3

บทที่ 3


 

บทที่ 3                                    

            ผ้าหมาดน้ำเย็นที่ซับเบาๆ ลงข้างแก้มทำให้หญิงสาวรู้สึกตัว แต่ไม่แน่ใจว่ายังฝันอยู่หรือเปล่า เพราะเมื่อคืนเธอฝันหลายเรื่องเหลือเกิน โดยเพราะฝันถึงผู้ชายที่กระซิบข้างหูก่อนที่ลมหายใจของเขาจะปลิดปลิว

                แต่นั่นไม่ใช่ความฝัน มันเป็นความจริงที่ฝั่งตรึงอยู่ในความทรงจำของเธอทั้งยามหลับและยามตื่นต่างหาก!

                คนตายทั้งคน ตายจมกองเลือดพร่ำพูดอยู่ข้างหู ทุกคำนั้นหญิงสาวจำได้หมด แต่เธอกลับทำอะไรไม่ถูก ได้แต่นั่งตัวแข็งเกร็งกระทั่งมีผู้ชายอีกคนมาลากออกไปจากตรงนั้น ก่อนที่จะมีพวกคนถือปืนทำหน้าถมึงทึงราวมัจจุราชไล่ล่าตามคนตายมา หากคราวนั้นไม่ได้ที่ซ่อนหลบภัยก็ไม่อาจรู้เลยว่าจะจบชีวิตลงหรือไม่

            ‘อย่าพูดอะไรแม้แต่คำเดียว ไม่เช่นนั้นได้ตายเหมือนผู้ชายคนนั้นแน่’

                หญิงสาวจำคำนี้ขึ้นใจและปิดปากแน่น สั่งตัวเองไว้แล้วว่าจะไม่ปริปากเรื่องนี้กับใครอีกแม้แต่คำเดียว แม้แต่กับคนที่สั่ง หากเขาไม่ถามเธอก็ไม่พูดเพราะเกรงว่าจะมีภัยมาถึงตัว เพราะหากไม่มีอันตรายใดๆ รออยู่ ชายผู้นั้นคงไม่ตายและตัวเธอก็ไม่ต้องมาหลบซ่อนอยู่อย่างนี้

            “ลู่เสียน อย่าไปกวนคนป่วยสิ”

                น้ำเสียงนิ่งสุขุมนั่นช่างคุ้นหูและดังขึ้นพร้อมกับการหยุดเช็ดตัวให้ เธอจำได้ว่าเป็นคนที่ช่วยไว้ไม่ผิดแน่ แต่ขนนุ่มๆ ที่ถูไถ่อยู่ข้างแก้มนี้คืออะไร แล้วลู่เสียนเป็นใคร เธอคงไม่รู้คำตอบหากยังนอนไม่ยอมลืมตาอยู่อย่างนี้

                ลู่เสียนเป็นแมว…

                น่ารัก นั่นคือสิ่งที่เธอรู้สึกเมื่อจ้องดวงตาสีฟ้าสดใสของเจ้าแมวอ้วนขนฟูสีขาวปลอดมาถูไถ่อยู่ข้างแก้ม รู้แล้วว่าใครมากวนจนถูกบ่น และเมื่อค่อยๆ ปรับม่านตามองรอบตัวก็พบแสงแดดสว่างจ้าส่องมาจากหน้าต่าง สาดใส่เพดานห้องสีเหลืองอำพัน บอกให้รู้ว่าตอนนี้คงสายมากแล้ว

ส่วนตัวเธอนอนอยู่บนเตียงไม้มะค่าสี่เสาหลังใหญ่ขัดมันอย่างดี ล้อมรอบด้วยผ้ามุ่งประดับลูกไม้ลวดลายประณีตสีขาวนวลตาเช่นเดียวกับผ้าห่มผ้าปู หอมกลิ่นแดดและน้ำอบน้ำปรุงจนกลบมิดกลิ่นเลือดที่ติดเสื้อผ้าของเธอ และข้างเตียงมีคนลากเก้าอี้มานั่งเฝ้าอย่างใกล้ชิด

                เธอจำเขาได้ดี คนที่ช่วยให้รอดพ้นจากความตาย…

                เขาคงอายุราวยี่สิบกว่า เป็นชายรูปร่างสูงโปร่งสมส่วน ผิวขาวอมเหลือง ผมดำสนิทและตัดผมรองทรงสั้นอย่างที่นิยมกัน ดวงหน้ารูปไข่เกลี้ยงเกลา แต่ที่โดดเด่นคือดวงตาชั้นเดียวที่อยู่ใต้คิ้วเรียวคมเข้มคู่นั้น หากยิ้มเมื่อไรดวงตาคงหยี่หายไปจากใบหน้า

หญิงสาวมองเขาราวถูกสะกด จับจ้องจมูกโด่งสันปลายมนสวยเหนือริมฝีปากบางๆ แดงระเรื่ออย่างคนสุขภาพดี แต่ดูอย่างไรก็ไม่เหมือนคนไทยแท้ๆ น่าจะมีเชื้อจีนปนมา หรืออาจจะเป็นคนจีนแท้ๆ ที่มาอยู่ในแผ่นดินสยามเลยก็เป็นได้

                “เป็นอย่างไรบ้าง” คนที่ช่วยเธอไว้ถามอย่างนุ่มนวล “อาการไข้ดีขึ้นบ้างหรือยัง”

                “ไม่ปวดหัวแล้ว”

                “หายใจแล้วรู้สึกเหนื่อยหรือเจ็บหน้าอกหรือไม่”

                “ไม่ค่ะ”

คนเพิ่งตื่นตอบระหว่างยันตัวลุกเพราะไม่อยากมานอนแบ็บให้คนแปลกหน้าเห็นแม้เขาจะช่วยชีวิตไว้ก็ตาม แต่พอลุกขึ้นพิงหัวเตียงได้ เจ้าลู่เสียนก็ไต่ขึ้นมานั่งบนตัก เอาหัวถูกไถ่จนเธอยอมเกาคางให้มันจึงหยุดถู แต่หลับตาพริ้มแทน

