บทที่ ๒

บทที่ ๒ 

รักแรกที่อกหัก

ภายในห้องทำงานใหญ่ชั้นยี่สิบของอาคารบริษัทอรเนตร เด็กชายวัยห้าขวบซึ่งตอนนี้ถอดโรลเลอร์เบลดและอุปกรณ์ป้องกันการบาดเจ็บออกหมดแล้วยืนหน้าจ๋อยคอตกอยู่ข้างโต๊ะทำงานตัวใหญ่ หลังโต๊ะทำงาน ผู้ชายใส่สูทสีเทาเข้มเรียบหรูกำลังมองเด็กชายด้วยแววตาแฝงความตำหนิ 

ใบหน้าของเขาหล่อเหลา คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันเล็กน้อย แต่ก็ยังมีความอ่อนโยนส่งมาให้ จมูกโด่งเป็นสันรับกับโครงหน้าหล่อเหลาทำให้เขาดูน่ามอง แต่ก็ชวนให้หวั่นๆ ได้เหมือนกัน เพราะแม้ดวงตาจะดูนิ่งเหมือนน้ำทะเลเรียบลึกไร้คลื่น แต่กลับมีคลื่นใต้น้ำแฝงอยู่ ยิ่งท่าทางกอดอกแบบนั้น ยิ่งบอกชัดเลยว่าใครบางคนกำลังจะโดนทำโทษ

พริตามองหนึ่งผู้ใหญ่กับหนึ่งเด็กสลับไปมา แล้วก็ได้แต่หวั่นๆ แทนเด็กชาย แต่อีกใจก็รู้สึกแปลกตาเหมือนกัน เพราะหล่อนไม่เคยเห็นรามิลในมุมนี้มาก่อน สิบเจ็ดปีก่อนเขาเป็นแค่นักเรียนมัธยมปลายที่ดูสนุกสนานร่าเริง แม้ว่าจะเป็นทั้งรองประธานนักเรียนและนักกีฬาบาสเกตบอลของโรงเรียน แต่ไม่ได้ให้ความรู้สึกแบบนี้เลยสักนิด

ต่างจากวันนี้ที่ให้ความรู้สึกของผู้ชายที่มีเขี้ยวเล็บ มีทั้งความเข้มแข็ง อ่อนโยน และเด็ดขาด รวมทั้งความเป็นผู้นำที่ชัดเจน แล้วก็ดูเป็นคนที่ไม่ควรจะมีปัญหาด้วย 

แต่ขณะเดียวกันเขาก็ไม่ได้ทำให้รู้สึกขยาดไปเสียทีเดียว แค่ว่าถ้าอยู่ใกล้ๆ ก็อดไม่ได้ที่จะหวั่นไหว ใจเต้นแรง เป็นผู้ชายในแบบที่ผู้หญิงทั้งอยากอยู่ใกล้ทั้งอยากหลีกหนี เพราะมันอันตรายต่อหัวใจน้อยๆ ที่อาจเผลอไปตกหลุมรักเขาได้อย่างไม่รู้ตัว!

พริตาคิดขณะมองเขาเพลิน มาสะดุ้งก็ตอนที่เขาเรียกชื่อเด็กชาย

“วีรภัทร์ ลูกรู้ใช่ไหมว่ามีความผิด”

“รู้ครับ”

วีรภัทร์หรือน้องวีหน้าจ๋อยหนักกว่าเดิม แม้พ่อจะไม่เคยดุว่าหรือตีเลยแม้แต่น้อย แต่แค่พูดเสียงขรึมแบบนี้ ทำหน้านิ่งๆ อย่างนี้ แถมยังเรียกชื่อจริงด้วย ชัดเลยว่าโกรธอยู่ เจ้าตัวจึงหันมาหาคุณน้าคนสวยและยกมือไหว้ขอโทษ

“ขอโทษครับคุณน้า”

พริตาทำตาปริบๆ ความที่เป็นครูสอนวาดรูปจึงคุ้นเคยกับเด็กๆ หล่อนจึงเข้าใจว่าเด็กวัยนี้จะซนไปบ้างก็เป็นเรื่องปกติ แต่ถึงอย่างนั้นก็ใช่จะบอกว่าไม่เป็นไรได้ เมื่อทำผิดก็ต้องสอนกันแต่เนิ่นๆ

“ชื่อน้องวีใช่ไหมคะ” หล่อนพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนใจดี พอเด็กชายพยักหน้ารับก็สอนตามที่ตั้งใจไว้ 

“น้าไม่เป็นไรค่ะ แต่น้องวีต้องระวังให้มากกว่านี้ ถ้าเกิดบาดเจ็บรุนแรงจนต้องไปหาหมอ ต้องเจอคุณหมอฉีดยาเจ็บๆ ใส่ยาแสบๆ แบบนั้นน้องวีคงไม่ชอบใช่ไหมคะ”

น้องวีส่ายหน้าดิกทันทีเมื่อนึกถึงเข็มฉีดยาของหมอที่ไม่ว่าอย่างไรก็เป็นเรื่องปราบเซียนสำหรับเด็กๆ แล้วกับผู้ใหญ่บางคน ต่อให้โตแค่ไหน เรื่องฉีดยาและการเจาะเลือดก็ยังเป็นเรื่องชวนสะดุ้งได้ทุกที

พริตายิ้มให้อย่างปลอบใจว่าไม่ได้ถือโทษโกรธจริงๆ ในเมื่อคนทำผิดรู้ตัวว่าผิดและรู้จักขอโทษ แค่นี้ก็พอแล้ว เด็กชายพอได้รับการให้อภัยก็มีสีหน้าดีขึ้นมานิดหน่อย หันไปทางพ่อพร้อมกับส่งสายตาออดอ้อนขอโทษ แค่นั้นคนที่ทำหน้านิ่งอยู่เมื่อครู่ก็ใจอ่อน แต่ยังส่งสายตาคาดโทษมาให้พร้อมบอกเด็กชายว่า

“น้องวีไปเล่นที่ห้องรับรองก่อน พ่อมีเรื่องจะคุยกับคุณน้าคนนี้”

“ครับพ่อมิล”

น้องวีรับคำแล้วรีบเดินออกจากห้อง ไม่ต้องรอให้พ่อบอกรอบสอง คล้อยหลังเด็กชาย รามิลก็หันมาหาผู้หญิงที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามโต๊ะทำงานของเขา ดวงตาสองคู่สบกัน พร้อมกับที่ความรู้สึกมากมายและความทรงจำในวันวานผุดขึ้นมาราวกับเป็นภาพฉายซ้ำ

ภาพของเด็กผู้หญิงตัวเล็กที่มองเขาด้วยแววตาปลาบปลื้มและหลงใหลยังแจ่มชัดในความทรงจำ แม้ว่าตอนนี้หล่อนจะไม่ได้ตัวเล็กเท่าเมื่อก่อน ดูเป็นสาวขึ้นและสวยขึ้นมาก จากเด็กกะโปโลในวันนั้นกลายเป็นสาวสะพรั่งในวันนี้ แต่เขาก็ยังคงจำดวงตาคู่นี้กับจมูกรั้นๆ และดวงหน้าแสนงอนได้ดี

“ไม่คิดว่าจะได้เจอกุ้งที่นี่ ไม่เจอกันนานหลายปี กุ้งโตขึ้นมากเลย”

รามิลเปรยและขยับเปลี่ยนท่านั่งที่ดูเข้มงวดให้สบายๆ ขึ้น แม้เขาจะไม่ได้ยิ้ม แต่ลึกๆ กำลังดีใจที่ได้เจอหล่อน หลังจากที่ไม่ได้เจอกันเลยตั้งแต่วันนั้นเมื่อสิบเจ็ดปีก่อน

วันนั้นไม่ใช่เพราะเขาเห็นหล่อนเป็นแค่น้องสาวอย่างที่พูดไป แต่เพราะคิดว่าตัวเองเป็นเพียงเด็กหนุ่มที่ยังไม่สามารถดูแลใครได้ ยังมีเรื่องอีกมากมายที่เขาต้องเรียนรู้ แล้วก็ไม่อยากให้หล่อนมองเขาว่าดีที่สุด หล่อนยังต้องเจอใครอีกหลายคนที่อาจจะดีกว่า เขาจึงหักอกหล่อนเพื่อให้หล่อนได้โตขึ้น เผื่อว่าโตขึ้นแล้วเมื่อหล่อนมองกลับไป หล่อนจะได้ไม่เสียใจว่าตอนนั้นไม่น่าคิดอะไรแบบเด็กๆ เลย 

หลังจากนั้นเขาก็ไปเรียนต่อปริญญาตรีและปริญญาโทที่ต่างประเทศ พอเรียนจบก็ทำงานหาประสบการณ์ที่นั่นอยู่สองปี ก่อนจะกลับมารับตำแหน่งกรรมการผู้จัดการบริษัทอรเนตรอีกสี่ปี สองปีต่อมาจู่ๆ พ่อก็จากไปอย่างปัจจุบันทันด่วน บอร์ดบริหารจึงโหวตให้เขาขึ้นแท่นประธานบริษัทอรเนตร เพราะไม่มีใครในบริษัทที่รู้จักอรเนตรดีไปกว่าเขาอีกแล้ว

