1

บทที่ 1


 

คฑาวุธก้าวเข้าไปหยุดยืนอยู่หน้าประตูทางเข้าบาร์เฌอริลีน พนักงานต้อนรับสาวสวยเห็นเข้าก็รีบเปิดประตูต้อนรับเขาด้วยสีหน้ายิ้มแย้มและยั่วยวน เขาค้อมศีรษะเล็กน้อยก่อนก้าวเข้าไป

ภายในบาร์มีแสงค่อนข้างสลัว มีเสียงเพลงคลาสสิกเบาๆ พลิ้วไหวออกมาจากลำโพงที่ติดตั้งอยู่ทุกมุมของร้าน ตรงหน้าของเขาเป็นเคาน์เตอร์บาร์ทำจากไม้เนื้อดีที่ทอดตัวยาวเหยียดกั้นส่วนของบาร์เทนเดอร์กับลูกค้าอย่างเป็นสัดส่วน เบื้องหลังเคาน์เตอร์เป็นชั้นวางเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ชนิดต่างๆ ส่วนเบื้องหน้ามีเก้าอี้สูงเบาะกลมวางเรียงรายอยู่อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย

คฑาวุธในชุดเชิ้ตขาวเรียบกริบกับกางเกงสแลกสีดำสนิทกวาดตามองไปทั่วเพื่อหาเป้าหมาย แต่เมื่อไม่พบจึงเดินไปนั่งที่โต๊ะตรงมุมห้อง

ชายหนุ่มไม่ต้องการเป็นจุดสนใจตอนนี้ เพราะการรู้เขารู้เรา เมื่อถึงเวลารบไม่ว่าจะกี่ครั้งก็ย่อมการันตีว่าจะต้องชนะทุกครั้งอย่างแน่นอน ทุกงานเขามักจะไม่เปิดหน้าแลกก่อน แต่จะคอยดูท่าทีคู่ต่อสู้ หาจุดอ่อน และใช้จุดอ่อนนั้นเอาชนะ แม้แต่กับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ อย่างการมาพบคนที่เขาสงสัยว่าจะเป็นแม่ของลูกชายของเขาก็ตาม

“รับอะไรดีคะ” พนักงานสาวในชุดเดรสสั้นสีแดงแบบเปลือยไหล่เอ่ยถาม

คฑาวุธหันไปมองพนักงานเสิร์ฟที่เป็นเด็กสาวสวยหน้าตาดี ความสดใสและแววตาขี้เล่นของเธอทำให้เขานึกถึงโรสเมื่อเจ็ดปีที่แล้ว ตอนนั้นเธออายุราวสิบแปดเห็นจะได้ ชุดเดรสสั้นเปลือยไหล่เซ็กซี่ของโรสผนวกกับความสวยอย่างน่าตื่นตะลึงทำให้เขาไม่สามารถละสายตาจากเธอได้เลย

“ขอโอลด์แฟชั่นครับ”

“ค่ะ” พนักงานสาวยิ้มหวานให้เขา ก่อนจะเดินยักย้ายส่ายสะโพกจากไป

ชายหนุ่มถอนใจ ก่อนจะผินหน้ามองผ่านกระจกใสของร้านออกไปยังถนน จนเห็นภาพตัวเองในวัยหนุ่มขับรถเปิดประทุนมากับเพื่อนๆ

ตอนนั้นเขายังหนุ่มและคึกคะนอง การเรียนจบมหาวิทยาลัยทำให้เขารู้สึกเหมือนเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมาทันที แต่แท้จริงแล้ว เขาก็ยังคงเป็นหนุ่มน้อยคนหนึ่งที่โหยหาความตื่นเต้นในชีวิต และรักในการมีสัมพันธ์แบบไม่ผูกมัดกับผู้หญิงสวยๆ

หลังจากจบมัธยมปลาย เขาก็เป็นอิสระมากขึ้น เขาเลือกที่จะมาอยู่คอนโดมิเนียมใกล้มหาวิทยาลัย มากกว่าต้องเดินทางไปกลับบ้าน ในระหว่างเรียนมหาวิทยาลัย เขาใช้สมองทั้งหมดไปกับการเรียนในช่วงกลางวันอย่างเต็มที่ หลังจากนั้นคือเวลาที่เขาจะปล่อยให้สมองไม่ต้องคิดอะไรเลย เขาเที่ยวเล่น และมีความสุขกับผู้หญิงมากหน้าหลายตา ทุกครั้งเขาจะลืมผู้หญิงเหล่านั้นทันที เพราะบางทีมันก็ไม่มีอะไรน่าจดจำ 