“สอพลอจริงนะเจ้า” ชายหนุ่มต่อว่าแมวแต่เห็นว่ายิ้มออกมาด้วย “เมื่อคืนมันมานอนเฝ้าคุณด้วยนะ”

“หือ? ไม่เคยพบกันมาก่อน เหตุใดเจ้าแมวตัวนี้จึงมานอนเฝ้าฉัน”

“เอ่อ… มันคงอุ่น”

เขาตอบไม่เต็มเสียงนักและไม่สบตา เหมือนมีเรื่องปิดบังแต่ไม่พูด แต่เธอก็ไม่คิดจะคาดคั้นไปกับแมวตัวเดียว

“กินข้าวเสียก่อน จะได้กินยาอีก”

            ว่าแล้วเขาก็เดินกลับไปที่โต๊ะ บนนั้นหญิงสาวเห็นว่ามีของหลายอย่างวางอย่างเป็นระเบียบ ทั้งหนังสือ เอกสาร โถคุกกี้ ขวดน้ำดื่ม กระปุกยา และถ้วยอาหาร ส่วนข้างๆ มีกระเป๋าเดินทางของเธอ รวมทั้งผ้าปูเตียงชุดใหม่อีกด้วย

                “ผมให้คนทำข้าวต้มปลา คุณกินได้ไหม”

                “คนทำเขาไม่ถามหรือว่าเอาไปให้ใครกิน”

                “บอกว่าผมกินเอง แต่คงทำบ่อยๆ ไม่ได้หรอกนะ เพราะปกติผมไม่กินข้าวในห้องนอน คนจะสงสัยเอา” เขาเล่ายิ้มๆ และมองเธออย่างหวังดี “แต่คุณลุกไหวไหม ถ้าไหวก็ลุกไปกินที่โต๊ะ ผมจะเปลี่ยนผ้าปูที่นอนให้”

                “ขอบคุณค่ะ”

                คนที่นอนทั้งชุดเปื้อนเลือดจนผ้าห่มผ้าปูเปื้อนตามลุกอย่างไม่อินังขังขอบ เธอมีแรงมากพอจะเดินไม่กี่เมตรเพื่อไปนั่งกินข้าวที่โต๊ะหนังสือ แต่ก็อดคิดไม่ได้ว่าชายผู้นี้คงมีฐานะร่ำรวยไม่น้อย และดูเหมือนจะมีอำนาจสิทธิ์ขาดในการสั่งการต่างๆ ในบ้านมากทีเดียว บางทีเขาอาจจะเป็นเจ้าของบ้าน

                “สวมกำไลข้อเท้าด้วยหรือ”

                เดินยังไม่ถึงโต๊ะ เจ้าของห้องนอนนี้ก็ทักเสียจนคิ้วขมวด ทำให้เธอต้องก้มลงมองกำไลหัวบัวทองคำประดับมรกตและทับทิมเม็ดเล็กๆ ที่สวมติดข้อเท้าของตัวเอง จะว่าแปลกก็แปลก จะว่าไม่แปลกก็ไม่ สมัยก่อนก็นิยมสวมกัน แต่ที่ว่าแปลกคงเพราะตอนนี้ไม่ค่อยสวมกันแล้ว

                “แปลกดีนะ” เขายังทักให้เธอมองอย่างสนเท่ห์ “แล้วนี่ปกติอยู่บ้านสวมกระโปรงหรือนุ่งซิ่นนุ่งโจง”

                “สวมกระโปรงค่ะ ก็ตอนนี้ทางรัฐฯ ประกาศให้สตรีสวมกระโปรงและไว้ผมยาวกันหมดไม่ใช่หรือ ใครจะขัดได้” หญิงสาวลากเสียงตอบเพราะถูกถามซอกแซกในเรื่องส่วนตัว “และฉันคิดว่าฉันไม่ใช่ตัวประหลาดด้วย”

                “ไม่ได้ว่าเป็นตัวประหลาดเสียหน่อย”

                เขาไม่ว่าแต่คิดแน่ หญิงสาวคิดว่ารู้ทันแต่ไม่มีแก่ใจจะต่อปากต่อคำด้วย และไม่ถือมาเป็นอารมณ์อีกต่อไปเพราะไม่อยากขัดแย้งกับผู้มีพระคุณ เพราะหากไม่มีเขา ป่านนี้เธออาจจะนอนป่วยไข้อยู่ข้างถนน หรือตายอย่างไร้ชื่อเหมือนผู้ชายที่กลายเป็นศพมาเกยทับเธออยู่ที่ป้อมพระสุเมรุนั้นแล้วก็ได้

“คุยกันตั้งนาน ยังไม่รู้เลยว่าคุณชื่ออะไร”

มานั่งที่โต๊ะตั้งท่าว่าจะกินข้าวต้ม หญิงสาวก็หยุดชะงัก นึกอยู่ครู่หนึ่งว่าควรบอกชื่อกับชายผู้นี้หรือไม่ แต่ทบทวนดูจากที่ช่วยเหลือกันมาเธอก็รู้สึกว่าเขาไว้ใจได้ หากบอกเพียงชื่อคงไม่เป็นไร

“เกล้ามาลา”

พูดเพียงเท่านั้นแล้วหญิงสาวก็เงียบไป นึกลังเลอยู่ในใจว่าจะบอกเรื่องส่วนตัวต่อไปดีหรือไม่ มองหน้าเขาแล้วก็ถามตัวเองว่าจะเชื่อใจคนแปลกหน้าที่อุ้มเธอมาซ่อนไว้ในห้องนอนได้มากน้อยแค่ไหน แต่หากได้รู้จักเขาบ้างก็คงดี

“แล้วคุณล่ะ ชื่ออะไร”

“แสงภาณุ”

“ชื่อยาวเหมือนเจ้า”

“นามสกุลก็ยาวนะ”

“เหตุใดจึงยาว มีอะไรพิเศษหรือ”

“ไม่รู้ อากงเป็นคนตั้ง ถ้าอยากรู้จริงคงต้องจุดธูปถามกันแล้วกระมัง”

ชายหนุ่มตอบยิ้มๆ แต่เหมือนตั้งใจกวนให้อารมณ์ของเธอขุ่น แต่ก็ไม่ได้มากไปกว่าการแย่เล่น

“ตอนพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 6 ทรงโปรดเกล้าฯ ให้มีนามสกุล ก็ตั้งเสียยาว… เมื่อก่อนแซ่ฉาง”

“ลูกเจ๊ก!”

