๔
ไม่บ่อยนักที่รมิตาจะไม่ได้ร่วมมื้อเย็นกับย่า สาเหตุหลักเพียงสาเหตุเดียวก็คือเธอมีนัดกับเพื่อน เมื่อเลิกงานแล้วหญิงสาวจึงกลับไปอาบน้ำแต่งตัวที่บ้าน เธอเปลี่ยนมาสวมเดรสชีฟองสีแดงพิมพ์ลายดอกไม้ดอกเล็กหลากสี สม็อกใต้อกและชายระบายช่วยให้ผู้สวมใส่ดูมีทรวดทรงองค์เอว โดยเฉพาะเมื่ออยู่บนร่างสาวหุ่นนาฬิกาทราย ภาพสะท้อนในกระจกแลดูเย้ายวนจนน่าตกใจ เธอตัดสินใจสวมเลกกิงสีดำ แล้วค่อยยิ้มพอใจกับการแต่งกายของตัวเอง
รมิตาเกล้าผมมวยหลวมๆ เธอเปลี่ยนมาใส่คอนแทกต์เลนส์ระหว่างแต่งหน้าเพื่อจะได้มองกระจกเงาถนัด ก่อนเสียงเตือนข้อความในโทรศัพท์จะบอกให้รู้ว่าเปรมสินีใกล้มาถึงแล้ว เธอรีบเก็บของแล้วคว้ากระเป๋าสานทรงขนมจีบลงบันไดมา สวมรองเท้าส้นเตารีดที่ประดับด้วยพู่ขนนุ่มเป็นสิ่งสุดท้ายก่อนล่ำลาผู้เป็นย่า
“รุ้งกลับไม่ดึก แต่คุณย่าไม่ต้องรอหรอกนะคะ”
“ดึกๆ ก็ได้ลูก” หญิงชราเย้าหลาน
“คุณย่าก็” เธอย่นจมูกทว่าอมยิ้มน้อยๆ
รมิตากลับไปรอเพื่อนที่โฮสเทล หัวใจโลดแรงอีกครั้งทันทีที่เห็นจักรยานยนต์สองคันจอดอยู่ที่เดิมบ่งบอกว่าแขกพิเศษกลับมาแล้ว แล้วหัวใจที่พองโตก็พลันแฟบลงเมื่อสวนกับพ่อที่ไม่ได้คุยกันตั้งแต่เช้าหน้าบันได
“อ้าว กลับบ้านไปแล้วไม่ใช่รึ นี่จะไปไหน”
“รุ้งนัดกับปูเป้ไปกินข้าวด้วยกันน่ะค่ะ” เธอตอบออมเสียง สังเกตว่าพ่ออยากเอ่ยบางสิ่ง แต่ก็ไม่ได้พูดออกมา กลับเป็นเสียงทุ้มกังวานที่เรียกเธอ
“เฮ้ รุ้ง”
นอกจากจะเรียกเธอชัดถ้อยชัดคำแล้ว ชายหนุ่มซึ่งสวมเสื้อยืดเนื้อบางกับกางเกงยีนสีน้ำเงินเข้มยังมาหยุดยืนข้างๆ ใบหน้าหล่อเหลาประดับด้วยรอยยิ้มละไม ไม่ได้สะดุ้งสะเทือนกับสายตาเคลือบแคลงของพ่อเธอเลย
“แซมค่ะ เพื่อนปูเป้” รมิตาตอบข้อสงสัยในสายตาพ่อแทน แล้วเอ่ยแนะนำในภาษาอังกฤษสืบไปอย่างเสียมิได้ “พ่อฉัน เป็นเจ้าของที่นี่ค่ะ”
แซมยิ้มกว้างกว่าเดิมหลังได้รับการแนะนำ เขาสัมผัสมือกับชายวัยกลางคนผิวสีทองแดง ก่อนจะนึกขึ้นได้และตั้งท่าจะไหว้อีกฝ่าย
“พักให้สบายนะ ขาดเหลืออะไรบอกพนักงานทุกคนของเราได้” อาทิตย์บอกตามมารยาท
คงมีแต่ลูกที่เข้าใจนัยของคำว่า ‘พนักงานทุกคน’ ในคำพูดนั้น เพราะนักท่องเที่ยวหนุ่มยังคงยิ้มแย้มและกล่าวชื่นชมการต้อนรับของเธอเป็นอันดี รมิตาแทบกลั้นใจตายหนีสายตาจับผิดของพ่อ ดีที่มีรถเก๋งของเพื่อนเคลื่อนมาจอดนอกรั้วโรงแรมเป็นดั่งระฆังช่วยชีวิต
“อย่ากลับดึกนักล่ะ จะให้ไอ้ลมมันรอ” อาทิตย์เอ่ยทิ้งท้ายกับลูกแล้วผละไป
คนที่รอช่วงเวลานี้มาทั้งวันพลอยหมดสนุก หญิงสาวหน้าเสียจนชายหนุ่มสังเกตเห็น แต่ไม่ทันได้ถามถึงสาเหตุ เพื่อนอีกสองคนของแซมก็ตามมาสมทบพร้อมกับที่เปรมสินีก้าวตรงมา
สีหน้าของรมิตาดีขึ้นเล็กน้อยเมื่อสมาชิกเพิ่มขึ้น เธอลอบสังเกตความสนิทสนมที่ทุกคนมีต่อเพื่อนของตน ฟังบทสนทนาอันลื่นไหลนั้นด้วยความชื่นชมระคนอิจฉา ถ้าเพียงแต่เธอมีความมั่นใจสักครึ่งหนึ่งของเพื่อนก็คงดี