แต่ไม่ใช่กับโรส

คฑาวุธมีค่ำคืนอันสุดแสนจะเร่าร้อนกับเธออย่างสุดเหวี่ยง เขามีความสุขอย่างที่ไม่เคยเจอสิ่งเหล่านั้นบนเตียงกับผู้หญิงคนอื่น มันมากเสียจนแวบหนึ่งเขารู้สึกอยากจริงจังกับเธอ

แต่เมื่อเขาตื่นขึ้นมาในตอนเช้า คฑาวุธกลับไม่พบเธอบนเตียงแล้ว 

โรสจากเขาไปราวกับสายลมที่พัดมาเพียงวูบเดียว

ตอนแรกเขาก็คิดว่านั่นคงจะเหมือนทุกๆ ครั้งที่เขามีสัมพันธ์กับผู้หญิง แต่เมื่อเวลาผ่านไป ค่ำคืนอันเร่าร้อนกลับเข้ามาหลอกหลอนเขาตลอดเวลา นั่นเป็นครั้งแรกที่เขาอยากพบคนที่มีสัมพันธ์ด้วยอีกครั้ง เขากลับไปหาเธอที่บาร์เฌอริลีนในค่ำคืนหลังจากคืนอันหวานฉ่ำผ่านไปราวสองสัปดาห์ แต่กลับได้รับข่าวร้ายว่าเธอถูกไล่ออกไปแล้วจากพนักงานคนหนึ่ง ทำให้เขาต้องเดินคอตกกลับบ้านด้วยความผิดหวังอย่างแรง

หลังจากนั้นเขาก็บินไปเรียนต่อปริญญาโทที่สหรัฐอเมริกา ไม่นานแสงสีอันศิวิไลซ์ของที่นั่นก็ทำให้เขาลืมโรสไปเสียสนิทใจ จนกระทั่งได้เห็นเธออีกครั้งในแฟ้มประวัติของบาร์เฌอริลีน

“โอลด์แฟชั่นค่ะ”

พนักงานสาวนำเครื่องดื่มมาเสิร์ฟพร้อมรอยยิ้มละไม เขาค้อมศีรษะเล็กน้อยเป็นการขอบคุณ ก่อนจะยกแก้วที่มีส่วนผสมของ ไรย์วิสกี้ เบอร์เบิ้น แองกอสทูร่าบิทเตอร์ น้ำตาลและส้มฝานเป็นแว่นขึ้นดื่ม 

ความกลมกล่อมของเครื่องดื่มสูตรเก่าแก่ทำให้เขารู้สึกว่าบาร์เทนเดอร์คนนี้ฝีมือไม่เลวเลยทีเดียว

“จะรับอะไรอีกไหมคะ”

พนักงานสาวยังคงอ้อยอิ่งอยู่ข้างโต๊ะของเขา เสน่ห์ของคฑาวุธสามารถดึงดูดผู้หญิงได้ทุกคน ไม่เว้นแม้แต่โรสที่ตอนนั้นผู้ชายในบาร์ต่างจ้องมองตาเป็นมัน

“ไม่ล่ะครับ” คฑาวุธตัดบท เพราะหญิงสาวคนนี้ไม่ใช่เป้าหมายในการมานั่งอยู่ตรงนี้ของเขา

เธอมีสีหน้าผิดหวังเล็กน้อย ก่อนจะเดินไปบริการโต๊ะอื่นต่อ เขาจิบโอลด์แฟชั่นอีกครั้ง กลิ่นส้มฝานเข้ากันได้ดีกับเครื่องดื่มได้ดีทีเดียว

รสชาติที่ลงตัวทำให้เขารู้สึกอยากเห็นหน้าบาร์เทนเดอร์ เพราะตอนที่เข้ามาไม่มีใครอยู่หลังบาร์นั่น แต่พอหันไปมอง เขาก็ต้องเบิกตากว้างด้วยความตกใจเมื่อเห็นบาร์เทนเดอร์สาวในชุดเชิ้ตขาวผูกหูกระต่ายสีแดง กำลังยืนเขย่าค็อกเทล เช็คเกอร์ อยู่ด้วยท่าทางทะมัดทะแมง

“โรส!”

