๔
๒๙ กันยายน พ.ศ. ๒๕๕๒
“ซู่!”
เสียงน้ำที่ไหลจากก๊อกลงสู่อ่างล้างหน้าไม่ได้ช่วยให้จิตใจของภูมิภัทรสงบลงเลยแม้แต่น้อย ยิ่งสมองพยายามทำความเข้าใจกับทุกคำบอกเล่าผ่านตัวอักษร ยิ่งทำให้สองมือที่เปียกชื้นสั่นไหวด้วยความหวาดกลัว
กลัว...ว่าจะทำไม่สำเร็จ
หลังจากอ่านข้อความล่าสุด เขารีบคว้าสมุดและปากกาแล้วกึ่งเดินกึ่งวิ่งเข้ามาในห้องน้ำ แม้จะรู้สึกเวียนศีรษะจนแทบอาเจียน แต่เขายังหยุดพักไม่ได้ จึงหย่อนก้นลงนั่งบนโถสุขภัณฑ์แล้วเริ่มเขียนประโยคที่ไม่เคยคิดว่าจะต้องเขียนลงในสมุดของตัวเอง...
25 / 09 / 2552
คุณภูมิคะ นิดรู้ว่าคุณภูมิเห็นข้อความนี้
เรื่องที่นิดอยากขอความช่วยเหลือจากคุณภูมิ
คือคุณวินชัย พ่อของนิดจะเสียชีวิตจากอุบัติเหตุ
ในวันที่ 29 กันยายน เวลาประมาณ 2 ทุ่ม
ระหว่างทางกลับจากโรงงานของคุณอาดิเรก
แต่ถ้าคุณภูมิไปด้วย คุณภูมิก็จะเสียชีวิตเช่นกัน
นิดไม่รู้ว่าคุณภูมิจะใช้วิธีไหน ไม่รู้จริงๆ ว่าจะต้องทำอย่างไร
แต่ได้โปรด ช่วยให้นิดได้มีโอกาสอยู่กับพ่ออีกสักครั้งนะคะ
ช่วยเล่าเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นอย่างละเอียดได้ไหมครับ
ก่อนจะรับรู้เรื่องราวทั้งหมดจากปลายทาง...
คุณวินต้องพาวิศวกรไปพบคุณดิเรกเพื่อพูดคุยถึงขั้นตอนในการติดตั้งโซลาร์เซลล์ นั่นคืองานที่เขาจำได้ดี
แต่ส่วนที่ไม่เคยรู้มาก่อนคือ รถบรรทุกสิบล้อจะพุ่งเข้าชนรถยนต์ของคุณวินอย่างแรงจนเสียหลักตกทางพิเศษบูรพาวิถี
ซึ่งเป็นเส้นทางขากลับจากจังหวัดชลบุรี เป็นผลให้คุณวินเสียชีวิตทันทีในที่เกิดเหตุ
อันที่จริง ตัวเขาเองก็ต้องเดินทางไปร่วมงานสัมมนาพร้อมกับเจ้านาย และจบชีวิตลงในอุบัติเหตุครั้งนี้เช่นกัน
แต่ด้วยงานของคุณดิเรก ทำให้เขายังมีชีวิตอยู่จนถึงปีที่คุณหนูนิดติดต่อมา
ซึ่งงานที่เอ่ยถึงนั้นจะเกิดขึ้นไม่ได้เลย ถ้าคุณหนูนิดไม่เพิ่มเลขหนึ่งลงในเบอร์โทรศัพท์ของคุณดิเรก
ใช่...หมายเลขที่เขาเคยนับได้เพียงเก้าตัว เป็นเพราะการจดบันทึกที่ผิดพลาดจริงๆ ไม่ใช่อาการตาฝาดหรือความรีบร้อนแบบที่พยายามคิดมาตลอด
ทุกเหตุการณ์มีความเชื่อมโยงกันและส่งผลกระทบถึงกันเป็นทอดๆ นั่นหมายความว่าถ้าเขาช่วยเหลือคุณวินได้ในวันนี้ คุณหนูนิดที่อยู่ในปี พ.ศ. ๒๕๖๓ จะได้พบกับผู้เป็นพ่อทันที
เขาเหลือบมองเงาสะท้อนของตัวเองบนกระจกตรงหน้า แม้สายตาจะฉาบเคลือบด้วยความหวาดหวั่นเพราะ
ยังไม่รู้ว่าควรใช้วิธีใด และจะสำเร็จหรือไม่
แต่เพื่อคุณวิน...