“จะนั่งไปพอเหรอปูเป้”
ใช่แต่รมิตาที่กระซิบถามอย่างกังวล โจชัวและแพทริเซียก็ถกกันเรื่องเก๋งซีดานที่จอดอยู่ข้างรั้วโรงแรม
“ทำไมจะไม่ได้ ให้แซมนั่งหน้ากับปูเป้สิ”
ผู้ที่ถูกโยนหน้าที่ให้ถองศอกใส่เพื่อนอย่างรู้ว่าอีกฝ่ายจงใจแกล้งตน ลำพังแกล้งเขาน่ะไม่เท่าไร แต่เขาทนไม่ได้ที่เห็นแววตาคลางแคลงของคนตัวเล็กมองคนนั้นทีคนนี้ที
“ผมขี่รถตามไปดีกว่า ชื่อร้านอะไรนะ”
“ไม่ด๊าย ยังไงก็ไม่ได้ พวกคุณเป็นแขกของฉันกับรุ้ง” เปรมสินีห้ามเสียงหลง
ขำก็ขำ ขณะเดียวกันแซมก็ซาบซึ้งใจ แม้หญิงสาวอีกคนจะมีสีหน้าเหลอหลาที่ถูกเหมารวมว่าเขาเป็นแขกของเธอ เออนะ ดูเหมือนทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับเขาจะทำให้เจ้าหล่อนหนักใจอยู่ร่ำไป
“ผมเป็นเพื่อนต่างหากเล่า เพื่อนกันย่อมไม่ทำให้เพื่อนลำบากใจ” เขาตอบโดยไม่อาจห้ามสายตาไม่ให้หยุดที่คนที่ตนอยากเป็นเพื่อน ก่อนกลบเกลื่อนด้วยการตวัดมองเพื่อนสนิทตน “ยกเว้นเพื่อนเวรแถวนี้”
เพื่อนเวรหัวเราะพรืดอย่างไม่ถือสา เปรมสินีไม่ทันห้ามผู้ที่กลับไปเอาหมวกกันน็อกกับกุญแจรถที่ห้องพัก แต่หันมาหรี่ตามองเพื่อนสนิทที่หน้าเสียพร้อมกับจงใจเปรยกระตุ้นต่อมความรู้สึกของรมิตา
“เขาเป็นสุภาพบุรุษกว่าที่คิดนะ แกว่าไหม”
ใช่...เธอไม่คิดว่าเขาจะเห็นแก่ความสบายของทุกคนจนยอมเป็นฝ่ายเสียสละ ไม่คิดว่าฝรั่งจะยิ้มเก่งเสียจนพลเมืองแห่งดินแดนที่ขึ้นชื่อว่าสยามเมืองยิ้มอย่างเธอยังอาย เธอไม่คิดว่าเขาจะเอาใจใส่มือที่บาดเจ็บของตน และไม่กล้าคาดคิดว่าเขามาที่นี่เพื่อโอกาสจะได้พบกันอีกครั้งหนึ่ง
ก้อนเนื้อในอกที่เคยโลดแรงจนคล้ายจะสูญเสียการควบคุมทุกทีที่อยู่ใกล้เขา บัดนี้มันกลับเต้นเป็นจังหวะหนักแน่นเมื่อเห็นร่างสูงก้าวตรงมา หลังนัดแนะสถานที่และกำลังจะแยกย้าย รมิตาจึงรวบรวมความกล้าเอ่ยเสียงเบาขณะเดินผ่านเขาไปขึ้นรถอีกด้าน
“ขี่รถดีๆ นะคะ”
มือที่กำลังจะสวมหมวกกันน็อกชะงักค้าง หญิงสาวก้มหน้าซ่อนยิ้มพลางเปิดประตูรถขึ้นไป
หนุ่มสาวมาถึงจุดหมายในเวลาไล่เลี่ยกัน คืนวันธรรมดาเช่นนี้มีนักท่องเที่ยวบางตา ลานจอดรถของผับชื่อดังจึงว่างเกินครึ่ง
ถึงกระนั้นรมิตาก็ตื่นตาตื่นใจกับตัวอาคารสไตล์ล้ำสมัยซึ่งประดับด้วยไฟสีฟ้ารอบอาคาร ให้ความรู้สึกเหมือนกำลังจะก้าวไปสู่อีกโลกหนึ่ง เธอเพิ่งเคยมาสถานบันเทิงที่เรียกว่า ‘ผับ’ ในความหมายของคนไทยเป็นครั้งแรก และปกติแล้วเพื่อนๆ ก็มักนัดพบปะสังสรรค์ในร้านอาหารกึ่งบาร์
“รู้ไหม ยายรุ้งเคยซุ่มซ่ามล้มคะมำหน้าเซเวนวันเดอร์ส เพราะมัวแต่มองซิกซ์แพ็กพวกคุณด้วยนะ” เปรมสินีขายเพื่อนซึ่งๆ หน้า
คนซุ่มซ่ามพยายามตะครุบปิดปากเพื่อน เรียกเสียงหัวเราะจากหนุ่มสาวที่เริ่มสนิทสนมหลังโดยสารรถมาด้วยกัน มีเพียงแซมคนเดียวที่หน้านิ่วครุ่นคิด
