หัวโกร๋นเลยค่ะ พ่อใหญ่ต้องพาไปรดน้ำมนต์ตั้งเก้าวัดกว่าอาการจะดีขึ้น”

จุ๊บแจงเล่าจบก็ขยับมือลูบแขนเล็กๆ ของเธอไปมาอยู่สองสามที ก็เพราะขนแขนกลับมาลุกได้ลุกดี ไม่ยอมสงบ

“ก็ดีแล้วที่ไม่เป็นอะไรมาก จุ๊บแจงเองก็อย่าไปเล่นแถวนั้นล่ะ” มันตราบอกพร้อมๆ กับยกมือขึ้นลูบหัวลูกพี่ลูกน้องของเธอเบาๆ 

กลิ่นน้ำอบหอมที่คนเป็นพี่แต้มมาเมื่อเช้านี้โชยกลิ่นหอมจางๆ ทำให้ผ่อนคลาย จุ๊บแจงหลับตาพริ้มพร้อมๆ กับพยักหน้ารับ เด็กน้อยดูจะกลายเป็นเด็กว่าง่ายเมื่ออยู่ต่อหน้าเธอ

“จุ๊บแจง!!” น้าสาวตะโกนขึ้นมาเพราะกำลังตามหาเจ้าตัวแสบคนนี้อยู่ ด้วยเพราะน้าสาวใช้เธอมาเรียกมันตราลงไปแบ่งขนมสำหรับเลี้ยงคนในงาน อีกส่วนหนึ่งจะเก็บไว้ไปถวายพระ แต่เจ้าตัวดันมาแวะอวดของเล่นใหม่ที่ได้มาก่อนเสียนี่ แถมมันตราเองยังชวนคุยเสียจนลืมไปหมดเลยว่าน้าสาวใช้เธอมาทำอะไร

“ตายแล้ว! ลืมไปสนิทเลยพี่มันตรา น้าสาวให้มาเรียกไปตักขนม”

เด็กน้อยดีดตัวขึ้นในทันที ท่าทีลุกลี้ลุกลนทำเอามันตราอดหัวเราะออกมาไม่ได้ เด็กสาวตัวน้อยเต้นแร้งเต้นกา จะก้าวซ้ายทีหรือขวาทีก็ก้าวไม่ออก ริมฝีปากบางของมันตรายิ้มหวาน ก่อนเธอจะยันตัวลุกขึ้นและจูงมือเด็กน้อยเพื่อเดินไปยังครัวไฟด้านล่าง

“หายไปไหนมา!! ใช้การไม่ได้เลยยายคนนี้” น้าสาวบ่นจุ๊บแจงยกใหญ่ 

เด็กน้อยทำแก้มพองอย่างงอแง ทั้งๆ ที่ตัวเธอเองผิดเต็มๆ 

“ขอโทษค่ะน้าสาว หนูดันไปชวนจุ๊บแจงคุยเรื่องนั่นนี่จนลืมเลยว่าน้าสาวให้มาตาม” มันตราออกตัวช่วย 

พอน้าสาวได้ฟังความดังนั้นก็หยุดบ่นทันที 

จุ๊บแจงเลิกคิ้ว แค่ประโยคเดียวที่มันตราบอก น้าสาวแกก็หยุดบ่นเธอเลยอย่างนั้นหรือ ช่างเป็นผู้ใหญ่ที่สองมาตรฐานจริงๆ

“ลอดช่องเหรอคะ” มันตราถาม กลิ่นหอมกะทิโชยมาจนน้ำลายสอ จุ๊บแจงเดินไปชะโงกมองหม้อใหญ่ที่ต้มน้ำกะทิไว้อย่างตื่นตาตื่นใจ เส้นสีเขียวนวลที่ทำจากน้ำใบเตยคั้นเองสีไม่สดมากเท่าไร แต่เมื่ออยู่รวมกับน้ำกะทิสีครีมขาวแล้วก็ดูสวยน่ารับประทานเป็นอย่างยิ่ง น้าสาวตักแบ่งออกเป็นสามส่วน โดยส่วนที่แบ่งสำหรับเลี้ยงแขกในงานจะเยอะกว่าส่วนอื่นๆ

“อ้ะ ส่วนนี้ตักกินได้ ถ้าแขกมาก็ตักไปเสิร์ฟเขานะลูก” น้าสาวบอกก่อนจะเดินไปดูหม้อกับข้าวอื่นๆ ต่อไป 

จุ๊บแจ้งถูมือสองข้างอย่างชอบใจ กำลังจะก้าวไปหยิบถ้วยมาตักลอดช่องมาลิ้มลองสักหน่อย แต่ก็ถูกขัดจังหวะด้วยเสียงเรียกของน้าสาวอีกครั้ง

“จุ๊บแจง!! ไปเรียกป้าหล้ามาหน่อย!”

จุ๊บแจงถึงกับทิ้งมือสองข้างลงอย่างหมดอารมณ์ อ้อยกำลังจะเข้าปากช้างอยู่แล้วแท้ๆ 

มันตราหลุดยิ้มขำท่าทีของลูกพี่ลูกน้องคนนี้ ก่อนสองเท้าเล็กของจุ๊บแจงจะย่ำเสียงดังเดินไปตามป้าหล้าจากวงไพ่หน้าเรือน

นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนมองตามเด็กที่ถูกขัดใจไปจนลับตา มือเรียวคว้าถ้วยเล็กๆ ตักลอดช่องใส่ถ้วยแค่พอกิน น้ำแข็งบดถูกโปะลงไปให้สวยงาม พร้อมกับหยิบแก้วน้ำพลาสติกที่ใส่น้ำลอยดอกมะลิหอมสดชื่น ก่อนจะแอบย่องออกไปยังทางเดินเล็กหลังครัวไฟกลับไปยังทางที่บ่อน้ำเก่านั้นตั้งอยู่

แม้เธอจะรู้สึกกลัวทุกครั้งที่นึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวาน แต่พอได้ยินเรื่องที่จุ๊บแจงเล่าให้ฟังแล้ว เด็กคนนั้นดูจะน่าสงสารมากกว่า มันตราเชื่อว่าวิญญาณของเจ้าแดงคงยังวงเวียนอยู่ในบ่อน้ำลึกนั้น เสียงเรียกขอความช่วยเหลือเมื่อวันก่อนดังก้องอยู่ในหัว พอนึกถึงแล้วก็ทำเอาน้ำตาเอ่อมาคลออยู่ที่เบ้า สองขาเรียวรีบจ้ำอ้าวไปยังจุดหมายปลายทาง ก็ด้วยกลัวว่าจะมีคนมาเห็นและดุเอาว่าแอบหนีออกมาไกลจากบ้านอีกแล้ว

แสงแดดของเมื่อวานตลอดทั้งวันทำให้พื้นโคลนที่เคยเปียกของทางเดินดินนี้แห้งเหือดไปหมดแล้ว รอยเท้าเสือบางรอยจางไปจนแทบมองไม่เห็น เท้าเล็กๆ ก้าวอย่างมั่นคงไปจนกระทั่งถึงที่แห่งนั้น

