6

บทที่ 6


 

สีหน้าของลลิษายามนี้ดูน่าขบขันยิ่งนัก แต่คฑาวุธก็ไม่กล้าหัวเราะออกไป เพราะเกรงว่าจะทำให้เธอยิ่งโกรธเขามากขึ้น และตอนนี้เขาก็คิดว่าเธอกำลังเดือดปุดๆ แล้วเช่นกัน

“ฉันไม่ตลกด้วยนะคะ”

“ใครว่าผมตลก”

“ก็คุณบอกว่าจะพาพี่เลี้ยงเด็กมา แล้วนี่...”

“ก็นี่ไงครับ พี่เลี้ยงเด็ก” เขาตบอกตัวเองเบาๆ

“บอกแล้วว่าอย่ามาล้อเล่นกัน ฉันไม่ตลกด้วยนะ”

คฑาวุธหัวเราะ ก่อนจะยกมือขึ้นโบกให้มนัส “เฮ้...เจ้าหนู ลุงมาเยี่ยม”

“คุณลุง” เด็กน้อยเรียกเสียงใส ท่าทางดูจะตื่นเต้นที่เห็นเขามาหา

ชายหนุ่มหันไปยิ้มกับลลิษา แล้วก้มลงกระซิบเบาๆ “คุณคงห้ามผมเข้าบ้านไม่ได้แล้วล่ะ”

“คนเจ้าเล่ห์” หญิงสาวแยกเขี้ยวใส่เขา

คฑาวุธไม่สนใจคำพูดของเธอ รีบเดินเข้าไปหาเด็กน้อยที่กำลังเล่นของเล่นอยู่ในพื้นที่ส่วนตัวของเขา ระหว่างที่เขาเดินผ่านตัวเธอไป ลลิษาได้กลิ่นน้ำหอมจางๆ แต่กลับทำให้รู้สึกสดชื่นมาก และทำให้เธออดหวนคิดไปถึงค่ำคืนนั้นขึ้นมาไม่ได้ ร่างกายจึงร้อนระอุขึ้นอย่างประหลาด โดยเฉพาะตรงจุดอ่อนไหวที่ดูเหมือนจะดูดความรู้สึกโหยหาในตัวเขาเอาไปรวมไว้ในจุดเดียว

“สวัสดีครับลุงวุธ”

“สวัสดีครับ” เขายื่นมือไปยีผมเด็กน้อย

ทุกครั้งที่สัมผัสโดนมนัส คฑาวุธรู้สึกอุ่นวาบในอกอย่างบอกไม่ถูก มันทำให้เขายากกอดเด็กคนนี้มาก แต่ก็กลัวว่าจะเป็นการถึงเนื้อถึงตัวเกินไปจนลลิษาอาจระแวง และไม่ยอมให้เขาเข้าใกล้เด็กน้อยอีก

“เป็นไงบ้างวันนี้ แขนดีขึ้นยัง”

“ยังครับ” เด็กน้อยทำหน้าแหย “แต่ไม่เจ็บแล้ว”

“ดีมาก” เขายังคงยีผมมนัสอย่างไม่อยากถอนมือออกมา และรู้สึกเหมือนหัวตาจะร้อนผ่าวเมื่อเห็นสภาพของเด็กน้อยที่มีเฝือกหุ้มอยู่ที่แขนเล็กๆ 

“เป็นลูกผู้ชายต้องเข้มแข็ง โตขึ้นจะได้ดูแลแม่ได้ โอเค๊”

“ครับผม” เด็กน้อยรับคำอย่างแข็งขัน

“วันนี้ลุงจะมาดูแลหนู แล้วปล่อยให้แม่ขึ้นไปนอนพักผ่อน หนูโอเคไหม”

“โอเคครับ” มนัสพยักหน้าแล้วหันไปยิ้มให้มารดา

“มะ...แม่ยังไม่ง่วง จะอยู่เป็นเพื่อนด้วยดีไหมจ๊ะ” ลลิษาเสนออย่างไม่ค่อยวางใจเขาเท่าไร

“ยิ่งดีเลยครับ” เด็กชายตบมือแปะๆ

“มา...เล่นอะไรอยู่ ลุงเล่นด้วย” เขาบอกก่อนจะข้ามรั้วบุนวมสีฟ้าเข้าไปนั่งเล่นกับเด็กน้อย รู้สึกยิ่งใกล้ เด็กคนนี้ก็ยิ่งน่ารัก น่าฟัดน่าหอมน่ากอดเหลือเกิน