มาวันนี้ถือว่าเขาประสบความสำเร็จในชีวิตแล้วส่วนหนึ่ง แต่อีกส่วนในเรื่องความรักนั้นเรียกว่ายังไม่สำเร็จเลยสักนิด ไม่รู้ว่าเป็นบาปกรรมที่ไปหักอกหล่อนไว้หรือเปล่า เพราะเขายังไม่เจอผู้หญิงที่ทำให้รู้สึกชอบได้เลย แม้จะเคยคบหากับสาวๆ ตอนไปเรียนต่างประเทศ แต่ก็ไม่มีใครที่เขารู้สึกว่าใช่เลยสักคน 

เขาไม่ใช่ผู้ชายที่ชอบผู้หญิงสวยปานนางฟ้าหรือนางงาม เขาชอบผู้หญิงที่สวยไม่ต้องมาก ไม่ต้องประดิษฐ์จนเกินไป มีทั้งความธรรมดาและไม่ธรรมดาอยู่ในตัว แล้วก็เป็นคนที่ทำให้เขามองได้ไม่เบื่อและอยากอยู่ด้วยในทุกๆ วัน

นี่คือสเปกผู้หญิงในใจก่อนที่เขาจะมีน้องวี 

แต่เมื่อมีน้องวี ลูกจึงกลายเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในการตัดสินใจเลือกให้ใครสักคนก้าวเข้ามาในชีวิต อย่างน้อยผู้หญิงที่จะเข้ามาในชีวิตเขาต้องยอมรับน้องวีได้ มีความจริงใจ และมีสัญชาตญาณการปกป้อง ไม่ใช่ว่ารักเด็กคนนี้เพียงเพราะต้องการแค่เขา

ซึ่งตอนนี้เขาคิดว่าตนได้เจอผู้หญิงที่มีสิ่งที่เขาตามหาแล้ว เพียงแต่อะไรๆ มันคงไม่ง่ายขนาดว่าแค่เขาเอ่ยปากหรือแสดงท่าทีว่าสนใจหล่อน แล้วทุกอย่างจะราบรื่น เพราะเขาไม่รู้ว่าหล่อนมีแฟนหรือยัง แล้วที่สำคัญที่สุด เขาเคยหักอกหล่อนเอาไว้เสียด้วย!

“ก็ฉันไม่ใช่เด็กแล้วนี่คะ”

พริตาใช้คำแทนตัวห่างเหิน จงใจเว้นระยะห่างกับเขา พยายามไม่ให้หัวใจตัวเองหวั่นไหวอีก รามิลชะงักไปนิด แต่ก็เข้าใจได้ถ้าหล่อนจะมีปฏิกิริยาอย่างนี้ เขาจึงไม่โกรธที่หล่อนทำเหมือนคนห่างเหินกัน

“กุ้งสบายดีไหม”

“สบายดีค่ะ”

หญิงสาวตอบไปแล้วก็ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรกับเขาต่อดี ยังตั้งตัวไม่ติดที่จู่ๆ ก็ได้เจอเขาอีกครั้ง แถมยังได้รู้ว่าเขาเป็นถึงประธานบริษัทอรเนตร เพราะเลขาฯ หน้าห้องเรียกเขาว่าท่านประธาน แล้วยังมาเจอเรื่องเซอร์ไพรส์แบบสุดๆ อีกเรื่อง นั่นคือเขาแต่งงานมีลูกชายแล้ว 

อะไรมันจะลางดีขนาดนี้! วงโคจรกาแล็กซีอุตส่าห์วนมาให้หล่อนได้เจอกับรักแรกอีกครั้ง แต่เขาดันมีครอบครัวแล้ว เหมือนโดนหักอกซ้ำซ้อนอย่างไรก็ไม่รู้

“แล้วกุ้งมาทำอะไรที่นี่ มาติดต่อเรื่องงานเหรอ” รามิลถามอย่างเอื้อเฟื้อ ถ้าหล่อนมาเรื่องงานแล้วมีอะไรที่ช่วยได้ เขาก็อยากช่วย 

ทว่าเพราะเขาถามขึ้นมานี่แหละ หล่อนถึงได้เอะใจสงสัยว่า ที่หล่อนได้งานเป็นนางแบบมือให้พรีเซนเตอร์ของเขาเป็นเรื่องบังเอิญ หรือว่าเขาเจาะจงเลือกหล่อน 

แต่ถ้าเขาเจาะจงเลือกหล่อนจริง เขาก็ต้องรู้อยู่แล้วว่าหล่อนมาที่นี่ทำไม 

แต่นี่กลับถามเหมือนไม่รู้ ถ้าไม่ใช่ว่าแกล้งไม่รู้ ก็แสดงว่าเขาไม่รู้จริงๆ

“ฉันเป็นนางแบบแฮนด์ทาเลนต์ มาถ่ายแบบโฆษณาให้อรเนตรค่ะ”

รามิลเลิกคิ้วเล็กน้อย นึกถึงเรื่องถ่ายโฆษณาที่เขาให้ฝ่ายการตลาดไปจัดการ และเป็นคนสั่งเองว่าให้กองถ่ายมาใช้พื้นที่ห้องประชุมใหญ่ของบริษัทเป็นพื้นที่ถ่ายทำ แล้วในที่ประชุมตอนเสนอชื่อดาราที่อยากได้มาเป็นพรีเซนเตอร์ เขาก็เป็นคนเลือกดาราสาวที่ชื่ออภิสราจากสามคนที่ในที่ประชุมเสนอมา แต่ในส่วนของนางแบบมือนั้นเขาไม่ได้เจาะจง แค่ให้ไปเลือกตามความเหมาะสม ไม่คิดเลยว่าจะได้พริตามารับงานนี้

“แล้วนี่กุ้งถ่ายงานเสร็จแล้วเหรอ”

“เสร็จแล้วค่ะคุณรามิล” หล่อนย้ำชัดถึงการเว้นระยะห่างจากเขา 

ดวงตาของรามิลวาวขึ้นเล็กน้อยก่อนจะอ่อนแสงลง การปฏิเสธและการแสดงระยะห่างของหล่อนดึงดูดความสนใจเขา ท้าทายให้เขาอยากลองทลายกำแพงนี้ดูสักตั้ง เผื่อจะได้เห็นรอยยิ้มน่ารักๆ แล้วก็ทำให้หล่อนเรียกเขาว่าพี่มิลอีกครั้ง 

“เรียกว่าพี่มิลเหมือนเดิมไม่ได้แล้วเหรอ”

แม้น้ำเสียงจะอ่อนโยน แต่แววตาที่มองมากลับทำให้หล่อนรู้สึกราวกับว่าเขากำลังค้นลึกลงไปให้ถึงก้นบึ้งของหัวใจหล่อน ว่าคำตอบที่หล่อนจะตอบนั้นมาจากใจจริงหรือเปล่า 

‘โอ๊ย อีตาบ้านี่ยังมีเสน่ห์เหมือนเดิม!’

ครั้งนั้นเขาก็ตกหัวใจสาวน้อยอย่างหล่อนด้วยแววตาแบบนี้นี่แหละ แต่ครั้งนี้เขาจะมาทำแบบเดิมไม่ได้ หล่อนจะไม่ยอมให้หัวใจตัวเองเพลี่ยงพล้ำเพราะเขาอีกเด็ดขาด!

พริตาสงบจิตสงบใจไม่ให้หวั่นไหวเพราะเขา ใจหนึ่งก็อยากตอบไปแบบเจ็บๆ เป็นการเอาคืนที่เขาเคยหักอกหล่อน แต่อีกใจหนึ่งกลับคิดว่าไม่พูดดีกว่า เพราะแววตาของเขานอกจากทำให้หวั่นไหวแล้ว ยังให้ความรู้สึกว่าหล่อนไม่ควรเล่นเกมกับเขา เพราะในที่สุดแล้วหล่อนจะต้องแพ้แน่นอน จึงตอบไปแบบเลี่ยงๆ

“คิดว่าคงไม่เหมาะค่ะ”

“เพราะพี่หักอกกุ้งในวันนั้นเหรอ”

เขาถามเข้าเป้าชนิดที่ว่าถ้านี่เป็นหมัดฮุกก็ทำให้น็อกได้เลย เล่นเอาคนถูกถามถึงกับอยากแยกเขี้ยวใส่

‘หน็อย! ยังมีหน้ามาถามอีกเหรอ ทั้งที่หักอกเค้าไว้แท้ๆ เนี่ย!’