“เพราะอย่างนั้นคุณถึงมือเจ็บ...รึเปล่า” เขาถามอย่างไม่แน่ใจ
“อุ๊ย จำได้ด้วย”
น้ำเสียงหวานหยดกึ่งล้อเลียนนั้นไม่ใช่ของรมิตา แต่มาจากแม่สื่อสุดเปรี้ยวที่แกล้งกระแทกไหล่เพื่อนจนเซไปอยู่ในอ้อมแขนแกร่ง หญิงสาวรีบสะบัดตัวออกราวถูกไฟชอร์ต เธอมัวแต่เงื้อกระเป๋าวิ่งไล่ตีเพื่อนจึงไม่ทันเห็นสีหน้าผิดหวังระคนเสียความมั่นใจของชายหนุ่ม
“แพท งานนี้พวกเราได้ดื่มเบียร์ฟรีต่างน้ำแน่ๆ” โจชัวกระเซ้าเพื่อนพอให้ได้ยินกันสามคน
บ่ายวันนี้เองที่เขาได้เห็นผู้หญิงที่สร้างความสนใจให้เพื่อนเขาได้เสมอ ไม่ว่าวันที่เจ้าหล่อนบุกไปเซเวนวันเดอร์สตอนพวกตนกำลังซ้อม หรือตอนที่แซมบอกด้วยท่าทางเสียดมเสียดายว่าสาวข้างห้องกำลังจะกลับ ครั้นบังเอิญเจอเจ้าของห้องตัวจริงอย่างเปรมสินีอีกครั้ง หมอนั่นบอกเขาด้วยความตื่นเต้นดีใจว่าจะพามาพบ ‘ผู้โชคดีวันเสาร์’ ที่กรุงเทพฯ
โจชัวไม่ได้สนใจในตัวหญิงสาวมากกว่าจะได้มาเที่ยว กระทั่งได้เห็นท่าทางประหม่า ระแวดระวังของรมิตาในวันนี้ เขาก็นึกสนุกออกปากท้าเพื่อนรักทันที
‘ท่าทางอย่างกับสาวชายขอบ ถ้าเธอยอมคบกับนาย ฉันเลี้ยงเบียร์นายตลอดเดือนเลยเอ้า’
‘ไม่เล่นโว้ย พนันอะไรไร้สาระ’
‘กล้าๆ หน่อยน้องชาย หรือรู้ตัวว่าไม่ได้แอ้มแน่ๆ เลยกลัวต้องเลี้ยงเบียร์ฉันละสิ’
แซมอิดหนาระอาใจไม่ต่างจากตอนที่ได้ยินคำสบประมาท เขาเร่งฝีเท้าตามสาวไทยทั้งสองเข้าไปในผับซึ่งตกแต่ง
ภายในด้วยหลอดไฟสีฟ้าตัดขอบผนังและพื้นสีดำ มีชุดโซฟาสีขาวเรียงรายรอบฟลอร์เต้นรำ มุมหนึ่งของฟลอร์มีอุปกรณ์ดีเจชุดใหญ่ บนเพดานโค้งมีสปอตไลต์ดวงกลมสาดแสงฉวัดเฉวียนทั่วฟลอร์ที่ผีเสื้อราตรีกลุ่มเล็กๆ กำลังวาดลีลา
“ถ้าเป็นวันหยุดละก็ พวกคุณได้เบียดกับชะนีน้อยพวกนั้นแน่” เปรมสินีตะเบ็งเสียงบอกแข่งกับเสียงเพลง
นอกจากนี้ผู้ที่ทำหน้าที่เจ้าถิ่นที่ดียังเป็นตัวตั้งตัวตีสั่งอาหารและเครื่องดื่มให้แก่ทุกคน รมิตาเบิกตาเหลือกลานเมื่อเพื่อนสั่งเบียร์ถึงสองทาวเวอร์
“ไม่เป็นไรน่า เดี๋ยวนังกันกับพี่เอตามมา”
“กันมาด้วยเหรอ” หญิงสาวถามด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นยินดี นึกถึงทุกงานที่มีกรรชัยมักมีเสียงหัวเราะอยู่ร่ำไป
ทว่าแทนที่จะตอบเพื่อน เปรมสินีตอบแววใคร่รู้ในดวงตาสีฟ้าที่มองพวกเธอสลับไปมา
“เดี๋ยวเพื่อนพวกเรากับแฟนฉันจะตามมาสมทบ คืนนี้อยู่ยาวไหวหรือเปล่า”
“ไม่มีปัญหา” แซมยกไหล่พลางยิ้มมุมปาก
“แต่พรุ่งนี้แกต้องทำงานนี่ ไหวเหรอปูเป้”
“แหม น้อง พี่’ดับไหนแล้ว” สาวมั่นหลิ่วตาให้เพื่อน
เสียงพูดคุยออกรสออกชาติมากขึ้นเมื่อแอลกอฮอล์ไหลเวียนในร่างกายทุกคน บทสนทนาหนีไม่พ้นเรื่องราวสมัยอยู่ต่างแดนของแต่ละคน ยกเว้นคนที่ไม่เคยไปต่างประเทศนานเกินหนึ่งสัปดาห์ที่เป็นเพียงผู้ฟัง แล้วบางครั้งก็โยกตัวน้อยๆ ตามจังหวะดนตรี