“ผิดมากหรือ”

น้ำเสียงของเขาเปลี่ยนไปทันทีและไม่มีสีหน้าใดๆ ให้เดาอารมณ์ ทำให้เกล้ามาลาหน้าชาไปไม่น้อย รู้สึกเหมือนตัวเองพูดคำหยาบจนไม่อาจรับฟังได้ แต่เธอไม่ได้ตั้งใจจะสื่อความหมายดูถูกใดๆ เลย

‘ลูกเจ๊ก’ คำนี้แรกทีเดียวเกล้ามาลาจะนึกถึงชาวจีนโผนทะเลที่หอบเสื่อผืนหมอนใบหนีความแล้งแค้นในแผ่นดินใหญ่มาพึ่งพระบรมโพธิสมภารในแดนสยาม มาทำงานหนักตรากตรำ แบกหามรับจ้างทุกอย่าง ไม่ว่างานอะไรก็ทำทั้งสิ้น ทว่าคำนี้จะมีความหมายว่าอย่างอื่นอีกหรือไม่ เธอไม่รู้

แต่ไม่ว่าแสงภาณุจะเป็นเช่นไรก็ไม่ใช่เหตุผลที่เธอจะตั้งแง่รังเกียจเขา ที่สำคัญตอนนี้เธอต้องมาอาศัยลูกเจ๊กอยู่ไม่ใช่หรือ ขอข้าวปลาอาหารและยาประทังชีพ อาศัยบ้านของเขาคุ้มหัวนอนและหลบหนี ซ้ำยังช่วยดูแลจนสร่างไข้ ไม่ว่าเขาจะเป็นใคร สำหรับเกล้ามาลาแล้ว เขาเป็นผู้มีพระคุณ

“ฉันขอโทษค่ะ” หญิงสาวบอกเสียงอ่อนแต่เต็มไปด้วยความสำนึกผิดในแววตาที่มองไป “ไม่ได้ตั้งใจจะดูถูก เพียงแต่ไม่รู้จะใช้คำใดเรียกคุณ… ฉันเคยได้ยินแต่คนอื่นเรียกมาอย่างนี้”

“จึงเรียกตาม โดยไม่รู้ว่ามันมีความหมายอย่างไรกันแน่”

แสงภาณุตอบด้วยน้ำเสียงเหมือนเหนื่อยหน่ายกับคำนี้เต็มที แต่เพียงไม่นานเขาก็สูดหายใจเข้าไปลึกจนเต็มปอด แล้วผ่อนมันออกมา ยิ้มบางๆ ให้เธออีกที

“ช่างเถิด” เขาบอกอย่างขอไปที “แต่จะเรียกผมว่าแสงเฉยๆ ก็ได้ ใครเขาก็เรียกกัน”

“คุณแสง”

เกล้ามาลาเรียกเขาพร้อมรอยยิ้มน้อยๆ หวังจะเอาใจเพราะเมื่อครู่เกือบจะมีเรื่องเข้าใจผิดกัน หวังว่าเขาจะไม่โกรธหรือเก็บไปเป็นอารมณ์ เธอไม่อยากให้ผู้มีพระคุณของตัวเองต้องขุ่นเคืองเลย

แต่เขาคงมีน้ำใจมากพอที่จะไม่โกรธ ชายหนุ่มเลื่อนถ้วยกระเบื้องเคลือบเนื้อดีที่บรรจุข้าวต้มปลากลิ่นหอมละมุนมาให้ แต่งหน้าด้วยขิงซอยเป็นเส้นเล็กๆ พร้อมใบหอม คงหวังให้เป็นกินแก้ไข้หวัด จากนั้นก็ส่งกระปุกยาตามมา ส่วนตัวเขาหยิบผ้าปูเตียงผืนใหม่สีขาวสะอาดเดินสวนไปที่เตียง

                หญิงสาวก้มหน้ากินข้าวต้มอยู่สักพักก็เงยขึ้นมองคนที่อยู่ในห้องนอนด้วยกัน นี่เป็นครั้งแรกที่เธอต้องมาอยู่ตามลำพังกับผู้ชายข้ามวันข้ามคืน นึกแล้วก็หนักใจ แต่หากจะออกไปก็ไม่รู้เลยว่าตัวเองต้องไปพบอะไรนอกห้องนอนนี้ แล้วหากตายอย่างคนที่ป้อมนั่น การอยู่ในห้องนี้คงจะดีเสียกว่า

                แต่มองเขาอยู่ครู่เดียวเธอก็ขมวดคิ้วมุ่นเพราะเห็นท่าทีเก้ๆ กังๆ ของคนพยายามจะปูเตียง ดูก็รู้ไม่ว่าไม่เคยทำ เพียงแค่จะจับชายผ้าหามุมยังทำไม่ถูก แล้วจะปูได้จริงๆ หรือ

                “คุณปูเตียงไม่เป็นแล้วเหตุใดไม่บอก” เกล้ามาลาวางช้อนข้าวต้มแล้วเดินเข้าไปหาเขาที่เตียง “มาค่ะ ฉันช่วย”

                “นั่งพักเถิด คุณยังป่วยอยู่”

                “ฉันทำไหวค่ะ”

