ปวิมใช้ลิ้นดุนที่กระพุงแก้ม ประกายตาดุๆ ฉายแววเดือนดาล ไม่รู้สึกเจ็บแก้มสักนิดยามที่ฝ่ามือเล็กๆ นั้นฟาดมาโดน แต่ความเจ็บนั้นเกิดขึ้นกับใจของเขาต่างหาก
“ก็เพราะดูถูกไง ไม่ได้ดูผิดเลยสักนิด ถึงได้ถามว่าอยากได้เงินเท่าไหร่ แต่หวังว่าคงไม่แพงเหมือนครั้งก่อนนะ” เขากระชากเสียงถาม เพิ่มแรงบีบไปที่ปลายคางเล็กแหลมนั่น
“พูดอะไร ปีย์ไม่เข้าใจ เงินอะไร... เจ็บ...” หญิงสาวอุทานด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ เมื่อมือที่จับคางของเธออยู่ออกแรงบีบมากขึ้น ตาเบิกคู่สวยกว้างจ้องมองใบหน้าอีกฝ่ายราวกับไม่เคยเห็น ก่อนจะออกแรงใช้สองมือดันแผ่นอกกว้างที่ไม่มีท่าทีว่าจะรู้สึกกับการต่อต้านของเธอ เรี่ยวแรงที่มีไม่ได้ทำให้ร่างสูงนั้นขยับเขยื้อนแม้แต่น้อย
“อย่าปั่นหัวผม ถ้าไม่รู้ว่าผมทำอะไรได้บ้าง ผู้หญิงแบบเธอมันก็ทำหน้าใสซื่อหลอกผู้ชายไปวันๆ ลองเจ็บดูบ้างจะเป็นไรไป”
คิ้วบางขมวดเข้าหากันทันที เธอน่ะหรือไม่เคยเจ็บ ปีย์วราอยากจะเอ่ยถามเขาขึ้นมาทันทีว่าเขาพูดอะไร แต่มันจะมีประโยชน์อะไรกันในเมื่อเรื่องราวทุกอย่างมันผ่านไปแล้ว
“ปล่อย! แล้วก็อย่ามายุ่งกับปีย์อีก ปีย์ไม่อยากเห็นหน้าคุณ”
“ทำไม รังเกียจกันนักหรือไง”
“ใช่ เกลียดที่สุด ขยะแขยงที่สุด”
เหมือนเส้นความอดทนของปวิมจะขาดผึงในทันที รอยยิ้มร้ายๆ ปรากฏที่ริมฝีปากหนาเพียงนิด “หึ...งั้นทวนความจำกันหน่อยจะเป็นไรไป” เขากำลังโมโหแล้วก็หงุดหงิดมากเสียด้วย โดยไม่พูดพร่ำทำเพลงมือใหญ่ก็เชยคางของหญิงสาวขึ้น ริมฝีปากอุ่นร้อนก้มลงมาประกบจูบลงมาอย่างเร่าร้อน เรียวลิ้นหนาสากเริ่มลุกล้ำเข้าไปในโพรงปากที่เผยอออกของหญิงสาว ไล่กวาดต้อนลิ้นเล็กให้จนมุมและควานหาความหวานภายโพรงปากเล็กอย่างชำนาญ ท่อนแขนแข็งแรงดึงร่างบางของปีย์วรามากอดเอาไว้ในวงแขน
สองมือบางทุบตีรัวๆ เข้ากับไหล่กว้างเท่าที่มีแรง พลางพยายามจะผละริมฝีปากของตนออกมาให้เป็นอิสระ
“ไม่นะ! หยุดนะ อือ อือ” หญิงสาวกรีดร้องเสียงอู้อี้ ครางประท้วงดังออกมาจากภายในลำคอ ตอนนี้เธอรู้สึกเหมือนจะขาดอากาศหายใจเสียให้ได้ เพราะจูบที่ได้รับทั้งหนักหน่วงและรุนแรง สัมผัสหยาบกระด้างจากตอหนวดแข็งมันครูดขูดผิวบางรอบกลีบปากจนรู้สึกแสบสันไปหมด ใบหน้าหวานเบี่ยงหลบสัมผัสของเขา มือเรียวปัดป้องเพื่อให้ตนเองนั้นเป็นอิสระ