โจชัวกับแพทริเซียเป็นสองผู้กล้าที่ลุกไปวาดลวดลายกลางสปอตไลต์ เปรมสินียกโทรศัพท์มือถือถ่ายคลิปคนทั้งสองพร้อมกับส่งเสียงเชียร์ เรียกรอยยิ้มและเสียงหัวเราะจากรมิตา
“ไปเต้นกันไหม”
คำชวนดังขึ้นข้างๆ ดึงความสนใจของหญิงสาวให้ผินมองเจ้าของคำถามเย้ายวน
“ฉันเต้นไม่เป็น”
“ครับ?” เขาได้ยินไม่ชัด แซมต้องเอียงกายมาฟังใกล้ๆ
“ฉันบอกว่า...เต้นไม่เป็น”
“ไม่ ไม่มีใครเต้นไม่เป็น คุณแค่ต้องปล่อยใจกับเสียงเพลง หรือไม่ก็...เชื่อใจผม”
อย่าลังเลอีกเลยยายรุ้ง นี่เป็นโอกาสที่เธอใฝ่ฝันถึงไม่ใช่หรือ โอกาสที่จะได้เป็นคนพิเศษของเขาอีกสักครั้ง เช่นเดียวกับคืนนั้นที่เซเวนวันเดอร์ส
รมิตาบีบมือตัวเองบนตักแน่น เธอช้อนตามองตื่นๆ เมื่อร่างสูงลุกยืนพร้อมกับยื่นมือมาตรงหน้า เปรมสินีแพนโทรศัพท์มือถือมาถ่ายคลิปพวกเธอ
“วู้ว! ลุกเร็วยายรุ้ง ลุกสิยะ”
คนเหนียมอายจำต้องลุกเพราะอยากหายตัวไปจากตรงนั้น แม้จะไม่ได้วางมือบนฝ่ามือของชายหนุ่ม แต่ครั้นเธอแทรกกายออกจากโซฟาเหลี่ยมเข้ามุม เขาก็ถือวิสาสะประคองมือเธอจนได้ แซมจับจูงมือเธอไปกลางฟลอร์ที่เริ่มมีนักท่องราตรีหนาตา ทว่ารมิตากลับรู้สึกไม่ต่างจากคืนนั้นที่มีเพียงเธอและเขาสองคนบนเวที
เสียงดนตรีแนวอิเล็กทรอนิกส์แดนซ์ดังกระหึ่มพาให้ก้อนเนื้อในอกเต้นกระหน่ำ นักเต้นประจำเซเวนวันเดอร์สโยกตัวเคลื่อนไหวไปกับเสียงเพลง ถึงอย่างนั้นมือหนาก็ไม่ละปลายนิ้วจากมือเธอ ทำให้หญิงสาวต้องขยับตามเก้ๆ กังๆ ครั้นเขายกแขนข้างที่ยึดมือเธอขึ้น รมิตาก็นึกสนุกพอที่จะหมุนตัว ก่อนชนเข้ากับใครคนหนึ่งจนเซเสียหลัก แต่แซมก็กระตุกข้อมือให้เธอกลับเข้าสู่อ้อมแขนเขาง่ายดาย
ภาพที่ปรากฏในคลองสายตารมิตาขณะนี้คือเลเซอร์หลากสีสะท้อนโดมเบื้องบน และดวงตาสีฟ้าซึ่งทอประกายวับวาวราวดวงดาว รมิตาคลายยิ้มน้อยๆ พลางเสหลบตา เธอดันแผงอกของคนที่ประคองไม่ให้ตนล้มพร้อมกับทรงตัวยืนด้วยขาของตัวเอง
“บอกแล้วว่าคุณเต้นได้”
หญิงสาวโคลงศีรษะปฏิเสธคนปากหวาน ไม่อาจกลบเกลื่อนรอยยิ้มที่เกิดขึ้นเพราะชายผู้นี้ได้อีกต่อไป
เสียงดนตรีดั่งเสียงปืนกลดังคั่นระหว่างเพลง จู่ๆ ท่อนแขนแกร่งก็โอบไหล่และจับมือเธอยื่นไปข้างหน้าดังท่าถือปืน โจชัวแกล้งทำท่าเหมือนถูกยิงจนเสียหลักพิงคนรัก ก่อนสองหนุ่มจะแตะมือกันพลางหัวเราะชอบใจ
“ไปเติมเบียร์ก่อน” หนุ่มผมยาวตะโกนบอกพร้อมกับชูเหยือกเปล่า
รมิตาตั้งใจจะชวนคู่เต้นตามสองคนนั้นกลับไปที่โต๊ะ แต่ครั้นหมุนกายมาเผชิญหน้าผู้ที่ยืนซ้อนหลังเกาะไหล่เธอก็เหมือนเธอตกอยู่ในอ้อมกอดเขากลายๆ
แซมใช้ข้อนิ้วเกลี่ยผมที่หลุดจากมวยออกจากลาดไหล่สาว แววตาเป็นมิตรลึกล้ำขึ้นตามอารมณ์ความรู้สึกยามได้ยลใบหน้าที่ตนถูกตาต้องใจใกล้ๆ เช่นนี้ “ผมอยากเต้นรำต่อหน้าคุณเหมือนคืนนั้น”
“แซม...”