เขาจะทำให้ได้!
“ก๊อก! ก๊อก!”
หลังจากสูดลมหายใจเข้าจนลึกและปล่อยออกมายาวๆ เพื่อควบคุมสติอยู่พักใหญ่ ภูมิภัทรก็เคาะประตูเบาๆ แล้วนำหนังสือพิมพ์เข้าไปในห้องทำงานของคุณวินก่อนจะเอ่ยทักทายตามปกติ
แต่แน่นอน...สมองยังคงทำงานอย่างหนักหน่วง
หากบอกไปตามความจริงว่าสามารถติดต่อกับคุณหนูนิดในอนาคตได้ คุณวินคงเข้าใจว่าเป็นมุกตลก หรือไม่ก็คิดว่าเขามีอาการทางประสาทแน่ๆ ถึงจะอธิบายและหาข้อพิสูจน์ เวลาที่เหลืออยู่ก็คงไม่เพียงพอ
“หนังสือพิมพ์ครับ”
“ขอบใจมาก” คุณวินเงยหน้าขึ้นจากคอมพิวเตอร์ ก่อนจะร้องถามทันทีที่เห็นใบหน้าซีดเผือดของเขา “ไม่สบายหรือเปล่า หน้าซีดเชียว”
“เอ่อ...ก็...นิดหน่อยครับ”
“งั้นก็กลับไปพักที่บ้านเถอะ เรื่องสัมมนาไม่เป็นไรหรอก ไว้ไปงานหน้าก็ได้”
รอยยิ้มน้อยๆ ปรากฏขึ้นบนมุมปากเมื่อพบว่าเจ้านายยังคงใจดีกับเขาเสมอ แม้จะให้ความสำคัญแก่การค้นหาลูกค้ารายใหม่มากแค่ไหน ก็ยังไม่เท่ากับความห่วงใยที่มีต่อสุขภาพของเขา
แล้วจะปล่อยให้เรื่องเลวร้ายเกิดขึ้นได้อย่างไร...
“คุณวินครับ...” เลขาฯ หนุ่มจึงส่งเสียงนุ่มนวลทว่าหนักแน่น บ่งบอกถึงความมั่นใจในคำแนะนำที่กำลังจะเอ่ยออกไป “เรื่องงานสัมมนา ผมคิดว่าคุณวินไปเองดีกว่าไหมครับ น่าจะได้คอนเน็กชันมากกว่าและก็น่าจะอธิบายเรื่องโซลาร์เซลล์ได้ดีกว่าผมด้วย”
“แบบนั้นก็ต้องเลื่อนคุณดิเรกน่ะสิ”
“ใช่ครับ” เจ้านายคงไม่ยอมแน่ เขาต้องคิดหาข้อมูลอื่นมาประกอบ “วันศุกร์นี้ คุณวินมีประชุมกับฝ่ายการตลาดช่วงเช้า หลังจากนั้นก็ยังว่างอยู่นะครับ ทีมวิศวกรก็น่าจะไม่ติดอะไร เพราะปกติฝั่งโรงงานมีประชุมแค่ช่วงปลายเดือน”
“พวกเราเลื่อนได้ แต่คุณดิเรกน่ะ พรุ่งนี้เขาจะไปต่างประเทศแล้ว อีกเป็นอาทิตย์เลยกว่าจะกลับมา ถ้าเขาไม่ได้ว่างแค่วันนี้วันเดียว ผมไม่รีบนัดหรอก”
นั่นสิ...ถ้าไม่ใช่เหตุจำเป็น คุณวินคงตรวจสอบวันและเวลานัดหมายกับเขาก่อนอยู่แล้ว
“อ๋อ...ครับ” เขาจึงพยักหน้าเบาๆ พลางตอบรับอย่างเรียบง่ายราวกับว่าไม่รู้สึกเป็นกังวล ทั้งที่ความตึงเครียดเข้าทับถมจนเผลอเม้มปากแน่น