ใจหล่อนต่อว่า แต่ปากกลับปฏิเสธ ไม่ยอมรับสิ่งที่คิด

“ไม่ใช่ค่ะ ถ้าคุณรามิลไม่มีอะไรแล้ว ฉันขอตัวกลับก่อนนะคะ พอดีมีธุระต้องไปทำต่อค่ะ”

พริตาขอตัวเอาดื้อๆ เริ่มรู้ตัวแล้วว่าถ้ายังเล่นเอาเถิดเจ้าล่อกับเขาต่อ หล่อนนี่แหละจะเพลี่ยงพล้ำก่อน ถอยก่อนไม่ถือว่าแพ้ ถือว่าปลอดภัยต่อหัวใจไว้ก่อนดีกว่า 

ทว่ารามิลกลับไม่ยอมให้หล่อนเลี่ยงไปง่ายๆ แต่ก็ไม่อยากให้หล่อนรู้สึกว่าเขาเป็นคนที่ต้องระวังตัวระวังใจจนสร้างกำแพงหนาสามชั้นใส่ เขาจึงไม่รุกต่อเพื่อให้หล่อนลดกำแพงใจลง แล้วก็แสดงน้ำใจ ถามไถ่หล่อนในแบบพี่มิลคนเดิมอย่างที่หล่อนเคยรู้จัก

“แล้วกุ้งจะกลับยังไง”

“แท็กซี่ค่ะ”

“ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวพี่ไปส่ง” 

“ไม่เป็นไรค่ะ คุณมีงานต้องทำ อีกอย่างคุณคงต้องคุยกับลูกด้วย เมื่อกี้ถึงน้องวีจะทำผิด แต่ในเมื่อรู้ความผิดแล้ว คุณควรปลอบและพูดคุยกัน ไม่อย่างนั้นปล่อยเวลาทิ้งห่างไปแล้วค่อยไปคุยกันทีหลัง เด็กจะรู้สึกไม่ดีค่ะ”

รามิลเลิกคิ้วแล้วเกือบหลุดหัวเราะ แต่ก็แค่เกือบเท่านั้น ก่อนที่มุมปากของเขาจะยกขึ้นเป็นรอยยิ้ม สีหน้าผ่อนคลายลงอย่างชัดเจน เมื่อรู้แล้วว่ากำแพงใจของหล่อนไม่ได้มีแค่เรื่องในอดีต แต่เป็นกำแพงใจที่หล่อนเข้าใจผิดว่าเขามีครอบครัวแล้ว

“น้องวีไม่ใช่ลูกชายแท้ๆ ของพี่ เป็นลูกของรัญญ์กับกรณิศ ส่วนพี่ยังไม่มีครอบครัว” น้ำเสียงของเขาขรึมลงไปนิดตอนพูดถึงสองคนที่เอ่ยถึง 

พริตาทำหน้านิ่วเล็กน้อย หล่อนจำชื่อแรกได้ว่าเป็นชื่อน้องชายของเขาซึ่งแก่กว่าหล่อนสองปี ตอนรามิลย้ายบ้านไปแล้วและไปเรียนต่อต่างประเทศ พี่รัญญ์คนนั้นก็ยังเรียนอยู่โรงเรียนเดียวกันกับหล่อน เขาไม่ใช่คนชอบสุงสิงกับใคร ติดจะโลกส่วนตัวสูงด้วยซ้ำ แล้วก็ไม่ได้เก่งด้านกีฬาเหมือนพี่ชาย แว่วๆ ว่าเก่งด้านวิชาการมากกว่า

“ลูกชายของพี่รัญญ์เหรอคะ แล้วพี่รัญญ์เป็นยังไงบ้างคะ สบายดีไหม”

พริตาถามแม้จะไม่อยากให้หัวใจของตัวเองเพลี่ยงพล้ำแก่เขาอีก แต่ไม่รู้ทำไมถึงได้โล่งใจตอนที่รู้ว่าเขายังไม่มีครอบครัว แต่แล้วก็ใจหายวาบตอนที่สบตารามิลอีกครั้ง หล่อนรู้จักแววตานี้ เพราะตัวเองก็เคยแสดงแววตาอย่างนี้เหมือนกัน มันเป็นแววตาของความเจ็บปวด สูญเสีย และคิดถึง ตอนที่มีคนถามถึงพริมาในวันที่ฝาแฝดไม่อยู่บนโลกใบนี้แล้ว

“เกิดอะไรขึ้นคะ”

“รัญญ์กับกรณิศเสียชีวิตไปเมื่อสามปีก่อน ตอนที่น้องวีอายุได้สองขวบ ทั้งสองคนโดนคนเมาขับรถชน”

หล่อนอึ้ง ไม่คิดว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้กับเขา จากที่พยายามตั้งกำแพงใจตัวเองให้พ้นจากความหวั่นไหว กลายเป็นรู้สึกเสียใจขึ้นมาแทน เพราะอย่างน้อยหล่อนก็รู้จักพี่รัญญ์คนนั้น ไม่นึกเลยว่าเขาจะเสียไปแล้ว

“ขอโทษด้วยนะคะ ฉัน...เอ่อ...ไม่รู้จริงๆ ขอแสดงความเสียใจด้วยค่ะ”

“ไม่เป็นไร” รามิลไม่ถือ เพราะหล่อนกับเขาไม่ได้เจอกันนานหลายปีแล้ว ไม่รู้ข่าวคราวของอีกฝ่ายเลย จึงไม่แปลกที่จะไม่รู้เรื่องนี้ แล้วเขาก็ไม่อยากให้หล่อนรู้สึกไม่ดีที่ถาม จึงวกกลับมาคุยเรื่องเดิม

“ตกลงเดี๋ยวพี่ไปส่งนะ”

“ไม่เป็นไรค่ะ ไม่เป็นไรจริงๆ”

หล่อนปฏิเสธต่อ แต่เขาก็ไม่ยอมอยู่ดี เพราะ...

“แต่พี่ว่าจำเป็น กุ้งเจ็บสีข้างอยู่ไม่ใช่เหรอ” 

คราวนี้เขาเตือนอย่างให้รู้ว่าเห็นและได้ยินเสียงร้องตอนที่หล่อนโดนลูกชายตัวดีเอาศอกถองใส่แบบเต็มๆ โดนไปอย่างนั้นไม่มีทางที่จะไม่เจ็บ แต่คนดื้อก็ยืนกรานไม่เลิก 

“ไม่เป็นไรจริงๆ ค่ะ ฉันขอตัวกลับก่อนนะคะ”

พริตาว่า แล้วลุกขึ้นหมุนกายจะเดินออกจากห้อง แต่แค่เอี้ยวตัวเท่านั้นก็ชะงักเท้า ทำหน้าเบ้ ครางหงิงทันที เพราะจุดที่ถูกถองใส่ยังเจ็บอยู่ หล่อนพยายามฝืน แต่พอจะก้าวต่อรามิลก็เข้ามาคว้าแขนไว้

“อุ๊ย”

หญิงสาวตกใจแต่ไม่ได้สะบัดหนี เพราะมือที่จับแขนหล่อนไว้นั้นทั้งเบาและอบอุ่นมาก เหมือนเขากลัวหล่อนจะเจ็บไปมากกว่านี้ แล้วก็ไม่ได้จับแบบฉวยโอกาสด้วย

“อย่าดื้อสิ”

รามิลเตือนเสียงเรียบ แต่ในน้ำเสียงอบอุ่นนั้น หล่อนกลับรู้สึกถึงความน่าเกรงขาม ความรู้สึกของผู้ชายที่แข็งแกร่งและทำให้หล่อนรู้สึกเหมือนตัวเองตัวเล็กจ้อย

อีกทั้งการที่เขาเข้าประชิดตัวหล่อนกลับทำให้หล่อนหวั่นไหวหนักกว่าเดิม ความสูงของเขาทำให้หล่อนประหม่าตอนแหงนหน้ามองเขา แล้วก็รู้สึกได้ว่าเขาเป็นผู้ชายที่ราวกับเป็นปราการหินผาให้ใครก็ได้ที่เขาอยากเป็น แต่ก็สามารถเป็นตัวอันตรายให้ใครก็ตามที่ล้ำเส้นเขาได้ด้วยเช่นกัน

“คุณ...ปละ...ปล่อย”

พริตาพยายามบอกเขาให้ปล่อย แต่ใจกลับสั่นระรัวเพราะความใกล้ชิด แก้มแดงระเรื่อ หัวใจเต้นแรงและหวั่นไหวมากเสียจนเกือบเข่าอ่อน แต่เหมือนเขาจะรู้ว่าทำให้หล่อนหวั่นไหวเกินไป จึงเอื้อมมืออีกข้างดึงเก้าอี้ตัวที่หล่อนนั่งอยู่เมื่อครู่นี้มาให้ แล้วค่อยจับให้หล่อนนั่งลงบนเก้าอี้อย่างช้าๆ และระมัดระวัง

“พี่เข้าใจ ถ้ากุ้งไม่อยากคุยกับพี่แล้วพี่ไม่ว่า แต่อย่าทำให้ตัวเองต้องเจ็บตัวเพิ่มสิเด็กดื้อ”

น้ำเสียงและคำพูดว่า ‘เด็กดื้อ’ นั้นช่างอ่อนโยนมาก อ่อนโยนเสียจนหัวใจของหล่อนหวิวไหว ทั้งที่เขาเหมือนกำลังดุหล่อน แต่กลับเป็นการดุที่ทำให้หล่อนรู้สึกเหมือนตัวเองจะละลายเสียให้ได้ แถมเขายังทำให้หล่อนละลายไปจริงๆ ตอนที่เขายื่นมือมาและใช้ข้อนิ้วแตะแก้มหล่อนเบาๆ พร้อมกับบอกว่า