“ไม่ใช่ที่นี่ ผมรู้” เขารีบตอบสีหน้าแววตาตื่นตะลึงของเจ้าหล่อน แล้วค้อมกายกระซิบชิดริมหู “คุณต้องให้ผมแก้ตัวนะ ตกลงไหม”
“ทะ...ทำไมต้องแก้ตัวล่ะคะ ไม่ต้อง”
“เพราะคืนนั้นผมไม่ได้ทำให้คุณประทับใจ แต่ทำให้ตกใจมากกว่า”
คำพูดของเขาถูกต้องครึ่งหนึ่ง เพราะเธอประทับใจแต่ก็ตกใจในคราวเดียวกัน ไม่มีอะไรที่ชายหนุ่มต้องแก้ตัวหรือติดค้างเธอเลย หญิงสาวรวบรวมสติคิดหาวิธีปฏิเสธ แต่ความคิดก็พลันกระเจิดกระเจิงเมื่อแซมยื่นข้อเสนอพร้อมกับทำท่าจะผละจากเธอ
“หรือผมควรแก้ตัวตอนนี้...ตรงนี้ดี เผื่อว่าไม่มีโอกาสนั้นอีก”
“ไม่ ไม่นะคะ” รมิตาคว้าข้อมือคนใจป้ำไว้ได้ทัน ไม่อยากคิดว่าตนจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนถ้านักเต้นหนุ่มลงไปนอนส่ายร่อนเอวต่อหน้าเธอกลางผับ! “ไปพักกันเถอะค่ะ เพื่อนอีกคนมาแล้ว”
หญิงสาวโบกมือทักกรรชัยด้วยท่าทางตื่นเต้นยินดีเป็นพิเศษ แต่อีกมือก็ไม่ยอมปล่อยให้แซมได้ทำอย่างที่เขาพูด เธอมัวแต่ระแวงว่าตนจะต้องอับอายจนไม่ทันรู้ตัวว่ามือใหญ่วางบนเอวตนตั้งแต่เมื่อไร มิหนำซ้ำเธอยังกุมมือข้างนั้นพากันเดินแทรกฝูงชนออกจากฟลอร์
รมิตาคิดว่าต้องทนฟังเพื่อนล้อเมื่อกลับมาที่โต๊ะ แต่ก็เห็นเพียงท่าทางสะกิดสะเกาและแววตาวิบวับของเพื่อนซี้ทั้งสองท่ามกลางความมืด เธอจึงพลอยหายใจทั่วท้องมากขึ้น
“ถ้าปูเป้ไม่ชวนก็ลืมรุ้งเลยน้า” หญิงสาวแสร้งตัดพ้อเพื่อนชายคนสนิท ทว่ากรรชัยกลับยิ้มละไมแล้วยื่นมือทักทายชายหนุ่มที่ตามเธอมาติดๆ
“โอ๊ย พ่อเนื้อทอง”
กรรชัยทำท่าสะเทิ้นอายม้วนต้วนได้น่าขบขัน ทั้งรมิตาและเปรมสินีรู้ดีเดี๋ยวนั้นว่าคนงานยุ่งไม่ได้มาเพราะพวกเธอหรอก เห็นจะเป็นเพราะแขกพิเศษจากพัทยาต่างหาก
“ให้เกียรติเต้นกับพวกเราสักเพลงนะฮะ” ขออนุญาตก็จริง แต่กรรชัยไม่มีทางปล่อยแขนล่ำไปง่ายๆ แน่ๆ “เร็ว นังเป้ ลุก!”
“ได้ไหม”
คำถามไม่มีปี่มีขลุ่ยแทรกขึ้น เรียกสายตาทุกคู่ให้มองมาที่เขา แต่สายตาของแซมหยุดที่คู่เต้นรำก่อนหน้านี้ของตนเท่านั้น บอกให้รู้ว่าเขาพูดกับเธอ
รมิตาดันไหล่เพื่อนแทนคำตอบ ทั้งที่เครื่องปรับอากาศเย็นจัด แต่เขาช่างทำให้เธอรุ่มร้อนไปทั้งใจกาย ขณะเดียวกันก็ชุ่มชื่นใจกับความพิเศษที่ชายหนุ่มหยิบยื่นให้...เหมือนกายและใจนี้ลอยอยู่บนปุยเมฆก็ไม่ปาน
“เชียร์ส”
โจชัวยื่นแก้วมาตรงหน้า รมิตาจึงต้องหยิบแก้วค็อกเทลที่แทบไม่พร่องขึ้นชนกับเขาและแฟนสาว และเพราะเพิ่งออกแรงเธอจึงกระหาย จิบเครื่องดื่มอึกใหญ่ทั้งที่ไม่ชอบรสขมและฝาดของมัน
ชายหนุ่มผิวปากหวือพร้อมกับชี้ชวนให้พวกเธอดูที่ฟลอร์ หญิงสาวทั้งสองหัวเราะร่วนเมื่อเห็นนักเต้นตัวชูโรงแห่งเซ
เวนวันเดอร์สยืนนิ่งเป็นเสาหิน มีหนุ่มสาวเกาะไหล่คนละข้าง สะบัดสะโพกยั่วเย้าอย่างไม่มีใครยอมใคร รมิตาไม่พลาดถ่ายคลิปด้วยความชอบใจ
“ที่รัก เห็นทีหวานใจของคุณต้องไปช่วยหนุ่มน้อยนั่นแล้ว”
“โอ้ จอช ไปเถอะน่า” แพทริเซียดันอกคนรักอย่างหมั่นไส้หมั่นพุง
สาวไทยเกือบชักสายตากลับมาไม่ทันเมื่อริมฝีปากสองคู่ประกบกัน แล้วก็ต้องตกใจคำรบสองเมื่อโทรศัพท์มือถือในมือสั่นเตือนข้อความเข้า หัวใจตกไปอยู่ที่ตาตุ่มเมื่อเห็นเป็นข้อความจากพี่ชาย
จะกลับยัง อ้วน ขี้เกียจรอแล้วเนี่ย
ขี้เกียจรอก็ไม่ต้องรอสิ เดี๋ยวปูเป้ก็ไปส่งรุ้งเอง
แปลว่าอีกนาน งั้นคงต้องให้พ่อมารอ
คำขู่นั้นส่งผลให้หญิงสาวเม้มปากแน่น ความสนุกสนานรื่นรมย์ไม่กี่นาทีก่อนสลายไปจากใจ เธอรู้ว่าวายุพูดจริงทำจริง แต่ไหนแต่ไรมาพี่มักแกล้งแรงๆ เสมอ แล้วตอนนี้เธอก็ไม่กล้าเสี่ยงทำให้พ่อไม่สบอารมณ์ไปกว่าเดิม เพราะยังหวังว่าพ่อจะอนุญาตให้เธอไปทำงานข้างนอกเสียที