แต่จะยอมจำนนได้อย่างไร ถ้ารู้ว่าสิ่งใดคือผลลัพธ์ของความพ่ายแพ้
ในเมื่อการเดินทางขาไปต้องเกิดขึ้นแน่ๆ...คงไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากจะเปลี่ยนแปลงที่ขากลับ
“งั้นเย็นนี้ คุณวินชวนคุณดิเรกทานข้าวด้วยดีไหมครับ เห็นคราวก่อนเขาชวนคุณวินไปดื่มที่ร้านเปิดใหม่ในเมือง แต่วันนั้นคุณวินไม่สะดวก”
“เออ! ใช่ๆ”
“คุณดิเรกดูเป็นคนกว้างขวางนะครับ ถ้าไปเจอใครที่ร้าน เขาอาจจะแนะนำให้คุณวินรู้จักก็ได้” เมื่อเห็นว่า
คู่สนทนาเริ่มคล้อยตาม เขาจึงรีบพูดต่อ “เดี๋ยวผมจองโรงแรมแถวนั้นไว้ให้ครับ คุณวินดื่มเสร็จแล้วก็พักผ่อนต่อได้เลย พรุ่งนี้เช้าค่อยขับรถกลับ จะได้ไม่เป็นอันตราย...”
“เอ้ย! ไม่ได้” แต่เจ้านายกลับสวนคำขึ้นทันที “ถ้าพาหนูนิดไปใส่บาตรไม่ทัน โดนงอนแย่เลย”
ใส่บาตร...เป็นกิจกรรมประจำวันของพ่อลูกคู่นี้เหรอ เขาไม่เคยรู้มาก่อนเลย
“แน่ะ! จำไม่ได้ละสิ” คุณวินหรี่ตามองอย่างหยอกล้อ คงเพราะสีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความงงงัน
“เอ่อ...” แต่ช่วยไม่ได้ สมองของภูมิภัทรในตอนนี้ไม่คิดหาสิ่งใด นอกจากคำพูดเพื่อโน้มน้าวใจคุณวินเท่านั้น เขาจึงส่งยิ้มแห้งๆ โดยไม่ได้ทบทวนว่าตัวเองหลงลืมอะไรไป
และไม่ได้เตรียมใจ สำหรับคำตอบที่คาดไม่ถึง...
“วันเกิดหนูนิดไง”
จริงด้วย!
วันพรุ่งนี้...คือวันที่ ๓๐ กันยายน
“นี่ผมลางานเลยนะ ลืมแล้วเหรอ”
เพราะไม่กล้าแตะต้องสมุดอยู่พักใหญ่ งานที่เกี่ยวข้องกับของขวัญและกระดาษโน้ตของคุณวินจึงถูกลืมเลือนไปในที่สุด
“งานหนักไปแล้วมั้งเนี่ย” แต่เจ้านายยังคงพูดกลั้วหัวเราะขณะเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ “อย่าบอกนะว่าลืมกล่องสีชมพูด้วย”
“ขอโทษครับคุณวิน” เขาพูดพลางหลุบตาลงต่ำ จำไม่ได้แม้กระทั่งการซื้อหีบห่อสำหรับบรรจุของขวัญ
แต่นั่นไม่ใช่ประเด็นสำคัญ เมื่อเทียบกับประโยคจูงใจที่ไม่หลงเหลือในสมอง
หรือเขาต้องยอมรับเสียที ว่าไม่มีทางยับยั้งเหตุการณ์ในอนาคตได้
ไม่ว่าอย่างไร คุณวินก็ต้องเดินทางไป...
ไม่ว่าอย่างไร คุณวินก็ต้องขับรถกลับมา...
ไม่ว่าอย่างไร คุณวินก็ต้องตาย...