เงาของต้นมะม่วงใหญ่พาดลงมาบังแดดให้บ่อน้ำในตอนนี้ เสียงใบไม้ดังกรอบแกรบเมื่อลมเอื่อยพัดผ่านมา ทำเอาใบมะม่วงเสียดสีกันเป็นเงาสีเข้มไหวระริก หญิงสาวสูดหายใจเข้าลึกก่อนจะทำใจดีสู้ผี เธอก้าวเข้าไปเหยียบบนฐานปูน ก่อนจะวางถ้วยลอดช่องและน้ำลอยดอกมะลิไว้ที่ขอบบ่อ มันตรายกมือไหว้พร้อมสวดมนต์แผ่เมตตาให้วิญญาณของเจ้าแดง เด็กชายที่ถูกทิ้งลงไปในบ่อน้ำโดยที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่

“ฉันไม่รู้ว่ามีใครทำบุญไปให้เธอบ้างมั้ย นี่คือสิ่งที่ฉันพอทำให้ได้ตอนนี้ อย่าได้มีความทุกข์กายทุกข์ใจใดๆ เลยนะ”

หญิงสาวย่อตัวลงนั่งยองๆ ชายผ้าซิ่นถูกหนีบไว้ไม่ให้ปาดกับพื้น ธูปหนึ่งดอกที่หยิบติดมือมาถูกจุดและปักไว้ตรงนั้น มือเรียวยกขึ้นไหว้ พลางกรวดน้ำลงไปยังฐานบ่อน้ำ ในใจตั้งจิตอธิษฐานให้ดวงวิญญาณน้อย


ณ ที่แห่งหนึ่งที่ไกลออกไปจากตรงนั้นไม่มากนัก นัยน์ตาสีแดงเพลิงคู่หนึ่งจับจ้องมองมายังบ่อน้ำเก่าแก่ ลายพาดกลอนบนตัวพรางไปกับพงหญ้าที่สูงเสมอตัว ลมหายใจเงียบเชียบ เขาซ่อนตัวอยู่อย่างนั้น เฝ้ามองท่าทีของหญิงสาวที่นั่งยองๆ กรวดน้ำอยู่อย่างใจเย็น แต่เงาหนึ่งปรากฏขึ้นเหนือบ่อน้ำใหญ่พอให้มองเห็นว่าเป็นร่างกายของเด็กน้อย เงานั้นซีดจางเสียจนมองทะลุไปอีกฝั่งได้

“เจ้านี่มัน...”

เสียงหนึ่งดังในห้วงความคิด แทบอยากจะเดินไปเอ็ดใกล้ๆ แต่ร่างโปร่งใสนั้นแสดงท่าทีที่แตกต่างออกไป เงาจางนั่งลงตรงขอบบ่อ ท่าทีที่เห็นจากที่ตรงนี้คือเขาก้มลงเพื่อดื่มกินขนมจากถ้วยพลาสติกที่มันตราวางเอาไว้ให้ เสือใหญ่มีท่าทีฉงน แต่ก็ยังไม่ได้เดินเข้าไปหา ปล่อยให้สถานการณ์เป็นไปอย่างนั้นก่อน

ด้านของมันตราก็ยังไม่รู้ตัวว่าหล่อนถูกจับจ้องอยู่ด้วยนัยน์ตาสีแดงเพลิงคู่นั้น หลังจากที่เธอกรวดน้ำเสร็จ ร่างบางยันตัวลุกขึ้น มองถ้วยลอดช่องของเธอที่วางเอาไว้ ภายในใจของเธอตอนนี้รู้สึกอิ่มเอมอย่างบอกไม่ถูก เหมือนกับได้ทำในสิ่งที่เธอคิดว่าเธอสามารถทำได้แล้ว

“เดี๋ยวสักบ่ายๆ ค่อยมาเก็บก็แล้วกัน”

หญิงสาวว่ากับตัวเองก่อนจะค่อยๆ เดินกลับไปที่บ้านตามทางเดินเล็กนั้น

"..."

   “ผมไม่ได้ตั้งใจทำให้พี่สาวกลัว” เด็กน้อยร่างซีดจางที่นั่งหย่อนขาลงตรงขอบบ่อพูดขึ้นเมื่อเห็นเสือโคร่งใหญ่ที่เข้ามาเหยียบอยู่บนพื้นซีเมนต์เก่านี้ตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ ขนาดตัวมหึมาและความสูงที่สูงเกินขอบบ่อขึ้นมาทำเอาวิญญาณเด็กน้อยที่แม้จะตายไปเป็นผีแล้วก็ยังหวาดกลัว 

“ไม่เป็นไร เจ้ารับทานของเจ้าเถอะเจ้าแดง เจ้าไม่ได้กินอะไรมานานแล้ว” สมิงร่างใหญ่เอ่ยเสียงทุ้มต่ำ นัยน์ตาสีแดงเพลิงคู่นั้นยังคงมองตามแผ่นหลังบางของเธอไปอย่างไม่ละสายตา

“ผมรู้สึกสบายใจอย่างบอกไม่ถูกเลยครับท่าน” วิญญาณเด็กบอกระหว่างที่นั่งซดลอดช่องอย่างเอร็ดอร่อย

“อือ...ข้ายังแปลกใจอยู่”

เสือโคร่งร่างกำยำตอบก่อนจะเดินแยกออกไปอีกทาง หมายใจว่าเธอคนนั้นคงถึงบ้านโดยไม่มีอะไรมาขัดขวาง แต่นั่นกลับเป็นจังหวะเดียวกับที่หญิงสาวหันหลังมามอง

นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนเป็นประกายไหววูบหนึ่งเมื่อเธอมองเห็นปลายหางลายสีดำสลับเหลืองอมขาวที่ตวัดผ่านพงหญ้าใกล้ๆ บ่อน้ำนั้น

“คุณพ่อปู่!!”

มันตรารีบวิ่งกลับมาพลางเรียกชื่อที่คิดว่าเป็นชื่อของเขาคนนั้น ทำเอาวิญญาณเด็กน้อยอดปิดปากขำไม่ได้ ก่อนร่างจะเลือนรางและหายไป

“อ่าว...” หญิงสาวอุทานออกมาอย่างผิดหวังเมื่อไม่มีแม้แต่ใครสักคนยืนอยู่ตรงนี้ เธอทำได้เพียงแค่ถอนหายใจ ก่อนจะหันหลังกลับอีกครั้ง และส่ายหัว 

ทำไมเธอถึงคิดว่าเขาจะมานะ


พอตะวันเริ่มคล้อยไปเป็นเวลาบ่าย แขกเหรื่อละแวกนั้นก็ทยอยกันมานั่งพูดคุยในงานศพ มันตรายอมรับเลยว่างานศพของยายทวดไม่มีวันไหนเลยที่เงียบเหงา

หญิงสาวเกล้ามวยผมขึ้นเผยต้นคอขาว เสื้อผ้าฝ้ายแขนกุดสีดำเข้ากับผ้าซิ่นคำเคิบสีเข้มของเมืองน่าน ตีนซิ่นต่อด้วยตีนจกดิ้นเงิน ขับผิวที่ขาวเนียนอยู่แล้วให้เปล่งปลั่งมากขึ้นไปอีก กลิ่นหอมอ่อนๆ ของน้ำอบโบราณที่ยายแต้มให้ทำเอาแขกเหรื่อหันมาเอ่ยชมกันไม่ขาดปาก โดยเฉพาะแขกผู้ชายที่เป็นหนุ่มๆ ในหมู่บ้าน

“น้องมันตรานี่หัวฮ้อมหอมนะครับ ใช้แป้งอะไร พี่ชายอยากรู้”