ผู้ที่จมจ่อมในภวังค์ความคิดของตัวเองไม่ทันสังเกตว่าโซฟาข้างกายยวบลง รอยยิ้มบนใบหน้าหล่อเหลาค่อยๆ เลือนหายไปหลังเห็นท่าทางเหม่อลอยของเธอ
“เฮ้ คุณโอเคนะ”
รมิตาผินมองเจ้าของคำถามอาทร ก่อนจะเพ่งมองหาเพื่อนคนอื่นที่กำลังสนุกสุดเหวี่ยงอยู่กลางฟลอร์ รวมทั้งแพทริเซียที่ลุกไปตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ เธอหันไปยิ้มบางให้ชายหนุ่มอย่างเก้อกระดาก แต่แววตาหม่นแสงกว่าทุกครา
“ฉันว่าจะกลับก่อน ฝากบอกเพื่อนด้วยนะคะ”
“ได้ยังไง ทำไมล่ะ” แซมมองสีหน้าเสียดายของเจ้าหล่อน ก่อนหลุบตามองโทรศัพท์ในมือแล้วถึงบางอ้อ “เพราะพ่อของคุณสินะ คุณคงเป็นลูกสาวสุดรักสุดหวง อืม ก็น่าอยู่หรอก”
หญิงสาวเบิกตามองผู้ที่คาดคะเนไปยิ้มไปอย่างนึกทึ่ง ครั้นเขาเอ่ยประโยคสุดท้ายแล้วสะกดเธอด้วยสายตาแพรวพราว ก้อนเนื้อในอกก็เต้นโครมครามราวกับจะทะลุออกมา
“แล้วจะกลับยังไง”
“เดี๋ยวออกไปเรียกแท็กซี่ค่ะ”
“ทำแบบนั้นไม่ได้ เอาอย่างนี้ ผมไปส่ง”
ทำไมถึงทำอย่างนั้นไม่ได้ รมิตาได้ยินไม่ชัด เธอรีบยกมือปฏิเสธคนที่ขันอาสาไปส่งตน
“ไม่เป็นไรค่ะ คุณควรสนุกกับเพื่อนๆ ที่นี่” เอ่ยแล้วก็สะท้อนใจนัก ทว่าแซมกลับทำให้เธอตื่นตะลึงจนความหม่นเศร้ามลายหายไปเมื่อเขาบอกประโยคต่อไปด้วยสีหน้าแววตาเสียดาย
“จะสนุกได้ยังไงถ้าคุณไม่อยู่” ชายหนุ่มยิ้มมุมปากพร้อมกับลุกยืน “รอนี่นะครับ”
“แต่...แซม...” รมิตาเรียก แต่เขาเพียงหันมาหลิ่วตาให้ก่อนผละไป
ร่างสูงกว่าหนึ่งร้อยเก้าสิบเซนติเมตรโดดเด่นท่ามกลางผู้คน เขาเบียดกายผ่านกลุ่มนักท่องราตรีไปหาเพื่อนของเธอ ก่อนกลับมาพร้อมเปรมสินี
“รุ้ง ฉันวานแซมไปส่งแกนะ พี่เอกำลังจะมาถึงน่ะ”
“รุ้งกลับเองได้” รมิตายืนยันอีกครั้ง
“เออ รู้ แต่ให้แซมไปส่ง ฉันจะได้ไม่ห่วงหน้าพะวงหลังไง”
ถ้อยความนั้นทำให้คนขี้เกรงใจพลอยรู้สึกผิด เพราะเธอคนเดียวที่ทำให้เพื่อนต้องห่วงพะวง ใช่แต่เวลาไปเที่ยวไหนต่อไหนที่เปรมสินีหรือกรรชัยต้องไปรับ ขากลับพวกเขาต้องไปส่งเธออีก คืนนี้ก็แค่เปลี่ยนคนไปส่งจะเป็นไร
รมิตาไม่อยากเชื่อเลย ฝันกลางวันที่เธอใฝ่ฝันจะได้ซ้อนท้ายหนุ่มหล่อล่ำกำลังจะเป็นจริงขึ้นมา เช่นเดียวกับความรู้สึกแปลกใหม่ทั้งหลายที่เกิดขึ้นในชีวิตเธอก็เพราะแซม
คนตัวเล็กต้องก้าวสั้นๆ ถึงสองก้าวจึงจะเท่ากับก้าวยาวของร่างสูงใหญ่ แซมไม่ได้เร่งร้อนก้าวเดินไปยังจักรยานยนต์ รมิตาจึงต้องชะลอฝีเท้าเดินตาม
ดูเถอะ เกิดมารมิตาไม่เคยเห็นผู้ชายคนไหนมีแผ่นหลังเย้ายวนเช่นนี้มาก่อน ตั้งแต่คอตั้งตรง หนอกเนื้อบนลาดไหล่ ไล่มาถึงต้นแขนล่ำที่เคยพิสูจน์พละกำลังด้วยการยกตัวเธอจนลอยหวือ แสงไฟหน้าไนต์คลับสาดส่องผ่านเสื้อยืดเนื้อบางให้เห็นร่องกล้ามเนื้อบนแผ่นหลัง จากช่วงลำตัวกว้างด้านบนสอบลงเล็กน้อยที่ช่วงเอว หญิงสาวเคลื่อนสายตาต่ำลงไปจนถึงสะโพกที่กางเกงยีนเกาะเกี่ยว ก่อนจะสะดุ้งตกใจเมื่อจู่ๆ ผู้ที่ตกเป็นเป้าสายตาหันขวับมา
“เย้ย!” เธออุทานพร้อมกับหันหนี ทว่าแซมกลับรั้งต้นแขนเธอให้หันมา ดวงตาสีฟ้าทอประกายใคร่รู้ระคนขบขันปฏิกิริยาของเธอ
“เป็นอะไร คุณทำให้ผมกลัวผีนะนี่” เขาถามยั่วเย้า
รมิตารู้หรอกว่าชายหนุ่มไม่ได้กลัวผี เมื่อนักท่องราตรีกลุ่มใหญ่เพิ่งสวนกับพวกตน แล้วยังมีคนออกมาสูบบุหรี่นอกไนต์คลับ แต่จะให้สารภาพว่าเธอตกใจเพราะมัวแต่เหม่อมองบั้นท้ายเขาได้อย่างไร!