“ไม่เป็นไร ถ้าหาไม่ได้จริงๆ เอาแค่หนูหน่อยกับจดหมายก็พอ”
เจ้านายคงไม่รู้หรอกว่ายิ่งใจดีกับเขามากเท่าไร เขาก็ยิ่งรู้สึกละอายใจมากขึ้นเท่านั้น
แต่จะทำอย่างไร...
เขานึกไม่ออกแล้วจริงๆ
“ผมขอไปเตรียมของขวัญก่อนนะครับ”
“ปัง!”
แผ่นหลังกว้างดันประตูห้องน้ำเข้าล็อกตามแรงอารมณ์ เมื่อภูมิภัทรรู้สึกว่าตัวเองกำลังเข้าใกล้คำว่ามืดแปดด้านมากขึ้นทุกขณะ
เขาจะเปลี่ยนแปลงเรื่องนี้ไม่ได้จริงๆ เหรอ...
ต่อให้รู้ว่าคุณวินจะต้องตายในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า เขาก็ต้องยอมรับชะตากรรมอย่างนั้นเหรอ...
ไม่! เขายังไม่อยากยอมแพ้ง่ายๆ จึงค่อยๆ ผ่อนลมหายใจออกแล้วหลับตาลงเพื่อรวบรวมสติ
แต่ยังไม่ทันได้นึกย้อนกลับไปถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมาอีกครั้ง เสียงของพนักงานคนหนึ่งกลับดังขึ้นจากด้านนอก
“เฮ้ย! มึง...”
เขาสะดุ้งเล็กน้อย แต่ด้วยคาดเดาว่าคงเป็นเพื่อนต่างแผนกที่มาพบกันโดยบังเอิญ จึงไม่ได้ใส่ใจนัก
ถ้าไม่ได้ยินประโยคต่อมา...
“ทำไมวันนี้แต่งตัวหล่อจังวะ จะไปเที่ยวที่ไหนเนี่ย”
เที่ยว!
ดวงตาเบิกกว้างขึ้นทันทีที่แผนการใหม่ผุดขึ้นในสมอง
ใช่...มันเต็มไปด้วยความเสี่ยง ทั้งจากเวลาที่งวดเข้ามาทุกขณะ และวิธีที่ไม่ใช่แค่การพูดจาหว่านล้อมอีกต่อไป
และแน่นอน...ไม่ใช่สิ่งที่เขาถนัด ด้วยการทำหน้าที่เลขานุการให้แก่เจ้านายอย่างคุณวินไม่ต้องอาศัย
ความเจ้าเล่ห์หรือทักษะในการชิงไหวชิงพริบแต่อย่างใด
แต่เพราะนี่อาจเป็นแผนการสุดท้ายที่เขาคิดได้ จึงรีบหยิบโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋ากางเกงเพื่อค้นหาเบอร์ติดต่อของพี่สมหมาย พนักงานขับรถที่คุณวินมอบหมายให้รับส่งลูกสาวโดยเฉพาะ
ก่อนจะกดปุ่มโทร. ออกอย่างไม่ลังเล
“สวัสดีครับพี่หมาย ผมภูมินะครับ มีเรื่องจะขอรบกวนพี่หมายน่ะครับ”
๒๙ กันยายน พ.ศ. ๒๕๖๓
“ขอบคุณคุณพรชัยมากเลยนะคะ”
หลังจากปรึกษาเรื่องการขยายระยะเวลารับประกันแผงโซลาร์เซลล์กับฝ่ายผลิตเรียบร้อยแล้ว ณิชาก็กดวางสายพลางเอนหลังพิงพนักเก้าอี้อย่างเหนื่อยอ่อน
ต่อให้งานที่ได้รับมอบหมายจะมีความสำคัญมากเพียงใด แต่ในใจยังคงครุ่นคิดเพียงเรื่องของพ่อ
เธอลุกขึ้นจากที่นั่งอย่างรวดเร็ว ตั้งใจว่าจะขับไล่ความคิดฟุ้งซ่านด้วยการยืนชมทิวทัศน์ริมผนังกระจกสักครู่
แต่เพราะไม่ทันระวัง ปลายนิ้วจึงชนเข้ากับสมุดสีแดงเลือดหมูที่อยู่บนโต๊ะทำงานจนร่วงหล่นลงสู่พื้น
ก่อนที่เธอจะรีบคว้าขึ้นมา และพบกับข้อความที่ปรากฏอยู่ด้านใน...
