บทที่ ๔

บทที่ ๔

คุณครู vs คุณพ่อ

 

พริตาสังหรณ์ใจแรงมาก แต่มาถึงตรงนี้ก็กลับตัวไม่ได้แล้ว หล่อนจึงได้แต่ทำใจดีสู้เสือตอนที่แม่บ้านมาเปิดประตูให้หลังจากที่หล่อนบอกว่าเป็นใคร แล้วก็เทียบรูปถ่ายในโทรศัพท์มือถือกับตัวจริงแล้วว่าหน้าตาเหมือนกัน ไม่ใช่คนอื่นมาแอบอ้าง

“เชิญคุณครูทางนี้เลยค่ะ”

พริตาเดินตามแม่บ้านผ่านประตูรั้วเข้าไป หล่อนมองบ้านหลังใหญ่อย่างพิจารณา เนื้อที่ใช้สอยของบ้านนี้ค่อนข้างกว้าง ภายในอาณาเขตบ้านมีบ้านหลังใหญ่อยู่ด้านในสุด และบ้านหลังเล็กที่อยู่ทางขวามือ ตรงกลางเป็นวงเวียนน้ำพุ ส่วนฝั่งซ้ายมือเป็นสวนหย่อมและสระน้ำ แต่ถึงจะบอกว่ามีบ้านหลังเล็กอยู่ในอาณาเขตบ้าน มันก็ยังใหญ่กว่าบ้านของหล่อนอยู่ดี

หญิงสาวเดินตามแม่บ้านไปจนเข้ามาในบ้านหลังเล็ก แล้วเดินตามไปยังห้องห้องหนึ่งที่อยู่ติดกับห้องรับแขกซึ่งมองออกไปเห็นทะเลสาบหลังบ้าน บ้านแต่ละหลังจากที่หล่อนเห็นขณะนั่งแท็กซี่เข้ามานั้นไม่ได้เป็นแบบเดียวกันหมด น่าจะเป็นโครงการหมู่บ้านที่มีที่ดินให้ออกแบบและปลูกสร้างเอง แต่มีพื้นที่อำนวยความสะดวกส่วนกลางครบครันและการรักษาความปลอดภัยที่ดี บวกกับบรรยากาศที่เหมือนหลุดเข้ามาอยู่อีกโลกหนึ่งที่ไม่วุ่นวายและมีธรรมชาติโอบล้อมเป็นจุดขาย

พอถึงหน้าห้องนั้น แม่บ้านก็เปิดประตูเข้าไปพร้อมกับร้องบอกคนที่รออยู่

“น้องวีคะ คุณครูมาแล้วค่ะ”

พอได้ยินแม่บ้านเรียกชื่อ จากที่มั่นใจห้าสิบเปอร์เซ็นต์ว่าเด็กที่หล่อนต้องมาสอนคือน้องวี ลูกของรามิล ตอนนี้กลายเป็นมั่นใจหนึ่งร้อยเปอร์เซ็นต์ทันที!

ฝ่ายเด็กชายที่นั่งเล่นอยู่ในห้อง ตอนแรกก็เกร็งๆ อยู่ ไม่รู้ว่าครูที่มาแทนจะใจดีหรือดุ แต่พอเห็นหน้าชัดว่าครูที่มาสอนแทนครูสอนศิลปะคนเดิมคือคนที่เจ้าตัวเคยเจอมาแล้วก็ยิ้มกว้างทันที

“คุณน้าใจดี!” น้องวีร้องแล้วรีบวิ่งมาหา 

หล่อนได้แต่ยิ้มรับ แต่ในใจคิดว่า ‘ทำไมโลกมันถึงกลมได้ขนาดนี้!’

“สวัสดีค่ะน้องวี”

พริตาทักทายและยิ้มให้ แต่เพราะทั้งสองคนดูเหมือนจะรู้จักกันมาก่อน ทำให้แม่บ้านได้แต่ทำตาปริบๆ เพราะเรื่องที่ลูกชายของเจ้านายรู้จักกับคุณครูคนใหม่นี้ เจ้านายไม่ได้บอกไว้เลย

“นี่รู้จักกันแล้วเหรอคะ” แม่บ้านถามไถ่ ทำหน้างง 

“ค่ะ กุ้งเคยเจอน้องวีที่ทำงานของคุณรามิลค่ะ”

พอหล่อนเอ่ยปากอย่างนั้น น้องวีก็ช่วยยืนยันอีกแรง

“ใช่ครับ ป้าแจ๋ว น้องวีเคยเจอกับคุณน้าแล้ว คุณน้าใจดี คุณพ่อก็ชอบคุณน้าด้วย”

พริตาฟังแล้วแทบสำลัก ส่วนแม่บ้านได้แต่ทำตาปริบๆ แต่ไม่ได้พูดอะไรนอกจากขอตัว

“ถ้าอย่างนั้นป้าขอตัวไปเตรียมของว่างให้ก่อนนะคะ” ป้าแจ๋วรีบขอตัวอย่างเร็วไว 

คล้อยหลังแม่บ้านไปแล้ว พริตาก็ทำความรู้จักกับน้องวีอย่างเป็นทางการ แล้วให้เด็กชายเรียกหล่อนว่าครูกุ้ง ทั้งคู่พูดคุยทำความคุ้นเคยกันอยู่พักใหญ่ ก่อนจะเริ่มเรียน แม่บ้านเอาคุกกี้กับน้ำผลไม้มาวางให้ พริตาขอบคุณแล้วให้น้องวีกินของว่างสักเล็กน้อยเพราะเห็นว่าเย็นแล้ว ระหว่างนั้นหล่อนก็มองไปรอบๆ ห้อง 

ห้องนี้ค่อนข้างกว้าง โปร่งสบาย พื้นปูยางกันกระแทกสีสันสดใส ด้านหนึ่งมีชั้นหนังสือที่ดูคร่าวๆ แล้วเห็นเป็นพวกหนังสือนิทานและหนังสือภาพความรู้ในแขนงต่างๆ ส่วนอีกด้านที่หล่อนนั่งอยู่เป็นโซนศิลปะ มีอุปกรณ์ระบายสีครบครัน ทั้งกระดานวาดรูป กระดาษสี และกระดาษวาดรูปให้หยิบใช้ได้ตามสบาย มีชั้นวางสีที่มีให้เลือกมากมาย ตั้งแต่สีน้ำ สีเทียน สีไม้ 

ฝั่งตรงข้ามเป็นมุมของเล่นเสริมสร้างพัฒนาการด้านความคิด มีโซฟานั่งเล่นอยู่ตรงนั้นด้วย พอมองออกไปนอกหน้าต่างเห็นสนามหญ้าด้านที่อยู่ติดกับทะเลสาบ มีชุดเครื่องเล่นสนามอย่างดีไว้ให้เด็กเล่นปีนป่ายหรือนั่งชิงช้า หรือจะโหนบาร์ฝึกกล้ามเนื้อแขนขาก็ได้เช่นกัน

‘อื้อหือ...ผู้ปกครองจัดหนักสมกับเรียนโฮมสกูลจริงๆ’

พริตาคิด หันมามองเด็กชายแล้วยิ้มให้เล็กน้อย จากนั้นการเรียนก็เริ่มต้นขึ้น วันนี้หล่อนสอนเนื้อหาต่อจากที่รุ่นน้องสอนไว้ แต่เริ่มสอนไปได้ไม่เท่าไร พ่อของเด็กที่หล่อนพยายามภาวนาว่าอย่าเจอเลย เพราะไม่อยากให้หัวใจต้องหวั่นไหวอีกก็โผล่มา เมื่อเขากลับมาจากที่ทำงาน

‘เฮ้อ นึกถึงลางอัปมงคล ลางอัปมงคลก็มา!’