“เดี๋ยวพี่ให้เลขาฯ เข้ามาช่วยทายาให้ จะได้รู้สึกดีขึ้น แล้วกุ้งค่อยกลับ”

รามิลกล่าวจบก็ไม่รอให้หล่อนโต้แย้ง เขาหมุนกายเดินออกไปนอกห้องทันทีโดยที่พริตาไม่กล้าขัด ทั้งที่เขาก็ไม่ได้สั่งหรือดุอะไรเลยสักนิด แค่คำพูดและวิธีการที่เขาแสดงออก แค่นี้หล่อนก็โดนตกแล้วเรียบร้อย

‘ไม่ ไม่ ไม่ ไม่เอานะ เธอจะตกหลุมรักเขาอีกไม่ได้นะยายกุ้ง! ถ้าเธออกหักอีกรอบกับคนเดิมนี่ขายหน้าเลยนะ’

พริตานั่งตีอกชกหัวกับตัวเองอยู่อย่างนั้น รู้สึกเหมือนจะไปต่อก็ไม่กล้า จะขัดคำสั่งเขาก็ไม่อยากทำ จะนั่งอยู่ต่อก็กลัวหัวใจตัวเองจริงๆ ความคิดตีกันวุ่นวายไปหมดจนกลายเป็นคิดฟุ้งซ่านอยู่คนเดียว

ถัดมาครู่ใหญ่ เลขาฯ ของเขาก็เข้ามาในห้องพร้อมกับตลับยานวดแก้ฟกช้ำ แต่เขาไม่ได้เข้ามาด้วย

“สวัสดีค่ะคุณพริตา ดิฉันชื่อชนิสา เป็นเลขาฯ ของท่านประธาน ท่านประธานให้ดิฉันมาช่วยทายาแก้ฟกช้ำให้ค่ะ”

ชนิสาบอกแล้วยิ้มให้เล็กน้อย กิริยาท่าทางนอบน้อมและสุภาพจนพริตาเกรงใจ ไม่รู้จะปฏิเสธอย่างไร ได้แต่พยักหน้าอนุญาตให้อีกฝ่ายเข้ามาช่วยเหลือ พอเลขาฯ สาวเข้ามาใกล้ๆ หล่อนก็ขยับชายเสื้อขึ้นให้อีกฝ่ายช่วยทายาให้ ปากก็ถามไปด้วย

“แล้วคุณรามิลล่ะคะ”

“ท่านประธานรออยู่ข้างนอก เกรงว่าคุณจะไม่สะดวกใจค่ะ”

เฮ้อ! ค่อยยังชั่ว ถ้าจะให้ดีไม่ต้องเข้ามาอีกเลยก็ได้ หัวใจหล่อนจะได้ไม่แกว่งไปแกว่งมาอีก

แต่คงเป็นไปได้ยาก ในเมื่อนี่มันห้องทำงานของเขา เอาแค่ให้เขาอยู่ห่างๆ หล่อนและไม่ส่งความรู้สึกที่ชวนหวั่นไหวใจเต้นแรงแบบนั้นมาให้อีกก็พอแล้ว 

หลายนาทีต่อมา หลังจากช่วยทายาแก้ฟกช้ำและจัดเสื้อผ้าให้พริตาเสร็จเรียบร้อย เลขาฯ สาวก็บอกว่า

“เป็นรอยแดงช้ำนิดหน่อย แต่ทายาแล้วพรุ่งนี้น่าจะดีขึ้นค่ะ” ชนิสายิ้มให้ แต่ในใจกำลังคิดว่าหลังจากนี้คงมีเรื่องให้เจ้านายของหล่อนต้องปั่นป่วนหัวใจแน่ๆ เพราะนานๆ ทีจะเห็นบอสห่วงใยใครสักคนแบบนี้ 

“ขอบคุณมากนะคะ” พริตากล่าวขอบคุณ 

ตอนนั้นเองกระดาษแผ่นหนึ่งก็ปลิวตกจากโต๊ะรับแขกตรงโซฟาชุดที่อยู่ในห้องทำงานใหญ่ หล่อนหันมอง ส่วนเลขาฯ สาวอุทานอย่างคุ้นชิน

“อุ๊ย น้องวีลืมเอาอะไรทับไว้อีกแล้ว”

เลขาฯ สาวบ่นอย่างเอ็นดู ก่อนจะเดินไปหยิบกระดาษที่ปลิวตกพื้นกลับไปวางบนโต๊ะตามเดิม แล้วเอากล่องสีขนาดใหญ่มาช่วยทับมุมกระดาษไว้ไม่ให้มันปลิวหาย พริตาทันเห็นภาพบนกระดาษตอนเลขาฯ สาวหยิบกระดาษขึ้นมา จึงถามไป

“น้องวีชอบวาดรูปเหรอคะ”

“ใช่ค่ะ น้องวีชอบวาดรูป เวลาไม่มีอะไรทำ เบื่อๆ ก็นั่งวาดรูปเล่นอยู่ในห้องเงียบๆ แต่ถ้าเบื่อก็จะลงไปเล่นโรลเลอร์เบลดบนชั้นพักผ่อนค่ะ เพราะเป็นพื้นที่โล่งพอจะวิ่งเล่นได้ ท่านประธานก็เคยเตือนหลายหนแล้วว่าให้ระมัดระวัง แต่ห้ามเลยคงไม่ได้ แค่ยอมมาอยู่ที่ทำงานด้วยก็ดีถมเถแล้วค่ะ”

“แล้วน้องวีไม่ไปโรงเรียนเหรอคะ ช่วงนี้ยังไม่ปิดเทอมเลยนี่คะ”

“น้องวีเรียนระบบโฮมสกูลค่ะ ดิฉันขอตัวก่อนนะคะ”

เลขาฯ สาวตอบแค่นั้นก็ก้มศีรษะให้ ก่อนจะขอตัวออกจากห้องทำงานของเจ้านายเป็นการปิดประตูคำถาม พริตาเองก็ไม่โง่ที่จะซอกแซกถามต่อ แม้จะสงสัยแต่ก็ไม่ได้เป็นเรื่องใหญ่โตอะไร เพราะบางบ้านที่มีฐานะและมีองค์ความรู้ด้านวิชาการสำหรับเด็กเล็กที่ดีก็เลือกให้ลูกเรียนโฮมสกูล พออยู่ชั้นระดับสูงขึ้นไปก็ส่งไปเรียนโรงเรียนนานาชาติ ลูกศิษย์ที่มาเรียนวาดรูปกับหล่อนยังมีเด็กที่เรียนแบบโฮมสกูลเลย

หลังจากเลขาฯ สาวออกไปแล้ว พริตาก็นั่งอยู่คนเดียวชั่วครู่ ยาที่ทาเริ่มออกฤทธิ์ ทำให้รู้สึกร้อนและดีขึ้นเล็กน้อย หล่อนจึงคิดว่าควรจะกลับจริงๆ เสียที พอดีกับที่รามิลเปิดประตูเข้ามาราวกับนกรู้

“พี่ให้คนเรียกรถให้กุ้งแล้ว ตอนนี้รถรออยู่ด้านล่าง ถ้ากุ้งอยากกลับก็กลับได้เลย”

ชายหนุ่มกล่าวอย่างเอื้อเฟื้อและจะเข้ามาช่วยพยุงหล่อน แต่พริตาส่ายหน้าปฏิเสธ เขาจึงทำแค่คอยระวังอยู่ห่างๆ เผื่อหล่อนเจ็บแล้วรู้สึกเดินไม่ไหวจะได้เข้าช่วยเหลือได้

แต่พอออกมานอกห้องทำงาน แทนที่รามิลจะส่งหล่อนแค่นั้น เขากลับเดินมากับหล่อนด้วย เล่นเอาหล่อนถึงกับทำตาปริบๆ หันไปถาม 

“คุณไม่กลับไปทำงานเหรอคะ”

“พี่ขอไปส่งกุ้งก่อน แล้วจะกลับมาทำงาน”

รามิลว่าแล้วพยักหน้าให้หล่อนเดินไปที่ลิฟต์ด้วยกัน พริตาจนใจจะค้านและไม่อยากเถียงด้วย จึงยอมให้เขาไปส่งแต่โดยดี หล่อนลงลิฟต์ไปพร้อมเขา ระหว่างที่อยู่ในลิฟต์เขาก็ขอบัตรสำหรับผู้มาติดต่อจากหล่อน บอกว่าจะคืนให้เอง หล่อนจะได้ไม่ต้องวุ่นวายเอาไปคืนที่เคาน์เตอร์ให้เสียเวลา

พอลิฟต์ลงมาถึงชั้นล่าง เขาก็ยังเดินมาส่งหล่อนต่อ แต่ไม่รู้ว่าคิดถูกหรือคิดผิดกันแน่ที่ยอมให้เขามาส่ง เพราะพนักงานหลายคนมองหล่อนเป็นตาเดียวกัน ใบหน้าทุกคนมีแต่เครื่องหมายคำถาม และเป็นคำถามเดียวกันด้วยว่าหล่อนเป็นใคร ทำไมถึงมาอยู่ข้างท่านประธานได้!