29 / 09 / 2552
14.00-19.00 น. หอประชุมใหญ่ ถนนวิภาวดีรังสิต - - - > ไปแทนคุณวิน
สุขสันต์วันเกิดล่วงหน้าครับ
ขอให้คุณหนูนิดมีความสุข สุขภาพแข็งแรง
และได้ฉลองวันเกิดกับคุณพ่อในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้านะครับ
ยอมรับว่าอดอมยิ้มไม่ได้ แม้จะไม่รู้ว่าสาเหตุที่ทำให้คุณภูมิส่งคำอวยพรมาในเวลานี้เป็นเพราะชายหนุ่มเชื่อมั่นในแผนการที่คิดไว้ หรือเพียงต้องการที่พึ่งทางใจกันแน่
แต่อย่างน้อย เธอก็รู้สึกดีใจที่ไม่ได้พยายามเปลี่ยนแปลงเรื่องราวเพียงลำพัง...
‘ขอบคุณนะคะคุณภูมิ...นิดก็จะอธิษฐานแบบนั้นเหมือนกันค่ะ’
๒๙ กันยายน พ.ศ. ๒๕๕๒
“อ้าว!”
เสียงร้องดังขึ้นด้วยความประหลาดใจ เมื่อคุณวินมองเห็นว่าเลขานุการของตัวเองกำลังเดินวนไปมาในลานจอดรถด้านหน้าโรงงานของคุณดิเรก แทนที่จะอยู่ในงานสัมมนาบนถนนวิภาวดีรังสิตตามที่เคยตกลงกันไว้
“วิศวกรกลับไปแล้วเหรอครับ”
คุณวินพยักหน้าหงึกๆ แล้วเป็นฝ่ายเอ่ยถามบ้าง “แล้วเราล่ะ ทำไมมาถึงนี่”
ภูมิภัทรจึงส่งยิ้มให้เจ้านายที่กำลังสาวเท้าเข้ามาใกล้ “มีคนอยากมาหาคุณวินน่ะครับ”
“ใครเหรอ” คุณวินถามขึ้นอย่างงงงัน ก่อนที่เสียงแหลมเล็กจะดังขึ้นขัดจังหวะ
“พ่อ!”
ความคุ้นเคยผลักดันให้คุณวินหันไปมองรถตู้แบบครอบครัวที่จอดอยู่ไม่ไกลนัก และพบกับใครบางคนที่กำลังโบกมือทักทายด้วยท่าทางสดใส
“หนูนิด!”
จากตรงนี้ เขามองเห็นรอยยิ้มกว้างของเจ้านายได้อย่างชัดเจน เช่นเดียวกับแววตาที่เต็มล้นด้วยความตื่นเต้นระคนยินดี
“เห็นคุณวินบ่นว่าไม่ได้พาคุณหนูนิดมาเที่ยวต่างจังหวัดนานแล้ว และวันนี้คุณวินก็อยู่ที่ชลบุรีพอดี ผมก็เลยไปรับคุณหนูนิดมาด้วยน่ะครับ” เขาจึงพูดตามที่ซักซ้อมมา และหวังว่าคุณวินจะไม่เอะใจ
ใช่...
ทั้งหมดนี้คือแผนการของเขา
เพราะมัวแต่คิดว่าจะหยุดยั้งคุณวินไม่ให้เดินทางกลับไปพบคุณหนูนิดได้อย่างไร เขาจึงล้มเหลวไม่เป็นท่า แต่ทันทีที่ลองคิดในมุมกลับว่าจะทำอย่างไรให้คุณวินพบกับคุณหนูนิดได้โดยไม่ต้องเดินทาง เขาก็มองเห็นคำตอบที่คาดไม่ถึง
เขาพาพ่อไปหาลูกสาวไม่ได้ แต่เขาพาลูกสาวมาหาพ่อได้...