                เกล้ามาลาบอกสั้นๆ เพราะรู้ดีว่าเขาจะปูเตียงให้เธอนอน จะไม่ช่วยเอาเสียเลยก็แล้งน้ำใจเกินไป จึงฉวยเอาผ้าปูเตียงไปจากมือเขา ไล่ขมวดปมครบสี่มุมแต่สุดท้ายก็ต้องให้คนตัวใหญ่ช่วยปูอยู่ดีเพราะเธอก็ไม่เคยปูเตียงใหญ่ขนาดนี้มาก่อน อาศัยแขนขายาวของแสงภาณุช่วยก็เสร็จเร็วดี

                “เมื่อก่อนเคยมีแต่คนปูให้ นี่เพิ่งเคยทำ ถ้าทำคนเดียวคงเอาเรื่องอยู่เหมือนกัน” แสงภาณุบอกยิ้มๆ ทำให้หญิงสาวมองเขาอย่างประหลาดใจแต่ก็ยิ้มตาม “แต่คุณปูเตียงเก่งดีนะ”

                “เอาเหรียญมาโยนดูค่ะ ถ้ามันเด้งกลับขึ้นมาเป็นใช้ได้”

หญิงสาวบอกหลังดึงผ้าเข้ามุมสุดท้ายจนเรียบตึง แต่ไม่ทันจะได้โยนเหรียญ เจ้าแมวลู่เสียนก็กระโดดดึ๋งขึ้นมานั่งเลียขนจนเจ้าของมันจะรีบอุ้มออกไป

“ไม่ต้องเสนอหน้าเลยเจ้าตัวสกปรก วันๆ ไปคลุกอะไรมาบ้างก็ไม่รู้ จะมานอนบนเตียงได้อย่างไร”

แสงภาณุยกแมวขึ้นมาจ้องหน้า เอ็ดเหมือนจะเอาเรื่องแต่แววตาเต็มไปด้วยความรักใคร่เอ็นดู และทำให้หญิงสาวรู้สึกว่าเขาเจ้าระเบียบอยู่ไม่น้อย แต่พอพูดถึงความสกปรกเธอก็เริ่มก้มมองตัวเอง คนที่นอนคลุกชุดเปื้อนเลือดเริ่มหน้าเสีย เพราะถึงเลือดจะแห้งไปแล้วมันก็เป็นเลือดคนอื่น ไม่ใช่เลือดของเธอ

“ขอฉันอาบน้ำหน่อยนะคะ”

เกล้ามาลาขออนุญาตก่อน เจ้าของห้องนอนก็เลิกเอ็ดแมวแต่มาจ้องหน้าเธอแทน มองเหมือนไม่พอใจเท่าไรจนหญิงสาวใจเสีย รู้สึกไปทำอะไรผิดมาก็ไม่ปาน

“หายไข้แล้วหรือจึงจะอาบ”

“ดีขึ้นมากแล้วค่ะ” พอรู้ว่าเขามองเพราะเป็นห่วงเกล้ามาลาก็เสียงอ่อนลง “และไม่อยากสวมชุดเปื้อนเลือดอีกแล้วด้วย”

“ถ้าอย่างนั้นก็ตามสบาย”

เกล้ามาลาชื่นหัวใจขึ้นมาอย่างชุมฉ่ำเมื่อเห็นรอยยิ้มของคนตาชั้นเดียวที่ยังมองเธออย่างหวังดี เวลาเขายิ้มดูอ่อนหวานและอบอุ่นกว่าตอนทำหน้านิ่งๆ ขึ้นมาเป็นกอง และดูดีกว่าคนดุดันที่สั่งเธอเฉียบขาดกว่าตอนที่ต้องซ่อนตัวอยู่ที่ป้อมพระสุเมรุเป็นไหนๆ

“แล้วฉันจะต้องอยู่ที่นี่อีกนานแค่ไหนคะ”

พอเห็นเขาใจดีเกล้ามาลาก็กล้าถาม แต่เพียงเธอออกปาก คนที่ยิ้มๆ อยู่กลับหุบลงแล้วส่ายหน้าให้มองแทนจนหญิงสาวเริ่มใจไม่ดี

                “ยังให้ไปไม่ได้หรอก อย่างน้อยก็จนกว่าจะหายป่วย”

                “ฉันดีขึ้นมากแล้ว”

                “ก็ยังเห็นนอนละเมอร้องไห้อยู่ทั้งคืน ละเมอเรื่องน่ากลัวเสียด้วย” แสงภาณุส่ายหน้าอย่างเหนื่อยใจ “และหากเมื่อวานเป็นการจับตัวพวกใต้ดินจริง ผมว่าให้ข่าวมันเงียบซาไปเสียก่อนจะดีกว่า

                เหตุผลนั้นสะกดความคิดของเกล้ามาลาได้ชะงักงัน ไม่มีอะไรนึกแย้งกับเขาเลยสักนิดเพราะความตายนั้นย้ำให้เธอรู้ว่าข้างนอกน่ากลัวมากเพียงใด แต่ก็อย่างว่า เขาพูดเองว่าเป็นพ่อค้าทำการค้ากับหลายชาติ คงมีข่าวมากพอจะวิเคราะห์เหตุการณ์ให้ตัวเองเอาตัวรอดได้ และเธอเชื่อเขาก็คงดีที่สุดแล้ว

                “แล้วเมื่อวานกำลังจะไปไหนหรือ”

                “ว่าจะจับรถไฟกลับโรงเรียนค่ะ” พอรู้ตัวว่ายังไม่อาจไปไหนได้เกล้ามาลาก็ตอบอย่างหดหู่ “แต่ไม่ได้สวมหมวกออกจากบ้าน เขาจึงไม่ให้ขึ้นรถราง แค่เดินก็ต้องคอยหลบตำรวจเลย”

                “เป็นพวกหลวงโกวิท[1]หรือจึงไม่สวมหมวก ไปประชุมสภาฯ ยังถูกติงว่าขวางโลก”