ปีย์วรากรีดร้องอยู่ในอก เนื้อตัวสั่นเพราะการกระทำของปวิม หยาดน้ำใสเริ่มคลอหน่วยขึ้นมา แต่หญิงสาวก็ยังคงฝืนไม่ให้มันไหลลงมาพร้อมทั้งพยายามดิ้นรนสะบัดใบหน้าหลบริมฝีปากหนาของเขาที่ซุกไซ้ลงมาเป็นพัลวัน เมื่อยิ่งดิ้นรนหลีกหนีกลับยิ่งถูกพันธนาการแน่นขึ้น เธอพยายามสะบัดแขนออกจากการหน่วงเหนี่ยว ในใจนึกเกลียดตัวเองนักที่ไม่สามารถขัดขืนอะไรคนตรงหน้าได้ ริมฝีปากอิ่มเริ่มรู้สึกเจ็บระบมไปหมดจากจูบที่รุนแรงและแสนหน่วงหนัก แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ไม่สามารถเรียกร้องอิสรภาพให้กับตัวเองได้อยู่ดี
“ดิ้นแบบนี้จะอัพค่าตัวหรือไง เห็นว่าผ่านมาเยอะ ราคาคงไม่แพงเหมือนหนก่อนหรอกนะ” ชายหนุ่มกระซิบถามเสียงกร้าว เมื่อโน้มตัวจูบเธออย่างดุเดือดปิดริมฝีปากอิ่มนั้นด้วยจูบกักขฬะรุนแรงอีกหนโดยที่หญิงสาวยังไม่ทันตั้งตัวหรือสามารถโต้แย้งใดๆ ได้ ไม่ได้สนใจสักนิดว่าจุดที่ทั้งสองยืนอยู่นั้นเป็นทางเดินที่มีคนเดินไปเดินมา มือใหญ่เลื่อนลงมาจากท้ายทอยบังคับใบหน้าเล็กๆ นั้นไม่ให้ถอยหนี จูบกระแทกกระทั้นดิบเถื่อนทั้งที่คนใต้ร่างพยายามดิ้นรนสะบัดหนี ทำเอาหัวใจเขากระหน่ำเต้นรัวราวกับมีใครตีกลองอยู่ข้างใน เลาะปลายลิ้นเปิดริมฝีปากกระทั่งเรียวปากที่เม้มแน่นเผยออ้าออกรับการรุกล้ำ รู้สึกเหมือนจะสำลักลมหายใจในตอนที่ลิ้นอุ่นชื้นกวาดต้อนรุกเร้าอยู่ในโพรงปากเล็กหากหวานฉ่ำชื่นใจ เสียงหวานครางติดขัดในลำคอ ยิ่งขัดขืนอีกคนก็ยิ่งรุกคืบเป็นเท่าตัว
ในที่สุดหญิงสาวก็ได้รู้ว่ายิ่งดื้อดึง ยิ่งขัดขืน ปวิมจะโต้ตอบกลับมาแรงกว่าหลายเท่านัก ปีย์วราเลิกดิ้นรนเลิกแข็งขืน แต่ที่เธอสั่งให้เลิกหรือหยุดไม่ได้เลยคือน้ำตาที่ไหลลงมาอาบยังสองข้างแก้ม ปล่อยทุกอย่างให้เป็นไปตามการกระทำของปวิม เลิกดิ้นรน เลิกร้องขอ
ปวิมถอนริมฝีปากออกจากปากบางเมื่อเห็นว่าปีย์วราเลิกขัดขืน ก่อนจะไล้ริมฝีปากไปตามแก้มเนียนใสที่ตอนนี้เปรอะไปด้วยคราบรอยน้ำตา ชายหนุ่มขยับใบหน้าออกห่างเพื่อที่จะได้มองอีกฝ่ายได้ถนัด รู้สึกถึงแรงสะอื้นจากร่างบอบบางที่เขากอดรัดเอาไว้ในวงแขน ใจหนึ่งก็ตระหนก คิดว่าตนเองทำรุนแรงเกินไปไหม แต่อีกใจก็คิดว่าอีกฝ่ายเสแสร้งแกล้งทำตัวให้น่าสงสารเท่านั้น
หยดน้ำใสไหลกลิ้งลงจากหางตา ปีย์วราลืมตามองชายที่ยืนอยู่ตรงหน้าด้วยแววตาเจ็บช้ำ “จะไม่ให้เหลือศักดิ์ศรีกันเลยใช่ไหม ต้องให้ตายลงไปต่อหน้าเลยใช่ไหมคุณถึงจะพอใจ ครั้งก่อนคุณก็ว่าปีย์เป็นผู้หญิงใจง่าย เปลี่ยนผู้ชายไม่ซ้ำหน้า แล้วครั้งนี้คุณก็ว่าปีย์ขายตัว ถ้าปีย์เลวขนาดนั้นจะมาวุ่นวายกับปีย์ทำไม”
“ผมไม่ได้ขอนอนกับคุณฟรีๆ นะ ผมเต็มใจจะจ่ายให้เต็มที่ ว่าไง อย่าเล่นตัวนักเลย หนก่อนไม่เห็นยากแบบนี้นี่” สีหน้าและวาจายังไม่เลิกหยามหยันให้อีกฝ่ายได้เจ็บ