การโทรศัพท์ไปนัดแนะกับพี่สมหมายจึงกลายเป็นขั้นตอนแรกของแผนการ เมื่อพี่สมหมายบอกคุณหนูนิดว่า
จะพาไปเซอร์ไพรส์คุณพ่อพร้อมกับฉลองวันเกิดที่เมืองพัทยา เด็กหญิงวัยสิบเอ็ดย่างสิบสองที่ไม่มีโอกาสได้ท่องเที่ยวบ่อยนักจึงตอบตกลงอย่างไม่ลังเล
หลังจากนั้น เขาก็โทรศัพท์ไปหาป้านวล แม่บ้านประจำครอบครัวของคุณวินเพื่อขอให้ช่วยจัดเตรียมเสื้อผ้าและของใช้ส่วนตัวสำหรับคุณวินและคุณหนูนิด ก่อนจะรีบค้นหาโรงแรมที่อยู่ติดกับชายหาดและมีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน โชคดีที่เดือนกันยายนไม่ใช่ฤดูกาลท่องเที่ยว ทำให้เขาจับจองห้องพักได้อย่างง่ายดาย
สำหรับงานสัมมนาที่เขาไม่อาจอยู่ร่วมจนจบได้เพราะต้องรีบเดินทางข้ามจังหวัด ยอมรับตามตรงว่าคงทำได้
ไม่ดีนัก ถ้าไม่มีพี่ตั๊กเข้ามาช่วยเหลือด้วยทักษะของผู้จัดการฝ่ายประชาสัมพันธ์ นอกจากจะส่งผลให้การพูดคุยและแลกเปลี่ยนนามบัตรกับผู้ร่วมงานที่ดูน่าสนใจเป็นไปด้วยความราบรื่นแล้ว ยังช่วยให้เขาปลีกตัวออกจากงานเพื่อตามมาสมทบกับพี่สมหมายและคุณหนูนิดได้ทันเวลา
และนั่นเองที่ทำให้พวกเขามายืนอยู่ตรงนี้...
หน้าโรงงานของคุณดิเรก
“ผมจองโรงแรมไว้แล้วครับ อยู่ติดชายหาด ลงเล่นน้ำทะเลได้ ส่วนเรื่องใส่บาตร คุณวินไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ มีวัดอยู่แถวๆ โรงแรม ขับรถไปไม่เกินสิบนาทีครับ” เขาอธิบายโดยไม่ติดขัด ก่อนจะหรี่เสียงลงเล็กน้อยเมื่อเอ่ยถึงเรื่องที่เป็นความลับ “ของขวัญ ผมจัดการให้เรียบร้อยแล้วครับ ส่วนเค้ก ผมโทร. สั่งจากร้านที่อยู่ในห้างสรรพสินค้าไว้ เดี๋ยวพรุ่งนี้ผมไปรับมาให้ครับ”
นั่นทำให้เสียงหัวเราะของคุณวินดังลั่นทันทีที่เขาพูดจบประโยค “นี่เซอร์ไพรส์ลูกหรือเซอร์ไพรส์พ่อเนี่ย”
“ก็คงทั้งสองคนแหละครับ” เขารู้จักนิสัยของเจ้านายเป็นอย่างดี จึงมั่นใจว่าจะไม่ถูกดุด่าที่ทำอะไรโดยพลการ “ช่วงนี้มีแต่เรื่องเครียดๆ ผมเลยอยากให้คุณวินได้พักผ่อนบ้างน่ะครับ”
คุณวินเอื้อมมือมาจับไหล่ของเขาไว้แน่นพร้อมกับคลี่ยิ้มที่แตกต่างออกไป ด้วยไม่ได้แฝงไว้เพียงความตกใจหรือดีใจ แต่เป็นความซาบซึ้งใจในสิ่งที่ได้รับ
“ขอบใจนะ ขอบใจมากๆ”
“ยินดีครับ” เขาตอบรับด้วยเสียงนุ่ม แล้วพูดต่อหลังจากเห็นว่าท้องฟ้ามืดสนิท “ผมว่าเรารีบไปโรงแรมกันดีกว่าครับ”
“อ้อ! ได้ๆ”
“คุณวินไปนั่งกับคุณหนูนิดเถอะครับ เดี๋ยวผมขับคันนี้เอง” เขาเสนอตัวอย่างรู้งานแล้วรับกุญแจรถไว้ ก่อนจะมองตามแผ่นหลังของคุณวินไปและพบว่า สิ่งแรกที่เจ้านายทำเมื่อเดินไปถึงรถตู้คันใหญ่ คือการโผกอดลูกสาวอย่างอบอุ่น
ยอมรับว่าอดนึกถึงคุณหนูนิดในปี พ.ศ. ๒๕๖๓ ไม่ได้...