คฑาวุธอ้าปากค้าง ไม่น่าเชื่อว่าเขาจะจำเธอได้ในทันที หลังจากไม่ได้เห็นกันมานานกว่าเจ็ดปี กาลเวลาแทบไม่ได้ทำร้ายเธอเลย โรสยังคงเหมือนเด็กสาวอายุสิบแปดที่ถูกกลบฝังอยู่ในสมองส่วนลึกของเขา เธอยังคงงดงาม อ่อนเยาว์ไม่เปลี่ยนไปเลยสักนิด

ให้ตายสิ...ตอนแรกเขาคิดว่าลูกน้องเอาภาพเก่าของเธอมาให้เขาดูเสียอีก

ในวินาทีที่เธอหันมาเห็นเขา โลกเหมือนหยุดหมุนลงไปราวปาฏิหาริย์ ทุกสรรพสิ่งคล้ายหยุดนิ่ง มีเพียงริมฝีปากราวกลีบกุหลาบงามของเธอเท่านั้นที่ขยับรำพึงอะไรบางอย่างออกมา เขาไม่รู้ว่าเธอพูดอะไร เพราะนั่งอยู่ห่างไกลกันมาก แต่ก็แน่ใจว่าคำที่หลุดจากปากเธอนั้นต้องเกี่ยวข้องกับเขาแน่ๆ

หรือเธอเองก็จำเขาได้เช่นกัน

วินาทีต่อมาโรสสะดุ้งเล็กน้อย จากนั้นก็หันไปพูดอะไรบางอย่างกับบาร์เทนเดอร์ชายอีกคน แล้วปลีกตัวเดินเข้าหลังร้านไป

“โรส!”

คฑาวุธขยับตัวลุกขึ้น รีบเดินไปที่ประตูนั่น แต่กลับถูกบาร์เทนเดอร์หนุ่มคนนั้นยื่นมือมาขวางเอาไว้

“ขอโทษครับ นี่เฉพาะพนักงานครับ”

“เอ่อ...ผมอยากเข้าห้องน้ำ” เขาบอก

“ทางโน้นครับ” บาร์เทนเดอร์หนุ่มผายมือไปอีกด้านหนึ่งซึ่งมีป้ายสัญลักษณ์รูปชายหญิงแปะอยู่เหนือประตูสองบาน

“ขอบคุณครับ” รองประธานหนุ่มบอก ก่อนจะหยิบเงินค่าเครื่องดื่มวางบนเคาน์เตอร์ จากนั้นก็เดินเลี่ยงเข้าห้องน้ำไป

คฑาวุธเดินวนอยู่ในห้องน้ำนั้นอยู่พักใหญ่ เพราะจู่ๆ ก็รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมา การเผชิญหน้ากันอีกครั้งทำให้เขาคิดคำพูดอะไรไม่ออก เขาไม่รู้ว่าจะต้องคุยอะไรกับเธอ ทั้งๆ ที่ก่อนมาที่นี่ เขามีเรื่องมากมายอยากจะถามเธอ ทั้งเรื่องลูกของเธอและเรื่องการซื้อขายที่ดินผืนนี้

“เราต้องคุยกัน” เขาเก๊กหน้าในกระจก แต่กลับต้องถอนใจเฮือกออกมาแล้วส่ายหน้าให้กับน้ำเสียงดุดันของตัวเอง

ให้ตายเถอะ...เขาไม่เคยประหม่าอย่างนี้มาก่อนเลย ไม่ว่านักธุรกิจเขี้ยวลากดินที่ไหน ผู้รับเหมาเจนเวทีรายใด เขาจัดการได้หมด แต่กลับมาประหม่าเพราะเจ้าของบาร์ที่เป็นผู้หญิงตัวเล็กๆ เนี่ยนะ...ถามจริง

 

หัวใจของลลิษาแทบจะหล่นไปอยู่ที่ตาตุ่มเมื่อเห็นใบหน้าของผู้ชายที่นั่งอยู่ตรงมุมอับของร้าน ความทรงจำเก่าๆ หลั่งไหลพรั่งพรูมาราวกับคลื่นสึนามิที่สาดซัดสู่ฝั่ง และทำลายทุกสิ่งทุกอย่างที่เธอมีลงอย่างราบคาบ

ความเข้มแข็งดั่งกำแพงที่เธออุตส่าห์ใช้เวลาหลายปีก่อร่างสร้างมันขึ้นมา กลับกลายเป็นเพียงกำแพงไม้ผุๆ พังๆ ที่ถูกคลื่นยักษ์นั้นซัดจนไม่เหลือซากไปเพียงแค่ชั่ววินาทีเดียว

เพียงแค่ได้สบตาคู่นั้น และได้เห็นใบหน้าที่เธอไม่เคยลืมเลือนนั้นอีกครั้ง

เขาจะจำเธอได้ไหมนะ?