     หนุ่มคนหนึ่งเอ่ยแซวขึ้นจนมันตราไม่ค่อยจะกล้ามองหน้าเขามากนัก เขาคือนายหนุ่ย ลูกชายของลุงแดงที่เปิดอู่ซ่อมรถห่างออกไปไม่ถึงกิโลเมตร แน่นอนว่าท่าทางของเขาก็เหมือนกับหนุ่มชาวบ้านทั่วไป ด้วยวัยสิบแปดย่างสิบเก้าปี ประกอบกับนิสัยขี้หลี โดยเฉพาะเมื่ออยู่ต่อหน้าเพื่อนฝูงยิ่งทวีความมั่นใจขึ้นไปอีก มันตรายิ้มให้น้อยๆ แต่ไม่ตอบอะไร ตั้งใจว่าแค่เดินไปแจกน้ำให้แขกกลุ่มอื่นๆ เขาก็คงละสายตาจากเธอไปเอง

“อ่าว ยิ้ม~ อายพี่เหรอคะคนสวย”

     ชายขี้หลียังคงแซวเธออยู่ไม่เลิก แม้ว่าหากเทียบอายุกันแล้วมันตราแก่กว่าเขาตั้งห้าหกปี แต่ด้วยหน้าตาสะสวย นายหนุ่ยเองก็คงไม่ได้สนใจอายุเธอเท่าไร

     และด้วยประโยคนี้ทำเอามันตราเลิกคิ้วน้อยๆ เธอเพียงแค่ยิ้มให้ตามมารยาทเท่านั้น นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนมองไปรอบๆ เชิงว่าอยากหาใครสักคนช่วยพานายคนนี้ออกไปให้ห่างจากเธอเสียที

“มาครับ พี่ช่วยเสิร์ฟน้ำนะ” ว่าไม่ทันขาดคำนายหนุ่ยก็ช้อนมือลงไปใต้ถาดกลมที่มันตราถืออยู่ มือหยาบลอบสัมผัสมือนุ่มของเธออย่างจงใจ ทำเอาหญิงสาวเองเริ่มรู้สึกอึดอัดจนแทบอยากเดินหนี แต่กลุ่มเพื่อนๆ ของนายหนุ่ยเดินมารุมล้อมหน้าล้อมหลัง ร่างบางพยายามแทรกตัวออก ทว่ากลับชนเข้ากับชายร่างใหญ่คนหนึ่ง

“!!?!”

หญิงสาวเงยหน้ามองพร้อมกับดวงตากลมเป็นประกาย มือเรียวขยับคว้าชายเสื้อขาวไว้ในทันที ชายผมดำยาวคว้าตัวเธอไว้ ทำเอากลุ่มชายพวกนั้นแตกฮือกันออกไป นัยน์ตาคมเข้มมองกวาดไปยังกลุ่มชายเจ้าปัญหาที่เมื่อครู่ยังทำชีกอกับสาวเจ้าอยู่

ตอนนี้ทุกอย่างเงียบกริบ นายหนุ่ยเองก็ทำได้แค่กลืนน้ำลายลงคอไปอย่างฝืดๆ ด้วยว่าเบื้องหน้าของนายหนุ่ยบัดนี้มีชายร่างกำยำสูงใหญ่ยืนค้ำหัวอยู่ ความสูงของเขาหากคะเนด้วยตาแล้วก็คงอยู่ที่ราวๆ 2 เมตรได้ เส้นผมยาวดำขลับ นัยน์ตาสีดำแกมประกายแดง เมื่อพวกเขาเผลอไปสบตาแล้วทำให้เสียวสันหลังวาบ

     มือใหญ่โอบไปที่ไหล่เล็ก ก่อนจะพามันตราเดินออกมายังที่โล่งใกล้ๆ บ้านไม้บะเก่า ไม่ใกล้ไม่ไกลกับโรงครัวมากนัก บริเวณนี้ถูกใช้สำหรับปลูกผักสวนครัวต่างๆ มีแคร่ไม้ไผ่ตั้งไว้ใต้ต้นปีบสำหรับนั่งพักหลบแดด

     “ขอบคุณค่ะ คุณพ่อปู่...” หญิงสาวเอ่ยขอบคุณทันที 

     แต่เจ้าตัวคนที่พาเดินมากลับไม่ค่อยพอใจกับคำเรียกชื่อนี้สักเท่าไร

“ข้าบอกว่าข้าไม่ได้ชื่อนั้น...” คิ้วหนากระตุกน้อยๆ พร้อมกับที่เสียงเข้มบ่นออกมา

“ก็คุณไม่ยอมบอกนี่คะว่าคุณชื่ออะไร” หญิงสาวยอกย้อน 

นัยน์ตาสีเพลิงเหลือบลงมาเหมือนกำลังเอ็ด แต่กลับไม่มีคำตอบใดหลุดออกมาจากริมฝีปากเข้มของเขา ทุกอย่างรอบตัวเงียบจนได้ยินเสียงของใบไม้ไหว แต่แล้วร่างใหญ่จึงเอื้อนเอ่ย

“ยายทวดของเจ้าเรียกข้าว่า ‘สมิง’”

“คุณสมิงเหรอคะ” ร่างบางพูดทวน

“สมิง” ร่างใหญ่ย้ำคำเสียงเข้ม

“...”

“สมิงเฉยๆ เหรอคะ...แบบนี้จะไม่เป็นการลบหลู่เหรอคะ”

หญิงสาวเอ่ยถามหน้าตาตื่น ก็ด้วยครั้งก่อนที่ได้ยินเรื่องพ่อปู่มาจากคุณหยาดทิพย์ หล่อนพูดกับกลุ่มชาวบ้านเกี่ยวกับเรื่องการลบหลู่พ่อปู่สมิงตาไฟที่สามารถดลบันดาลให้ใครเป็นใครตายอย่างไรก็ได้อย่างนั้นแล

 

“ข้าไม่ถือหรอกน่า” สมิงหนุ่มย้ำเจตจำนง ทำเอาหญิงสาวเผลอยิ้มออกมาเหมือนโล่งใจไปเปลาะหนึ่ง ก่อนที่เธอจะเอ่ยปากชวน

“คุณไม่ลองเข้าไปร่วมงานหน่อยเหรอ”

“ข้าไม่ควรเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับมนุษย์มากเกินไป” เขาตอบสั้นๆ

มันตราเลิกคิ้วเรียวขึ้นก่อนจะหันไปมองใบหน้าคมเข้ม ทั้งๆ ที่บอกว่าไม่ควรเข้าไปยุ่งกับมนุษย์แท้ๆ แต่เขากลับเลือกที่จะเข้าไปช่วยเธอออกมาจากกลุ่มผู้ชายเมื่อครู่เนี่ยนะ

“แล้วทำไมคุณถึงช่วยฉันล่ะคะ” ดวงตากลมโตกะพริบปริบๆ มองมาอย่างสงสัย 

ชายร่างใหญ่มองตรงไปเบื้องหน้า ก่อนเนตรสีเพลิงนั้นจะเหลือบลงมามองจนสบตากับเธอ

“เพราะเจ้าโง่เกินกว่าจะช่วยเหลือตัวเองได้ยังไงล่ะ” สมิงตอบออกมาตามตรง 

สาวเจ้าถึงกับหน้าเสีย อะไรกันผู้ชายคนนี้ เสียมารยาทจริงๆ คำพูดเหล่านี้วนเวียนอยู่ในห้วงความคิดของมันตรา แต่ไม่ได้พูดมันออกไป