เมื่อแผนการสำเร็จดังตั้งใจ คุณหนูนิดคนนั้นคงได้เจอกับผู้เป็นพ่อแล้วใช่ไหม และเธอกำลังกอดคุณพ่ออยู่เหมือนกันหรือเปล่า
แต่ยังไม่ทันได้เปิดกระเป๋าสะพายเพื่อหยิบสมุดออกมาตรวจสอบ ปลายหางตากลับเห็นว่าใครบางคนกำลังจ้องมองมาที่เขา เมื่อหันกลับไปยังทิศทางนั้น ก็พบกับคุณหนูนิดในช่วงเวลาปัจจุบันที่กำลังโบกมือไหวๆ ให้แก่เขาแทนคำล่ำลา
เขาจึงส่งยิ้มกว้างและโบกมือตอบกลับไปเช่นกัน
‘ดีใจด้วยนะครับคุณหนูนิด’
๒๙ กันยายน พ.ศ. ๒๕๖๓
“ก็แนะนำตัวธรรมดาแหละ ไม่มีอะไรหรอก” น้ากีเริ่มอธิบายจุดประสงค์ หลังจากเอ่ยว่าจะเสนอให้หลานสาวพูดแนะนำตัวสั้นๆ ในการประชุมใหญ่ประจำไตรมาส “แค่อยากให้ทุกคนรู้จักหนูนิดอย่างเป็นทางการน่ะ เพราะที่ผ่านมา หนูนิดน่าจะเคยเจอแต่ระดับผู้อำนวยการ แต่ว่าการประชุมครั้งนี้ จะมีทั้งผู้จัดการและพนักงานระดับอาวุโสของทุกแผนกเลย รวมถึงฝั่งโรงงานด้วย”
“ได้ค่ะ” แม้จะรู้สึกเขินอายอยู่บ้าง แต่ณิชาเชื่อว่าน่าจะเป็นผลดีต่อการติดต่อประสานงานในอนาคต และคง
ไม่บ่อยนักที่ทุกคนจากทุกแผนกจะมารวมตัวกันเช่นนี้ “ประชุมวันไหนนะคะ”
“เหมือนจะยังไม่ได้วันที่แน่นอนนะ แต่เดือนหน้านี่แหละเพราะเริ่มไตรมาสที่สี่พอดี” ผู้เป็นน้าเงียบลงสักครู่คล้ายกำลังใช้ความคิด ก่อนจะเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “เออ...แล้วคอนโดเป็นยังไงบ้าง พออยู่ได้ไหม”
“สบายมากเลยค่ะน้ากี” ใช่...ห้องพักที่เธออาศัยอยู่ในปัจจุบัน น้ากีเป็นผู้จัดหาให้ “ขอบคุณนะคะที่ดูแลนิด
ทุกอย่างเลย”
“น้าสิต้องขอบคุณที่หนูนิดกลับมา” คู่สนทนาเผยยิ้มน้อยๆ ก่อนจะเอ่ยคำร่ำลาหลังจากเหลือบมองนาฬิกาบนข้อมือ “เดี๋ยวน้าไปก่อนนะ หนูนิดก็รีบกลับละ สองทุ่มกว่าแล้ว”
“จริงด้วย” เธอพูดเบาๆ เมื่อเห็นเวลาบนหน้าจอคอมพิวเตอร์
20:16, 29/9/2563
“เออ!” ก่อนที่น้ากีจะเอ่ยขึ้นอีกครั้ง “น้าลืมถาม พรุ่งนี้ไปไหนหรือเปล่า”
เธอส่ายหน้าเบาๆ ด้วยไม่ได้นัดหมายกับใครไว้ “ไม่ค่ะ”
“ถ้างั้น...ไปทานข้าวกันนะ”
ทั้งน้ำเสียงและแววตาของน้ากีทำให้เธอเข้าใจได้ทันที ว่ามื้ออาหารในวันพรุ่งนี้คือการเลี้ยงฉลองวันเกิดของเธอ
“ได้ค่ะ”
ใจหนึ่งของเธออดซาบซึ้งไม่ได้ เมื่อผู้เป็นน้าไม่เคยลืมวันสำคัญ ทั้งยังเตรียมพร้อมเพื่อร่วมฉลองกับเธออีกครั้ง
แต่อีกใจ...