ไม่หรอก เธอกับเขาเจอกันแค่ครั้งเดียวนี่

แต่เธอก็ยังจำเขาได้เลยนี่นา แล้วทำไมเขาจะจำเธอไม่ได้ล่ะ

ไม่สิ เขาคงจำเธอไม่ได้ และไม่ได้ใส่ใจเธอด้วยซ้ำ ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่ปล่อยให้เธอเผชิญโลกเพียงลำพังกับลูกชายมาตลอดเจ็ดปีนี้แน่

ความคิดและคำถามต่างๆ อลหม่านอยู่ในสมองของลลิษาจนแทบระเบิด หญิงสาวถอนใจเฮือก ก่อนจะปิดฝาชักโครกแล้วนั่งลงไป สองมือยกขึ้นปิดใบหน้าขาวสวยอ่อนเยาว์ของตัวเองอย่างรู้สึกสับสนไปหมด

เธอจะทำอย่างไรดีหากเขาจำเธอได้ และรู้ว่าลูกชายของเธอเป็นลูกของเขา เพราะตลอดหลายปีที่ผ่านมา ลลิษาผูกพันกับลูกชายมากเสียจนไม่อยากให้ใครมาแบ่งความรักของลูกไปจากเธอ โดยเฉพาะคนเป็นพ่อที่คงจะลืมเธอไปแล้ว

ลลิษาต้องตั้งสติอยู่พักใหญ่ อาการประหม่าถึงสงบลง เธอสูดลมหายใจลึกเข้าออกอยู่หลายครั้ง จนแน่ใจแล้วว่า ไม่ว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น เธอจะรับมือมันได้ จึงเปิดประตูเดินออกไปที่หน้ากระจกบานใหญ่แล้วเปิดก๊อกเพื่อรองน้ำมาล้างหน้าอย่างหนัก ราวกับต้องการจะให้ความกังวลทั้งหลายถูกล้างไปพร้อมๆ กันด้วย

ความทรงจำช่างแสนเจ็บปวดเหลือเกิน

เธอจำได้ว่าวันนั้นเป็นวันที่ทะเลาะกับแม่แรงที่สุด และถูกแม่กล่าวหาเรื่องการเที่ยวเตร่ยามราตรีพร้อมคำพูดที่ว่า ‘คอยดูเถอะ อีกหน่อยจะท้องไม่มีพ่อ’ 

คำพูดนั้นยังคงฝังตรึงใจเธอมาตั้งแต่วันนั้น และด้วยฮอร์โมนวัยรุ่นอันพลุ่งพล่าน เธอหนีออกจากบ้านแล้วไปหมกตัวอยู่ที่หอพักของเพื่อน จนกระทั่งได้เวลาทำงาน จึงแต่งตัวด้วยชุดเดรสเซ็กซี่แล้วหยิบเสื้อคลุมตัวยาวมาพรางตัวระหว่างเดินทางไปที่บาร์เฌอริลีน

ใช่แล้ว...เธอทำงานที่นั่น ลลิษาไม่ใช่คนเที่ยวเตร่อย่างที่แม่กล่าวหา แม้เธอจะบอกท่านว่าเธอต้องการทำงานหาเงินเรียนเอง แต่แม่ก็ยังคงไม่เชื่อ และตอกย้ำความเป็นตัวเองของท่านลงมาในตัวเธออยู่เสมอ ทั้งเรื่อง ‘ท้องก่อนแต่ง’ และ ‘การเป็นเมียน้อยเขา’ เหมือนที่แม่เป็น 

ลลิษาไม่เคยต้องการเศษเงินของพ่อ เพราะรู้สึกว่าท่านส่งเสียเธอไปตามมีตามเกิด ลูกๆ ที่เกิดจากเมียหลวงได้เรียนโรงเรียนเอกชนดีๆ พี่ชายเธอสองคนได้ไปเรียนต่อต่างประเทศ แต่เธอกลับต้องเรียนโรงเรียนวัดที่อยู่ใกล้บ้าน แต่ถึงกระนั้นเธอก็พยายามเรียนให้ดีที่สุด เพื่อที่ว่าสักวันหนึ่งเธอจะสามารถยืนด้วยลำแข้งของตัวเอง

แต่สุดท้าย ทุกอย่างก็พังทลายลงจนได้ เมื่อถูกผู้ชายคนนั้นลากขึ้นเตียง

ไม่มีอะไรเหมือนเดิมอีกต่อไปนับจากคืนนั้น ลลิษาตื่นขึ้นมาในเช้าอีกวันด้วยความรู้สึกเสียใจและอับอายตัวเองเหลือเกินที่เห็นถุงยางอนามัยเกลื่อนห้อง หลักฐานเหล่านั้นทำให้เธอรู้ว่า ความเร่าร้อนตลอดคืนที่ผ่านมาไม่ใช่ความฝัน แต่มันคือความจริงที่จะต้องกลายเป็นแผลลึกฝังอยู่ในใจเธอไปจนตลอดชีวิต