“แหม...” มันตราทำได้เพียงแค่ส่งเสียงไม่พอใจอย่างคาดโทษเขาออกมาเท่านั้น แขนเล็กยกขึ้นกอดอก  คำพูดที่แม้จะแรงอยู่บ้าง แต่ก็เป็นจริงอย่างที่เขาว่า วันนี้ถ้าไม่ได้เขาช่วยไว้ เธอก็คิดไม่ออกเหมือนกันว่าจะเอาตัวรอดออกมาได้อย่างไร

“มันตรา ลูก!!” แม่ครัวในงานตะโกนเรียก เมื่อเห็นว่ามันตรานั่งหลบแดดอยู่ที่ใต้ต้นปีบ มืออวบเล็กกวักเรียกให้เธอไปหา 

เจ้าของร่างบางหันขวับก่อนจะโบกมือตอบ 

     “มาๆ ได้เวลาทานข้าวเที่ยงแล้ว” แม่ครัวว่าพลางเท้าสะเอวเป็นการเร่งให้สาวเจ้าเดินมาเสียที 

เมื่อมันตราเห็นดังนั้นจึงตั้งใจว่าจะหันกลับไปบอกลาสมิงหนุ่มเสียก่อน แต่พอหันกลับมามอง ที่ข้างๆ เธอนั้นกลับว่างเปล่า สมิงหายไปแล้ว แม้เธอจะไม่รู้สึกตัวเลยว่าเขาลุกออกไปเมื่อไร

“ยังมาไวไปไวเหมือนเดิมเลยแฮะ” สาวเจ้าเอ่ยกับตัวเองก่อนจะลุกขึ้นเดินกลับไปยังเรือนไม้ตามที่แม่ครัวเรียก

     “ไปนั่งทำอะไรตรงนั้นจ๊ะ” หญิงร่างท้วมเอ่ยถาม ก่อนจะเดินนำเข้าไปยังโรงครัวไฟ ปากก็สั่งงานคนนั้นทีคนนี้ทีตามประสา 

มันตราไม่ได้ตอบอะไรออกไป เพียงแค่ยิ้มให้ และเดินแยกขึ้นเรือนไปหายายที่กำลังนั่งรอกินข้าวอยู่

“ขอโทษค่ะยายที่หนูมาช้า”

บนเรือนไม้บะเก่า ยายนั่งรอกินข้าวอยู่ในวงเครือญาติคนอื่นๆ หญิงชรายิ้มกว้างออกมาในทันทีเมื่อเห็นหลานสาวสุดที่รักเดินขึ้นกระไดบ้านมา มือหนึ่งก็กวักเรียก ส่วนอีกมือหนึ่งกำปั้นข้าวเหนียวอุ่นไว้ในมือ

“มาๆ กิ๋นเข้าก่อน” (มาๆ มาทานข้าวก่อน) แกว่าก่อนจะเริ่มลงมือกินต่อ จังหวะนั้นเองรถยนต์สองสามคันถูกขับเข้ามาจอดในลานดินหน้าบ้านใหญ่ เสียงรถยนต์ที่แต่งท่อดังกระหึ่มจนแทบอยากจะยกมือขึ้นปิดหู แต่เมื่อเสียงดังของท่อรถยนต์เงียบลง เสียงเจี๊ยวจ๊าวของแขกมากหน้าหลายตาก็ดังขึ้นแทน พวกเขาก็คือลูกหลานของยายทวดที่เพิ่งเดินทางมาถึงก่อนวันเผาเพียงหนึ่งวันเท่านั้น ด้วยเพราะลูกหลานของยายทวดบางส่วน แต่งงานและออกเรือนไปอยู่ต่างบ้านต่างเมือง ความสัมพันธ์บางทีก็ดูจะระหองระแหง ช่วงที่พอจะได้มาเจอหน้าเจอตากันก็คราวที่ยายทวดแกสิ้นไปแล้วนี่แล

“สวัสดีค่า!!”

ป้าหมวย หลานสาวคนหนึ่งของยายเอ่ยทักทายพร้อมๆ กับลูกหลานมากมาย มันตราเองที่เพิ่งทรุดตัวลงนั่งก็จำต้องลุกขึ้นไปต้อนรับแขกเหรื่อมากมายที่ทะลักกันขึ้นมาบนเรือนไม้ นับแล้วก็ไม่ต่ำกว่า 15 คนได้ ด้วยป้าหมวยแกมีลูกเยอะ แถมลูกบางคนก็แต่งงานออกเรือนไปแล้ว คงหอบกันมาทั้งลูกเล็กเด็กแดง

“สวัสดีค่ะ เชิญค่ะ” มันตราว่าก่อนจะเดินนำไปยังหน้าแท่นวางรูปของยาย มือเรียวเล็กไล่ส่งธูปให้แขกแต่ละคนจนครบอย่างเจ้าบ้านที่ดี เธอยังคงทำหน้าที่ของเธอด้วยรอยยิ้ม ก่อนที่หญิงสาวหน้าตาคุ้นๆ จะเดินเข้ามารับธูปจากมือเธอเป็นคนสุดท้าย

“สวัสดีค่ะพี่มันตรา” เอ่ยเสียงเล็กทักทายอย่างไม่ค่อยชัดนัก ด้วยเพราะเหล็กจัดฟันเส้นยาวที่ขึงฟันให้เรียงสวยอยู่ภายในปาก หญิงสาวรุ่นราวคราวเดียวกันกับเธอจ้องมองสบนัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนอย่างดูแคลน

“สวัสดีจ้ะ พิกุล” มันตราเอ่ยทักทายตามมารยาท

หญิงสาวถอนหายใจก่อนจะตอบ “ขอโทษค่ะ พอดีพี่อาจจะไม่รู้ หนูเพิ่งเปลี่ยนชื่อใหม่ได้ไม่นานนี้เอง เรียกหนูว่าพิมฐาเถอะค่ะ” พิมฐาหันไปจุดธูปหนึ่งดอก และเดินมาไหว้ยายทวดหน้าโลง เธอยกมือไหว้อยู่สองสามทีก่อนจะปักธูปลงในกระถางธูป และเดินกลับมานั่งร่วมวงเพื่อรับประทานอาหารกับกลุ่มของยาย 

ตอนนี้สำรับกับข้าวถูกยกมาเติมเพิ่ม วงข้าวถูกแบ่งเป็นวงสำหรับผู้ใหญ่และเด็กพอให้สะดวกสบายแก่การนั่งพูดคุยกัน ที่จริงยายกันที่ไว้ให้สำหรับมันตรา แต่ตอนนี้ที่นั่งตรงนั้นถูกแทนที่ด้วยป้าหมวยเสียแล้ว ดวงตาเล็กมองหาหลานสาวอยู่ตลอด แต่มันตราส่ายหน้าตอบ และผายมือให้ยายแปงกินข้าวไปก่อนเลย เธอนั่งกินกับญาติคนอื่นๆ ได้

“เชิญเลยค่ะ ทานข้าวดื่มน้ำดื่มท่ากันก่อน”

มันตราเดินมานั่งร่วมวงกับเหล่าลูกพี่ลูกน้องที่มาจากต่างจังหวัดของเธอ บางคนก็พอจะเคยเห็นหน้าค่าตากันแล้ว แต่บางคนก็เพิ่งเคยพบกันเป็นครั้งแรก หญิงสาวถือโอกาสนี้ทำความรู้จักกับทุกคนไปด้วยเลย