“สวัสดีครับคุณครู เห็นครูนัทบอกว่าไม่สบาย เลยส่งครูกุ้งมาแทน พี่ก็เลยรีบกลับบ้านมาหาเลย”

รามิลเอ่ยทักทาย แต่กลับทำให้น้องวีเอียงคอมองสงสัย เพราะพ่อแทนตัวว่าพี่ แต่เจ้าตัวรู้จักพริตาในฐานะคุณน้าคนสวยที่ไปเล่นโรลเลอร์เบลดแล้วล้มทับใส่วันก่อน แล้วก็กลายมาเป็นคุณครูในวันนี้เท่านั้น

“ทำไมพ่อมิลแทนตัวว่าพี่ล่ะครับ หรือครูกุ้งเป็นน้องพ่อมิลด้วยอีกคน”

คนเป็นพ่อฟังแล้วก็หัวเราะเบาๆ ก่อนจะเฉลย

“เปล่าครับน้องมิล พ่อไม่ได้เป็นพี่ชายครูกุ้ง แล้วก็ไม่อยากเป็นด้วย แต่ถ้าให้เป็นอย่างอื่นพ่อเต็มใจมากกว่า” เขาหยอดใส่เล็กน้อยก่อนจะตีมึนอธิบายต่อ “ตอนเด็กๆ พ่อกับครูกุ้งเคยเรียนโรงเรียนเดียวกัน พ่ออยู่ชั้นสูงกว่าครูกุ้ง ก็เลยถือว่าเป็นพี่ จึงแทนตัวว่าพี่ครับ”

“อ๋อ...”

น้องวีถึงบางอ้อ รามิลจึงหันไปหาพริตา แต่หล่อนกลับหรี่ตามองเขาอย่างไม่ไว้ใจ เพราะเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าที่หล่อนต้องมาเป็นครูพิเศษเฉพาะกิจในวันนี้เป็นแค่เหตุบังเอิญหรือว่าเป็นการจงใจของใครหรือเปล่า 

รามิลอ่านแววตานั้นออกจึงรีบบอกทันที

“ตอนครูนัทโทรศัพท์มาแจ้งและขอส่งครูอีกคนมาแทน พี่ไม่รู้ว่าจะเป็นกุ้ง จนกระทั่งครูนัทบอกและส่งรูปถ่ายมายืนยัน พี่ถึงได้รู้ว่าครูที่จะมาแทนคือกุ้ง”

พริตาทำหน้าเหมือนไม่อยากเชื่อ แต่ก็ไม่ได้ว่าอะไร เพราะไม่อยากซักไซ้เขาต่อหน้าเด็ก ฝ่ายรามิลอธิบายแล้วก็หันไปกอดทักทายลูกชายตามปกติเหมือนทุกครั้งเวลากลับจากที่ทำงาน แล้วลูกชายมีเรียนอยู่ที่บ้าน ไม่ว่าจะเหนื่อยแค่ไหนก็จะต้องมากอดลูกคนนี้เสมอ 

“วันนี้ได้ครูคนใหม่ ตั้งใจเรียนดีๆ นะน้องวี”

“ครับพ่อมิล”

น้องวียิ้มแฉ่ง รามิลจึงยีหัวลูกชายทีหนึ่งก่อนจะถอยไปนั่งที่โซฟาเงียบๆ ระหว่างที่ลูกชายเรียนศิลปะ แต่เพราะเขานั่งอยู่ในห้องด้วยนี่แหละจึงเป็นปัญหาสำหรับหล่อน 

‘โอ๊ย! อีตาพี่มิลบ้า มีอะไรก็ไปทำสิ มานั่งอยู่ด้วยทำไมเนี่ย!’

พริตาครางในใจ สมาธิในการสอนสั่นคลอนแกว่งไกวยิ่งกว่าเรือไวกิงในสวนสนุก บ่อยครั้งหล่อนรู้สึกเหมือนเขามองมา พอหล่อนเหลือบมองไปก็เห็นเขามองมาและยิ้มให้จริงๆ หล่อนได้แต่ถลึงตาใส่ เป็นอยู่อย่างนั้นสามครั้ง จนในที่สุดหล่อนก็ทนไม่ไหว

“รบกวนผู้ปกครองออกไปรอข้างนอกได้ไหมคะ เด็กเสียสมาธิในการเรียนค่ะ” หล่อนเอาน้องวีมาอ้าง ทั้งที่เป็นตัวเองมากกว่าที่เสียสมาธิ

“แต่ปกติเวลาน้องวีเรียน พี่ก็มาอยู่ด้วยตลอด”

รามิลแย้ง ทำหน้าไม่เข้าใจ ในเมื่อเขาไม่ได้ทำอะไรผิดเสียหน่อย แค่นั่งอยู่ด้วยเงียบๆ ไม่ได้รบกวนเลยสักนิด แต่มีหรือที่หล่อนจะไม่รู้ทันสีหน้าแบบนั้นว่าเขาจงใจปั่นหัวหล่อนเล่น พริตาถลึงตาใส่อย่างบอกให้รู้ว่า ‘ไม่ต้องมาเนียนย่ะ!’

ชายหนุ่มเห็นอย่างนั้นก็หัวเราะในลำคอเบาๆ ก่อนจะเลิกแกล้งหล่อน ลุกออกจากห้องเรียนรู้ของลูกชายไป เขาหายไปหลายนาทีกว่าจะกลับเข้ามาในเสื้อผ้าที่เปลี่ยนไป พริตามองแล้วก็รู้ว่าเขาไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้ามา ส่วนน้องวีพอเห็นพ่อกลับเข้ามาในห้องก็ลุกจากเก้าอี้ วิ่งเอากระดาษที่วาดรูปหัวข้อ ‘สิ่งที่ฉันชอบมีอะไรบ้าง’ ไปให้พ่อดู

น้องวีวาดทุกอย่าง ไม่ว่าจะของกิน ของเล่น สัตว์ที่ชอบ หรือแม้แต่คนในครอบครัว ซึ่งหน้าตาโย้เย้ไปบ้าง บางรูปต้องใช้จินตนาการเพิ่มเข้าไปด้วยถึงจะรู้ว่าคืออะไร แต่เจ้าตัวก็ภูมิใจจะนำเสนอให้พ่อดู

“อันนี้น้องวีวาดพ่อมิลกับคุณย่าอยู่ในสวน กำลังนั่งกินขนมของป้าอ้อย”

“ไหนดูซิ อื้อหือ เหมือนๆ แต่คุณย่าต้องทำหน้าดุๆ กว่านี้อีกนิด แบบนี้” รามิลแซวไปถึงคุณย่าและทำหน้านิ่วคิ้วขมวดใส่ ก่อนจะมาสะดุดตาผู้ชายในภาพที่เดาว่าน่าจะเป็นตัวเขาเองจากคำพูดของลูก 

“อันนี้พ่อเหรอ”

“ใช่ครับ อันนี้พ่อมิล”

“แล้วตรงเส้นๆ สองเส้นที่ท้องพ่อนี่คืออะไรครับน้องวี”