หญิงสาวกอดตัวเองแน่นเหมือนกำลังจะใช้ตนเองเป็นหลักให้ยืนไว้นอกเหนือจากผนังเย็นเฉียบที่เธอถูกต้อนให้ยืนอิงอยู่ มองอีกฝ่ายอย่างไม่เชื่อสายตา ความรู้สึกรักและสายใยบางๆ ที่เธอเคยคิดว่ายังมีอยู่ในใจแทบขาดสะบั้นลงในนาทีนี้
น้ำตาใสไหลออกมาจากดวงตาที่มีแต่แววชอกช้ำ “ต่อให้ปีย์ขายจริง ปีย์ก็ไม่มีวันขายให้คุณ ได้ยินไหม ได้ยินไหม” ปีย์วราตะโกนใส่คนตรงหน้าสุดเสียงด้วยความเจ็บช้ำ พร้อมทั้งใช้สองมือผลักร่างสูงที่ยืนกักเธอไว้ราวกับกำแพงหนาจนเสียหลักก้าวถอย ก่อนจะหลับหูหลับตาวิ่งหนีออกไปแบบไม่ได้มองหรือสนใจใครสักนิด
หญิงสาวใช้หลังมือปาดเช็ดน้ำตาออกจากใบหน้าแต่มันก็ไม่หยุดไหลเสียที ไม่สนใจสักนิดว่าผู้คนที่อยู่รอบตัวหรือที่กำลังเดินสวนกับเธอจะคิดหรือเห็นอย่างไร รู้แต่ว่าต้องวิ่งหนีไปให้ไกล ไปให้ไกลจากความเจ็บที่ปวิมกำลังจะสร้างเป็นรอยแผลให้เธออีกหน
เสียงแตรรถยนต์และเสียงรถเบรกดังลั่น เสียงล้อรถยนต์บดขยี้พื้นถนนคอนกรีตเสียงดังสนั่น ปลุกสติของคนที่กำลังวิ่งกระเซอะกระเซิงให้ตื่นขึ้นมา แต่มันก็ช้าเกินไปเสียแล้วเมื่อสิ่งที่ปีย์วราเห็นอยู่ตรงหน้าในระยะกระชั้นชิดคือแสงไฟหน้ารถที่สว่างวาบสาดเข้านัยน์ตาจนต้องยกมือขึ้นมาบังพร้อมกับเสียงคนที่กำลังกรีดร้อง หญิงสาวมองไม่เห็นอะไรทั้งสิ้น
“ปีย์!!!”
นั่นคือเสียงสุดท้ายที่เธอได้ยินก้องหู เสี้ยววินาทีนั้นไม่เธอรู้ว่าอะไรเป็นอะไรแล้ว ก่อนจะเจ็บแปลบเหมือนมีเข็มเป็นหมื่นเป็นแสนเล่มเข้าทิ่มแทงกระแทกลงมาบนร่างกาย เหมือนลมหายใจจะหยุดชะงัก ความรู้สึกเบาบางเหมือนลมหายใจกำลังจะหยุดลง หัวใจเธอเต้นตุบๆ เบาลง และเบาลง
จบสิ้นกันเสียทีกับความเจ็บปวด ปีย์วรานึกปลงต่อทุกสิ่ง แต่แล้วเธอก็บอกตนเองว่าไม่ได้ เธอไปไหนไม่ได้ หญิงสาวพยายามจะลืมตาขึ้นมาอีกหน
“น้องพัฟ” ชื่อนั้นหลุดออกมาจากริมฝีปากอย่างแผ่วเบา ก่อนที่ทุกอย่างจะดับมืดลง มันเป็นฝันร้ายของเธอชัดๆ
ดวงตาคู่สวยค่อยๆ ลืมขึ้นมามองเมื่อรู้สึกว่ารถจอดอยู่นิ่งสนิท พร้อมกับนึกขึ้นมาได้ว่าตนเองกอดรัดผู้ชายคนที่กึ่งสั่งกึ่งบังคับให้เธอซ้อนมอเตอร์ไซค์ของเขา ปีย์วราปล่อยมือโดยเร็ว ผงะขึ้นมานั่งตัวตรง หน้าร้อนผ่าวไปด้วยความอับอายเพราะจำได้ว่ากอดรัดอีกฝ่ายไว้แน่นแค่ไหน แต่จะมาว่าเธอไม่มียางอายไม่ได้นะ ก็คนไม่เคยนั่งซ้อนมอเตอร์ไซค์คันโตเครื่องแรงขนาดนี้มาก่อน แถมพ่อเจ้าประคุณรุนช่องก็เล่นขับไวราวกับไม่กลัวตายเสียอย่างนั้น
“ถึงแล้ว” ชายหนุ่มถอดหมวกกันน็อกออกจากศีรษะก่อนจะหันกลับมาส่งยิ้มให้คนที่นั่งหน้าตื่นอยู่ข้างหลัง รู้สึกเสียดายอ้อมกอดที่ได้รับอยู่ไม่น้อยเพราะถึงที่หมายไวไปนิด