ด้วยว่าเธอเป็นสาวเหนือที่อาศัยอยู่ที่เชียงใหม่มาตั้งแต่เกิด ผิวพรรณก็จะดูขาวเนียนกว่าลูกหลานคนอื่นของทางป้าหมวยที่แต่งงานและย้ายไปอยู่แถวๆ จังหวัดชุมพร พื้นที่ติดกับทะเล

“พี่ขาวจังค่ะ” เด็กสาวคนหนึ่งเอ่ยขึ้น ดูเหมือนเธอจะรุ่นราวคราวเดียวกับจุ๊บแจง นัยน์ตาดำขลับ ขนตาดำงอนสวย ริมฝีปากสีเข้มอย่างคนใต้ทำให้ดวงตาคู่นั้นดูมีเสน่ห์มากเหลือเกิน หากแต่ดูเหมือนสาวน้อยคนนี้จะสนใจผิวขาวนวลของมันตรามากกว่า

              “เอ๋?...” มันตราประหลาดใจ ก่อนจะมองไปที่มือเรียวคู่นั้นของอีกฝ่าย เด็กสาวจับมือของเธอมาเทียบก่อนจะพูดหยอกล้อกับพี่น้องคนอื่นๆ ว่าอย่างกับทางม้าลายเลย จนมันตรารู้สึกไม่ค่อยดีเท่าไร หล่อนทำได้เพียงยิ้มแหยๆ เท่านั้น

              “นั่นแหวนอะไรน่ะ”

              เสียงของพิมฐาที่นั่งล้อมวงอยู่ด้วยกันชี้มาที่มือของมันตรา นิ้วนางข้างซ้ายมีแหวนทองคำเก่าแก่ หัวแหวนเป็นทับทิมวงเดิมที่เธอได้มาจากสมิง

              “อะ...อ๋อ...”

              นิ้วโป้งข้างขวาของเธอขยับไปลูบแหวนเรือนงามวงนั้นเบาๆ ในใจกำลังคิดอยู่ว่าจะบอกพวกเธอยังไงดีนะ จะบอกว่าเป็นแหวนของเธอก็คงจะยังไม่ใช่ แต่หากจะบอกว่าเป็นของสมิงที่ให้มาก็คงต้องอธิบายกันอีกยืดยาวว่าสมิงคือใคร

              “ของหม่อนน่ะค่ะ” มันตราเลือกตอบแบบนี้ด้วยคิดว่าน่าจะเป็นคำตอบที่ดีที่สุดแล้ว

              “ของยายทวดเหรอ แล้วเอามาใส่ได้ยังไงกันล่ะ” พิมฐายิงคำถาม 

มันตราเองก็หาคำตอบให้อีกฝ่ายไม่ได้

              “ล่าสุดที่เจอกันตอนสงกรานต์ก็ไม่เห็นจะสวมแหวนวงนี้ไม่ใช่เหรอ แล้วทำไม...” สาวเจ้าเปิดประเด็น ทำเอาคนอื่นๆ เงียบลง และหันมองมายังใบหน้าขาวของมันตราอย่างต้องการรู้คำตอบเช่นกัน

              “ก็ถามยายแล้ว ยายบอกให้ฉันเก็บไว้ได้” มันตราอ้ำอึ้ง

              “แต่มันเป็นของยายทวดนะ ถ้ายังไม่มีการประกาศพินัยกรรม ของทุกอย่างก็อาจจะเป็นของใครก็ได้ไม่ใช่เหรอ” พิมฐาออกปาก และดูเหมือนว่าเธอจะเริ่มเสียงดังขึ้น เหมือนจงใจจะพูดออกมาดังๆ ให้ญาติคนอื่นๆ ได้ยิน

              “อู้อะหยังกั๋นน่ะ...” (พูดอะไรกันน่ะ) ยายแปงถามขึ้นจากวงของผู้ใหญ่ แกเริ่มได้ยินเสียงจากทางกลุ่มของเด็กๆ ที่ดังขึ้นกว่าตอนแรกมาก แต่ฟังไม่ค่อยได้ศัพท์ เพราะวงของผู้ใหญ่ก็คุยกันเจี๊ยวจ๊าว

“เดี๋ยวหนูไปดูให้ค่ะ” ป้าหมวยในวัยประมาณ 50 ปีอาสาลุกไปดูว่าเกิดอะไรขึ้นในวงของเด็กๆ เมื่อแกลุกยืน ผ้าซิ่นสีดำก็ยับยู่เพราะนั่งกินข้าวอยู่กับพื้นนาน แกใช้เวลาปัดผ้าซิ่นให้เรียบอยู่สักพักจึงค่อยๆ ออกตัวเดินมาสอบถามยังวงของพวกเด็กๆ

“เกิดอะไรขึ้นเด็กๆ มีอะไร” แกเอ่ยถามระหว่างที่ก้มลงไปดูท่าทีของลูกๆ หลานๆ 

              “แม่คะ พี่มันตราเขาเอาแหวนของยายทวดมาใส่ หนูอยากได้บ้าง” พิมฐาตอบไปตามตรงอย่างเด็กเอาแต่ใจ ด้วยเพราะเป็นลูกคนสุดท้อง จึงถูกตามใจจนเคยตัว

              “แหวน?” หญิงร่างใหญ่มองไปยังมือเรียวเล็กของมันตรา แหวนที่ปรากฏตรงนั้นทำเอาความอยากรู้อยากเห็นของแกเกิดขึ้นเท่าทวีคูณ

              “ไหนขอป้าดูหน่อยสิ หนูไปเอามาจากไหนลูก” ป้าหมวยแบมือขอ 

              มันตรากระอักกระอ่วนใจที่จะถอดแหวนให้ดู แต่เธอปฏิเสธไม่ได้ มือหนึ่งค่อยๆ ถอดแหวนเรือนงามออกจากนิ้วเรียวขาวช้าๆ และส่งไปให้แกดูด้วยท่าทีจำยอม

              เมื่อมือหยาบของป้าหมวยสัมผัสแหวนก็รับรู้ได้ถึงน้ำหนักทองของแหวนวงนี้ทันที มูลค่าถูกตีขึ้นในหัวอย่างเงียบเชียบและเก็บอาการ

              “โห แหวนเก่าของยายเลยนะเนี่ย” แกเอ่ยขึ้นพร้อมส่งแหวนคืนให้มันตรา เนื่องด้วยสิ่งที่แกกำลังทำอยู่นั้นอยู่ในสายตาของยายแปงตลอดเวลา

              “แม่!!” เสียงเอ็ดของลูกสาวเอาแต่ใจดังขึ้น 

              ป้าหมวยยกคิ้วเข้มขึ้นขู่ลูกสาวคนเล็กให้พูดเบาๆหน่อย ดวงตาคมบึ้้งตึงแทบถลนออกมาจากเบ้า ทำเอาพิมฐาพ่นลมหายใจออกอย่างขัดใจ

“มันตราเก็บรักษามันดีๆ นะลูก” แกบอกมันตราด้วยน้ำเสียงใจดีตรงข้ามกับอาการเมื่อครู่โดยสิ้นเชิง 

หญิงสาวใจชื้นขึ้นเมื่อแหวนกลับมาอยู่ในมือเธออีกครั้ง แต่ขณะจะสวมกลับเข้านิ้วไป ป้าหมวยก็เอยประโยคหนึ่งออกมาทันที