“ซิกแม็ก”

“ซิกอะไรนะน้องวี” รามิลกลัวฟังผิดและไม่แน่ใจว่าจะเข้าใจถูกหรือไม่ 

น้องวีทำหน้ามุ่ยที่พ่อดูไม่ออก

“ก็ซิกแม็กไงครับ น้องวีเห็นตอนพ่อมิลว่ายน้ำ ตรงนี้จะขึ้นเป็นแบบนี้” น้องวีชี้ในภาพวาด แถมยังบอกด้วยว่า “พ่อมิลบอกว่าถ้าออกกำลังกายเยอะๆ กินอาหารดีมีประโยชน์ ร่างกายแข็งแรงก็จะมีซิกแม็ก”

สิ้นเสียงบอกของน้องวี พริตาก็หลุดขำพรืดออกมาก่อนจะยิ้มอย่างเอ็นดู ในขณะที่รามิลพอรู้ว่าลูกหมายถึงอะไรก็อดขำไปด้วยไม่ได้ มีแต่น้องวีที่งงว่าผู้ใหญ่ขำอะไรกัน

อ๋อ ซิกซ์แพ็ก หมดกันซิกซ์แพ็กของเขา เจ้าลูกตัวดีดันเรียกซะเสียหมดเลย

“อันนี้เรียกซิกซ์แพ็ก ไม่ใช่ซิกแม็กนะน้องวี” ชายหนุ่มช่วยแก้คำให้ 

พอรู้ว่าพูดผิด เด็กชายก็รีบแก้คำให้ถูก จากนั้นก็กลับไปนั่งวาดรูประบายสีตามเดิม ส่วนคนเป็นพ่อก็ได้แต่ยิ้มอย่างอารมณ์ดี แล้วเหลือบมองคุณครูสาวที่ตอนนี้ยิ้มด้วยเหมือนกัน 

ทว่าพอดวงตาสองคู่สบกัน พริตาก็เกิดหน้าแดงขึ้นมา เพราะดันจินตนาการถึงซิกซ์แพ็กของเขาตามที่น้องวีอวดอ้าง เล่นเอาหน้าร้อนผ่าวไปเลย เพราะเขาเองก็ส่งยิ้มมาเหมือนจะถามเป็นนัยๆ

‘อยากดูซิกซ์แพ็กของพี่เหรอ’

หญิงสาวถลึงตาใส่แล้วอยากหาอะไรเขวี้ยงใส่เขานัก แต่คนถูกด่ากลับด้วยสายตากลับทำหน้ากรุ้มกริ่มยิ้มใส่อย่างอารมณ์ดี เล่นเอาคนที่ถูกยั่วประสาทแทบอยากจะกรี๊ดออกมาเสียให้ได้

‘ยุบหนอ พองหนอ อย่าไปถือสาคนบ้าหนอ!’

หล่อนสูดหายใจลึกๆ อย่างพยายามสะกดกลั้นการถูกปั่นประสาทเต็มที่ ส่วนคนที่แกล้งหล่อนก็ไม่ได้แกล้งต่อแต่อย่างใด หลายนาทีต่อมาเมื่อการเรียนเสร็จสิ้นตามเวลา พริตาก็ให้การบ้านน้องวีหนึ่งอย่างตามที่รุ่นน้องเขียนไว้ แต่ดูเหมือนน้องวีจะถูกใจหล่อนหรืออย่างไรไม่รู้ เพราะเจ้าตัวถามตอนที่ช่วยกันเก็บอุปกรณ์ว่า

“ครูกุ้งจะมาสอนน้องวีอีกไหมครับ”

“คงไม่ได้ค่ะ ครูกุ้งมาสอนให้แทนครูนัท เพราะครูนัทไม่สบาย แต่ถ้าครูนัทหายแล้ว น้องวีก็ต้องเรียนกับครูนัทตามเดิมค่ะ”

“แต่น้องวีอยากเรียนกับครูกุ้งอีก ถ้าน้องวีอยากเรียนกับครูกุ้งต้องทำยังไง”

น้องวีถามแบบพาซื่อ แต่คนเป็นพ่อที่นั่งฟังอยู่ด้วยแอบดีดนิ้วเปาะในใจ

‘ถามได้ดีมาก! เยี่ยมมากน้องวีของพ่อ’

“น้องวีอยากให้ครูกุ้งมา แล้วไม่อยากให้ครูนัทมาแล้วเหรอคะ แบบนั้นครูนัทเสียใจแย่น้า”

พริตาพยายามหว่านล้อมให้น้องวีเห็นใจรุ่นน้องสาวที่ไม่ได้ทำอะไรผิด แต่เด็กดันมาติดใจหล่อนนี่สิ ไม่รู้จะสงสารใครดีเลยจริงๆ 

“น้องวีไม่อยากให้ครูนัทเสียใจ แต่น้องวีก็อยากให้ครูกุ้งมาสอนด้วย” น้องวีตอบตามที่คิด

“ไม่ได้หรอกค่ะ ครูกุ้งสอนเฉพาะที่สตูดิโอ เอ่อ โรงเรียนน่ะค่ะ วันนี้ที่มาสอนน้องวีได้เป็นกรณีพิเศษ แต่ถ้าน้องวีอยากเรียนกับครูกุ้ง ก็ต้องไปเรียนที่โรงเรียนของครูกุ้งค่ะ”

หญิงสาวให้เหตุผลไปตามนั้น คิดว่าน้องวีอาจจะถอดใจ เพราะอย่างไรเจ้าตัวก็เรียนแบบโฮมสกูล อีกทั้งการตัดสินใจทั้งหมดขึ้นอยู่กับผู้ปกครองด้วย ไม่ใช่ว่าน้องวีอยากเรียนกับใครก็ทำได้ง่ายๆ 

ทว่าเหตุผลที่หล่อนให้กลับได้ผลตรงกันข้าม เพราะน้องวีทำตาพราวระยับแล้วหันไปบอกคนเป็นพ่อ

“พ่อมิลครับ น้องวีไปเรียนที่โรงเรียนของครูกุ้งได้ไหมครับ!”

รามิลชะงัก ตอนแรกคิดว่าถ้าน้องวีรบเร้าพริตาจนหล่อนใจอ่อน ยอมมาสอนแทนครูนัทได้เขาก็ยินดี ค่าจ้างของครูนัทเขาก็ยอมเสียให้ฟรีๆ เป็นการสมนาคุณที่พาพริตามาให้ แต่ถ้าหล่อนไม่ยอมมาสอนที่บ้าน แล้วให้น้องวีไปเรียนพิเศษที่โรงเรียนของหล่อนแทน แบบนั้นก็ไม่เลวเหมือนกัน 

“น้องวีอยากไปเรียนจริงๆ เหรอ” เขาถามเพื่อให้น้องวีตอบต่อหน้าพริตา เป็นการยืนยันว่าเป็นเจตนารมณ์ของลูกชายจริงๆ

“ครับ น้องวีอยากไปเรียน พ่อมิลให้น้องวีไปเรียนนะ”

“พ่อไม่ว่าถ้าน้องวีอยากไปเรียน แต่น้องวีต้องถามครูกุ้งก่อนว่าตอนนี้ที่โรงเรียนห้องเรียนเต็มหรือยัง ถ้ายังไม่เต็มและน้องวีไปเรียนได้ พ่อก็ให้ไปครับ”

พอได้ไฟเขียวอย่างนั้น น้องวีก็หันไปขอพริตาทันที

“ยังมีที่ว่างให้น้องวีไปเรียนไหมครับครูกุ้ง”

พริตาได้แต่ยิ้มแห้งๆ ปกติหล่อนใจดีกับเด็ก น้อยครั้งจะปฏิเสธเด็กได้ ครั้งนี้ก็เหมือนกัน แม้จะหมั่นไส้พ่อเด็กที่ทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้จนอยากซัดสักตุ้บ แต่หล่อนก็ปฏิเสธเด็กไม่ลง เพียงแต่...