ทุกอย่างเมื่อคืนหลั่งไหลเข้ามาในสมองเธออย่างไม่มีทางหลีกเลี่ยงได้ เธอจำได้ว่าพนักงานสาวทุกคนไม่ได้รับอนุญาตให้ดื่มกับแขก แต่คืนนั้นเธอว้าวุ่นใจมาก และเจ้าของร้านก็ไม่อยู่ พอมีนักศึกษาหนุ่มหน้าตาดีท้าให้เธอดื่ม ลลิษาจึงซัดเครื่องดื่มไปจนเต็มคราบ การเมามายไม่ได้สติทำให้เธอร่าเริงแล้วก็ดันรู้สึกถูกอกถูกใจนักศึกษาหนุ่มคนนั้น จนกระทั่งถูกเขาชวนขึ้นรถ ซึ่งเธอก็ไม่ปฏิเสธ

‘แม่ก็คอยดูแล้วกัน หนูจะเป็นอย่างแม่’

ลลิษาคิดว้าวุ่นไปตลอดทางที่ชายหนุ่มพาเธอไปถึงโรงแรมหรู ซึ่งตอนแรกเธอก็แปลกใจเหมือนกัน เพราะคิดว่าเขาคงแค่จะพาเธอไปม่านรูดที่ไหนสักแห่ง

แต่ทิวทัศน์ของกรุงเทพฯ ยามราตรีเมื่อมองมาจากชั้นสิบเจ็ดก็ทำให้เธอลืมทุกอย่าง ภาพที่เห็นทำให้ลลิษาอยากมีปีกเหมือนนก จะได้โผบินไปไหนต่อไหนก็ได้อย่างอิสระ และตลอดคืนนั้น เขาคนนั้นก็ทำให้เธอสามารถล่องลอยขึ้นไปสู่สวรรค์ชั้นฟ้าได้อย่างไม่น่าเชื่อ

ด้วยความเมาและความแปลกใหม่ของรสรัก ทำให้ลลิษาเพลิดเพลินไปกับลีลารักของเขา อ้อมกอดชายคนนั้นช่างอบอุ่นและแข็งแกร่ง เวลาที่เธอซุกตัวอยู่ในวงแขนนั้น เธอรู้สึกอบอุ่นและปลอดภัยอย่างบอกไม่ถูก มันแทบจะแทนอ้อมกอดอันอบอุ่นของพ่อที่นานๆ จะพบกันสักครั้ง แต่ไม่เคยกอดเธอเลยได้เป็นอย่างดี

เธออยากอยู่ในอ้อมกอดนั้นตลอดไป แต่...

คำปรามาสของแม่ก็ทำให้เธอรู้สึกกังวล แม้เหล่าถุงยางจะทำให้เธอเบาใจได้เปลาะหนึ่งว่าจะไม่ท้องแน่ๆ แต่ทั้งโรงแรมหรู รถยี่ห้อดังราคาแพง และท่าทางเหมือนเจ้าพ่อคาสโนว่าของเขาก็ทำให้เธอไม่แน่ใจว่า เขาจะรับผิดชอบเธอหรือเปล่า ในเมื่อเธอเป็นเพียงพนักงานบาร์เล็กๆ แห่งหนึ่งเท่านั้น

พวกคนรวยมักไม่แยแสคนที่ต่ำต้อยกว่า พวกเขาคงเห็นเธอเป็นที่ระบายความเครียดและบำเรอหัวใจของเขาเท่านั้น ยิ่งบรรดาแม่ๆ ที่เธอเคยเห็นในละครเกือบทุกเรื่อง ก็ทำให้เธอไม่แน่ใจว่า ครอบครัวของเขาจะยินดีรับเด็กเสิร์ฟที่ทำงานกลางคืนในสถานที่อโคจรหรือเปล่า

ความสับสนทำให้ลลิษารีบแต่งตัวแล้วออกจากโรงแรมหรูแห่งนั้นทันทีโดยไม่ทันได้ถามชื่อเสียงเรียงนามของเขา และไม่รู้ด้วยว่าจะติดต่อเขาอย่างไร

