13

ตอนที่ 12

                 ใช่ครับ” กุสตาฟพยักหน้ารับ ขอแค่เพียงเธอเปิดโทรศัพท์อีกสักครั้ง แล้วผมจะไปรับเธอเอง

เสียงสัญญาณเตือน พร้อมกับจุดสีเขียวเล็กๆ ที่กะพริบถี่ทำให้กุสตาฟซึ่งกำลังครึ่งหลับครึ่งตื่นสะดุ้งพรวดขึ้นจากเก้าอี้ที่เอนกายอยู่

ชายวัยกลางคนถลันไปหาแผงอิเล็กทรอนิกส์และจอแอลอีดีนับสิบตัวตรงหน้า จับตามองจุดสีเขียวอย่างไม่วางตาด้วยความตื่นเต้น

“ได้เรื่องแล้วโว้ย แม่สาวน้อยอัจฉริยะ เราจะได้พบกันแล้วสินะ”

ชายหนุ่มรูปร่างผอมสูงซึ่งเป็นหนึ่งในทีมหันมาบอกด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นไม่ต่างกัน

“เธอยังอยู่ในปารีสนี่แหละครับกุสตาฟ น่าจะไม่ห่างจากเซฟเฮาส์ที่เราซุ่มตัวอยู่มากนักด้วย เรามีโอกาสได้ตัวเธอสูง...สูงมากด้วยครับ”

กุสตาฟหันไปหาชายหนุ่มร่างผอมสูงซึ่งพยายามดึงภาพจากสัญญาณดาวเทียม แล้วถามลูกน้องน้ำเสียงยินดีอย่างปิดไม่มิด

“จริงหรือ ที่ตั้งเซฟเฮาส์ของเราอยู่ตรงไหนในจอนี้”

“ตรงนี้ครับ” หนุ่มร่างผอมสูงเคาะนิ้วลงตรงอาคารจุดเล็กจุดหนึ่งแล้วลากไปหาจุดสีเขียวที่กะพริบ “ห่างจากจุดสีเขียวของแม่สาวน้อยคนนี้ไม่ถึงห้าไมล์”

“ดีมาก พยายามระบุพิกัดที่แน่นอนให้ได้ ขอภาพถ่ายทางอากาศที่ละเอียดที่สุดเท่าที่นายจะทำได้ด้วยนะ เดี๋ยวฉันไปบอกข่าวดีกับอาห์เรนก่อน”

ชายวัยกลางคนศีรษะล้านรุดไปที่ห้องทำงานส่วนตัวของอาห์เรนในเซฟเฮาส์ ซึ่งตั้งอยู่สุดทางเดินของอาคารเล็กๆ ทว่าเต็มไปด้วยอุปกรณ์ทันสมัยแห่งนี้

“หัวหน้าครับ ทีมของเรารายงานด่วนมาว่า เราจับสัญญาณของคุณลลนาได้ครับ เธอยังอยู่ในปารีส”

อาห์เรนลุกขึ้นยืนเต็มความสูง ใบหน้าที่เคยเคร่งเครียดดูผ่อนคลายลงทันที

“จริงหรือ ระบุพิกัดได้หรือยัง”

“ยังครับ แต่กำลังดำเนินการ คุณจะไปดูด้วยกันกับผมไหมครับ”

“เอาสิ” อาห์เรนตอบรับ

กุสตาฟเป็นชายวัยกลางคนชาวเยอรมันที่รูปร่างสันทัดค่อนไปทางเตี้ย ผมสีแดงของเขาเริ่มมีผมขาวแซมประปราย ผิดกับอาห์เรนซึ่งยังหนุ่มแน่น รูปร่างสูงใหญ่ราวกับนักรบ เมื่อเดินเคียงข้างกัน ก็ดูเหมือนราชสีห์กับหนูไม่มีผิด ยิ่งทำให้ข่มลูกน้องได้โดยไม่ต้องพยายามสักนิด

                อาห์เรนตบบ่าลูกน้องร่างผอมสูงหนัก ถามจริงจัง

                “ระบุพิกัดได้หรือยัง”                            

                “กำลังพยายามครับ”

                ภาพจากจอแอลอีดีเปลี่ยนจากหลังคาบ้านเรือนนับร้อย ตึกสูง อาคารและถนนนับสิบสาย กลายเป็นเหลือเพียงอาคารโบราณหลังงาม โบสถ์ อาคาร สวนสาธารณะ และถนนเพียงไม่กี่สาย

                “ลงไปอีก ลงไปอีก” อาห์เรนสั่ง “ยิ่งเห็นตัวเธอได้ยิ่งดี เราจะได้แน่ใจว่าเป็นเธอจริงๆ หรือแค่คนอื่นที่อาจจะมีมือถือของเธอในครอบครอง”

                “ได้ครับ”

                ภาพที่แสดงบนหน้าจอแอลอีดีค่อยๆ ถูกปรับให้ชัดขึ้นเรื่อยๆ ท่ามกลางความคาดหวังของทุกคนในเซฟเฮาส์แห่งนี้

แล้วจู่ๆ จุดสีเขียวที่กะพริบถี่ก็หายวับไปเฉยๆ...