“คุณพาฉันมาที่ไหนคะ”
“คุณอายุเท่าไหร่”
หญิงสาวกะพริบตาด้วยความสงสัยเมื่อเธอถามเขาแล้วเขาไม่ตอบแถมยังมาถามอายุเธออีก แต่ก็ยอมบอกอีกฝ่ายไปแบบงงๆ “ยะ ยี่สิบสองค่ะ”
“หน้าเหมือนเด็กสิบแปด ผมสามสิบแล้ว คุณต้องเรียกผมว่าพี่ ไหนเรียกสิ... พี่พาย” น้ำเสียงติดจะขี้เล่นสั่งความ
ปีย์วราย่นจมูกใส่อีกฝ่าย ก่อนจะก้าวลงจากรถไปยืนอยู่ที่พื้น พยายามปลดสายล็อกหมวกกันน็อคที่ปลายคาง แต่มันก็ออกยากออกเย็นเสียเหมือนเกิน
“มานี่ พี่ช่วย”
อีกฝ่ายทึกทักแทนตัวว่าพี่แบบไม่ต้องรอคำอนุญาต หญิงสาวเม้มริมฝีปากตนเองแน่นเมื่อได้สบเข้ากับดวงตาคมที่มีประกายแวววับ แววตาฉ่ำวาวแบบนี้ทำเอาใจสาวเต้นระส่ำขึ้นมาโดยไม่มีเหตุผล รู้สึกเกินกว่าคำว่าเขินมากนัก ใบหน้าร้อนดั่งคนเป็นไข้เมื่อปลายนิ้วแข็งแรงแตะลงที่ปลายคางของเธอ
“เงยหน้าขึ้นนิด ล็อคมันติด” สองมือช่วยขยับอยู่เพียงนิดก่อนตัวล็อกที่ติดอยู่จะปลดออก “เรียบร้อย” ปวิมถอดหมวกออกให้หญิงสาว
“ขอบคุณนะคะที่ออกมาส่ง” ปีย์วรายกมือไหว้ปวิมระหว่างที่เขาก้าวลงจากตัวรถมายืนอยู่ไม่ไกลจากเธอเท่าไร ยังขัดเขินกับรอยสัมผัสที่ทิ้งไว้ให้ได้รู้สึก “ส่งปีย์ตรงนี้ก็ได้”
“เดี๋ยวสิ” มือใหญ่จับหมับเข้าไปที่ข้อมือเล็กๆ ที่กำลังพนมไหว้เขาอยู่ “กินข้าวกับพี่ก่อน ขอบคุณที่ช่วยเอาของมาส่งให้”
“ไม่ดีกว่าคะ พอดีต้องรีบกลับบ้าน” ปีย์วราบ่ายเบี่ยง พยายามบิดข้อมือออก ทั้งตกใจทั้งประหม่ากับการกระทำของอีกฝ่าย แต่ไหนเลยเธอจะสู้แรงของคนแสดงความเอาแต่ใจตัวออกมาได้
สุดท้ายเธอก็มานั่งหน้าตูม แสดงความขัดเคืองใจอยู่ข้างเขาที่โต๊ะอาหารในร้าน
“ทำหน้าแบบนั้นเดี๋ยวหน้าจะย่นเอานะ พอหน้าย่นก็ต้องไปฉีดไอ้อะไรน้า โบบ๊อกๆ”
“เขาเรียกโบท็อกซ์ค่ะ ไม่ใช่โบบ๊อก” ในที่สุดปีย์วราก็พูดออกมา แม้จะทนนั่งหน้านิ่งอยู่นานด้วยความไม่พอใจที่โดนบังคับให้มานั่งอยู่ที่โต๊ะแห่งนี้ และตั้งใจจะไม่พูดอะไรกับอีกฝ่ายก็ตาม แต่พอเขาพูดผิดเธอก็อดไม่ได้จึงต้องแก้ให้ แถมยังอดจะยิ้มขำอีกฝ่ายไม่ได้ด้วย
“นั่นแหละๆ โบบ็อก โบท็อกซ์” ปวิมยิ้มประจบ พร้อมกับตักปลาทอดน้ำปลาใส่จานให้หญิงสาว “เขาเรียกปลายำปลาทอดอะไรก็ไม่รู้ ลืมไปแล้ว บ๋อยบอกอร่อยมาก ลองกินดู”
“ปลากระพงทอดน้ำปลาค่ะ” หญิงสาวนึกอ่อนใจ ชายหนุ่มเป็นคนชี้นิ้วจิ้มรายการอาหารสั่งบริกรไปเองแท้ๆ แต่กลับไม่รู้ว่าอาหารนั้นชื่อว่าอะไร
“นั่นละๆ ตอนสั่งพี่ก็ไม่ได้ดูชื่อ กินเข้าไปเยอะๆ นะตัวบางนิดเดียวแบบนี้ นั่งซ้อนรถแล้วเดี๋ยวจะปลิวลมเอา”