‘นี่เรียกซวยหรือโชคดีกันแน่เนี่ยยายกุ้ง’

พริตาคิดแล้วก็พยายามไม่มองใคร แต่เมื่อเดินผ่านประตูอาคารออกมา หล่อนก็ชะงักทันที จากที่คาดว่าจะเห็นรถแท็กซี่จอดรออยู่ตามที่เขาบอกว่าเรียกให้แล้ว กลายเป็นว่ารถยนต์ที่จอดอยู่คือรถยนต์บีเอ็มดับเบิลยูคันหรูสีดำที่มีคนขับรถยืนรอเปิดประตูให้แทน

“ไหนคุณบอกว่าเรียกรถแท็กซี่ให้ไงคะ แล้วทำไมถึง...”

หล่อนยังพูดไม่ทันจบ เขาก็แทรกขึ้น

“พี่บอกว่าให้คนเรียกรถให้กุ้งแล้ว แต่ไม่ได้บอกว่าเรียกแท็กซี่ให้ บริษัทเรามีกฎไม่อนุญาตให้แท็กซี่ที่ไม่มีผู้โดยสารเข้ามาในเขตอาคาร ถ้าจะเรียกแท็กซี่ทั่วไปต้องไปเรียกที่ป้ายรถเมล์ที่อยู่ถัดไปหนึ่งร้อยเมตร”

“นี่คุณ!”

พริตาแทบอยากจะกรี๊ดออกมาเสียเดี๋ยวนั้นที่ดันตกหลุมพรางเขาเต็มๆ แถมเจ็บสีข้างอยู่ก็ไม่อยากเดินไกลๆ ให้มันกระเทือนเล่น ไม่นึกเลยว่าเขาจะมาไม้นี้

‘อีตาบ้า! น่าโมโหที่สุดเลย!’

หล่อนเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันอยู่ในใจ แต่รามิลไม่รอให้หล่อนอาละวาด เขาพยักหน้าให้คนขับรถที่เปิดประตูรออยู่แล้ว คนขับรถก็รับมุกทันที รีบเชื้อเชิญเป็นการกดดันให้พริตาไม่กล้าปฏิเสธน้ำใจ

“เชิญครับคุณผู้หญิง”

พริตาได้แต่สูดหายใจลึกๆ มองหน้ารามิลอย่างฝากไว้ก่อน จากนั้นจึงจำใจก้าวขึ้นรถไป พอหล่อนขึ้นนั่งบนเบาะหลังเรียบร้อย คนขับรถก็ปิดประตูให้ก่อนจะอ้อมไปประจำที่คนขับ หล่อนคิดว่าเดี๋ยวรถออกก็คงไม่ได้เจอเขาแล้ว อย่างไรตอนนี้ก็ขอไปให้พ้นจากตรงนี้ก่อน ไม่อยากโดนเขาปั่นหัวให้หวั่นไหวอีก 

แต่ดูเหมือนรามิลจะไม่ให้ความร่วมมือในการหยุดขโมยหัวใจหล่อนเลยสักนิด เมื่อจู่ๆ ประตูอีกฝั่งของเบาะหลังเปิดออกพร้อมกับที่เขาก้าวขึ้นมานั่งบนรถ แล้วพอเขาปิดประตู คนขับก็ล็อกประตูรถทันที เล่นเอาพริตาถึงกับทำตาโตตกใจ

“คุณจะทำอะไร!”

“พี่ไม่ได้จะทำอะไร แค่จะพาไปส่ง แต่กลัวกุ้งดื้ออีก ก็เลยต้องใช้วิธีนี้” รามิลบอกอย่างให้รู้ว่า เขาเดาได้ว่าถ้าไม่บังคับกันแบบนี้หล่อนก็จะดื้ออีกแน่ 

พริตาอ้าปากค้าง จะด่าก็ด่าไม่ออก จะกรี๊ดก็กรี๊ดไม่ได้ สุดท้ายจึงทำได้แค่บ่นงึมงำ ทำหน้าขัดใจ ก่อนจะกระแทกตัวกับพนักพิง ส่วนเขาก็ไม่ได้ชวนทะเลาะต่อ ทำเพียงบอกคนขับรถ

“ไปแถวบ้านเก่า”

“ครับคุณมิล”

คนขับรถรับคำแล้วจึงออกรถตามคำสั่ง ภายในรถยนต์คันหรูมีแต่ความเงียบงัน เพราะคนหนึ่งมัวแต่หงุดหงิดและโกรธที่โดนตลบหลัง ส่วนอีกคนก็ยังไม่อยากพูดอะไรให้อีกฝ่ายเคืองใจ ตั้งใจรอให้หล่อนใจเย็นลงแล้วค่อยคุยกัน

รามิลปล่อยให้ความเงียบเข้าครอบคลุมรถ ปกติเขาไม่ชอบให้คนขับรถเปิดเพลงอยู่แล้ว ผ่านไปสักพัก เมื่อเห็นว่าหล่อนพอจะสงบใจลงได้บ้างแล้ว เขาจึงหันมาพูดคุยกับหล่อน

“พี่ขอโทษที่หลอก แต่กลัวกุ้งจะดื้ออีก”

พริตาได้แต่ค้อนใส่ ไม่รู้จะพูดอะไร เพราะรู้ว่าตัวเองทำอะไรไม่ได้ เถียงไปก็ไม่น่าจะชนะเขาอยู่ดี ในเมื่อตอนนี้หล่อนอยู่ในรถของเขาแล้ว ก็คงต้องปล่อยไปตามนั้น

พอเห็นหล่อนจนแต้ม รามิลก็เปลี่ยนมาชวนคุย เพราะอยากให้หล่อนผ่อนคลาย

“พี่ไม่ได้แวะกลับไปแถวบ้านเดิมนานแล้ว แถวนั้นเปลี่ยนไปมากไหม”

แม้จะยังเคืองเขาไม่หาย แต่คนถูกมัดมือชกก็ยอมตอบคำถาม 

“พอสมควรค่ะ มีคอนโดขึ้น แล้วก็รถติดกว่าเมื่อก่อน”

“แล้วคุณน้ายังทำขนมอยู่หรือเปล่า พี่จำได้ว่าแม่ของกุ้งทำขนมปังไส้หมูหย็องน้ำพริกเผาและขนมปังไส้แฮมชีสอร่อยมาก เวลาเดินผ่านร้านต้องแวะซื้อทุกครั้ง” เขาพูดถึงความหลังที่จำได้ แม้มันจะเลือนรางไปตามกาลเวลา แต่ขึ้นชื่อว่าความทรงจำ นึกทีไรก็อบอุ่นใจทุกที 

“ตอนนี้ไม่ได้ทำหน้าร้านแล้วค่ะ พอดีตึกแถวที่เคยเช่าเขารื้อทิ้งไปแล้ว แม่เลยเปลี่ยนมาทำขนมที่บ้านแทน ทำเค้กวันเกิดตามพรีออร์เดอร์ลูกค้า แล้วก็ทำเค้กให้ร้านกาแฟของฉันค่ะ”

พริตาตอบไปแล้วก็อยากตีปากตัวเอง หลุดปากบอกให้เขาอยากรู้ต่อทำไมเนี่ย!

“กุ้งทำร้านกาแฟด้วยเหรอ”

“แค่ร้านกาแฟเล็กๆ ค่ะ”

หญิงสาวบอกปัด พยายามไม่ให้เขาสนใจ แต่กลับกลายเป็นได้ผลตรงกันข้าม ยิ่งหล่อนพยายามไม่บอก เขาก็ยิ่งอยากรู้เกี่ยวกับหล่อนมากขึ้น แต่เขาไม่คิดจะแสดงออกให้หล่อนรู้หรือไหวตัวทัน เนื่องจากเข้าใจว่าความรู้สึกของคนเราต้องใช้เวลา ตอนนี้เขาแค่มีความปรารถนาดีมอบให้หล่อนก่อน ส่วนหลังจากนี้จะเป็นอย่างไรก็ปล่อยให้ความรู้สึกพาไป ถ้าหล่อนกับเขาจะมีความรู้สึกตรงกัน มันก็ต้องค่อยเป็นค่อยไป

ผ่านไปหลายนาที จู่ๆ เสียงโทรศัพท์มือถือของพริตาก็ดังขึ้น เจ้าตัวรีบหยิบออกจากกระเป๋าถือ แล้วหันมองเจ้าของรถเล็กน้อยอย่างเกรงใจ แต่เขาเพียงหันไปมองทางอื่นให้รู้ว่าให้หล่อนรับสายได้ตามสบาย หล่อนจึงรับสายนั้นซึ่งเป็นสายของบาริสตาสาวประจำร้าน แล้วก็เป็นผู้ช่วยของหล่อนด้วย

“ฮัลโหล ว่าไงจ๋า”

“พี่กุ้งคะ รีบมาที่ร้านเถอะค่ะ!”