               

                “นี่เอ็น...คุณทำอะไรน่ะ”

                แอลทูถามเสียงกระชากเมื่อเห็นลลนากำลังกดโทรศัพท์ในระหว่างที่เดินไปขึ้นรถที่จอดอยู่

                “ฉันกำลังโทร.กลับเมืองไทยน่ะสิแอล ถามได้”

                แอลทูฉวยโทรศัพท์ไปจากมือของเธอ แล้วกดปิดทันทีทั้งๆ ที่ปลายสายทางเมืองไทยยังไม่ได้กดรับเสียด้วยซ้ำ ลลนาโวยวาย พยายามจะแย่งโทรศัพท์คืน

                “นี่แอล ทำอะไรน่ะ เอาโทรศัพท์ของฉันคืนมานะ”

                “คุณใช้โทรศัพท์ส่วนตัวไม่ได้”

                “ทำไมจะไม่ได้เล่า ฉันรู้หรอกนะว่าเวลาอยู่ในองค์กร ฉันจะใช้โทรศัพท์ไม่ได้ เพราะสถานที่แห่งนั้นต้องปิดเป็นความลับสุดยอด แต่นี่เรากำลังเดินอยู่ริมถนนในกรุงปารีส ห่างจากตึกแปดเหลี่ยมตั้งเยอะ ไม่เห็นจะมีอะไรน่ากลัวตรงไหน ทำไมจะใช้โทรศัพท์ไม่ได้เล่า”

                สายลับหนุ่มหย่อนโทรศัพท์เครื่องบางของเธอใส่กระเป๋าเสื้อด้านข้างของตนเอง พูดเสียงห้วนจัด

                “คุณไม่คิดบ้างหรือ ว่ามีคนบางคนหรือบางกลุ่ม กำลังติดตามคุณ และพยายามค้นหาที่อยู่ของคุณ...จากสัญญาณโทรศัพท์ที่คุณกำลังโทร.ออก”

                ลลนาอ้าปากค้างบ้าง อะไรมันจะลึกลับซับซ้อนถึงเพียงนี้

                “ไม่จริงหรอกมั้ง ใครจะทำถึงขนาดนั้น”

                “มีก็แล้วกัน ผมขอร้องนะ อย่าโทร.หาใครตลอดเวลาที่คุณทำงานกับพวกเราที่นี่ ถ้าคุณมีธุระอะไรก็ฝากผมส่งข้อความกลับไปหาญาติพี่น้องได้เสมอ ไม่ต้องเกรงใจ ขอแค่อย่าใช้โทรศัพท์ เพราะมันจะทำให้สามารถแกะร่องรอยของคุณจากการใช้ได้”

                “แต่ฉันอยากได้ยินเสียงพ่อกับแม่บ้างนี่แอล ฉันอยากบอกพวกท่านให้รับรู้จากปากของฉันเอง ว่าฉันปลอดภัย ฉันอยากคุยกับพวกท่าน”

                ลลนาไม่แน่ใจว่าคนไม่มีครอบครัวอย่างแอลทูจะเข้าใจความรู้สึกแบบนี้ของเธอไหม คำว่า ‘สายใยแห่งครอบครัว’ คงจะต้องเป็นคนที่มีครอบครัวที่รักและผูกพันกันเท่านั้นจึงจะเข้าใจในความหมาย แต่คนที่เติบโตมาแบบเด็กกำพร้าอย่างชายหนุ่มอาจจะไม่เข้าใจตรงจุดนี้ ซึ่งเธอก็ไม่ควรโกรธ หากเขาไม่เข้าใจเธอจริงๆ

                สายลับหนุ่มมองเธอนิ่ง แววตาของเขาวูบไหวเล็กน้อย ก่อนที่เขาจะพยักหน้าบูดบึ้งที่เธอเห็นจนชินตานิดหนึ่ง