ปีย์วราเหลือบตาขึ้นไปมองชายเจ้าของรูปร่างบึกบึนใบหน้าหล่อเหลาที่นั่งอยู่เบื้องหน้า ใบหน้าของเขาคมเข้ม คิ้วหนาและดําทําให้ดูโดดเด่นรับกับจมูกโด่งกําลังดี โหนกแก้มสูงเข้ารูปกับโครงหน้าและริมฝีปากหยักคม ท่าทีบ่งบอกถึงความเอาแต่ใจตัวเอง คิดเร็วทำเร็ว เธอให้คำจำกัดความเขาได้ด้วยคำแค่สองคำ... หล่อร้าย
“ชื่ออะไรครับ พี่แนะนำตัวไปแล้ว แต่น้องยังไม่ยอมบอกชื่อเลย” รู้ทั้งรู้แหละว่าหญิงสาวมีชื่อเล่นว่าปีย์ เพราะเธอหลุดปากออกมาหลายหนตอนที่พูดคุยกัน แต่เขาก็อยากจะได้ยินจากปากของเธอเองอีกหน
ชายหนุ่มเอ่ยถามแต่อีกฝ่ายกลับไม่ตอบ แถมยังเสมองไปทางอื่นเสียอีก แต่ใครจะสน... รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ปรากฏขึ้นที่ริมฝีปาก ก่อนจะตักอาหารใส่จานของหญิงสาวอีกเรื่อยๆ
“ทำไมถึงมาเป็นพริตตี้ละ” ปวิมพูดคุยสอบถามอีกฝ่ายไปเรื่อยเมื่อเห็นว่าหญิงสาวที่นั่งอยู่ข้างๆ ลดอาการเกร็งลง “แต่หากจะให้เดา เมื่อคืนคงเป็นงานแรกใช่ไหมครับ”
ดวงตาคู่หวานหันกลับมามองหนุ่มหล่อที่ขยันส่งยิ้มมากระชากใจเธอด้วยความแปลกใจ “คุณดูออกด้วยหรือคะ”
“ดูไม่ยาก เห็นไปยืนแอบอยู่ข้างหลังคนอื่น แต่ขอชมหน่อยว่าเก่ง รู้เรื่องสินค้าที่จะขายดีมาก”
ปีย์วราหลุดยิ้มออกมา “ท่องอยู่นานค่ะ” หญิงสาวคลายความระแวดระวังตัวลงเมื่อชายหนุ่มไม่ได้แสดงท่าทางจาบจ้วง ลวนลามหรือพูดจาหยาบโลนแต่ประการใด แถมยังคุยสนุกทำเอาเธอหลุดยิ้มได้บ่อยไป
“ทำไมถึงมาทำงานพริตตี้ล่ะ ชอบหรือ”
หญิงสาวส่ายหน้าหวือ “ปิดเทอมค่ะ แล้วเผอิญที่ทีมเขาขาดคน บวกกับค่าจ้างดีเลยไปช่วยเขา เพราะพี่สาวก็ทำอยู่ด้วย”
“ชอบไหม”
ปีย์วราหลุบตาหลบ ไม่สามารถจ้องตากับอีกฝ่ายเพราะไม่อาจที่จะสู้กับแววตาพราวหวานที่จับจ้องอยู่ก่อน “ถ้าเป็นเรื่องรายได้ก็ชอบค่ะ แต่ไม่ชอบชุดที่ใส่เท่าไหร่” หญิงสาวอุบอิบบอกอีกฝ่ายไปตามตรง
“ทำไมล่ะ พี่ว่าน่ารักดี”
“ผู้ชาย” ปีย์วราย่นจมูกใส่ชายหนุ่ม ทำเอาเขาหลุดหัวเราะออกมาอย่างอารมณ์ดี ยิ่งเขายิ้ม ยิ่งเขาหัวเราะ เธอก็ยิ่งรู้สึกว่าเขามีเสน่ห์ชวนมอง
“จริงๆ” เขายืนยันด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ
“ว่าแต่ คุณซื้อเบียร์ไปทำไมตั้งเยอะแยะคะ”
“พอดีอีกไม่กี่วันที่ฝูงบินจะมีงานเลี้ยง พี่เห็นว่ามันไม่แพงแถมมีของแถมด้วย เลยซื้อเตรียมไว้สำหรับงานนี้ อีกอย่าง พอดีเจ้านายพี่ชอบดื่มยี่ห้อนี้เลยอยากเอาใจท่านเสียหน่อย เผื่อได้เลื่อนขั้นเลื่อนยศสูงขึ้น”