                “ไม่ใช่เสียหน่อยค่ะ” เกล้ามาลานิ่วหน้าตอบ “ฉันเกลียดออกพวกคณะราษฎร์”

                “อย่าเหมาเกลียดเลย คนที่เขาหวังดีต่อประเทศชาติอย่างแท้จริง ประสงค์จะทำแต่ความดีก็มี”

                แสงภาณุตอบเปรยๆ แต่เหมือนดับไฟโกรธเกลียดในใจของเธอได้อย่างประหลาด และเขายังมีรอยยิ้มในการเปลี่ยนเรื่องหนีจากภาวะเสี่ยงจะมีปากเสียงให้เธอคล้อยตามได้เสียด้วย

“แล้วคุณจะไปสถานีไหน ถึงได้มานั่งเล่นไวโอลินอยู่ป้อมพระสุเมรุได้”

                “ไม่รู้…”

มาคราวนี้เธอโกหกไม่เต็มเสียง บอกอย่างขอไปทีเพราะไม่อยากเล่าเรื่องส่วนตัวให้คนอื่นฟังมากเกินไป แต่ยังอดระบายไม่ได้อยู่ดี

“พอผิดหวังก็เดินมาจนเหนื่อย ฝนตกยังไม่มีแก่ใจจะหลบ สุดท้ายก็ไปนั่งอยู่ที่ป้อมนั้น พอรู้สึกเหมือนตัวเองจะตายกลับนึกถึงคุณขึ้นมา จึงเล่นเพลงนั้น”

“ถ้าคุณเป็นอะไรไป ผมคงรู้สึกล่มเหลวนะที่ช่วยคุณไม่สำเร็จ”

“ขอบคุณนะคะ” เกล้ามาลาย้ำคำนี้อีกหนและมองเขาอย่างอบอุ่นใจ “ฉันสัญญาว่าต่อไปจะรักษาเนื้อรักษาตัวให้ดี ไม่ทำให้คุณต้องรู้สึกว่าล้มเหลวเป็นอันขาด”

                “แล้วจะไปทำอะไรที่โรงเรียน” แสงภาณุถามคืนแต่ในแววตาเต็มไปด้วยความคิดบางอย่างที่เธออ่านไม่ออก “ยังเรียนไม่จบหรือ”

“เรียนจบมาเป็นปีแล้วค่ะ” หญิงสาวตอบตามตรง “แต่ว่าจะกลับไปหางานทำระหว่างรอเรียนต่อคอลเลจ หรือหากสิ้นไร้ไม้ตอกจริงๆ ก็คงบวชชีที่นั่น”

                “อ้อ! โรงเรียนแม่ชี” แสงภาณุเลิกคิ้วว่า “แต่ถ้าใจยังไม่สงบ ละกิเลสไม่ได้ ก็อย่าบวชเลย”

                “คุณรู้ได้อย่างไร!”

                “ก็ฟังคุณพูดเข้า อยากเรียนต่อ อยากหางานทำก่อน หากหาไม่ได้จึงจะบวช ให้บวชเป็นทางเลือกสุดท้าย แปลว่าไม่ต้องการจะบวชจริงๆ แต่บวชเพื่อหนีความเดือดร้อนไร้ที่อยู่ที่กินเท่านั้น ทั้งที่ใจยังละทางโลกไม่ได้… อย่าบวชเลย”

                เขาย้ำถึงสองครั้งว่าไม่อยากให้เธอบวชชี แต่เหตุผลนั้นก็ทำให้ทุกความคิดของเกล้ามาลาหยุดชะงัก ยอมรับแล้วว่าที่นึกจะบวชนั้นเพื่อหนีทุกข์ แต่ละกิเลสไม่ได้อย่างที่ชายหนุ่มว่าจริงๆ ทว่าหากเธอไม่กลับไปที่นั่น แล้วจะแบกหน้าอยู่ในกรุงเทพฯ ต่อไปเพื่อนอะไร

                เพราะเท่าที่อยู่มาแรมปี เธอก็อยู่อย่างหลบซ่อน ไม่กล้าออกมาเผชิญหน้าใครด้วยซ้ำ…

 

                เกล้ามาลาไม่รู้ว่าตัวเองทำได้อย่างไรกับการนั่งๆ นอนๆ อยู่ในห้องสี่เหลี่ยมนี้โดยมีเพียงแมวและหนังสือเป็นเพื่อน หรือที่อดทนอยู่ได้นี้เพราะเกรงว่าหากออกไป จะต้องพบกับเรื่องสยองขวัญอย่างวันนั้นอีก

                คิดถึงกี่ครั้งก็ยังกลัว ทุกอย่างยังจำขึ้นใจ แต่ไม่คิดจะปริปากพูดกับใครเลย…

                หญิงสาวพยายามข่มใจให้เลิกคิดถึงเรื่องนั้นเสีย ทำใจรอให้วันคืนมันผ่านพ้นไปเร็วๆ เผื่อแสงภาณุจะมองว่าเป็นยามเหมาะสมที่เธอจะออกจากที่ซ่อนได้ แต่ไม่รู้ว่าถึงจะให้ออกไปจริงก็จะสามารถกลับไปโรงเรียนอย่างที่ตั้งใจไว้ได้หรือเปล่า ไม่รู้ว่าทางรถไฟสายใต้จะถูกทิ้งระเบิดในวันไหน แต่หากจะให้อยู่ในกรุงเทพฯ เกล้ามาลาก็ไม่อยากจะอยู่อีกแล้ว มันน่าอับอายเกินกว่าจะทนได้ไหวอีกต่อไป

                คิดเรื่องนี้เท่าไรหญิงสาวก็ยิ่งถอนหายใจมากเท่านั้น แต่เพราะรู้ว่าคิดไปก็ป่วยการจึงพยายามมองข้ามไปแล้วเหลือบไปมองนาฬิกาแทน อยากรู้ว่าเมื่อไรเจ้าของห้องจะเอาข้าวมาให้ ใกล้จะค่ำแล้วเธอก็เริ่มหิวขึ้นมาอีกรอบ