หลังจากกลับไปที่บาร์เฌอริลีนในคืนต่อมา เธอถูกเจ้าของร้านต่อว่าอย่างหนักด้วยความโกรธที่ฝ่าฝืนกฎของร้าน และออกไปกับผู้ชายที่ไม่รู้จัก แต่ที่เขาเป็นฟืนเป็นไฟขนาดนี้ ไม่ใช่เพราะเขาแอบชอบเด็กอย่างเธอหรอกนะ หากเป็นเพราะว่าเขาคือพี่ชายของแม่ที่รักและเอ็นดูเธอเสมอมาต่างหาก

‘ไปอยู่บ้านยายที่ต่างจังหวัดสักเดือน ที่นั่นเงียบพอที่จะทำให้เธอคิดอะไรได้’

ลุงบอกเธอหลังจากอบรมอยู่พักใหญ่ เพราะหากไม่ลงโทษเธอเสียบ้าง เธอก็จะไม่หลาบจำ และอาจเป็นบรรทัดฐานให้พนักงานคนอื่นเอาเป็นเยี่ยงอย่าง

สัปดาห์ต่อมา เธอก็ขึ้นรถทัวร์ไปกาญจนบุรี แต่ก่อนจะไป ลลิษาก็ยังทำงานอยู่ที่บาร์เฌอริลีนอีกหลายวัน ทุกวันที่มีคนเปิดประตูเข้ามาในร้าน เธอก็มักจะหันไปมองและหวังทุกครั้งว่าจะเป็นเขาคนนั้น แต่จนแล้วจนรอด ชายหนุ่มคนนั้นกลับไม่เหยียบย่างมาที่นี่อีกเลย ราวกับเขาเป็นเพียงแค่สายลมที่พัดเข้ามาในชีวิตเธอแล้วก็ผ่านไป ทิ้งเอาไว้แต่เศษใบไม้ที่ปลิดปลิวลงจากต้นเท่านั้น

สองเดือนต่อมา หายนะก็บังเกิด เมื่อประจำเดือนของเธอขาดไปสองเดือนแล้ว นั่นทำให้เธอหวั่นใจ ลลิษาไปซื้อที่ตรวจตั้งครรภ์มาตรวจ ก่อนจะพบว่าเธอ ‘ท้องลูกไม่มีพ่อ’ เหมือนที่แม่เคยตอกย้ำเธอเสมอ 

ตอนนั้นเธอเสียใจและสับสนมาก เพราะไม่แน่ใจว่าในคืนนั้นจะมีสักครั้งหรือไม่ที่เขาไม่ได้ป้องกัน แต่ที่แน่ๆ เธอไม่เคยร่วมรักกับใครอื่นนอกจากเขา ถ้าเธอตั้งครรภ์ นั่นหมายถึงเด็กในท้องของเธอ เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของเขาด้วยแน่ๆ

หลายครั้งเธอคิดจะทำแท้ง เพราะไม่อยากอุ้มท้องไปโรงเรียน แต่เธอก็ไม่กล้าและลาออกจากโรงเรียนแทน อนาคตที่เธอหวังไว้ดับวูบลง เธอไม่แม้แต่จะเรียนจบมัธยมศึกษาปีที่หก อย่าได้ไปพูดถึงการสอบเข้ามหาวิทยาลัยดีๆ อย่างที่ฝันไว้เลย มันเป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน

ลลิษาใช้เวลาอยู่พักใหญ่ในการปรับตัวจากเด็กนักเรียนมาเป็นคุณแม่วัยใส กว่าทุกอย่างจะลงตัวลูกชายของเธอก็อายุได้สองปีแล้ว ระหว่างนั้นชีวิตเธอค่อนข้างขลุกขลัก แต่ในที่สุดเธอก็สามารถเลี้ยงเขาให้เติบโตขึ้นมาเป็นเด็กที่น่ารัก เป็นที่รักของทุกคนได้

ในช่วงสามปีแรก ลลิษาผ่านมรสุมชีวิตมากมาย ทำให้เธอค่อยๆ เติบโตขึ้นทีละน้อย และแกร่งขึ้นกว่าก่อนหน้านี้มาก ซึ่งจุดเปลี่ยนก็คือการสูญเสียครั้งใหญ่ถึงสองครั้ง

ครั้งแรกเมื่อได้รับข่าวว่าแม่ของเธอกินยาฆ่าตัวตายประชดพ่อ หลังจากพ่อของเธอรู้ว่าลูกสาวของตัวเองท้องไม่มีพ่อ ก็นึกรังเกียจ หาว่าเธอเป็นผู้หญิงสำส่อน และถูกเลี้ยงดูโดยผู้หญิงสำส่อนเหมือนกัน นับจากนั้นพ่อไม่ก็มาหาแม่อีกเลย แม้แต่งานศพก็ไม่ปรากฏแม้แต่เงา นั่นทำให้เธอคิดว่า ผู้ชายที่มากรักหลายใจนั้น ไม่เคยมีความจริงใจให้กับผู้หญิงคนไหนหรอก เพราะหลังจากนั้นเธอก็ได้ข่าวมาเป็นระยะๆ ว่าพ่อของเธอก็ไปมีผู้หญิงอื่นอีกมากมายหลายคน