“ฉัน...คือฉันมีเรื่องอยากขอร้องคุณค่ะ” เธอไม่ได้โกหกเสียทีเดียว นี่ก็เป็นอีกเรื่องที่เธอครุ่นคิด
“อะไรหรือ”
“ช่วยส่งฉันที่นอกรั้วโฮสเทลพอนะคะ”
แซมนิ่วหน้าน้อยๆ ยามครุ่นคิดดวงตาสีฟ้าคล้ายมีม่านหมอกบางอย่างปิดบัง ก่อนจะกระจ่างใสดังเดิม
“ผมเข้าใจแล้ว ไม่ใช่แค่พ่อคุณหรอกนะที่คาดหวังในตัวลูก” เขาตอบพร้อมยิ้มมุมปาก แล้วตวัดแจ็กเกตหนังอ้อมไหล่เธอ “ถึงคืนนี้คุณจะสวยมาก แต่สวมนี่ไว้ดีกว่า”
คำชมนั้นยังผลให้หัวใจสูบฉีดโลหิตอย่างหนัก ใบหน้าสาวร้อนซู่ รมิตาเหมือนตกอยู่ในอ้อมกอดของชายหนุ่มที่กางแจ็กเกตตัวใหญ่รอกลายๆ มือไม้หนักแทบยกแขนขึ้นสอดแขนเสื้อไม่ไหว
“ขะ...ขอบคุณค่ะ” เธอพึมพำบอก มือสั่นเทารีบรูดซิปก่อนคนมีน้ำใจจะช่วยเหลือ
แซมหยิบหมวกกันน็อกจากล็อกเกอร์ส่งให้หญิงสาว ทว่าคราวนี้รมิตาผงะถอยหลังเสียก่อน ความเขินอายถูกความวิตกกังวลเข้ามาแทน
“คุณเป็นคนขี่ คุณสวมเถอะ ฉันไม่อยากถูกตำรวจจับ”
“ถ้าคุณสวมไว้จะได้ไม่ถูกจับไง” บอกกลั้วหัวเราะ ก่อนแววขบขันในดวงตาจะลดแสงลงมาอ่อนโยนเมื่อดวงตาของคนปึ่งงอนช้อนสบ
ชายหนุ่มผละไปเจรจาบางอย่างกับพนักงานรับรถหน้าสถานบันเทิง รมิตาเห็นเขาใช้มือไม้ช่วยสื่อสาร แต่ครั้นเธอจะก้าวไปหา แซมก็ยกมือว่าไม่เป็นไรราวกับมีดวงตาด้านข้างสังเกตความเคลื่อนไหวของเธอ ก่อนร่างสูงจะเดินออกมาจากมุมมืดพร้อมหมวกนิรภัยชนิดครึ่งใบในมือ
“ผมยืมเขามา ทีนี้เราก็จะไม่ถูกจับทั้งคู่ โอเคไหม”
รมิตาเข้าใจการกระทำของอีกฝ่ายเดี๋ยวนั้น เธอไม่อาจกลั้นยิ้มกว้างอันเป็นเอกลักษณ์ของตนได้อีกต่อไป วินาทีหนึ่งก็โล่งใจ แล้วต่อมาหัวใจก็พลันเต็มตื้นกับสิ่งที่เขาทำ เขารับฟังเธอ
“โอ รุ้ง คุณไม่ควรยิ้มอย่างนี้ให้ผม” แซมเค้นเสียงเอ่ยในลำคอ
เขานี่มันตาถึงจริงๆ ให้ตายสิ เขาคิดอยู่แล้วว่าเธอมีริมฝีปากอิ่มเต็มน่าจุมพิต แต่ไม่คิดเลยว่ายามเจ้าหล่อนแย้มยิ้มกว้างเช่นนี้จะเหมือนผีเสื้อสยายปีก กลีบปากสีทับทิมอ่อนๆ สั่นน้อยๆ ด้วยความรู้สึกใดก็ยากจะคาดเดา รู้เพียงเขาอยากสัมผัสความมีชีวิตชีวาของมันเหลือเกิน
“สวมหมวกกันน็อกผมไว้เถอะ ผมสวมใบนี้เอง” แซมตัดใจเอ่ย
หญิงสาวหลุบตามองหมวกนิรภัยสีดำใบใหญ่ในมือตัวเอง เธอไม่กล้าขอแลกกับใบเล็กกว่าของเขา น้ำเสียงพร่าที่เอ่ยประโยคก่อนหน้านี้ทำเอาเธอขนลุกเกรียว ไม่กล้าแม้แต่สบตาหรือยิ้ม กลัว...กลัวอะไรบางอย่างที่ไม่อาจต้านทาน
ไม่มีคำพูดระหว่างกันอีก แซมสวมหมวกกันน็อกที่ยืมมาแล้วจึงโน้มตัวไปติดสายรัดใต้คางให้ผู้ที่ยืนตัวแข็งเกร็ง แต่เขาไม่อยู่ในอารมณ์ที่จะเย้าแหย่เธอให้ใจตัวเองยิ่งสั่นไหว ชายหนุ่มรอจนรมิตาเขย่งขึ้นนั่งบนเบาะของไทรอัมป์ บอนน์วิลล์
ก่อนที่เขาจะตวัดขาขึ้นคร่อมเจ้าแมงป่องสีดำ