                นับแต่มาอยู่ในห้องนอนของเขา เกล้ามาลาก็ไม่ได้ทำอะไรนัก ชีวิตใช้ไปกับการรอเสียส่วนมาก ตื่นเช้ามาเธอก็รอแสงภาณุนำมื้อเช้าเข้ามาให้ ของดีบ้างไม่ดีบ้างแต่ก็เห็นว่าเขาทำสุดความสามารถแล้ว จากนั้นเขาก็ทิ้งเธอไว้กับเจ้าลู่เสียนแล้วออกไปทำงาน ถ้าวันไหนไม่ได้กลับบ้านตอนกลางวันก็จะมีเสบียงเตรียมไว้ให้กิน แล้วจะกลับอีกครั้งตอนใกล้ทุ่มพร้อมอาหารเย็นของเธอ

แต่ถึงเขาจะดูแลอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง เกล้ามาลาก็ยังรู้สึกเหมือนตัวเองถูกกักบริเวณอยู่ดีเพราะเธอก้าวออกไปไหนไม่ได้ ไม่อาจเปิดวิทยุฟังข่าวเหตุการณ์บ้านเมือง เครื่องเล่นแผ่นเสียงกับแผ่นเพลงฝรั่งที่วางอยู่ตรงหน้าก็เปิดไม่ได้ หรือแม้กระทั่งจะทำเสียงดังก็ไม่ได้เพราะกลัวจะมีคนมาได้ยิน

ทางแก้เบื่อของเธอจึงมีเพียงไม่กี่อย่าง แต่หลักๆ จะเล่นกับลู่เสียน ทว่าเมื่อใดที่เจ้าแมวน้อยกระโดดหน้าต่างออกไปเล่นนอกห้อง เธอก็ทำความสะอาดห้อง หรือไม่ก็ค้นหนังสือในชั้นวางของแสงภาณุมาอ่านฆ่าเวลาไปวันๆ

นอกจากหนังสือด้านเศรษฐศาสตร์แล้ว แสงภาณุก็ดูจะสนใจการเมืองอยู่มาก เขาเก็บหนังสือพิมพ์เก่าๆ ไว้หลายฉบับ ที่เธอเพิ่งอ่านจบไปก็เรื่องกรณีพิพาทอินโดจีนเมื่อราวสองปีก่อน ที่ญี่ปุ่นแสดงเจตจำนงเข้ามาไกล่เกลี่ยความขัดแย้ง เหตุการณ์จบลงโดยที่ฝรั่งเศสได้มอบดินแดนบางส่วนคืนให้แก่ไทย

อ่านจบแล้วเกล้ามาลาก็เครียดไปกับภาวะสงครามเพราะตอนนี้ทหารญี่ปุ่นมาเดินเสียเต็มบ้านเต็มเมือง หญิงสาวจึงหลีกหนีด้วยการหาอย่างอื่นมาอ่าน ก็พบเข้ากับ ‘ข้างหลังภาพ’ ของ ศรีบูรพา ราคาตั้งเล่มละหนึ่งบาท แต่อ่านเพลินคุ้มค่าอยู่เหมือนกัน

                พออ่านนิยายจบเกล้ามาลาก็เห็นว่าเย็นมากแล้วทว่ายังไม่ใช่เวลาที่เจ้าของห้องจะกลับมา หญิงสาวถึงค้นหาหนังสือมาอ่านต่อ พบเข้ากับ ‘สมุดที่ระลึกงานฉลองวันปีใหม่เมื่อพุทธศักราช 2484’ ปีที่เปลี่ยนวันปีใหม่จากสงกรานต์มาเป็นวันที่ 1 มกราคม ตอนนั้นเธอยังไม่ได้กลับมาอยู่บ้านเลย

                ค้นไปอีกสักพักเกล้ามาก็พบใบปลิวปลุกใจให้ชาวไทยมีความเป็นชาตินิยม พร้อมข้อความ ‘มาลานำไทยไปสู่ประเทศมหาอำนาท’ ไม่ใช่แค่ท่านผู้นำให้สวมหมวก แต่ดูเหมือนจะเปลี่ยนเรื่องการแต่งกายของคนในชาติไปอย่างสิ้นเชิง และในปี2484 ก็มีการประกวดประชันหลายอย่าง และแสดงวิธีการสวมหมวกในตลาดนัดการฉลองวันชาติอีกด้วย

เกล้ามาลาวางใบปลิวนั้นลง แล้วหาใบอื่นๆ มาอ่าน แต่เห็นวิธีการสะกดคำแล้วก็ขัดใจขึ้นมาทันที การเขียนลดพยัญชนะลง ตัดตัวอักษร ฆ ฌ ญ ฒ ศ และ รร ออกไป ทำให้ดูแปลกตา อ่านลำบากกว่าที่เคยอ่านในหนังสือเล่มก่อนหน้าที่เธอเคยอ่านมาตั้งแต่เด็กจนโต

“เกล้ามาลา”

น้ำเสียงนุ่มสุมุขนั้นเตือนให้เกล้ามาลารู้ว่าใครมาเรียก ชายหนุ่มปิดประตูห้องเรียบร้อยและกลับมาพร้อมกับถุงกระดาษหลายใบซึ่งมันส่งกลิ่นอาหารออกมา หอมหวานเหมือนกลิ่นเนยและขนมอบ แล้วหญิงสาวก็ยิ้มกว้างเมื่อพบหน้าคนที่ตั้งตารอให้กลับมาทั้งวัน

ตอนนี้เขาเหมือนเป็นโลกทั้งใบของเธอ…

หญิงสาวยิ่งเบิกบานเพราะเธอได้ทั้งของกินและโลกใบใหม่มาอยู่ในมือ มีเขาอยู่ด้วยเกล้ามาลาไม่เคยรู้จักคำว่าเหงาและไม่ต้องวุ่นวายกับกองหนังสือทั้งวันอย่างที่แล้วมาอีก