                “ก็ได้ เอาเป็น...กลับจากห้องสมุดวันนี้แล้ว ผมจะให้คุณยืมใช้โทรศัพท์ส่วนตัวของผมโทร.กลับไปหาครอบครัวที่เมืองไทย ดีไหม”

                “จริงเหรอ”

                “จริงสิ”

                “ขอบคุณนะแอล ขอบคุณที่เข้าใจฉัน” ลลนายิ้มกว้าง เผลอเข้าไปเกาะแขนกำยำของอีกฝ่ายด้วยความยินดี

                ชายหนุ่มสะบัดแขนออกจากการเกาะกุม ตีหน้ายักษ์ ขึงตาใส่เธอ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงห้วนจัดสมกับที่ได้ฉายาเป็นปลาทูหน้างอคอหักเหมือนเคย

“ทำงานของคุณให้เสร็จแทนคำขอบคุณก็แล้วกัน”

                “แน่นอนอยู่แล้ว” หญิงสาวลอยหน้าตอบ

                อาห์เรนสบถรัวเร็วพลางทุบกำปั้นลงกับแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์ตรงหน้าเมื่อจุดสีเขียวที่เป็นความหวังเพียงหนึ่งเดียวของเขาดับวูบลงไปอีกครั้ง พร้อมกับภาพในจอแอลอีดีที่เหลือเพียงภาพสุดท้ายของสถานที่ ก่อนที่สัญญาณจะถูกตัดหายไป

                “ลองค้นหาพิกัดอีกครั้งได้ไหม” หัวหน้าทีมถามทั้งๆ ที่รู้

                “ไม่ได้ครับ สัญญาณหายไปแล้ว” ทีมงานร่างผอมสูงรายงาน

                “บ้าชะมัด อีกนิดเดียวแท้ๆ”

                กุสตาฟยิ้มแห้ง  “อย่างน้อยเราก็มั่นใจได้ในระดับหนึ่งนะครับว่าคุณลลนายังอยู่ในปารีส ไม่ได้ถูกพาตัวออกไปนอกฝรั่งเศส ไม่อย่างนั้นเราคงทำงานได้ยากขึ้น แต่จากที่จับสัญญาณได้บอกว่าเธอยังอยู่ในปารีส อีกไม่นานเราอาจจะได้ตัวเธอก็ได้”

                อาห์เรนตวัดสายตามองคนเป็นลูกน้องแล้วถอนใจเบาๆ “ฉันจะพยายามมองโลกในแง่บวกให้ได้อย่างนายนะกุสตาฟ”

                “และอีกข้อสังเกตหนึ่งก็คือ คนที่ตัดหน้าทีมของเราจับตัวคุณลลนาไปน่าจะเป็นมืออาชีพ ไม่ใช่มือใหม่อย่างแน่นอน แต่ผมก็ยังไม่สามารถระบุได้ว่ามาจากองค์กรไหน”

                อาห์เรนทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ที่ว่างอยู่

                “ถ้าให้ฉันเดาน่าจะเป็นองค์กรสายลับอิสระ เพียงแต่ฉันไม่รู้ว่าไอ้องค์กรห่าเหวนี่มันขึ้นกับใคร เข้ากับฝ่ายไหน และกำลังทำงานนี้เพื่ออะไร”

                “หรือจะเป็นพวกซีไอเอครับ”

ลูกน้องร่างผอมสูงในทีมคาดเดา แต่อาห์เรนส่ายหน้า

                “ไม่น่าจะใช่นะ งานนี้ซีไอเอจะยื่นจมูกเข้ามาแส่เพื่ออะไร ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับอเมริกาเลยสักนิด การโจรกรรมภาพเขียนทั้งสองภาพที่หายไปเกิดขึ้นในยุโรป ภาพที่หนึ่งเกิดที่เนเธอร์แลนด์ ภาพที่สองเกิดที่เยอรมัน เราถึงมีความชอบธรรมที่จะเข้ามาตามสืบคดีในครั้งนี้ แค่เรากับพวกตำรวจดัชท์” 

                “แล้วก็พวกอินเตอร์โปลครับ อย่าลืมตำรวจสากล” กุสตาฟเตือนเบาๆ

                “ใช่ ไอ้พวกหมาล่าเนื้อ”

อาห์เรนคำราม พลางไล้นิ้วมือไปบนจอแอลอีดีตรงหน้า ซึ่งเป็นตำแหน่งเดียวกับที่จุดสีเขียวเคยปรากฏอยู่

“ขอร้องเถอะคนสวย ฉันขอแค่เธอเปิดโทรศัพท์อีกสักครั้ง”
 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น