“ยังว่างค่ะ แต่ว่าตอนนี้น้องวียังไปสมัครเรียนไม่ได้ พอดีครูกุ้งต้องย้ายสตูดิโอที่เรียนไปอยู่อีกที่หนึ่ง กว่าจะทำอะไรเสร็จก็อีกสองสามอาทิตย์ ถ้ายังไงช่วงนี้เรียนกับครูนัทไปก่อนนะคะ”

หล่อนบอกไปตามจริงและคิดว่ารามิลเองก็พอจะรู้เรื่องนี้อยู่บ้าง เพราะเมื่อวานตอนเจอกับป้าตุ้มเขาก็อยู่ด้วย ต่อให้เขาทำเป็นไม่สนใจหรือไม่ถามซอกแซกอะไร หล่อนก็เชื่อว่าเขาคงเดาได้จากบทสนทนาที่เกิดขึ้น

แต่น้องวีที่ไม่รู้เรื่องและรู้ว่าตนยังไปเรียนไม่ได้ทำหน้าจ๋อยไปนิดอย่างเสียดาย จนพริตาต้องรีบปลอบ

“ถึงตอนนี้ยังไปเรียนไม่ได้ แต่ถ้าน้องวีแวะไปแถวสตูดิโอสอนวาดรูปของครูกุ้ง ก็แวะไปกินเค้กอร่อยๆ ที่ร้านกาแฟด้านล่างสตูดิโอสอนวาดรูปก็ได้ค่ะ”

พริตาแค่ไม่อยากให้น้องวีเสียใจ แต่ลืมคิดไปว่าถ้าชวนน้องวีมา พ่อของน้องวีก็ต้องมาด้วย!

“เย้! พ่อมิลครับ พรุ่งนี้เราไปกินเค้กที่สตูดิโอของครูกุ้งกันนะครับ”

เด็กชายชวนตาเป็นประกาย แล้วมีหรือที่คนเป็นพ่อจะไม่กระโจนลงไปในคำชวนนี้

“ได้ครับ เดี๋ยวพ่อพาไปเอง”

รามิลตอบรับทันที แถมทำหน้าซื่อไม่รู้ไม่ชี้ว่าทำตามที่ลูกขอ เล่นเอาพริตาแทบจะแยกเขี้ยวใส่ที่เขาฉวยโอกาสทอง เพราะหล่อนดันพลาดท่าเปิดทางให้เอง

‘ฮึ่ย! น่าโมโหชะมัด!’

พริตาได้แต่เข่นเขี้ยวในใจที่ตกหลุมพรางไปเต็มๆ 

หลังจากนั้นทุกคนก็ออกมาจากห้องเรียนของน้องวี แต่เพราะมืดแล้วรามิลจึงชวนหล่อนกินอาหารเย็นด้วยกันที่บ้าน บวกกับน้องวีรบเร้า ทำให้หล่อนต้องยอมอยู่กินอาหารเย็นกับสองพ่อลูก หล่อนทันได้ยินตอนที่รามิลถามแม่บ้านถึงคุณย่าและใครคนหนึ่งที่ชื่อน้าเข็มตอนเดินไปที่ห้องอาหารด้วยกัน

“คุณย่ากับคุณเข็มให้เรียนว่ากินเรียบร้อยแล้วค่ะ”

“ขอบคุณมากป้าแจ๋ว”

พริตาเดินตามเขาไปที่ห้องอาหารและกินอาหารร่วมกัน แล้วหล่อนก็ได้เห็นเขาในมุมของการเป็นพ่อคน เขาดูอบอุ่นและใส่ใจน้องวีมาก ถ้าไม่บอกว่าเขาไม่ใช่พ่อแท้ๆ หล่อนคงไม่มีทางเชื่อแน่ 

น้องวีเองก็ดูจะรักเขามากเช่นเดียวกัน ผิดกับตอนทำผิดจนโดนรามิลดุใส่วันก่อนลิบลับ ตอนนั้นหล่อนคิดว่าเด็กชายจะหงอกับรามิลจนไม่ค่อยเข้าใกล้ อย่างที่เกิดกับบางครอบครัวที่พ่อดุมากเกินไป ทำให้ลูกไม่กล้าพูดคุยด้วยในบางครั้ง แต่สำหรับพ่อลูกคู่นี้คงไม่ใช่อย่างนั้น

หญิงสาวกินอาหารกับสองพ่อลูกไปพลาง พูดคุยไปพลาง รามิลไม่ได้พูดจาให้หล่อนรู้สึกอึดอัด ส่วนใหญ่จะคุยเรื่องการเรียนของเด็กในวัยนี้ไว้เป็นความรู้ เพื่อนำไปเพิ่มเติมในส่วนของการเรียนโฮมสกูลของน้องวีต่อไป

เมื่อเสร็จสิ้นมื้ออาหาร รามิลก็ให้ลูกชายนั่งเล่นย่อยอาหารในห้องรับแขก เพราะน้องวีมีการ์ตูนที่ชอบและมีกติกากันว่าจะได้ดูวันละหนึ่งตอนหลังเรียนและกินข้าวมื้อเย็นเสร็จ ปกติเขาจะนั่งดูกับน้องวีเป็นประจำ แต่วันนี้ต้องออกไปส่งพริตา จึงบอกกล่าวกับลูกชาย

“เดี๋ยวพ่อจะไปส่งครูกุ้ง น้องวีนั่งดูการ์ตูนจบแล้วลุกไปอาบน้ำเข้านอนกับป้าแจ๋วนะครับ”

“ครับ น้องวีดูเสร็จแล้วจะไปอาบน้ำเข้านอนครับ”

“ดีมากคนเก่งของพ่อ”

รามิลยีหัวลูกชายอย่างเอ็นดู แล้วจึงเดินออกไปที่ลานจอดรถหน้าบ้านกับหล่อน แต่ตอนที่เดินออกมาก็เห็นผู้หญิงในชุดกระโปรงลายดอกไม้เล็กๆ นั่งอยู่บนรถเข็นที่มีสาวใช้เข็นมาให้และกำลังตรงมาทางนี้ คนบนรถเข็นแย้มยิ้มให้ก่อนจะส่งเสียงทักทาย

“ตามิลเป็นไงบ้าง ช่วงนี้งานยุ่งเหรอ ไม่ค่อยได้เจอหน้ากันเลย”

“นิดหน่อยครับน้าเข็ม” เขาตอบ ยิ้มให้แล้วจึงแนะนำพริตาให้รู้จักกับผู้หญิงบนรถเข็น “นี่น้าเข็ม ภรรยาของคุณพ่อ”

“สวัสดีค่ะคุณน้า”