“ทำอะไรอยู่หรือ”

“อ่านหนังสือของคุณค่ะ” เธอตอบเบาๆ เพราะกลัวใครจะมาได้ยิน “แล้วเหตุใดวันนี้จึงกลับเย็นนัก”

“ติดฝนอยู่น่ะซี” คนออกไปทำงานนอกบ้านบ่นแล้วส่ายหน้า “กลัวจะน้ำท่วมหนักเหมือนปีกลายเสียจริง”

น้ำท่วมใหญ่เมื่อปีกลายข้าวยากหมากแพงเหลือทน เธอจึงไม่แปลกใจเลยที่พ่อค้าพ่อขายอย่างแสงภาณุจะเป็นกังวล

“ปีก่อนก็น้ำท่วม” หญิงสาวก็เดือดร้อนเพราะน้ำท่วมมาไม่น้อยถึงกับถอนหายใจแรง “แล้วไหนจะสงครามอีก นี่มันเคราะห์ซ้ำกรรมซัดอะไรกัน”

“อย่าเพิ่งวิตกเลย ถึงท่วมจริงเราก็คงทำอะไรไม่ได้มากไปกว่าเตรียมรับมือ”

เขาบ่นเองก็ปลอบเธอเสียเองและปรับสีหน้าให้ดีขึ้น คงอยากให้คลายกังวลจากเรื่องตึงเครียดที่อยู่นอกห้องนอนนี้ไปก่อน เพียงสักนิดก็ยังดี

“มากินขนมดีกว่า ผมซื้อขนมปังมาฝาก อบใหม่ๆ หอมมากทีเดียว มีลูกพลับตากแห้งจากเมืองจีนมาด้วย”

“ขอบคุณค่ะ”

เกล้ามาลายิ้มบางๆ ให้กับน้ำใจของเขาแต่ในหัวใจแสนซาบซึ้ง ที่เธอไม่กล้าแสดงออกตามความรู้สึกนั้นเพราะรู้ดีว่าตัวเองเป็นผู้หญิง เท่าที่มาอยู่ในห้องกับผู้ชายตามลำพังนี้หากใครรู้เข้าก็งามหน้าเหลือทนแล้ว จะให้แสดงอารมณ์กับเขามากเกินไปก็ไม่กล้า แต่เพราะแสงภาณุเก็บเรื่องนี้เป็นความลับเธอจึงเบาใจ และเฝ้ารอวันที่เขาจะบอกว่าปลอดภัย เพื่อจะได้เดินทางไปจากกรุงเทพฯ อย่างที่ตั้งใจเสียที แต่ก็คิดว่าคงไม่มีวันลืมคนที่ช่วยเหลือดูแลเป็นอย่างดีผู้นี้ไปตลอดลมหายใจของตัวเอง

“แล้ววันนี้อ่านอะไรไปบ้าง” เจ้าของห้องชวนคุยระหว่างที่เธอเลือกผลไม้แห้งมากินแกล้มกับขนมปังนุ่มๆ “ในห้องมีแต่หนังสือพิมพ์ที่ผมเก็บข่าวไว้ ไม่เบื่อบ้างหรือ”

“คุณเก็บข่าวบ้านเมืองไว้ทำไมหรือคะ”

“เผื่อมีลูกมีหลานจะให้อ่าน ว่ายามเราอยู่ในภาวะสงครามนั้นเป็นอย่างไร”

คำตอบของแสงภาณุทำให้เธอนิ่งไป นึกขึ้นมาได้ว่าเขาเป็นหนุ่มโสด เพราะหากมีเมียแต่งคงไม่สามารถพาเธอมาซ่อนไว้ในห้องนอนอย่างนี้ได้ แต่ทำไมต้องพูดถึงลูกหลาน หรือว่ามีนางเล็กๆ ไว้แนบกายตามประสาผู้ชายมีฐานะที่เธอเคยเห็นมา

“คุณมีลูกเมียแล้วหรือคะ”

เธอไม่เข้าใจว่าทำไมต้องถามแต่เกล้ามาลารู้สึกว่าน้ำเสียงและสีหน้าของตัวเองไม่ดีเลย ทว่าหลุดปากไปแล้วก็คงต้องรอคำตอบจากเขาได้อย่างเดียวกระมัง แต่พอแสงภาณุไม่ยอมตอบเสียที ใจเธอก็หวีดหวิวขึ้นมาแปลกๆ ไม่อยากได้คำตอบว่า ‘ใช่’ เอาเสียเลย

“ตอนนี้ยังไม่มีสักอย่าง”

กว่าชายหนุ่มจะยอมตอบได้ก็ใช้เวลานานเป็นนาที แต่เป็นคำตอบที่ทำให้เธอโล่งใจอย่างบอกไม่ถูกเมื่อรู้ว่าเขายังไม่มีคู่สมรสหรือแม้กระทั่งเมียบ่าวหรือเมียน้อย ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมต้องรู้สึกอย่างนี้ แต่ก็ควบคุมหัวใจของตัวเองที่พองอยู่เต็มอกไม่ได้เลย

“อ้อ! ผมมีหนังสือติดกระเป๋าอยู่เล่มหนึ่ง ให้คุณเอาไว้อ่านเล่นแก้เบื่อก็แล้วกันนะ”

ว่าแล้วเขาก็ก้มลงไปหากระเป๋าทำงานที่ถือติดตัวออกจากห้องนอนนี้ไปด้วยทุกวัน แล้วก็ควักเอาหนังสือเล่มหนึ่งมาส่งให้ เกล้ามาลาก็เลิกคิ้วมองมันอย่างแปลกใจ

อนิรุทธ์คําฉันท์” หญิงสาวอ่านชื่อหนังสืออกมา “คุณอ่านหนังสือพวกนี้ด้วยหรือคะ”