“เกิดอะไรขึ้น”

“ก็ป้าตุ้มน่ะสิคะ มาบอกว่าจะขอคุยเรื่องให้ร้านกับสตูดิโอย้ายออกสิ้นเดือนนี้ค่ะ”

“อะไรนะ! ให้ย้ายออกในสิ้นเดือนนี้เหรอ ทำไมล่ะ!”

“จ๋าก็ไม่รู้เหมือนกันค่ะพี่กุ้ง แต่ป้าตุ้มบอกให้พี่กุ้งรีบมา จะได้มาคุยตกลงกันค่ะ”

“โอเค พี่กำลังไป” หล่อนบอกแล้วมองถนนด้านหน้าว่ารถติดแค่ไหน “อีกสามสิบนาทีน่าจะถึง จ๋าบอกให้ป้าตุ้มรอที่ร้านก่อน เอาขนมกับน้ำให้ป้ากินด้วย เผื่อจะใจเย็นลงบ้าง แล้วค่อยคุยกัน”

“ค่ะ ได้ค่ะพี่กุ้ง” ผู้ช่วยรับคำก่อนจะวางสายไป 

หลังจากวางสาย สีหน้าของพริตาก็เครียดขึ้นทันที รามิลซึ่งนั่งอยู่ข้างๆ และได้ยินเสียงสนทนาจากปลายสายชัดเจนพอปะติดปะต่อได้ว่าหล่อนน่าจะกำลังมีปัญหา ผู้ให้เช่าให้ย้ายออกสิ้นเดือนนี้ นั่นน่าจะหมายถึงร้านกาแฟที่พูดถึงก่อนหน้านี้ 

“มีอะไรหรือเปล่า” เขาถามไถ่ ทำเหมือนไม่ได้ยินที่คุยกัน

“เปล่าค่ะ ไม่มีอะไร” หล่อนปฏิเสธแล้วชะโงกหน้าไปบอกคนขับรถของเขา “ลุงคะ เดี๋ยวพอถึงสี่แยก...ลุงตรงไปนะคะไม่ต้องเลี้ยว แล้วชิดซ้ายไว้ ไว้ใกล้ถึงหน้าร้านแล้วหนูจะบอกอีกทีค่ะ”

คนขับรถวัยกลางคนชะงักแล้วมองเจ้านายผ่านกระจกมองหลังเสมือนถามว่าเจ้านายอนุญาตหรือไม่ พอรามิลพยักหน้าให้ คนขับจึงค่อยรับคำพริตา

“ได้ครับคุณผู้หญิง”

“ขอบคุณนะคะ” พริตาบอก แล้วไม่ลืมหันมาขอบคุณรามิล “ขอบคุณค่ะ คุณรามิล”

รามิลอยากตอบไปว่า ถ้าจะให้ดีเรียกเขาว่าพี่มิลเหมือนเดิม เขาจะรู้สึกว่าเป็นการกล่าวขอบคุณมากกว่า แต่รู้ว่าถ้าพูดไปหล่อนคงดื้อใส่อีก เขาจึงไม่เร่งเร้าและยอมให้เวลาหล่อน ส่วนเรื่องที่หล่อนไม่ยอมบอกเขานั้นไม่ใช่ปัญหาเลยสักนิด ในเมื่อถ้าเขาอยากรู้ เขาก็มีวิธีที่จะรู้จนได้นั่นแหละ

สามสิบนาทีต่อมา รถยนต์คันหรูก็แล่นมาจอดหน้าตึกแถวแห่งหนึ่งซึ่งมีพื้นที่จอดรถด้านหน้าหลายช่อง เบื้องหน้าคือร้านกาแฟเล็กๆ ขนาดหนึ่งคูหา ตกแต่งด้วยสีขาวเรียบกรุกระจกมองเข้าไปเห็นข้างใน มีที่นั่งไม่เกินสิบที่ และมีเคาน์เตอร์ชงกาแฟกับตู้ที่พอจะมองออกว่าเป็นตู้ขนม หน้าประตูทางเข้ามีกระดานไม้สีดำเขียนเมนูขนมวันนี้ เหนือประตูมีป้ายสองป้ายควบคู่กัน ทั้งชื่อร้านกาแฟและชื่อซันไชน์สตูดิโอ 

พริตารีบลงจากรถ แต่ไม่ลืมหันมาขอบคุณรามิลก่อนจะปิดประตู

“ขอบคุณนะคะที่มาส่ง ขอตัวก่อนค่ะ”

หล่อนว่าแล้ววิ่งปรู๊ดจะเข้าร้านกาแฟ แต่ยังไม่ทันเข้าไปก็มีเสียงหนึ่งเรียกไว้เสียก่อน

“ครูกุ้ง ป้าอยู่นี่”

“ป้าตุ้ม!”

“พอดีจ๋าบอกครูกุ้งกำลังเดินทางมา ป้าก็เลยขอกลับไปเอาเอกสารมาก่อน เพิ่งกลับมาถึงเนี่ยแหละ”

“ป้าคะ ที่จ๋าบอกหมายความว่ายังไงคะ ที่ป้าจะให้กุ้งย้ายออกสิ้นเดือนนี้”

พริตาร้อนรนพอสมควร เพราะสิ้นเดือนที่ว่าเหลือเวลาแค่สองสัปดาห์ หล่อนไม่ได้มีปัญหาเรื่องเงินที่จะต้องย้าย แต่มีปัญหาเรื่องสถานที่ต่างหาก ในเมื่อหล่อนไม่ได้ทำแค่ร้านกาแฟ แต่มีโรงเรียนสอนศิลปะสีน้ำด้วย การย้ายออกจะกระทบถึงเด็กๆ แม้นักเรียนของหล่อนจะมีไม่ถึงยี่สิบคน แต่มาบอกให้ย้ายปุบปับแบบนี้มันเร็วเกินไป อย่างน้อยน่าจะให้เวลาสักหนึ่งเดือนก็ยังดี

“คืองี้นะครูกุ้ง ตอนนี้ป้ามีปัญหาต้องการใช้เงินก้อนใหญ่ ก็เลยประกาศขายตึกแถวนี้ ทีนี้มีคนสนใจและตกลงราคากันได้เรียบร้อยแล้ว ป้าเลยมาบอกครูกุ้งให้หาที่หาทาง ต้องออกสิ้นเดือนนี้”

“แต่ว่าสิ้นเดือนนี้มันเร็วเกินไปนะคะ!” พริตาร้อง ทำหน้าเครียด เพราะวันนี้ก็กลางเดือนแล้ว เหลือเวลาอีกสิบห้าวัน จะไปหาที่ตั้งสำหรับโรงเรียนสอนวาดรูปสีน้ำเล็กๆ นี้ได้ที่ไหน แล้วการย้ายที่ก็จะเป็นปัญหาสำหรับผู้ปกครองและนักเรียนด้วย

“ป้ารู้ว่ามันกะทันหัน แต่ป้าต้องใช้เงินจริงๆ เดี๋ยวป้าคืนมัดจำแปดพันให้เรียบร้อย นี่ป้าเอาเอกสารสัญญาที่เคยเซ็นไว้มาให้ด้วย ครูกุ้งถอดแอร์และเฟอร์นิเจอร์ที่ตกแต่งไว้ออกไปได้เลย ป้าไม่คิดค่าเสียหาย”

“แต่ป้าคะ สองอาทิตย์มันไม่พอหรอกค่ะ สักเดือนหนึ่งได้ไหม ไหนจะร้าน ไหนจะสตูดิโอสอนวาดรูปชั้นบน แล้วกว่าจะติดต่อหาที่เช่าใหม่ได้อีก กุ้งย้ายไปไกลจากที่นี่มากไม่ได้ เพราะมันจะกระทบกับผู้ปกครองหลายคนที่ไม่สะดวก”

พริตาพยายามหาทางออกร่วมกัน แต่ป้าตุ้มเจ้าของตึกก็ยังยืนกรานตามเดิม 

“ไม่ได้หรอกครูกุ้ง นี่ป้าก็ไปตกลงกับเขาแล้วด้วย เห็นใจป้าเถอะนะ”

พริตาถอนหายใจ ทำหน้ายุ่ง คันปากอยากตอบกลับไปเหลือเกินว่า ให้เห็นใจผู้ให้เช่า แล้วผู้ให้เช่าล่ะเห็นใจหล่อนบ้างไหม จะให้ไปหาเช่าตึกแถวใหม่ในเวลาสองสัปดาห์ ใครจะไปหาได้ทันกันเล่า

“งั้นสักสองอาทิตย์ครึ่งล่ะคะ ได้ไหม” หล่อนพยายามต่อรอง

“ไม่ได้จริงๆ ครูกุ้ง” ป้าตุ้มยังคงปฏิเสธต่อก่อนจะเสนอ “เอางี้สิ ลองไปเช่าตึกอาแปะฝั่งตรงข้ามดูก็ได้ แค่อยู่ฝั่งตรงข้ามกันเอง ไม่น่าจะเดินทางไม่สะดวกนะ” 