ส่วนครั้งที่สองนั้น นับได้ว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ของเธอ เมื่อลุงของเธอป่วยด้วยโรคมะเร็งและจากไปในเวลาอันรวดเร็ว ก่อนเสียชีวิตลุงของเธอได้ยกบาร์เฌอริลีนให้ และย้ำนักย้ำหนาว่าไม่ให้ขายร้านนี้เด็ดขาด เพราะท่านอยากให้มันอยู่รอผู้หญิงคนหนึ่งที่ชื่อเดียวกับบาร์กลับมาหาท่านตามที่ได้เคยสัญญาไว้ แม้คุณลุงจะไม่มีโอกาสเห็นเธอคนนั้นอีกครั้งแล้วก็ตาม

หลังจากลุงเสียชีวิต ลลิษาก็รับช่วงต่อ ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย แม้ก่อนจะจากไป ลุงของเธอจะสอนงานหลายสิ่งหลายอย่างให้ รวมทั้งการผสมค็อกเทลซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้ลูกค้าหลายคนจงรักภักดีต่อบาร์แห่งนี้ แต่การต้องขึ้นมากุมบังเหียนด้วยตัวเองโดยไม่มีที่ปรึกษาอยู่ข้างกาย มันก็เป็นเรื่องยากไม่ใช่น้อย แต่ในที่สุดเธอก็ผ่านมันมาได้

คิดมาถึงตรงนี้ลลิษาก็สูดลมหายใจลึกเพื่อเรียกสติและความกล้าให้กลับมาเผชิญความจริงอีกครั้ง ก่อนจะผ่อนลมหายใจออกมาจนหมด จากนั้นก็ก้าวออกจากห้องน้ำ และดิ่งตรงไปที่เคาน์เตอร์บาร์ 

สิ่งแรกที่เธอทำคือเหลือบมองไปที่โต๊ะตัวเดิม เมื่อไม่เห็นเขาอยู่ตรงนั้นก็เป่าปากออกมาอย่างโล่งใจ ทว่าอีกใจหนึ่งกลับรู้สึกใจหายวูบ และรู้สึกน้อยใจที่เขาจำเธอไม่ได้

มันคงจบแค่นี้แล้วสินะ

 

หลังจากเลิกงาน ลลิษาก็ตรงดิ่งกลับบ้านทันที บ้านของเธอเป็นบ้านไม้หลังเล็กๆ มีสวนอยู่หน้าบ้านกระหยิบมือ ซึ่งเป็นบ้านที่คุณลุงยกให้เช่นกัน 

เธออยู่ที่นี่มาตั้งแต่ทะเลาะกับแม่และหนีออกจากบ้านในคืนนั้น หลังจากเธอคลอด คุณลุงให้หลานอีกคนมาเป็นพี่เลี้ยงเด็กให้ เพราะเวลาทำงานของทั้งคู่เป็นเวลากลางคืน จึงต้องมีคนที่ไว้ใจได้คอยดูแลเด็กอ่อน

หลังจากคุณลุงเสียชีวิต ลลิษาก็ยังคงจ้างพี่เลี้ยงเด็กต่อไป เพราะเธอยังคงต้องทำงานกลางคืนอยู่ และเงินเดือนพี่เลี้ยงเด็กก็ไม่ได้หนักหนาอะไรนัก แถมส่งเสียญาติห่างๆ คนนี้ให้เรียนจนกระทั่งถึงระดับมหาวิทยาลัยด้วย

“กลับมาแล้วหรือคะ” ดวงใจเอ่ยถามขณะใช้หลังมือขยี้ตาด้วยท่าทางง่วงงุน

“จ้ะ เธอไปนอนเถอะ พรุ่งนี้ต้องไปมหาวิทยาลัยแต่เช้าไม่ใช่หรือ”

“ค่ะ” หญิงสาวพยักหน้าแล้วลุกขึ้นเดินโซเซออกไปจากห้อง

พออยู่ด้วยกันตามลำพัง ลลิษาก็ทรุดตัวลงนั่งบนเตียงแล้วก้มลงมองลูกชายวัยหกปีด้วยแววตาที่เปี่ยมไปด้วยความรักและอาทร ไม่ว่าเธอจะทำงานเหนื่อยมาแค่ไหน แต่พอได้มาเห็นหน้าลูกชายหลับปุ๋ยแบบนี้ ก็เป็นต้องหายเหนื่อยทุกครั้ง