สองทุ่มสิบหกนาที เลยเวลาเสียชีวิตของพ่อมาสักครู่แล้ว ถ้าคุณภูมิสามารถแก้ไขเหตุการณ์ได้ ทำไมน้ากีถึงยังมองเธอด้วยความสงสาร และเป็นผู้ชักชวนเธอไปร่วมรับประทานอาหารแทนที่จะเป็นพ่อ
หรือว่า...คุณภูมิทำไม่สำเร็จ
เธอหยิบสมุดออกจากลิ้นชักทันที แล้วเปิดไปยังหน้าสุดท้ายเพื่อมองหาการเปลี่ยนแปลงที่น่าจะเกิดขึ้น ก่อนจะพบกับข้อความจากปลายทาง...
29 / 09 / 2552
14.00-19.00 น. หอประชุมใหญ่ ถนนวิภาวดีรังสิต - - - > ไปแทนคุณวิน
สุขสันต์วันเกิดล่วงหน้าครับ
ขอให้คุณหนูนิดมีความสุข สุขภาพแข็งแรง
และได้ฉลองวันเกิดกับคุณพ่อในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้านี้นะครับ
คุณหนูนิดครับ ตอนนี้คุณวินปลอดภัยดีนะครับ
เขาไม่ได้ขับรถกลับ และพักอยู่ที่โรงแรมในพัทยา
คุณหนูนิดเป็นอย่างไรบ้างครับ อยู่กับคุณพ่อหรือเปล่า
แปลว่าพ่อไม่ได้ประสบอุบัติเหตุอย่างนั้นเหรอ...
นิ้วเรียวรีบเลื่อนไปมาบนหน้าจอโทรศัพท์มือถือ เพื่อค้นหาหลักฐานที่จะใช้ยืนยันว่าพ่อของเธอยังมีชีวิตอยู่
แต่ไม่มี...
ทั้งรูปถ่าย ข้อความในแอปพลิเคชัน แม้กระทั่งเบอร์ติดต่อ
เธอจึงหันกลับมายังคอมพิวเตอร์อีกครั้ง ก่อนจะพิมพ์ชื่อจริงของพ่อลงในช่องว่างกลางหน้าเว็บไซต์แล้วกดปุ่มค้นหาข้อมูลโดยไม่รีรอ
นั่นทำให้พาดหัวข่าวบนหน้าหนังสือพิมพ์ฉบับวันที่ ๑๔ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๒ ปรากฏขึ้น...
‘ผู้บริหารดังยิงตัวเองดับคาออฟฟิศ คาดเครียดธุรกิจ-ถูกบีบให้ลาออก’
เธอผละออกจากเครื่องทันทีที่มองเห็นข้อความตรงหน้า ดวงตาเบิกโพลงและสองมือที่ยกขึ้นปิดปากแสดงถึงความตกใจอย่างสุดขีด
เกิดอะไรขึ้น...
ทำไมพ่อของเธอถึงฆ่าตัวตาย!
ความคิดเห็น |
---|