เจ้าของตึกแถวให้เช่าพยายามช่วยคิดเต็มที่ ถึงอย่างไรก็ไม่ใช่คนใจไม้ไส้ระกำขนาดจะไล่ออกไปโดยไม่ช่วยอะไรเลย เพราะผู้เช่าคนนี้ก็จ่ายเงินค่าเช่าครบตลอด ไม่เคยขาด ไม่เคยต้องให้ทวง แล้วก็เช่าที่นี่มาห้าปีแล้ว จะให้ออกทันทีเลยก็รู้สึกใจหายเหมือนกัน 

“กุ้งเคยไปถามแล้ว แต่อาแปะให้เช่าแพงมาก กุ้งสู้ไม่ไหวหรอกค่ะ”

หญิงสาวบอกแล้วถอนหายใจอย่างคิดไม่ตก แต่พอมองหน้าป้าตุ้มอีกครั้งก็ต้องทำหน้านิ่ว เพราะตอนนี้ป้าตุ้มกำลังมองไปข้างหลังหล่อนด้วยสีหน้าเคลิบเคลิ้มสุดๆ พลางพึมพำว่า

“หล่อจริงๆ หล่ออย่างกับดารา”

หล่อนรีบหันไปมอง เห็นรามิลซึ่งลงจากรถมายืนข้างหลังหล่อนตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้

“มีอะไรคะ ทำไมยังไม่ไปอีก”

“กุ้งทำต่างหูตกน่ะ”

รามิลบอกพลางแบมือให้หล่อนดูต่างหูหนีบไข่มุกเล็กๆ พริตารีบยกมือขึ้นจับติ่งหูตัวเองทั้งสองข้าง แล้วก็พบว่าต่างหูหนีบข้างหนึ่งหลุดหายไปจริงๆ หล่อนจึงยื่นมือไปรับต่างหูคืนจากเขา อายอยู่เหมือนกัน เพราะไม่แน่ใจว่าเขาได้ยินเรื่องราวทั้งหมดแค่ไหน

“ขอบคุณค่ะ”

ชายหนุ่มยิ้มให้ก่อนจะเดินกลับไปขึ้นรถ ให้หล่อนเห็นว่าเขาไม่ได้คิดจะมารบกวนแต่อย่างใด แค่เอาต่างหูลงมาให้ แต่ความจริงแล้วไม่ใช่เลยสักนิด เมื่อสายตาของเขาจับจ้องตึกแถวที่อยู่ฝั่งตรงข้ามอย่างมีเป้าหมายที่ตั้งใจจะทำอะไรบางอย่าง

เมื่อความวุ่นวายเข้ามาเยือน ต้องหาที่อยู่ใหม่ให้ร้านกาแฟและสตูดิโอสอนวาดรูปของตัวเอง พริตาก็กลับบ้านมาปรึกษาแม่ แต่ทั้งแม่และหล่อนก็ถึงทางตันเหมือนกัน เมื่อแถวนั้นไม่มีตึกแถวว่างให้เช่าเลย ยกเว้นตึกแถวของอาแปะซึ่งเก็บค่าเช่าแพงกว่าของป้าตุ้มถึงสามพันบาท ป้าตุ้มให้หล่อนเช่าที่แปดพันบาทต่อเดือน แต่อาแปะให้เช่าตั้งหมื่นกว่าบาท หล่อนจึงคิดว่าคงต้องลองค้นหาตึกแถวให้เช่าในอินเทอร์เน็ตดูก่อนว่ามีใกล้สุดได้แค่ไหน จะได้เอาข้อมูลไปสอบถามผู้ปกครองของนักเรียนด้วยว่าถ้าสตูดิโอสอนวาดรูปย้ายแล้ว จะมีผลกระทบต่อการเดินทางของผู้ปกครองมากกว่าหรือน้อยกว่ากี่คน 

หลังจากปรึกษาแม่แล้วหล่อนก็ยังกังวลใจไม่เลิก พอขึ้นห้องนอนจึงเรียกหาวิญญาณฝาแฝดเพื่อปรึกษาเรื่องนี้ อย่างน้อยหลายครั้งที่พริมามีคำแนะนำดีๆ ให้หล่อน 

“กลอยอยู่หรือเปล่า โผล่มาหน่อยสิ กุ้งมีเรื่องจะปรึกษา”

พริตาร้องเรียกวิญญาณแฝด ภาวนาให้เจ้าตัวอยู่แถวนี้ด้วย เพราะไม่ใช่ทุกครั้งที่เรียกแล้วพริมาจะโผล่มา บางทีหายไปหลายวันก็มี ตอนนี้หล่อนอยากได้ตัวช่วยมากกว่าจะมาคิดปวดหัวอยู่คนเดียว

ถัดมาอึดใจใหญ่พริมาก็ปรากฏกายขึ้นบนเตียง มือถือชีสเค้กตัดแบ่ง ละเลียดกินอย่างอร่อย ดูมีความสุขอย่างน่าอิจฉาและน่าหมั่นไส้ไปพร้อมกัน

“นั่นไปเอามาจากไหนน่ะ”

“จากป้าสมข้างบ้าน แกถูกหวยก็เลยไหว้เจ้าที่ แล้วทีนี้คุณตาเจ้าที่บ้านป้าสมงดของหวานอยู่ เดี๋ยวเสียสุขภาพ ก็เลยให้กลอยเอาไปกินแทน กลัวไหว้มาแล้วเสียของ”

“ฮ้า มีไดเอตกันด้วย!” หล่อนทำหน้าแปลกๆ

“ไม่เชิงว่าไดเอต ประมาณว่าไม่ถนัดของหวาน แต่ก็ไม่อยากให้เสียของ มันจะเหมือนเสียคำพูดกันไปมา ในเมื่อคนขอทำตามสัญญา ผู้ให้พรรับรู้ว่ามีการทำตามสัญญาแล้ว ก็ต้องรับให้เสร็จครบสูตรประมาณนั้น ว่าแต่กุ้งเรียกกลอยมีอะไรเหรอ”

“มีเรื่องจะปรึกษา...”

พริตาเกริ่นแล้วเล่าให้ฟังว่าวันนี้เกิดอะไรขึ้นบ้าง ทั้งได้เจอเรื่องไม่คาดคิด ได้เจอคนที่เป็นรักแรก แล้วยังดวงซวยเจอเจ้าของตึกแถวขอให้ย้ายออกสิ้นเดือนนี้อีก พอเล่าจบคนเล่าก็วกมาต่อว่าวิญญาณแฝดเข้าให้ด้วย

“อุ๊ย ได้เจอพี่มิลด้วย พี่มิลเป็นยังไงบ้าง สบายดีไหม” พริมาถามเหมือนไม่รู้ทั้งที่รู้อยู่เต็มอก แต่พริตากลับบอกปัด

“ปล่อยเรื่องเขาไปก่อน ตอนนี้เอาเรื่องหาที่เช่าตึกของกุ้งก่อน ไหนตอนเช้ากลอยบอกจะมีเรื่องดีๆ ไง นี่ไม่เห็นดีเลยสักอย่าง ดวงซวยเต็มๆ เจอตัวลางอัปมงคลยังไม่พอ ตามมาด้วยเจ็บตัว แถมต้องหาที่เช่าใหม่อีก เฮ้อ...”

ท้ายประโยคพริตาถอนหายใจเฮือกใหญ่ จนวิญญาณแฝดต้องปลอบใจ

“โอ๋ๆ ไม่ถอนหายใจน้า เรื่องดีๆ มันก็ต้องมาหลังจากเรื่องไม่ดีสิ ต้องใจเย็นๆ”

“ตรรกะอะไรเนี่ย” พริตาบ่น ทำหน้าเซ็งสุดๆ ใจอยากได้คำตอบที่ดีกว่านี้ แต่จากที่อยู่กับวิญญาณฝาแฝดมาหลายปีก็รู้ดีว่าไม่มีทางง้างปากพริมาให้บอกทุกอย่างได้แน่นอน ถ้าเจ้าตัวไม่ได้อยากบอกเอง

หล่อนเคยถามเหมือนกันว่าทำไมไม่บอกตรงๆ ไปเลยว่าต้องทำอย่างไรถึงจะได้ผลที่ต้องการ พริมาก็บอกแค่ว่าบางเรื่องเป็นเรื่องของโชคชะตา ไปยุ่งมากไม่ได้ แค่เห็นอะไรน่าเป็นห่วงแล้วพอช่วยได้โดยไม่กระทบโชคชะตาก็จะช่วย

“เอาเถอะน่า เอาเป็นว่าหลังจากนี้จะมีเรื่องดีๆ เอง แล้วอย่างกุ้งน่ะผ่านไปได้สบายอยู่แล้ว ไม่ต้องห่วง”

“แล้วจะผ่านไปได้ยังไง กุ้งยังหาที่ทางใหม่ที่จะเช่าไม่ได้เลย”