พริตารีบยกมือไหว้แทบไม่ทัน แต่หล่อนกลับสะดุดใจกับคำแนะนำของเขา ที่เขาแนะนำผู้หญิงคนนี้ว่าภรรยาของพ่อแทนที่จะบอกว่าเป็นแม่ ก็แสดงว่าเจ้าหล่อนไม่ใช่แม่แท้ๆ ของเขา จะว่าไปจริงๆ แล้วตอนเป็นเด็ก หล่อนเคยเห็นแม่ของเขาอยู่บ้างเวลามาซื้อขนมปังที่ร้าน แต่หน้าตาอย่างไรหล่อนก็จำไม่ได้แล้วเหมือนกัน

นนธิยาหรือน้าเข็มรับไหว้และยิ้มให้ ทั้งสีหน้าและแววตาดูอ่อนโยนมาก ใบหน้าซูบเล็กน้อยและเรือนผมบางส่วนมีสีดอกเลา มีริ้วรอยของความมีอายุให้เห็นบ้างประปราย แต่ถึงแม้จะอ่อนโยนใจดีเพียงใด ก็ไม่สามารถปิดบังความเศร้าหมองที่แฝงอยู่ลึกๆ

“เห็นป้าแจ๋วบอกว่ามีครูสอนศิลปะคนใหม่มาสอนน้องวี น้าก็เลยมาดูหน่อยว่าเป็นยังไงกันบ้าง”

“อ๋อ ครับ พอดีครูคนเดิมป่วย ครูกุ้งเลยมาสอนแทน แต่ผมรู้จักกับกุ้งอยู่ก่อนแล้ว เพราะเมื่อก่อนตอนเรียนมัธยม กุ้งเป็นรุ่นน้องเรียนโรงเรียนเดียวกัน แล้วก็เคยอยู่แถวๆ บ้านหลังเก่าใกล้กันครับ”

“โชคดีจริงๆ ที่ได้คนรู้จักกันมาสอน แล้วนี่จะกลับแล้วเหรอจ๊ะ” นนธิยาถามต่อ 

“ค่ะคุณน้า จะกลับแล้วค่ะ” 

พริตาตอบไปแล้ว รามิลก็อธิบายเพิ่มให้ทันที

“ผมกำลังจะไปส่งกุ้งน่ะครับ”

“ดีแล้ว มืดค่ำเป็นผู้หญิงเดินทางคนเดียวมันอันตราย ไปเถอะจ้ะ เดี๋ยวจะดึกไปกว่านี้ น้าเองก็มาดูว่าเป็นอย่างไรบ้าง เดี๋ยวก็กลับห้องพักแล้ว”

นนธิยาว่าแล้วพยักหน้าให้สองหนุ่มสาว ก่อนจะบอกให้สาวใช้เข็นรถพาตัวเองกลับไปที่บ้านหลังใหญ่ ส่วนรามิลกับพริตาไปที่รถด้วยกัน แรกทีเดียวพริตาคิดว่าเขาคงจะให้คนขับรถไปส่งให้ แล้วเขาก็นั่งไปด้วยเหมือนครั้งก่อน ไม่ได้ไปกับหล่อนสองต่อสอง หล่อนจึงยอมให้เขาไปส่ง

แต่ดูเหมือนหล่อนจะคาดเดาผิดไปถนัด เมื่อรามิลไม่ได้ให้คนขับรถขับไปให้ แต่เขาจะขับเอง!

“ขึ้นรถสิ”

“คุณจะขับเองเหรอคะ”

“นี่ดึกแล้ว ลุงสงัดตาไม่ดี มองกลางคืนไม่ค่อยชัด”

ชายหนุ่มให้เหตุผลที่เป็นข้อจำกัด แต่พริตากลับหรี่ตามองเขา ก่อนจะมองไปทางคนขับรถของเขาที่ยืนรอส่งและต้องใช้รีโมตปิดประตูทางเข้าออกรถยนต์ให้ เห็นแววตาใสซื่อแบบไม่ซื่อของลุงคนขับรถที่ดูอย่างไรก็มองออกว่า ‘เจ้านายว่าไงก็ว่าตามนั้น’

‘หน็อย! อ้างว่าคนขับรถตาไม่ดี เชื่อตายละ!’

พริตาค้อนใส่อย่างรู้ทัน ใจอยากจะดื้อแพ่งอยู่หรอก แต่นี่ก็ดึกมากแล้ว หล่อนจึงต้องยอมให้เขาไปส่ง ถือเสียว่าไม่ต้องเสียค่ารถเองแล้วกัน

หญิงสาวยอมขึ้นรถไปกับเขา แต่คล้อยหลังรถยนต์คันหรูที่แล่นออกไปแล้ว คนที่นั่งรถเข็นและกำลังจะเข้าบ้านก็หันไปมองรั้วบ้านราวกับมองตามรถที่แล่นจากไป แววตาที่ดูเฉยชาเศร้าสร้อยกลับเป็นประกายขึ้นมาวูบหนึ่งเหมือนเจ้าตัวกำลังคิดอะไรอยู่ ก่อนที่ประกายในตานั้นจะมอดลงและกลายเป็นความเฉยเมยตามเดิม

รถยนต์คันหรูแล่นผ่านประตูบ้านออกไปได้สักพัก แต่ยังไม่ทันพ้นปากหมู่บ้าน รามิลก็ชะลอรถแล้วจอดใกล้พื้นที่ส่วนกลางบริเวณสนามเด็กเล่นของหมู่บ้าน พริตาทำหน้างง นึกว่าเขาลืมของ แต่เขากลับหันมาคุยเสียอย่างนั้น

“พี่อยากคุยกับกุ้ง ไม่มีโอกาสได้คุยกันสองต่อสองเลย”

“แล้วทำไมต้องคุยกันสองต่อสองด้วยล่ะคะ” 

หญิงสาวถาม พยายามห้ามใจไม่ให้หวั่นไหวยามอยู่ด้วยกันสองต่อสอง ไม่อยากให้เขารู้ว่าเขาทำให้หล่อนหวั่นไหวได้ง่ายขนาดไหน ทั้งที่ตอนนี้หัวใจมันเต้นแรงไปหมดแล้ว เวลาอยู่ใกล้เขาทีไร หล่อนสงบจิตสงบใจไม่ลงทุกที ถ้าเขาไม่ใช่รักแรกที่ยากจะลืมของหล่อน มันคงง่ายกว่านี้ 

“ก็พี่อยากมีเวลาคุยกับกุ้งบ้าง”

“มีอะไรก็ว่ามาเลยค่ะ” 

หล่อนถามแต่ค้อนใส่เขาไม่เลิก แต่รามิลกลับหัวเราะอย่างอารมณ์ดี แล้วถามจริงจังขึ้น

“กุ้งว่าน้องวีเป็นยังไงในสายตากุ้ง”

“หมายความว่ายังไงคะ” พริตาไม่เข้าใจความหมายที่เขาตั้งใจจะสื่อ เพราะมันแปลได้หลายอย่าง

“กุ้งว่าน้องวีน่ารักหรือเปล่า แล้วกุ้งชอบน้องวีไหม”

“ก็น่ารักดีค่ะ ซุกซนตามวัย แต่ก็มีมุมเป็นเด็กฉลาดพูดฉลาดคิด คงเพราะคุณสอนมาดี” หญิงสาวพูดไปตามที่เห็นและสัมผัสได้จากเด็กผู้ชายตัวเล็กที่ดวงตาพราวระยับ พร้อมจะเรียนรู้ทุกอย่าง คุยเก่ง ช่างจ้อ มีความสดใสตามวัย 