ถนนหนทางยามค่ำคืนไม่เกินความสามารถในการจดจำเส้นทางของผู้ที่รักการขับขี่จักรยานยนต์ คนซ้อนเสียอีกที่ใจเต้นไม่เป็นส่ำตลอดทาง มือที่เขาจับวางบนตัวถังด้านหน้าชื้นเหงื่อด้วยความประหม่า เธอแทบไม่ได้มองเส้นทางเลย นอกจากแผ่นหลังกว้างราวกับกำแพงที่สามารถปกป้องคุ้มภัยใครก็ตามที่โชคดีได้เป็นคนรักของเขา
บ้าแท้ๆ เธอกลายเป็นคนโลภแบบนี้ไปได้อย่างไร ไหนว่าใฝ่ฝันจะได้ซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์เขาสักครา แล้วทำไมใจจึงต้องวูบโหวงเมื่อคิดว่าการเดินทางกำลังจะสิ้นสุดลง โหยหาความสนใจจากเขาที่เธอเองนั่นแหละเพียรเมินเฉยตลอดมา
จักรยานยนต์จอดนอกรั้วต้นโมกของโฮสเทลตามที่หญิงสาวบอก แซมยังคงนั่งนิ่งจนเธอไม่กล้าแม้แต่หายใจแรง รมิตาพยายามเคลื่อนไหวร่างกายลงจากรถอย่างนุ่มนวลที่สุดไม่ให้รถสึกหรอ ก่อนจะปลดสายรัดใต้หมวกนิรภัยคืนเจ้าของที่ผินมองเธอจากบนเบาะ แล้วส่งแจ็กเกตหนังคืนเขา
“ขอบ...”
“ผมอยากให้คุณไปเที่ยวด้วยกันพรุ่งนี้”
คำพูดของชายหนุ่มตัดขาดคำขอบคุณกลางคัน ปากอิ่มอ้าน้อยๆ อย่างคาดไม่ถึง ขณะที่แซมลอบถอนใจเมื่อคิดตกเสียที
“มาทำให้มันง่ายกันเถอะ ผมยอมรับว่าสนใจคุณ ที่มานี่ก็เพราะคุณ ทีนี้เราจะลองใช้เวลาทำความรู้จักกันมากกว่าเดิมได้ไหมครับรุ้ง”
มาทำให้มันง่ายกันเถอะ...ถ้อยคำของเขาช่างดูง่าย ซื่อตรง และหยิบยื่นความเป็นไปได้มากกว่าที่เธอคิดฝันเสียอีก รมิตาไม่อยากปฏิเสธโอกาสนี้เลย หัวใจเต้นกระหน่ำร่ำร้องตอบรับไมตรีของเขา ทว่าเสียงของหัวใจก็ไม่อาจกลบเสียงของความหวาดกลัวที่สะท้อนจากจิตใต้สำนึก นี่อาจไม่ใช่เวลาเหมาะสมที่จะพูดคุยถึงความสัมพันธ์
“พรุ่งนี้...พบกันนะคะ ขอบคุณที่มาส่งฉัน”
คำตอบนั้นช่างเย่อหยิ่งไม่เหมือนตัวเธอเลย รมิตาใจเสียเมื่อเห็นว่าใบหน้าที่มักประดับด้วยรอยยิ้มนั้นไร้อารมณ์ความรู้สึกใดๆ แต่เธอไม่มีทางเลือกนอกจากเดินผ่านประตูรั้วโฮสเทลที่เปิดไว้ก่อนจะมีใครมาเห็นพวกตน
“รุ้ง”
หญิงสาวชะงักย่างก้าว เธอแลเลยไปทางอาคารที่พักก็เห็นพ่อนั่งอยู่กับเวรยามรักษาความปลอดภัย ก้อนเนื้อในอกที่โลดแรงค่อยสงบลงเมื่อมั่นใจว่าพ่อคงไม่เห็นว่าใครมาส่งเธอ
“พี่ลมล่ะคะ” ผู้เป็นลูกเอ่ยถามเมื่อพ่อเดินมา
“มันมีงานต้องเคลียร์เลยให้พ่อมารอแก” อาทิตย์ตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ แม้ตอนย้อนถามก็ตาม “นี่เราดื่มมาด้วยรึ แล้วกลับยังไง”
“แท็กซี่ค่ะ ตอนรุ้งกลับเพื่อนเพิ่งมากัน เลยไม่อยากให้เป้มาส่ง”
ไม่มีความไม่พอใจในน้ำเสียงของคนที่ถูกตามตัวกลับบ้าน หรืออย่างน้อยเขาก็คิดว่าลูกจะพยศที่ถูกห้ามไปทำงานข้างนอก ทว่ารมิตาก็แสดงให้เห็นว่าแกยังคงเป็นลูกสาวที่อยู่ในโอวาทเขาคนเดิม อาทิตย์อดรู้สึกผิดต่อลูกลึกๆ ไม่ได้ที่พยายามตีกรอบมากเกินไป
พ่อลูกเดินกลับบ้านด้วยกันผ่านรั้วเล็ก ก่อนจะแยกย้ายกันขึ้นบ้านโดยไม่มีบทสนทนามากกว่านั้น ว่าไปแล้วถ้าไม่ใช่เรื่องงาน สองพ่อลูกก็แทบไม่มีเรื่องให้พูดคุยสนิทสนมเหมือนพ่อลูกคู่อื่น
ความคิดเห็น |
---|