“อืม...” พริมาทำเป็นครุ่นคิดแล้วกัดเค้กในมือคำหนึ่ง เคี้ยวตุ้ยๆ พอกลืนเสร็จก็หันมาบอก “เอาเป็นว่าพรุ่งนี้กุ้งจะได้คำตอบของสิ่งที่กุ้งค้นหา เป็นคำตอบที่ดีด้วย เพราะฉะนั้นคืนนี้ไม่ต้องคิดมาก พักผ่อนให้สบาย พรุ่งนี้ทุกอย่างจะดีเอง”

พริตาฟังแล้วก็เหมือนจะสบายใจขึ้นเล็กน้อย เพราะวิญญาณแฝดการันตีเองขนาดนี้

“ขอบคุณนะกลอยที่คอยอยู่ข้างๆ กุ้งเสมอ”

“หือ ไม่ต้องมาทำหน้าซึ้งอย่างนั้นเลย กลอยก็แวบไปแวบมา ไม่ได้อยู่กับกุ้งตลอด ช่วยได้ก็แค่บอกอะไรนิดๆ หน่อยๆ แค่นี้แหละ ที่เหลือก็เพราะโชคชะตาและความสามารถของกุ้งเอง”

วิญญาณแฝดบอก แต่นั่นทำให้พริตาซึ่งสงสัยมานานแล้วอยากถามให้กระจ่างสักหน่อย เพราะบางคราวพริมาก็อยู่บ้าง ไม่อยู่บ้าง บางทีหายไปแป๊บๆ ก็กลับมา แต่บางทีก็หลายวัน เคยมีครั้งหนึ่งหายหน้าหายตาไปเกือบครึ่งเดือน เล่นเอาหล่อนหงอยไปเลย เพราะคิดว่าอีกฝ่ายไปเกิดแล้ว แต่ก็แค่เกือบ เมื่อพริมากลับมา

“จริงสิ ว่าจะถามนานแล้ว บางทีอยู่บางทีไม่อยู่ กลอยหายไปไหนเหรอ”

“ไปปาร์ตีสมาคมวิญญาณ”

“ถามจริง”

“จริง” เจ้าตัวยืนยันแล้วทำท่าดันสันแว่นทั้งที่ไม่มีแว่น เลียนแบบศาสตราจารย์สุดฉลาดแบบในละคร “จะเป็นคนหรือวิญญาณมันก็ต้องมีสมาคมไว้อัปเดตข่าวสาร ใครตายที่ไหนอย่างไร ตายดี ตายโหง ตายสยิว ใครได้ขึ้นสวรรค์ ใครลงนรก ละแวกนี้มีอะไรน่าสนใจก็ต้องอัปเดตกัน นี่ยุคห้าจีแล้ว ไม่อัปเดตเดี๋ยวอยู่ไม่ได้ ไม่มีอะไรไปหลอกให้มนุษย์งมงาย ตัวเลขขาขึ้นขาลงต้องรู้”

“วิ่งบนวิ่งล่างว่างั้น”

“ถูก!”

“แหม นึกว่าจะระลึกรู้เองทุกเรื่องเสียอีก”

หล่อนกล่าวติดตลก แต่วิญญาณที่เพิ่งกินชีสเค้กเสร็จกลับทำตาโตใส่ก่อนจะบอกขำๆ ว่า

“วิญญาณนะคะ ไม่ใช่กูเกิล อยากได้อะไรแค่เคาะแป้นพิมพ์แล้วจะได้รู้ทุกอย่าง”

สิ้นเสียงพูดของวิญญาณสาวก็กลายเป็นเสียงหัวเราะขบขัน เมื่อต่างจินตนาการไปว่าถ้าวิญญาณกลายเป็นกูเกิล เครื่องมือค้นหาชื่อดัง แบบนั้นคงปั่นป่วนน่าดู พอคิดมาถึงตรงนี้แล้วพริตาก็แอบใจหายอยู่ลึกๆ ว่า ถ้าวันหนึ่งไม่มีพริมาแล้ว หล่อนคงเหงาน่าดู ตอนนี้ที่ยังไม่รู้สึกอะไรก็เพราะว่า แม้ความต่างภพจะแยกทั้งสองคนออกจากกัน แต่สายสัมพันธ์ของการเป็นฝาแฝดยังคงอยู่ แต่ถ้าวันหนึ่งสายสัมพันธ์นี้หายไป หล่อนจะทำใจได้หรือเปล่าก็ไม่รู้

“ขอบใจนะกลอย”

“ถ้าอยากขอบใจ บอกแม่ให้หน่อย วันพระนี้ไม่ทันแล้ว กระชั้นเกินไป แต่วันพระหน้ากลอยอยากกินเค้กช็อกโกแลตหน้านิ่ม เอาสักสองปอนด์เลยนะ จะได้แบ่งพ่อกับเพื่อนๆ ของพ่อด้วย”

พอพริมาพูดขึ้นมาแบบนี้ พริตาก็อดถามถึงพ่อที่จากไปแล้วไม่ได้

“พูดถึงพ่อ พักนี้ไม่เห็นมาเข้าฝันกันบ้างเลย คิดถึงจัง ช่วงนี้พ่อเป็นไงบ้าง สบายดีหรือเปล่า”

“โอ๊ย เซย์ไฮอยู่บนนู้น” เจ้าตัวบุ้ยใบ้ขึ้นไปบนสวรรค์ “เพื่อนเยอะ งานก็เยอะ”

“งั้นเหรอ” หล่อนทำตาปรอยเล็กน้อย “ถ้าเจอพ่อฝากบอกพ่อหน่อยนะ ว่างๆ แวะมาหากันบ้าง กุ้งกับแม่คิดถึง”

“อืม แล้วกลอยจะบอกให้ แต่นี่พูดจริงๆ นะ ทุกอย่างขึ้นอยู่กับสิ่งที่ทำ แม้จากกันช่วงหนึ่ง แต่เมื่อมีวาสนา สักวันเมื่อถึงเวลาก็ได้เจอเอง กุ้งกับแม่แค่รู้ไว้ว่าพ่อยังมองกุ้งกับแม่อยู่เสมอ ยังห่วงทั้งสองคน แม้อาจจะไม่ได้มาช่วยหรือมาหาตรงๆ เหมือนกลอย แต่พ่อก็ยังรักและเป็นห่วงกุ้งกับแม่นะ”

พริตาพยักหน้ารับ สูดจมูกเล็กน้อย เพราะพอพริมาพูดแบบนี้ก็พลอยทำให้หล่อนน้ำตาซึมอยู่เหมือนกัน แต่หล่อนไม่ชอบทำตัวขี้แยให้ใครเป็นห่วง จึงเปลี่ยนเรื่องคุย

“อย่างกุ้งเนี่ย มีดวงถูกหวยสามสิบล้านกับเขาบ้างไหม”

พอหล่อนถามเท่านั้น วิญญาณฝาแฝดก็ส่ายหน้าดิกทันที

“ไม่มีหรอก”

“ไหงงั้น” คนดวงกุดทำหน้าเบ้ “โชคไม่เข้าข้างกันเลยเหรอ”

“จะเอาสามสิบล้าน ถามตัวเองก่อนไหมว่าเวลาซื้อสลากทีหนึ่งเกินหนึ่งใบไหมคะยายกุ้งขา”

คราวนี้คนโดนย้อนถึงกับค้อนตาคว่ำเถียงไม่ออก หล่อนซื้อสลากกินแบ่งรัฐบาลทีก็ซื้อช่วยแม่ค้าพ่อค้าที่เป็นบุคคลทุพพลภาพ ครั้งหนึ่งก็แค่หนึ่งใบ มากสุดสองใบ ต่อให้ถูกสองใบรวมกันยังไม่ถึงสามสิบล้านเลย 

“เชอะ ไม่พูดด้วยแล้ว กุ้งไปอาบน้ำดีกว่า”

พริตาสะบัดหน้าพรืดก่อนจะลุกไปหยิบเสื้อผ้า เดินออกจากห้องนอนไป ส่วนวิญญาณฝาแฝดก็ได้แต่หัวเราะตามหลัง แต่พอคล้อยหลังฝาแฝด วิญญาณสาวก็ส่ายหน้าเบาๆ ให้คนที่ยังไม่รู้ว่าหลังจากนี้จะมีเรื่องราวเกิดขึ้นอีกมากมาย โดยเฉพาะเรื่องหัวใจที่หนีไม่พ้นแน่แล้วในคราวนี้ 

ครั้งก่อนโน้นพริตาเป็นคนวิ่งเข้าหาและจบลงด้วยการอกหัก

แต่ครั้งนี้จะไม่เหมือนเดิม เพราะฝ่ายนั้นไม่ได้แค่วิ่งเข้าหา แต่รุกหนักอย่างมีชั้นเชิงเลยต่างหาก!

“กุ้งนะกุ้ง ทำเป็นไม่ยอมพูดถึงพี่มิล เอาเรื่องหาที่เช่าใหม่กับหวยสามสิบล้านมาบ่น เธอควรกังวลเรื่องพี่มิลดีกว่า เตรียมตัวเตรียมใจไว้ให้ดีเถอะ งานนี้กามเทพเล่นใหญ่แน่”


 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น