แต่สำหรับรามิลแล้ว เขากลับคิดว่าตัวเองยังไม่ดีพอที่จะได้รับคำชม ยังมีอีกหลายอย่างที่เขาต้องพยายามต่อไปเพื่อปกป้องและดูแลเด็กคนนี้ให้เติบโตอย่างมีความสุข

“ยังมีอีกหลายอย่างที่พี่คิดว่าน่าจะทำได้ดีกว่านี้”

“ไม่มีใครทำอะไรได้ดีไปหมดทุกอย่างหรอกค่ะ” 

หล่อนเข้าใจ ถ้ามองในมุมของเขาที่เหมือนกับพ่อเลี้ยงเดี่ยว ก็คงรู้สึกอย่างเดียวกับแม่ของหล่อนตอนที่เลี้ยงหล่อนมา คงกังวลว่าจะดีพอหรือยัง จะเลือกสิ่งที่ดีให้ลูกได้หรือไม่ แต่สุดท้ายทุกอย่างก็ต้องลองผิดลองถูกกันไป ไม่มีอะไรที่ดีร้อยเปอร์เซ็นต์

“นั่นกำลังปลอบใจพี่อยู่หรือเปล่า”

“แล้วแต่คุณจะคิดค่ะ” หล่อนทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้

“ถ้าอย่างนั้นพี่ขอคิดว่ากุ้งปลอบใจพี่ก็แล้วกัน” เขายิ้ม รู้สึกอบอุ่นในหัวใจขึ้นมาจริงๆ แล้วจึงวกมายังเรื่องที่เกริ่นไว้ “กุ้งว่าน้องวีน่ารัก แล้วพ่อน้องวีคนนี้ล่ะ น่ารักในสายตากุ้งบ้างไหม”

“พ่อของน้องวีน่าหมั่นไส้ค่ะ!” หล่อนตอบกลับทันที

“ใจร้ายจัง”

“ถ้าว่างมาพูดจาไร้สาระอยู่ก็ออกรถได้แล้วค่ะ ฉันจะกลับบ้าน แต่ถ้าคุณไม่ออกรถก็ปล่อยฉันลงตรงนี้ ฉันจะได้เรียกรถแท็กซี่กลับเอง”

พริตายื่นคำขาด รู้ดีว่าถ้าปล่อยให้ตัวเองอยู่กับเขาสองต่อสองนานๆ หล่อนนี่แหละที่จะใจแข็งต่อไปไม่ไหว แล้วสุดท้ายก็จะแสดงอาการออกมาให้เขาเห็นว่าหล่อนหวั่นไหวใจเต้นและถูกเขาปั่นหัวได้ง่ายๆ ด้วย

ทว่ารามิลยังไม่อยากปล่อยให้หล่อนไปตอนนี้ แต่ก็ไม่ได้คิดจะทำอะไรไม่ดีกับหล่อน เขาแค่อยากอยู่ด้วยกันต่ออีกนิด เพราะเมื่อวานที่ให้เลขาฯ ไปจัดการเรื่องตึกแถวอาแปะ เขาก็ได้รู้ข้อมูลหลายอย่างของหล่อน ทั้งยังรู้ด้วยว่าหล่อนยังโสด เขาถึงได้กล้าเดินหน้าเข้าหาหล่อนแบบนี้ 

“กุ้งเรียกพี่ว่าพี่มิลอีกครั้งไม่ได้แล้วเหรอ”

คำถามของเขาทำให้พริตาใจเต้นแรง แต่ต้องเก็บอาการไว้สุดฤทธิ์ ในหัวเอาแต่คิดวุ่นวายว่าจะตอบอย่างไรดี เพราะตอนหล่อนตามชะแง้คอมองหลงรักเขา ยังตั้งนานกว่าจะทำใจกล้าไปสารภาพรักได้ แต่ดันถูกเขาหักอกในสองนาที

มาวันนี้เขาจะมาขอโทษและขอให้เรียกเขาว่าพี่มิลง่ายๆ มันจะง่ายไปไหม

หล่อนจึงอยากเอาคืนเขาบ้าง แต่ก็ไม่ได้อยากให้เขาคิดว่าหล่อนจะปิดประตูใส่หน้าเขา แค่อยากให้เขาเป็นฝ่ายรอบ้างเท่านั้นเอง! 

“ยังไม่ได้ค่ะ” พริตาตอบแล้วเสมองออกไปนอกหน้าต่าง วัดใจกันไปเลยว่าถ้าเขาฉลาดพอ เขาต้องรู้ว่ามันมีความหมายอย่างไร 

เพียงแค่นั้นรามิลก็ยิ้มออก เขาเข้าใจความหมายที่ซ่อนอยู่ 

ยังไม่ได้ ไม่ได้แปลว่าไม่ได้เลย แค่นี้เขาก็พอใจแล้วสำหรับตอนนี้!

“แล้วพี่จะพยายามให้มากขึ้น เพื่อให้กุ้งยอมเรียกพี่ว่าพี่มิลอีกครั้ง”

ชายหนุ่มว่าแล้วดึงเข็มขัดนิรภัยให้หลวม ก่อนจะชะโงกกายเข้ามาใกล้ๆ พร้อมกับเอื้อมมือข้างหนึ่งมาหาหล่อน เล่นเอาคนที่ตอนแรกทำเป็นหันไปมองทางอื่น แต่จริงๆ แอบมองเขาด้วยหางตา ถึงกับตกใจเมื่อเห็นเขาเข้ามาใกล้

“คุณจะทำอะไร อย่านะ!”

“พี่จะดึงเข็มขัดนิรภัยให้” เขาตอบขณะดึงเข็มขัดนิรภัยออกจากช่องเข็มขัด พาดลงมาบนตัวหล่อน แล้วเสียบหัวเข็มขัดเข้าช่อง ปากก็บอกไปด้วย “กุ้งลืมคาดเข็มขัด ไฟมันเตือน”

พรืด! ปล่อยไก่ไปตัวเบ้อเร่อเลยจ้ะแม่จ๋า!

พริตาหน้าแดงแปร๊ด หันหน้าหนีอายที่ดันคิดเลยเถิด นึกว่าเขาจะฉวยโอกาสจูบ แบบนี้อายเต็มๆ เขาได้คิดว่าหล่อนเป็นผู้หญิงทะลึ่งแน่ๆ 

‘โอ๊ย หมดกันยายกุ้งเอ๊ย!’