“อ่านไม่จบหรอก เปิดไปได้แค่หน้าสองหน้า เคยแต่ได้ยินเรื่องย่อที่เขาเล่าให้ฟังกัน และผมคิดว่ามันออกจะอ่านยากเสียด้วยซ้ำ”

คนที่ส่งหนังสือให้บอกยิ้มๆ คล้ายว่าเขินอายอะไรสักอย่างอยู่ คงเป็นเรื่องที่เขากำลังสารภาพว่าอ่านคำฉันท์ไม่คล่องนี่กระมัง

“มันติดมือมาจากห้องสมุด คุณก็เอาไว้อ่านแล้วกัน แล้วถ้าอยากได้เล่มอื่นอีกผมจะยืมมาให้”

“คุณ… พูดเหมือนว่าฉันต้องอยู่ที่นี่ไปอีกนาน” เกล้ามาลาใจเสียขึ้นมาทันที “ข่าวเรื่องวันนั้นยังไม่ซาไปอีกหรือคะ”

“ยังได้ยินบ่าวในบ้านพูดถึงกันอยู่เลย” ชายหนุ่มเองก็ถอนหายใจแรงและเห็นได้ชัดว่าพยายามยิ้มปลอบใจเธออยู่ “แต่ไม่ได้ยินใครพูดถึงคนอื่นนอกจากคนที่ถูกยิง ขอผมมั่นใจอีกสักนิด แล้วผมจะหาทางส่งคุณกลับบ้านนะ”

“ฉันไม่กลับบ้าน!”

พูดถึงบ้านเกล้ามาลาก็เสียงแข็ง ไม่อยากกลับไปอีกแล้ว แต่กว่าจะรู้ตัวว่าใส่อารมณ์มากเกินไปก็ตอนที่แสงภาณุมองหน้าเธออย่างสงสัย หญิงสาวจึงรีบปรับตัวเองให้เย็นลงแล้วหาข้ออ้างที่เขาจะยอมเชื่อได้

“บ้านของฉันโดนทิ้งบอม ไฟไหม้ไปหมดแล้ว” เกล้ามาลาโกหกและข่มตัวเองไม่ให้มีอารมณ์ใดๆ ขึ้นมาอีก “ฉันไม่มีที่จะไป นอกจากกลับโรงเรียนไปเสีย”

“โดนทิ้งบอมในวันที่คุณลากกระเป๋าเดินทางจะกลับไปโรงเรียนพอดีอย่างนั้นหรือ”

เขาไม่เชื่อ!

เกล้ามาลารู้ทันทีเมื่อถูกถามและรู้ด้วยว่าผู้ชายคนนี้ประกาศอ้อมๆ ว่าเหตุผลที่เธอโกหกไปนั่นฟังไม่ขึ้น แต่เขาก็ไม่ทำอะไรมากไปกว่าถอนหายใจยาวแล้วส่ายหน้า พาให้เธอลุ้นตามว่าแสงภาณุจะทำอย่างไรกับคนโกหกอย่างเธอต่อ

“หากไม่สบายใจจะกลับบ้านก็อยู่ที่นี่ไปก่อนเถิด ไว้ข่าวนั้นมันซาไปแล้วจะช่วยหาทางขยับขยายให้ แต่ไม่อยากให้จับรถไฟไปไหนไกลๆ ตอนที่มีสงครามอย่างนี้หรอกนะ”

เมื่อแสงภาณุไม่ซักไซ้ว่าเหตุใดจึงโกหกแต่มองหาลู่ทางให้และแววตาก็บอกชัดว่าเป็นห่วงเธอ หญิงสาวใจชื้นขึ้นมาเป็นกอง อย่างน้อยก็สบายใจที่เขาไม่โกรธทั้งที่จับโกหกเธอได้เต็มๆ

                “แล้วคุณจบชั้นไหนมา ถึงมศ. 5 ไหม”

ชายหนุ่มสักต่อแล้วหรี่ดวงตาเรียวยาวคู่นั้นมองเธออย่างจริงจัง เกล้ามาลาจึงพยักหน้ารับเพราะความรู้ของเธอก็น่าจะพอๆ กับวุฒิการศึกษาที่เขาถามถึง

“หากทำงานในห้างร้าน จะพอทำไหหรือไม่”

                “น่าจะได้ค่ะ”

                “ถ้าอย่างนั้นจะช่วยหางานให้ แต่อย่าเพิ่งเดินทางตัวคนเดียวยามสงครามเช่นนี้เลย ก็เคยเห็นแล้วไม่ใช่หรือว่าความตายนั้นเป็นอย่างไร”

                เกล้ามาลานึกจะแย้งออกไปว่าเธอไม่อยากอยู่กรุงเทพฯ แต่ก็พูดไม่ออก ความกริ่งเกรงจุกอยู่เต็มลำคอ นอกจากจะกลัวความโหดร้ายของภัยสงครามแล้ว ยังกลัวว่าหากขัดใจเขาแล้วคนที่ช่วยเหลืออย่างหวังดีมาตลอดจะโกรธเข้าจริงๆ เธอไม่อยากให้ความรู้สึกดีๆ ที่มีให้กันตอนนี้ต้องพังลงเลย

                เธอไม่อยากให้เขาโกรธ อยากเห็นแต่รอยยิ้มของเขา คนที่ช่วยดึงออกมาจากความตาย ป้อนข้าวป้อนยาคอยดูแลจนหายไข้ ให้ความอบอุ่นปลอดภัยอยู่เสมอ คนที่ทำให้โลกหม่นๆ ของเธอสว่างไสวขึ้นราวกับได้เข้ามาอยู่ในโลกใบใหม่ และเป็นคนที่ทำให้เธอรู้สึกว่าโลกใบนี้ยังมีความหวังให้ใช้ชีวิตต่อไป

                มีรอยยิ้มได้อีกครั้งก็เพราะเขา…

 

[1] พันตรี ควง อภัยวงศ์  อดีตนายกรัฐมนตรีไทย 4 สมัย ผู้ก่อตั้งและหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์คนแรก

 

 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น