ปีย์วราพยักหน้ารับ เธอไม่ค่อยรู้อะไรเกี่ยวกับทหารนักหรอกเพราะมันดูไกลตัวเธอเหลือเกิน ขนาดบั้งยศที่ติดอยู่บนบ่าเธอยังไม่รู้เลยว่าเขาแยกกันอย่างไร ยิ่งเป็นทหารอากาศด้วยแล้วยิ่งใหญ่ มีขีดเล็กขีดใหญ่อยู่บนบ่าดูน่างง ทหารบกกับตำรวจยังดูง่ายกว่าเพราะดูจากจำนวนดาวบนบ่า แม้ว่าในจังหวัดที่เธออาศัยอยู่จะมีทั้งทหารบกและทหารอากาศมาตั้งค่ายอยู่ และสาวๆ ที่เรียนกับเธอก็มักพูดคุยเรื่องเกี่ยวกับทหารกันอยู่เนืองๆ แถมหลายคนก็ใฝ่ฝันอยากมีแฟนเป็นทหาร รวมถึงพี่สาวคนสวยของปีย์วราด้วยที่อยากจะเป็นคุณนายนายทหารมาตั้งแต่ช่วงแตกเนื้อสาว แต่ปีย์วราก็แทบไม่รู้อะไรเกี่ยวกับอาชีพนี้เลย
“ขอบคุณนะคะ สำหรับค่าเปอร์เซ็นต์สินค้าที่ขายได้”
ปวิมยิ้มรับ “แล้วจะไม่บอกชื่อพี่จริงๆ หรือ คุยกันมาตั้งนานจนปลาในจานตรงหน้าเหลือแต่ก้างแล้ว”
หญิงสาวมองไปที่ตัวปลาซึ่งอีกฝ่ายกล่าวถึงก่อนจะหัวเราะออกมาเบาๆ เพราะมันเหลือแต่ก้างจริงๆ
“ตายละ เหลือแต่ก้างจริงๆ ด้วย” แถมปีย์วราก็ไม่มั่นใจด้วยว่าที่ปลามีสภาพเช่นนี้เพราะเขาหรือเธอกันแน่ ก็เขาขยันตักอาหารสารพัดที่มีบนโต๊ะใส่จานให้เธอเหลือเกิน
“ว่าไงคะ จะไม่บอกพี่หรือว่าชื่ออะไร”
“ปีย์วราค่ะ ชื่อเล่นชื่อว่าปีย์” หญิงสาวลังเลอยู่ไม่นานก่อนจะเอ่ยบอกชื่อของตนให้อีกฝ่ายได้รู้
“ปี-วะ-รา” ชายหนุ่มทวนช้าๆ “แปลว่า?”
“เป็นที่รักอย่างประเสริฐ”
“พี่ชอบนะ เป็นที่รัก” เขาไม่พูดเปล่ายังส่งยิ้มนัยน์ตาพราวระยับส่งไปให้ปีย์วราอีกหน
“แล้วคืนนี้ต้องไปทำอีกไหม”
“งานพริตตี้หรือคะ”
“ใช่ค่ะ”
ผู้ชายพูดคะ ขา ฟังดูไม่คุ้นหู แต่ทำไมเธอกลับรู้สึกว่ามันละมุนหู ชวนฟังพิกล “วันนี้ไม่มีงานค่ะ แต่มีงานพรุ่งนี้”
“พรุ่งนี้ไปเปิดบูธขายแบบคืนวันก่อนอีกหรือ”
“ใช่ค่ะ ถามทำไมคะ”
“เปล่าครับ แค่อยากรู้ว่ามีงานเยอะไหม แล้วไปที่ไหนครับพรุ่งนี้”
“ที่xxxxค่ะ” หญิงสาวตอบกลับไป ก่อนจะมองไปที่นาฬิกาที่อยู่บนข้อมือ “เย็นมากแล้ว ปีย์คงต้องกลับ”
แทนที่อีกฝ่ายจะทัดทานหรือดึงดันให้ปีย์วราอยู่ต่อ เขากลับพยักหน้ารับอย่างว่าง่ายๆ พร้อมกับเรียกพนักงานมาเก็บเงินค่าอาหาร การกระทำของปวิมทำให้ปีย์วรายิ่งคลายใจเมื่อได้อยู่กับชายหนุ่ม
“เดี๋ยวพี่ไปส่งปีย์เอง” เขาบอกเมื่อจัดการเรื่องค่าอาหารเสร็จเรียบร้อย
“ไม่รบกวนดีกว่านะคะ”
“เกรงใจทำไม ก็พี่เต็มใจ” ชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ลุกขึ้นมาจากเก้าอี้ที่นั่งอยู่ พร้อมกับจับจูงมือปีย์วราให้เดินไปราวกับว่าหญิงสาวเป็นเด็กเล็กๆ หญิงสาวถึงกับพูดอะไรไม่ออกเมื่อถูกอีกฝ่ายถืออภิสิทธิ์จับมือและจูงเธอเดินออกมาจากร้าน