“วันนี้แม่เจอพ่อด้วยนะ” เธอกระซิบ

แต่เด็กน้อยหลับไม่รู้เรื่องรู้ราว ผู้เป็นแม่จึงได้แต่ยิ้มและมีน้ำตารื้นขึ้นมา ก่อนจะก้มลงไปหอมแก้มลูกชายแล้วลุกไปอาบน้ำ จากนั้นจึงค่อยกลับมานอนกอดเด็กชายวัยหกปีอีกครั้ง

ทว่าหลับไปไม่กี่ชั่วโมง เสียงนาฬิกาปลุกจากโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้น ลลิษาสะดุ้งตื่นแล้วจึงค่อยปลุกลูกชายไปอาบน้ำ เพราะแม้เธอจะพลาดการส่งเขาเข้านอน แต่เธอจะไม่ยอมพลาดที่จะอยู่กับเขาในช่วงเช้าแน่ๆ

สองแม่ลูกนั่งคุยกันบนโต๊ะอาหารอย่างสนุกสนาน พออิ่มหนำแล้วจึงพากันออกจากบ้าน ลลิษาจูงมือเดินไปส่งลูกชายที่โรงเรียนซึ่งอยู่ห่างออกไปไม่กี่ช่วงตึก ระหว่างทางก็คุยกันถึงเรื่องโน้นเรื่องนี้ไปตลอดไม่ได้หยุด จนกระทั่งเธอนำเด็กชายไปส่งคุณครูถึงมือที่หน้าโรงเรียน

“ตั้งใจเรียนนะจ๊ะ” หญิงสาวหยิกแก้มลูกชายเบาๆ ก่อนที่เขาจะถูกคุณครูพาเข้าไปในโรงเรียน

ลลิษาใช้สายตาตามส่งลูกไปด้วยรอยยิ้ม เขายังคงพูดเจื้อยแจ้วอยู่ตลอดเวลาจนเธออดหัวเราะไม่ได้ พอเขาหายเข้าไปในอาคารสีสันสดใส เธอจึงหมุนตัวหันกลับหลังเพื่อจะกลับไปนอนต่อที่บ้าน แต่ดันเกือบจะชนใครคนหนึ่งที่ยืนอยู่ด้านหลังเข้าอย่างจัง

“อุ๊ย!...ขอโทษค่ะ”

“ไม่เป็นไรครับ”

หญิงสาวไม่ได้เงยหน้ามองร่างสูงโปร่งตรงหน้า เพราะคิดว่าเป็นคุณพ่อที่มาส่งลูกเหมือนกัน และเขาคงจะหลบให้เธอเดินผ่านไป 

แต่เขากลับยืนนิ่งเฉย

ลลิษาขมวดคิ้วมุ่นอย่างรู้สึกขัดใจ แต่ก็ไม่อยากถือสาอะไรจึงเป็นคนขยับตัวหลบไปทางขวาเสียเองเพื่อจะเดินผ่านไป แต่ผู้ชายคนนั้นกลับขยับตามมาขวางเธออีกครั้ง

ตอนแรกเธอคิดว่าอาจใจตรงกับเขา จึงขยับออกไปทางซ้าย แต่เขาก็ยังขยับตามมายืนขวางเธออีก

นี่ไม่ใช่เรื่องบังเอิญแน่

ลลิษาเงยหน้าขึ้นมองเขาทันที เพราะคิดว่าเป็นพวกป่วนกวนคน แต่เมื่อเธอเห็นใบหน้าของเขาเข้าเต็มตา เธอก็ถึงกับอึ้ง ยืนตะลึงมองเขาตาไม่กะพริบอยู่ตรงนั้น ร่างกายของเธอแข็งทื่อราวกับเพิ่งเห็นเมดูซ่าที่สามารถทำให้มนุษย์กลายเป็นหินได้ในชั่วพริบตา

วินาทีนั้นทั้งสองยืนมองสบตากันโดยไม่ขยับเขยื้อน โลกทั้งโลกราวหยุดหมุน ทุกอย่างคล้ายหยุดเคลื่อนไหว แม้แต่เสียงอึกทึกยามเช้าหน้าโรงเรียนก็พลันเงียบไปด้วย 

จนกระทั่งชายคนนั้นเอ่ยทักทายขึ้นมา...

“ไม่ได้เจอกันนานนะ...โรส”

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น