ฝ่ายรามิลก็ได้แต่อมยิ้มเมื่อเห็นท่าทางขัดเขินของหล่อน แต่ไม่ได้พูดอะไรให้หล่อนอายเพิ่ม จากนั้นเขาก็ขยับกลับไปนั่งที่และออกรถอย่างมีความสุขที่ได้เย้าแหย่หล่อน

ทว่าเพราะเขาเลิกแหย่แล้วนั่นแหละ ภายในรถจึงมีแต่ความเงียบงันที่หล่อนไม่ชอบเอาเสียเลย จนต้องเป็นฝ่ายหาเรื่องชวนเขาคุยแทน

“คุณน้าที่เจอเมื่อครู่นี้เป็นใครเหรอคะ”

“นั่นแม่เลี้ยงของพี่เอง” รามิลตอบแล้วอธิบายให้ฟัง “พ่อกับแม่พี่หย่ากันตอนที่พี่ไปเรียนต่อต่างประเทศ เป็นการหย่ากันด้วยดี ทั้งสองคนยังทำหน้าที่พ่อและแม่ที่ดีสำหรับพี่ หลังจากนั้นน้าเข็มก็เข้ามาในชีวิตพ่อ ตอนแรกน้าเข็มก็ยังไม่ได้เป็นอย่างที่เห็น แต่มาเกิดอุบัติเหตุไม่คาดฝัน น้าเข็มขับรถตกถนนไปชนต้นไม้ แต่เรื่องมันก็ผ่านมาสิบสามปีแล้ว น้าเข็มไม่ค่อยชอบให้ใครถามเกี่ยวกับเหตุการณ์ในวันนั้น มันคงเป็นแผลในใจไปตลอดชีวิตของน้าเข็ม”

พริตาพยักหน้าเข้าใจ แต่ในใจกลับรู้สึกโหวงๆ ขึ้นมา ช่วงเวลาสิบสามปีนั้นทำให้หล่อนนึกถึงเรื่องของฝาแฝด เพราะพริมาเองก็จากไปด้วยอุบัติเหตุเหมือนกัน จึงทำให้หล่อนรู้สึกเศร้าใจได้มากกว่าเรื่องอื่น

รามิลหันมาเห็นสีหน้าหล่อนเข้าพอดี ถ้าเป็นก่อนหน้านี้เขาคงไม่เข้าใจที่หล่อนทำสีหน้าแบบนี้ แต่หลังจากเมื่อวานที่เขาให้เลขาฯ ไปจัดการเรื่องสอบถามตึกแถวที่พริตาเช่าอยู่ ทำให้ได้รู้ข้อมูลเรื่องหนึ่งเข้านอกจากเรื่องที่หล่อนยังโสด เรื่องที่ว่าฝาแฝดของพริตาประสบอุบัติเหตุและจากไปในช่วงเดียวกันกับที่แม่เลี้ยงของเขาต้องกลายเป็นบุคคลทุพพลภาพ

“มันผ่านไปแล้ว เราเรียกคืนสิ่งที่ผ่านมาไม่ได้”

เขาปลอบและให้กำลังใจหล่อน แต่พริตาไม่รู้ว่ารามิลรู้เรื่องฝาแฝดแล้วจึงคิดว่าเขาปลอบใจตัวเองอยู่ หล่อนจึงเปลี่ยนเรื่องคุย ไม่อยากพาเขาหดหู่ไปด้วย

“จริงสิคะ เรื่องน้องวี ฉันขอถามอะไรหน่อยได้ไหมคะ”

“น้องวี ทำไมเหรอ”

“ทำไมคุณถึงให้น้องวีเรียนโฮมสกูล คือฉันสังเกตพฤติกรรมและการเรียนรู้ของน้องวีวันนี้ แกเป็นเด็กร่าเริงสดใสและดูจะอยากไปโรงเรียนกับเพื่อนๆ จริงอยู่ว่าการเรียนโฮมสกูลทำให้ผู้ปกครองดึงจุดเด่นและความชอบของเด็กออกมาได้ง่าย และจัดเตรียมเนื้อหาการเรียนที่เหมาะสมกับลูกได้ แต่ข้อเสียก็คือการอยู่ร่วมสังคมกับเด็กในวัยเดียวกันจะน้อยไปด้วยนะคะ”

รามิลนิ่งไปอึดใจใหญ่จนพริตาคิดว่าเขาจะไม่ยอมบอกเหตุผล ถ้าเขาไม่บอกหล่อนก็จะไม่คาดคั้นต่อ เพราะเขาเป็นผู้ปกครองของน้องวี ย่อมคิดมาดีแล้วว่าจะเลี้ยงน้องวีแบบไหน แต่สุดท้ายเขาก็ตัดสินใจบอก

“หลังจากรัญญ์กับกรณิศเสียไป ตอนแรกญาติฝั่งกรณิศไม่ได้สนใจอะไรน้องวี เพราะไม่ได้อยากเอาเด็กไปเลี้ยงให้เป็นภาระ จนกระทั่งปลายปีที่ผ่านมา จู่ๆ กชกร แม่ของกรณิศก็ยื่นสิทธิ์ขอเป็นผู้ปกครองของน้องวี ในฐานะที่เป็นยายแท้ๆ ของน้องวี”

“มันดูแปลกๆ ไหมคะ ไม่สนใจเด็ก ไม่อยากได้ไปเป็นภาระ แต่ยื่นขอสิทธิ์เป็นผู้ปกครอง”

“พี่ก็คิดอย่างนั้น แล้วก็จำได้ว่ากรณิศเคยบอกพี่กับรัญญ์ไว้ว่าแม่ตัวเองค่อนข้างหัวอ่อน พี่เลยคิดว่าอาจมีคนอยู่เบื้องหลัง พอให้คนไปสืบก็รู้ว่า คมสันซึ่งเป็นสามีของกชกรและเป็นพ่อเลี้ยงของกรณิศ กับปภาวีซึ่งเป็นลูกติดของคมสัน เป็นตัวตั้งตัวตีโน้มน้าวให้กชกรยื่นขอสิทธิ์”

“แบบนี้ไม่ค่อยดีแล้วนะคะ” พริตาออกความเห็นเบาๆ ไม่อยากผสมโรงมาก เพราะตัวเองเป็นคนนอก

“ไม่ดีจริงๆ นั่นแหละ” เขาเห็นด้วยว่าไม่ดี เป็นใครมาได้ฟังก็คิดว่าไม่ดีทั้งนั้น “กรณิศเคยพูดไว้เหมือนกันว่าญาติฝั่งตัวเองไว้ใจไม่ได้และไม่ควรไปสุงสิงด้วย กรณิศแต่งงานออกมาได้ถือว่าโชคดี ดังนั้นเป็นตายอย่างไรก็ไม่ยอมให้น้องวีไปอยู่บ้านฝั่งแม่ เพราะไม่ไว้ใจ”

รามิลเล่าแล้วเว้นช่วงไปนิด ก่อนจะเล่าให้ฟังต่อ

“ตอนแรกพี่ก็คิดว่าในเมื่อพวกเขากล้ายื่นด้วยกฎหมาย พี่ก็จะสู้ด้วยกฎหมายเหมือนกัน เลยให้ทนายของพี่ยื่นสิทธิ์ขอเป็นผู้ปกครองเหมือนกัน แต่ทางนั้นกลับทำนอกเหนือกฎหมายด้วย พยายามเข้าหาน้องวี พี่เลยเริ่มไม่ไว้ใจ ตอนนี้น้องวียังเด็กมาก พี่ไม่กล้าให้ไปโรงเรียน จริงอยู่ว่าโรงเรียนอาจจะดูแลเรื่องคนเข้าออกดี แต่เด็กเล็กอะไรก็ไว้ใจไม่ได้ พี่เลยว่าจะรอให้ขึ้นประถมก่อน แล้วค่อยให้น้องวีเข้าเรียนตามระบบปกติ อย่างน้อยขึ้นประถมแล้วเด็กก็จะเริ่มโตขึ้นไปอีกระดับ เขามีความคิดพอจะแยกแยะใครที่ไว้ใจได้และไว้ใจไม่ได้”