              “แต่เหมือนพิมฐาดูจะชอบแหวนวงนี้มาก ขอน้องลองใส่ดูได้มั้ยลูก” แกพูดพลางตบไปที่ขาของมันตราเบาๆ แล้วยันตัวลุกขึ้นเดินกลับมานั่งที่เดิมของแก 

              ยายแปงที่รอฟังอยู่ได้รับคำตอบจากลูกสาวที่โกหกออกไปหน้าตาเฉยเพียงว่า พวกเด็กๆ หิวกันจนกินใกล้จะหมดแล้ว เลยเกี่ยงกันเรื่องว่าใครกินเยอะกินน้อย 

              ยายรีบกวักมือเรียกสาวใช้ให้รีบเอาสำรับกับข้าวไปเติมให้ในทันที แกไม่อยากให้ลูกหลานของแกมาทะเลาะกันเรื่องข้าวปลาอาหารแบบนี้

มันตราจำใจยื่นแหวนวงนั้นให้พิมฐาอย่างเสียไม่ได้ ก่อนเธอจะกำชับอย่างหนักแน่นกึ่งจำยอม “จะลองใส่ดูก็ได้นะ...แต่ว่ารักษาดีๆ ล่ะ” 

พิมฐาเห็นมันตรายื่นแหวนมาแบบนั้นก็รีบคว้าหมับไว้ เธอลองสอดนิ้วมือเข้าไป แต่เนื่องด้วยแหวนที่ให้มานั้นวงเล็กเกินกว่าที่เธอจะสวมได้ หญิงสาวสวมมันได้เพียงแค่นิ้วก้อย แต่เท่านั้นก็สมใจอยากแล้ว ด้วยแหวนทองดูมีมูลค่ามาก ทับทิมเก่าแก่นั่นก็ล่อตาล่อใจเหลือเกิน เธอจึงสวมมันไว้และกินข้าวไปหน้าตาเฉย

“ทานข้าวเสร็จพี่ขอได้มั้ย” มันตราเจรจา

“ไม่รู้สิ ยังไม่รับปากละกัน” พิมฐาลอยหน้าลอยตา มือก็จกข้าวเหนียวกินไป โดยไม่ได้ใส่ใจคำพูดของมันตราเลยแม้แต่น้อย

 

เวลาล่วงเลยไปจนกระทั่งเย็น ท้องฟ้ากว้างฉาบไปด้วยสีส้มแสดของดวงตะวัน เงาของต้นไม้ใหญ่พาดผ่านพอให้ฝั่งตะวันตกไม่ร้อนมากเกินไป กิ่งไผ่ที่ขึ้นเป็นแนวยาวหลังเรือนไหวเอนอยู่น้อยๆ มันตราขอตัวแยกมาอาบน้ำเพียงลำพัง ด้วยลูกหลานของทางป้าหมวยค่อนข้างเยอะ จึงทยอยกันไปนอนตามบ้านหลังอื่นๆ ในละแวกเดียวกัน แถมพวกหล่อนก็คงไม่เคยชินกับการอาบน้ำแบบเก่าเท่าไร

              มันตรานุ่งกระโจมอกและคลุมไหล่ด้วยผ้าเช็ดตัวสีขาวผืนหนึ่ง มือข้างหนึ่งถือตะกร้าใส่อุปกรณ์อาบน้ำ ผมยาวสลวยเป็นมันเงาถูกปล่อยสยาย สองเท้าเล็กก้าวไปยังลานอาบน้ำที่ประจำของเธออย่างไม่เร่งรีบ แต่ภายในใจกลับกระวนกระวาย ด้วยว่าแหวนที่สมิงหนุ่มให้มานั้นยังคงอยู่กับพิมฐา ลูกพี่ลูกน้องของเธอ

            “เฮ้ออ~~~...”

            หญิงสาววางตะกร้าเล็กลงริมขอบบ่อ ปลดผ้าเช็ดตัวแขวนไว้ที่ราวไม้ใกล้ๆ ดวงตาหม่นมองยังนิ้วนางข้างซ้าย จุดที่เธอเคยสวมแหวนทองเรือนนั้นเอาไว้ตลอด

            “รู้สึก...โล่งๆไปเลยแฮะ...” ร่างบางเอ่ยกับตัวเอง

“แหวนเจ้าอยู่ไหน”

              “...!!!”

              เสียงเข้มที่คุ้นหูดังขึ้น มันตราถึงกับสะดุ้งโหยง สองมือรีบกุมผ้าถุงขึ้นกระชับแน่นก่อนจะมองไปรอบๆ แล้วพบว่าเจ้าของเสียงนั้นเป็นเสือสมิงร่างใหญ่ที่ยืนตระหง่านอยู่ฝั่งตรงข้ามบ่อซีเมนต์ ดวงตากลมของเธอกลอกไปมาอย่างกลัวว่าจะมีใครเดินเข้ามาข้างในนี้อีกหรือเปล่า

              “ข้าถามว่าแหวนของเจ้าอยู่ไหน” เสียงเข้มดุขึ้นเล็กน้อย

              “คือ...” มันตราอ้ำอึ้ง เธอจะบอกอย่างไรดีว่าพิมฐา ลูกพี่ลูกน้องของเธอขอยืมแหวนวงนี้ไปใส่ นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนหลุบลงอย่างสำนึกผิด

              “ข้าเคยบอกเจ้าแล้วว่าหากเจ้าไม่ต้องการมัน ให้ขายมันให้กับหยาดทิพย์ ทำไมกลับเอาไปให้คนอื่น” ร่างใหญ่เอ่ยออกมาเหมือนเขาเองก็รู้สถานการณ์อยู่แล้ว

              “ฉัน...ไม่ได้ให้เธอไปนะคะ ฉันแค่...ให้เธอยืม...ก็แค่นั้น...” เสียงตอบค่อยลงไปทุกที ตอนนี้เองที่เธอรู้สึกได้เลยว่าหากยาย หรือยายทวดทราบเรื่องนี้เข้าก็คงจะดุเหมือนกับที่สมิงกำลังทำอยู่ตอนนี้เป็นแน่

              นัยน์ตาสีแดงเพลิงนั้นจ้องมองมายังเธออย่างไม่กะพริบ ก่อนอุ้งเท้าใหญ่จะค่อยๆ ก้าวมายังเบื้องหน้าของหญิงสาวพลางว่า

              “เจ้าไม่รู้หรือไงว่าแหวนบางวงมันมีจิตวิญญาณ”

              สมิงร่างใหญ่บอกด้วยน้ำเสียงจริงจัง ทำเอามันตราต้องขยับถอยห่างออกมาจนแผ่นหลังเนียนของเธอทาบไปกับผนังอิฐสูง ผนังที่ถูกแดดเผามาตลอดทั้งวันเริ่มเย็นลงบ้างแล้ว แต่ก็ยังอุ่นอยู่บ้าง สาวร่างบางส่ายหน้าใส่เจ้าของลายพาดกลอนตัวเขื่องเป็นการปฏิเสธ เธอไม่รู้เรื่องอะไรแบบนี้เลย

              “มันไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าข้า หรือยายทวดของเจ้ามอบแหวนวงนั้นให้กับใคร แต่มันขึ้นอยู่กับว่าแหวนวงนั้นเลือกใครต่างหาก” สมิงอธิบาย

“ละ...แล้วฉันจะรู้ได้ยังไงล่ะคะว่าแหวนอยากอยู่กับใคร”