“นี่คุณ” ปีย์วราที่ใบหน้าแดงก่ำราวกับลูกตำลึงสุกใช้มือตีลงไปเบาๆ บนมือใหญ่ที่จับจูงรั้งข้อมือของเธออยู่ ก่อนจะหลบสายตาของใครต่อใครที่กำลังมองมาด้วยการมองไปที่แผ่นหลังกว้างซึ่งอยู่เบื้องหน้า เธอสูงเพียงหัวไหล่ของเขาเท่านั้นเอง
“พี่พาย” เขาแย้งบอกแต่ไม่หยุดเดิน “เรียกพี่พายแล้วแล้วจะปล่อย”
“เอ๊ะ...คุณนี่.. ดูสิคนเขามองกันใหญ่แล้ว”
“ก็ถ้าเดินตามมาดีๆ ไม่ดิ้นไม่ร้องเสียงแหลมแบบนี้ คนเขาก็ไม่มองหรอก”
“งั้นคุณ...พี่พายก็ปล่อยสิคะ”
ทันทีที่ปีย์วราเอ่ยเรียกอีกฝ่ายว่าพี่ มือใหญ่ก็ปล่อยข้อมือของหญิงสาวออกทันทีเช่นกัน
“เอาละ ที่นี้บอกมาว่าบ้านอยู่ที่ไหน เดี๋ยวพี่จะไปส่ง”
“อย่าเลยค่ะ ปีย์กลับเองได้”
“ดื้อนะเรา” จบคำหมวกกันน็อกใบเดิมก็ถูกสวมลงมาที่ศีรษะของหญิงสาวอีกครั้ง “เปิดโอกาสให้พี่ดูแลหัวใจของพี่หน่อยจะเป็นไรไป”
ชายหนุ่มก้าวเท้าขึ้นไปนั่งคร่อมอยู่บนรถ ปล่อยให้คนที่ถูกสารภาพรักเอาดื้อๆ ยืนหน้าแดงตัวแดง ทำสีหน้าไม่ถูกไปพักใหญ่ ไม่คิดว่าอยู่ๆ ก็มีใครไม่รู้ รู้จักกันไม่ทันข้ามวันเสียด้วยซ้ำมาบอกว่าเธอคือหัวใจของเขา
“ว่าไงคะ จะให้พี่ไปส่งไหม” เสียงนุ่มเอ่ยถามโดยที่เจ้าตัวไม่ได้หันหน้ากลับมามอง
ปีย์วราเม้มปากกลั้นยิ้ม หัวใจของเธอดูเหมือนกำลังเบ่งบานจนใหญ่แน่นคับในอก ไม่ต่างจากนาทีแรกที่ได้สบสายตากับชายหนุ่มเมื่อคืนนี้เลยสักนิด มันคือช่วงเวลาที่ยังติดตรึงในใจจนเป็นแรงผลักดันอีกส่วนให้เธออยากไปส่งของให้เขาเองในวันนี้
เจ็บ!
นั่นคือความรู้สึกแรกที่ได้รับรับรู้ หญิงสาวค่อยๆ ขยับตัวก่อนจะร้องออกมาเบาๆ เมื่อขยับตัวแล้วรู้สึกเจ็บจนน้ำตาเล็ดออกมา ปีย์วราค่อยๆ ลืมตาขึ้นมามองไปรอบๆ ตัว กลิ่นยาฆ่าเชื้อที่คุ้นเคยสิ่งแวดล้อมที่คุ้นตา ห้องที่เหมือนจะเคยเห็นอยู่ทุกวัน แต่เธอมานอนอยู่ตรงนี้ได้อย่างไรกัน หญิงสาวค่อยๆ หลับตาลงอีกครั้งเพื่อนึกถึงความทรงจำก่อนที่สติจะดับไป
“พัฟ...” ดวงตาโตเบิกกว้างขึ้นทันใด ลูกของเธอ ลูกของเธอ หญิงสาวค่อยๆ ฝืนขยับตัวลุกขึ้นมาจากเตียง แม้จะเจ็บ แม้จะปวด แต่เธอก็ต้องไป
“ลุกขึ้นมาทำไมคะ” น้ำเสียงเข้มงวดที่คุ้นหูทำให้ร่างบางที่กำลังกลั้นใจบิดตัวก้าวลงจากเตียงถึงกับชะงักงันไป หากปีย์วรากลับไม่ยอมเชื่อฟัง ยังฝืนกล้ำกลืนความเจ็บขยับตัวต่อไป
“นอนลงไปก่อนนะคะ” นางพยาบาลที่กำลังเดินเข้ามาเอ่ยบอก “รอให้คุณหมอมาตรวจเสียก่อนค่อยขยับตัว”
“อยากได้โทรศัพท์ค่ะ ขอโทรศัพท์ก่อนได้ไหมคะ” เสียงสั่นเครืออ่อนระโหยเอ่ยบอกเบาๆ ดื้อดึงฝืนคำสั่งของนางพยาบาลที่เข้ามาประคับประคองร่างบอบบางให้กลับขึ้นไปนอนอยู่บนเตียง
ปีย์วราที่กำลังปวดร้าวตึงแขนขา ดื้อดึงอยู่ได้ไม่นานก็ต้องยอมนอนลงไป พร้อมกับน้ำตาที่เริ่มคลอที่หน่วยตา