พอรามิลเล่าจบ พริตาก็เข้าใจเขามากขึ้น รู้สึกว่าชีวิตของเขาคงมีเรื่องให้คิดหลายเรื่องและต้องแบกรับภาระหลายอย่าง พอคิดมาถึงตรงนี้และมองย้อนกลับไป ยิ่งเข้าใจคำพูดของเขาที่หักอกหล่อนในวันนั้น 

‘เฮ้อ เธอในวันนั้นมันช่างเด็กจริงๆ พริตา สมควรแล้วที่จะโดนเขาหักอก’

หญิงสาวได้แต่ถอนหายใจให้แก่ความเป็นเด็กน้อยของตัวเองในวันวาน แล้วก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ 

รถยนต์ยังคงแล่นต่อไป เพียงครู่ถัดมาหล่อนก็ตาปรือ เพราะแอร์ในรถเย็นสบาย แถมเพิ่งกินมาอิ่มๆ เลยออกอาการง่วง ใจคิดว่าจะหลับตาเพื่อพักสายตาสักครู่ แต่ไม่รู้เลยว่าผล็อยหลับไปตอนไหน มารู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่เขาชะโงกหน้าเข้ามาใกล้ๆ แล้วปลุกหล่อนด้วยคำพูดที่ชวนให้ข่วนหน้านัก

“นอนน้ำลายยืดหมดแล้วกุ้ง”

หญิงสาวลืมตาโพลง ใช้เวลาอยู่อึดใจเพื่อตั้งสติว่าตัวเองอยู่ที่ไหน พอเห็นว่าอยู่ในรถและตอนนี้รถมาจอดหน้าบ้านหล่อนแล้ว แถมเจ้าของรถสุดหล่อยังถอดเข็มขัดนิรภัยออกและชะโงกหน้าเข้ามาใกล้จนแทบจะค้ำหล่อนได้อีก หล่อนก็ยกมือขึ้นยันอกเขาไว้ทันที

“ถอยไปเดี๋ยวนี้นะ คนฉวยโอกาส!”

“พี่ไม่ได้ทำอะไร แค่ปลุกกุ้งเฉยๆ กลัวกุ้งจะน้ำลายยืดไปมากกว่านี้” 

รามิลแหย่ เล่นเอาหล่อนถึงกับยกมือขึ้นเช็ดริมฝีปาก แต่พอไม่เห็นมีคราบน้ำลายเลอะก็รู้ทันทีว่าโดนหลอก

“คนบ้า! นี่หลอกกันเหรอ”

พริตาแหวแล้วฟาดเผียะใส่เขาไปทีหนึ่ง ก่อนจะผลักเขาให้กลับไปนั่งที่ตัวเอง เขาเห็นดังนั้นจึงเลิกแกล้ง ขยับกายกลับมานั่งดีๆ ในขณะที่หล่อนรีบปลดเข็มขัดนิรภัยออกแล้วเปิดประตูลงจากรถเพราะกลัวเขาจะคว้าตัวไว้ แต่รามิลไม่ได้ฉวยโอกาส เขาปล่อยให้หล่อนลงจากรถไปแต่โดยดี

ฝ่ายพริตาพอลงจากรถได้ก็ทำท่าจะไขกุญแจประตูรั้วเข้าบ้านไปดื้อๆ แต่นึกขึ้นได้ว่ายังไม่ได้ขอบคุณเขา ถึงหล่อนจะโดนเขาแกล้งแหย่ แต่เขาก็ใจดีมาส่งหล่อนถึงบ้าน หญิงสาวจึงเดินกลับไปที่รถและเคาะกระจกฝั่งที่นั่งข้างคนขับ

ก๊อกๆ

รามิลกดปุ่มเปิดกระจก คิดว่าหล่อนลืมของหรือทำอะไรตกในรถหรือเปล่า แต่ไม่ใช่อย่างที่เขาคิด

“ยื่นมือมาหน่อยค่ะ”

“มือเหรอ” รามิลทำหน้านิ่ว แต่ก็ยอมยื่นมือให้คนที่เกาะขอบหน้าต่างอยู่ 

หล่อนยื่นมือเข้ามา แล้ววางอมยิ้มกลมๆ เสียบไม้ที่ห่อพลาสติกสีสันสดใส รูปร่างเหมือนไมโครโฟนขนาดเล็ก ลงบนมือเขา มันเป็นอมยิ้มที่หล่อนเอาไว้แจกเด็กๆ ในชั้นเรียน และวันนี้ก็หยิบติดมือไปแจกน้องวีด้วย แต่มันเหลืออยู่ในกระเป๋าหนึ่งอัน เลยจะให้เขาเป็นค่าขอบคุณที่มาส่ง

“ขอบคุณที่มาส่งค่ะ”

เขามองอมยิ้มที่หล่อนให้แล้วแสร้งทำหน้ามุ่ยใส่ 

“พี่อุตส่าห์มาส่ง ได้แค่นี้เองเหรอ”

คนทำคุณแต่ได้แค่อมยิ้มเป็นของตอบแทนท้วง คนให้จึงแกล้งทวงคืนเสียเลย

“ถ้าไม่อยากได้ก็เอาคืนมา”

“ได้ยังไง ให้พี่แล้วก็ต้องเป็นของพี่ กุ้งห้ามเอาคืน” รามิลบอกแล้วหดมือกลับ เพราะถึงมันจะเป็นแค่อมยิ้มเล็กๆ น้อยๆ แต่ก็มีความหมายสำหรับเขา 

พริตาถึงกับค้อนใส่คนที่กลายเป็นเด็กหวงของ จากนั้นก็เดินกลับไปที่ประตูบ้าน ไขกุญแจเข้าไปและปิดล็อกเรียบร้อย พอดีกับที่ผิงเดินออกมา คนที่ขับรถมาส่งจึงค่อยออกรถ เพราะเห็นว่ามีคนออกมารับหล่อนแล้ว

คล้อยหลังรามิลไปแล้ว ผิงซึ่งเดินออกมารับและทันเห็นรถยนต์คันหรูก็ถามทันที

“ใครมาส่งเหรอคะพี่กุ้ง รถแพงน่าดูเลย”

“คนบ้าน่ะ”

พริตาตอบก่อนจะเดินเข้าบ้านไปอย่างอารมณ์ดี ผิงได้แต่มองตาม ทำหน้างง ไม่เข้าใจคำตอบเลยสักนิด 

“ถ้าคนมาส่งเป็นคนบ้า สงสัยพี่กุ้งจะบ้ากว่า เพราะดันอารมณ์ดีเพราะคนบ้านี่แหละ”

ผิงพึมพำ โดยไม่รู้เลยว่านอกจากตัวเองคิดอย่างนี้แล้ว ยังมีใครบางคนที่คิดเหมือนกันเปี๊ยบ และตอนนี้เจ้าของร่างโปร่งแสงก็กำลังนั่งอยู่บนรั้วบ้าน ถือถ้วยใบเล็กๆ ใส่ขนมทองหยิบ ใช้ส้อมคันเล็กจิ้มกินอย่างเอร็ดอร่อย

“นี่ยังไม่บ้าเท่าไหร่หรอกผิง หลังจากนี้พี่กุ้งของผิงได้บ้ามากกว่านี้แน่ เพราะกามเทพของเราจะรุกแรงกว่าเดิม ชั้นเชิงอีกเพียบ กุ้งน่ะตามไม่ทันกามเทพหรอก เชื่อเถอะ!”


 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น