              มันตราแย้งเสียงเบา ด้วยเธอก็ไม่ได้รู้สึกว่ามีอะไรบ่งบอกชัดเจนว่าแหวนวงนี้เลือกเธอจริง เธออาจจะเป็นเพียงแค่ทางผ่านของมันก็ได้ ใครจะไปรู้ คำพูดเหล่านี้ผุดขึ้นในหัว แต่เธอไม่ได้เอ่ยออกไป เพราะกลัวว่าจะถูกเอ็ดอีก

              “มันพิสูจน์ไม่ยากหรอก แต่เจ้าจะรับผลของมันได้จริงๆ เหรอ”

              หญิงสาวดูเศร้าลงจนเสือใหญ่สังเกตได้ เขาเลือกที่จะหยุดและเดินวนห่างออกมา

              “ตอนนี้ข้าบอกเจ้าได้แค่ว่าคนที่ไม่ใช่เจ้าของ ยังไงก็ไม่มีวันเป็นเจ้าของได้”

ว่าแล้วร่างใหญ่ก็ก้าวออกไปจากลานอาบน้ำในทันที ทิ้งมันตราที่ยังคงยืนพิงผนังอิฐอุ่นไว้เพียงลำพัง ในหัวกำลังคิดหาวิธีอยู่ว่าจะเอาแหวนวงนั้นกลับมาได้อย่างไร แต่แล้วประโยคหนึ่งที่หลุดออกมาจากปากของคุณหยาดก็ทำให้เธอฉุกคิด

‘ถ้าอยากจะปล่อยก็อย่าลืมฉันล่ะ’

              เสียงนี้ดังขึ้นในหัวจนเธอเริ่มคิดอะไรออก ก็ด้วยคุณหยาดทิพย์ก็ดูอยากได้แหวนวงนี้ใจจะขาด แต่ทำไมไม่แม้แต่จะต่อรอง เธอพูดเพียงว่า ‘ถ้าอยากจะปล่อย’ หมายถึงต้องได้รับคำยินยอมจากเจ้าของก่อนอย่างนั้นหรือ

              “หนูเป็นเจ้าของมันรึเปล่าคะหม่อน ถ้าเป็นจริง...หนูขอให้อย่าได้เกิดอันตรายใดๆ กับคนที่ไม่ใช่เจ้าของเลย...” ประโยคเบาๆ ถูกเอ่ยออกมาผ่านริมฝีปากเล็ก แม้จะยังไม่แน่ใจว่าเจ้าของที่แหวนวงนั้นเลือกคือเธอหรือเปล่า แต่ยังไงก็แล้วแต่ มันตราก็ไม่อยากให้เรื่องไม่ดีเกิดขึ้นกับคนอื่นๆ สองขาเล็กก้าวเข้าไปหาบ่อซีเมนต์ ค่อยๆ ใช้ขันใบเล็กทำจากเงินสำหรับตักน้ำอาบส่วนตัวของเธอตักน้ำเย็นในบ่อขึ้นราดกลางกระหม่อมให้หัวเย็นลงเสียก่อน จากนั้นจึงค่อยๆ สระผมและอาบน้ำ


พอเริ่มเข้าไต้เข้าไฟแล้ว สายลมเอื่อยๆ จากพื้นที่สูงก็โชยลงมาจนเย็นเข้าไปถึงข้างใน แขกที่มาส่วนใหญ่ถึงกับต้องหาเสื้อผ้าแขนยาวมาสวม บรรยากาศภายในงานศพของยายทวดอายุกว่า 10 ปี ยังคงครึกครื้นเช่นดั่งวันแรก ปปแสงสีขาวจากหลอดไฟยาวให้ความสว่างในงานอย่างเต็มที่ อาสนะพิงทำจากไม้แกะสลักเคลือบด้วยสีทองถูกจัดเตรียมรอพระสวดอย่างพร้อมเพรียงดีแล้ว พระสงฆ์เดินเข้าไปนั่งประจำที่ พร้อมจะสวดอภิธรรม มีเสียงฟ้าร้องครวญครางมาแต่ไกล ชะรอยว่าคืนนี้ฝนจะลงเม็ดอีกระลอก 

มันตราในชุดดำนั่งรออำนวยความสะดวกสบายแก่แขกเหรื่ออยู่บริเวณหน้าเรือนไม้เก่า ผ้าซิ่นสีดำทิ้งชายลงกับเก้าอี้พลาสติกสีขาว เท้าในรองเท้าคัตชูไม่มีส้นสีดำทำจากผ้ากำมะหยี่ขยับไหวอย่างร้อนใจ ดวงตากลมมองหาลูกพี่ลูกน้องของเธอที่ตอนนี้ไม่รู้ว่าไปเดินเล่นหรือนั่งคุยอยู่บริเวณไหนของงาน ใจที่ว้าวุ่นนี่เองทำเธออยู่ไม่เป็นสุข แต่เมื่อเสียงพระสวดดังขึ้น มือเรียวยกขึ้นพนม ลมเย็นพัดเอากลิ่นฝนเข้ามาใต้เต็นท์ผ้าใบที่หญิงสาวและแขกหลายๆ คนนั่งอยู่ กลิ่นของดินเปียกฝนที่ถูกลมพัดมาทำให้จิตใจเธอสงบลงบ้าง หญิงสาวตั้งใจว่าหลังจากจบพิธีคืนนี้แล้วจะไปขอแหวนคืนจากพิมฐาเสียที

              ณ บนเรือนไม้ ที่นั่งสำหรับแขกเหรื่อถูกจับจองหมดแล้ว พิมฐานั่งอยู่ใกล้ๆ แม่ของเธอบริเวณชานไม้ จู่ๆ มือที่ยกขึ้นพนมนั้นก็หนักอึ้งขึ้นมา หญิงสาวแทบอยู่ไม่สุขเพราะต้องคอยขยับมือยกขึ้นยกลง ด้วยนิ้วก้อยข้างที่สวมแหวนเอาไว้มีอาการปวดตุบๆ แถมยังรู้สึกหนักอึ้งเหมือนจะโดนตะคริวกินอยู่ถี่ๆ

              “อะไรกันพิมฐา ยกมือขึ้นลงอยู่นั่น” ป้าหมวยหันไปเอ็ดลูกสาวเบาๆ 

เด็กสาวทำหน้าไม่พอใจก่อนจะก้มมองดูที่นิ้วก้อยข้างซ้าย เธอถึงกับตกใจ แทบจะถอดแหวนทิ้งเมื่ออยู่ๆ นิ้วก้อยของเธอบวมขึ้นและเริ่มมีสีคล้ำ ดวงตาเล็กฉายแววกังวล มืออีกข้างพยายามที่จะถอดแหวนออก แต่มันกลับสร้างความเจ็บปวดให้เธอเป็นเท่าทวี

“แม่! หนูเจ็บ!” เด็กสาวร้องให้แม่ของเธอช่วย 

ทันทีที่ป้าหมวยเห็นรอยที่มือของลูกสาวซึ่งคล้ำเหมือนกับมีเลือดลงไปคั่งอยู่บริเวณนั้น แกก็รีบช่วยลูกสาวแกะแหวนออกทันที ทุกคนรอบๆ ที่กำลังตั้งใจฟังธรรมต่างหันมาสนใจสองแม่ลูกที่โวยวายเสียงดังขึ้นเรื่อยๆ นั่นรวมไปถึงยายแปงด้วย