“ขอโทรศัพท์นะคะ ต้องโทร.เดี๋ยวนี้” หญิงสาวอ้อนวอนเสียงสั่น พร้อมทั้งส่งสายตาวอนขอ
นางพยาบาลส่ายหน้าเพียงนิด ก่อนจะผละไปหยิบกระเป๋าถือที่มีสภาพขะมุกขะมอมมายื่นส่งให้หญิงสาวที่กึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนที่นอน และทันทีที่ได้โทรศัพท์ไปสมใจใบหน้าที่เห็นว่าซีดเผือดแทบไร้สีเลือดก็เริ่มมีสีสันขึ้นมาทันที
“พี่เอกคะ พี่เอก” ปีย์วราเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงที่กระตือรือร้น ดีใจเหลือเกินที่พี่เขยของเธอรับโทรศัพท์เสียที หลังจากปล่อยให้มีเสียงสัญญาณรอสายดังอยู่นาน “ลูก... น้องพัฟอยู่ไหนคะ”
“ปีย์! พี่ต้องถามปีย์มากกว่านะ หายไปไหนมาทั้งคืน พี่โทรไปหลายหนแต่ไม่มีคนรับสาย เมื่อคืนพี่เลยเอาน้องพัฟมานอนด้วยกันที่บ้าน”
ลมหายใจแห่งความโล่งใจถูกปล่อยออกมาจากอก ทันทีที่ได้รู้ว่าลูกชายมีคนที่ไว้ใจได้ดูแลอยู่ “ปีย์ประสบอุบัติเหตุนิดหน่อยค่ะ ตอนนี้อยู่ที่โรงพยาบาล” หญิงสาวออมเสียงเบาลงทันที
“เป็นอะไรมากหรือเปล่า แล้วอยู่โรงพยาบาลอะไร”
“พี่เอกอย่าห่วงเลยค่ะ ปีย์ไม่เป็นอะไรมาก นี่คงแค่เคล็ดขัดยอกนิดหน่อย แต่ช่วงนี้ปีย์คงต้องรบกวนพี่เอกดูแลน้องพัฟให้ก่อนนะคะ”
“ได้สิ แต่ปีย์อยู่ที่โรงพยาบาลอะไร พี่จะได้ไปเยี่ยม”
ปีย์วรามองไปรอบตัวอีกครั้ง ก่อนจะเห็นชื่อของโรงพยาบาลอยู่ที่ปลอกหมอนและผ้าปูเตียงซึ่งตนเองนอนทับอยู่ หญิงสาวเอ่ยบอกชื่อโรงพยาบาลรัฐชื่อดังให้พี่เขยได้ทราบทันที ก่อนจะพูดจาสอบถามถึงลูกชายด้วยความรักใคร่และห่วงใย รอยยิ้มเล็กๆ ปรากฏขึ้นทันทีด้วยความโล่งใจ พร้อมกับน้ำตาที่กลั้นไว้และไหลลงมาตามข้างแก้ม
“เรียบร้อยแล้วนะคะ” นางพยาบาลรับโทรศัพท์จากหญิงสาวไปวางที่หัวเตียง “คุณหมออยากให้คุณนอนอยู่บนเตียงไปก่อน เพราะอุบัติเหตุเมื่อคืนศีรษะของคุณมีการกระทบกระเทือนรุนแรงพอสมควร”
ปีย์วราพยักหน้ารับเพราะทันทีที่พยาบาลพูดขึ้นมาเธอก็รู้สึกเจ็บที่ศีรษะขึ้นมาทันที มือเรียวเล็กยกขึ้นไปสัมผัสกับจุดที่ปวดก่อนจะพบว่ามันบวมบูดเป็นลูกมะกรูดอยู่บริเวณด้านข้างศีรษะ
“ไม่แตกค่ะ แต่บวม เมื่อคืนเราพาคุณเข้าเครื่องตรวจและสแกนแล้วไม่พบอะไร เช่นเดียวกับร่างกายส่วนอื่นๆ แต่ก็คงมีอาการช้ำบ้างไม่มากก็น้อย คุณเจ็บส่วนไหนเป็นพิเศษหรือเปล่าคะ”
“ปวดร้าวไปทั้งตัวเลยค่ะ” หญิงสาวเอ่ยบอกตามจริง
“ถ้างั้นดิฉันจะไปแจ้งคุณหมอให้นะคะ อีกสักครู่ท่านคงมาตรวจ แต่คุณอย่าเพิ่งลุกเดินนะคะ นอนอยู่บนเตียงก่อน หากมีอะไรกดปุ่มที่หัวเตียงนะคะ เดี๋ยวจะมีพยาบาลเข้ามาดูแล”
ความคิดเห็น |
---|