“มันเอาไม่ออกพิมฐา ลงไปข้างล่างก่อน คงต้องใช้สบู่ช่วย” คนเป็นแม่ว่าพลางยันตัวลุกขึ้น สองแม่ลูกรีบขอตัวเดินลงมาข้างล่าง มุ่งหน้าไปลานอาบน้ำ 

มันตราเห็นทั้งคู่เดินลงมาจากเรือนจึงรีบลุกเดินตามออกไป ทันทีที่มันตราก้าวออกจากใต้เต็นท์ผ้าใบผืนใหญ่ ฝนเม็ดเล็กๆ ก็ค่อยๆ ทยอยหล่นลงมาจากท้องฟ้าสีเข้ม เสียงฟ้าร้องครืนๆ คลอกับเสียงบทสวดของพระสงฆ์บนเรือน

“มานี่เร็ว!!” ป้าหมวยเร่งให้ลูกสาวตามมา รอยช้ำดำนั้นกินพื้นที่นิ้วก้อยของลูกสาวเธอไปแทบจะเต็มนิ้วแล้ว หญิงร่างใหญ่หยิบสบู่ก้อนหนึ่งที่วางอยู่บนถาดวางสบู่ข้างผนังมาละลายกับน้ำและถูไปที่แหวนรัวๆ  

              “ใจเย็นๆ นะพิมฐา!” เหมือนแค่นั้นจะยังไม่พอ แหวนวงเดิมดูจะบีบรัดเนื้อนิ้วก้อยของพิมฐาเข้าไปจนเธอร้องห่มร้องไห้ออกมา

              “แม่!! มันเจ็บ เอามันออกไปที” เด็กสาวกรีดร้องเร่ง เนื้อตัวของเธอสั่นเทาไปหมด ความเจ็บปวดกัดกินเข้ามาจนถึงข้อศอกแล้ว นิ้วก้อยที่บวมเริ่มบิดงอจนเหมือนคนกระดูกหัก เสียงโหยหวนครวญครางดังก้องลานน้ำ

              “ให้หนูช่วยเถอะค่ะ!” มันตราซึ่งเดินตามมาถึงและเห็นสถานการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดรีบเอ่ย 

              พิมฐาซึ่งตอนนี้เธอแทบไม่เหลือสติแล้วรีบร้องโหวกเหวกโวยวาย ก่อนจะตะคอกเสียงดังใส่มันตรา “อะไรก็ได้ เอามันออกไปทีเถอะ!!” 

              ท้องฟ้าสว่างวาบพร้อมกับที่ลมพัดแรงขึ้น ละอองฝนเมื่อครู่กลับกลายเป็นฝนเม็ดใหญ่ สาดเทลงมาจนร่างของทั้งสามเปียกมะล่อกมะแล่ก แต่เพียงแค่มือเรียวแตะลงไปที่เรือนแหวนทองคำเก่าแก่วงนั้น มันก็หลุดติดมือของเธอออกมาอย่างง่ายดาย สร้างความฉงนให้สองแม่ลูกเป็นอย่างมาก

              “เอาไปเลย ไอ้แหวนบ้านั่นน่ะ!!” พิมฐาพูดอย่างหวาดกลัว หล่อนผลักมันตราจนเซล้มลงไปกองกับพื้น 

              ป้าหมวยรีบรุดมาดูรอยบนมือของลูกสาว แม้มันจะไม่ได้ลามไปมากขึ้น แต่รอยดำนั้นก็ไม่ได้จางลงไปเลย

              “ไปโรงพยาบาลเถอะลูก ไปให้หมอดูก่อน” ป้าหมวยดูกังวล ก่อนแกจะเร่งฝีเท้านำลูกสาวออกไปบอกกับสามีให้เอารถออก 

              พิมฐาที่ยืนกุมมืออยู่หันมามองมันตราที่ล้มอยู่ตรงหน้า แต่ไม่ได้ยื่นมือเข้าช่วย                    

              “พี่คิดจะแกล้งอะไรฉัน! พี่คิดว่าพี่เป็นหลานรักของยายทวดแล้วพี่จะได้ทุกอย่างอย่างงั้นเหรอ!!” หญิงสาวตะคอก ก่อนแสงบนฟ้าจะสว่างวาบ เส้นแสงแตกกระจายแผ่ขึ้นเต็มท้องฟ้ากว้าง และตามมาด้วยเสียงฟ้าร้องที่สะเทือนเลื่อนลั่น มือที่เจ็บของเธอปัดกล่องสบู่และของที่วางอยู่บริเวณขอบบ่อทิ้งลงมาอย่างระบายอารมณ์ ก่อนเธอจะเร่งตามแม่ของเธอออกไป

            น้ำตาหยดแล้วหยดเล่าไหลลงมาอาบแก้มขาวที่เปียกปอนน้ำฝนอยู่แล้ว มันตราพยุงตัวเองขึ้นยืนข้างๆ ขอบบ่อ วางแหวนในมือไว้ตรงนั้น แล้วยืนสะอื้นอยู่เงียบๆ เธอไม่ยอมให้แม้แต่เสียงสะอื้นเล็ดลอดออกมาจากริมฝีปากสวย ด้วยกลัวว่าใครจะมาได้ยินเข้า แต่ถึงอย่างนั้นเสียงฝนที่สาดลงมากับเสียงพระสวดก็กลบเสียงทุกอย่างเอาไว้จนหมดแล้ว

            ร่างบางไม่กล้าแม้แต่จะหยิบแหวนมาสวมคืนที่เดิม มือเล็กสั่นเทาไปหมด เสียงร้องเจ็บปวดของพิมฐายังดังก้องอยู่ในโสตประสาท

            “อย่ากลัวไปเลย” เสียงทุ้มต่ำเอ่ยกับหญิงสาว สมิงปรากฏกายในร่างของชายหนุ่มคนเดิม สองขาแกร่งขยับเข้าหาร่างบางที่สะอื้นสั่นไปทั้งตัว มือใหญ่คว้าแหวนวงงาม,kสวมให้เธออย่างแผ่วเบา นิ้วนางข้างซ้ายที่เคยว่างเปล่าตอนนี้ถูกครอบครองด้วยแหวนเก่าแก่วงเดิม

            “อย่ากลัวถ้าเจ้าคือคนที่ถูกเลือก”

            “เพราะของบางอย่างมันไม่ได้เลวร้ายหรอก หากมันอยู่ในที่ที่เหมาะสม”

นัยน์ตาชุ่มฉ่ำไปด้วยน้ำตาหลุบต่ำลง น้ำตาหยดแล้วหลดเล่ายังคงไหลออกมาเป็นสาย มือใหญ่เชยคางสวยพอให้เจ้าของใบหน้าหวานเงยขึ้นช้าๆ อย่างไม่ได้ฝืนเธอมากนัก ใบหน้าคมก้มลงจุมพิตหยดน้ำใสที่ไหลรินลงอาบแก้มขาว ลิ้นสากลากผ่านแก้มนุ่ม ปาดกลืนน้ำตาลิ้มรสความเจ็บปวดในหัวใจของเธออยู่อย่างนั้น...

 

          

 [W1]ภาษากลางเป็น จ้า  ตั้งใจใช้ จ่า  เพราะสำเนียงคนเหนือหรือเปล่าคะ

 [DL2]เปล่าค่ะ จริงๆตั้งใจว่าจะให้ดูนุ่มนวลหน่อย คล้ายๆ จ่ะ แต่ลากเสียงยาว แต่คำนี้เปลี่ยนได้ตามคุณน้อยหน่าเห็นสมควรเลยค่า

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น