จะเป็นไปได้ไหมนะว่ามนัสคือลูกของเขา

ระหว่างที่เล่นกับลูกของลลิษา เขาก็พยายามมองไปทั่วๆ เพื่อหารูปสักใบที่ครอบครัวนี้ถ่ายกันพร้อมหน้าพร้อมตา แต่กลับไม่พบเลยสักรูป ทั้งบ้านมีแต่รูปคู่ระหว่างเธอกับลูกในช่วงวัยต่างๆ เต็มไปหมด

เสี้ยววินาทีหนึ่งเขาตัดสินใจจะลองถามเธอดู แต่ปรากฏว่าพอหันไปก็เห็นเธอกำลังนั่งคอพับคออ่อนอยู่ที่โซฟา

คฑาวุธยกนิ้วขึ้นแตะปากบอกมนัส แล้วชี้ไปที่แม่ของเขา “เล่นเบาๆ นะ แม่หลับแล้ว”

“ครับ”

“เดี๋ยวลุงจะเอาผ้าห่มไปห่มแม่ เล่นคนเดียวไปก่อนได้ไหม”

“ได้ครับ” มนัสยิ้มแป้น

ชายหนุ่มจึงลุกขึ้นแล้วปีนข้ามรั้วออกไป จากนั้นก็ตรงเข้าไปขยับร่างของลลิษาอย่างแผ่วเบาเพื่อให้เธอสามารถนอนเหยียดยาวอยู่บนโซฟาได้ หลังจากนั้นก็เดินไปหยิบผ้าห่มที่ตู้ตามคำบอกของมนัสแล้วนำมันไปห่มให้เธอ

“คงเหนื่อยมากสิท่า” คฑาวุธงึมงำเบาๆ สายตาจับจ้องไปที่ใบหน้าสวยอ่อนเยาว์นั้นอย่างหลงใหล

เธอแทบไม่เปลี่ยนไปเลยจากเมื่อเจ็ดปีก่อน ใบหน้ายังคงเรียวได้รูปสวย แพขนตางามงอนรับกับคิ้วโก่งและจมูกที่โด่งเป็นสันซึ่งอยู่เหนือริมฝีปากอวบอิ่มงดงาม

เขาอยากจูบเธออีกครั้ง

นั่นเป็นความคิดที่ห้ามไม่ได้เลย จูบเร่าร้อนในคืนนั้นยังคงประทับตรึงอยู่ในจิตใจเขา แม้เขาจะผ่านการจูบกับผู้หญิงมาอีกหลายคน แต่ก็ไม่เคยมีอะไรเทียบเท่ากับริมฝีปากงามแดงจัดคู่นี้ได้เลย

“คุณลุง ปวดอึ”

เสียงของมนัสดึงเขาออกจากภวังค์ ต้องขอบคุณเด็กน้อยที่ขัดจังหวะขึ้นมาพอดี ไม่อย่างนั้นเขาคงเผลอจูบเธอไปแล้ว

คฑาวุธรีบลุกขึ้นแล้วเดินไปอุ้มเด็กน้อย จากนั้นก็พาไปห้องน้ำ ถอดกางเกงและจับให้มนัสให้นั่งบนที่รองนั่งชักโครกสำหรับเด็กที่วางซ้อนอยู่ที่รองนั่งของผู้ใหญ่อีกชั้น

“ลุงอยู่ด้วยนะ”

“เฮ้ย!”

“ผมกลัวผี”

“ไม่มีหรอกน่า ผีเผอที่ไหนกัน”

“น้าๆๆๆๆ” มนัสอ้อนพร้อมทำหน้าบ้องแบ๊วตาใสเหมือนในการ์ตูน

ชายหนุ่มถอนใจเฮือก “ก็ได้ๆ เอ้าเบ่ง”

เท่านั้นเอง ดวงหน้าเล็กๆ ก็บิดเบี้ยวเหยเกดูน่าขบขันไม่น้อย คฑาวุธถึงกับยิ้มที่เห็นมนัสออกแรงเบ่งจนหน้าเขียวขนาดนั้น

“ไม่ชอบกินผักผลไม้ใช่ไหมเราน่ะ”

“คะ...ครับ...มะ...มันไม่อร่อย” เด็กน้อยตอบพลางเบ่งพลาง ดูน่าสงสารและน่าตลกในเวลาเดียวกัน

“แล้วเจ็บตูดไหมล่ะ”

“จะ...เจ็บ...ครับ”

“งั้นวันหลังก็ต้องกินผักผลไม้เยอะๆ แล้วก็ต้องดื่มน้ำมากๆ รู้ไหม”

มนัสพยักหน้าหงึกๆ ก่อนที่สีหน้าจะผ่อนคลายลง ตามมาด้วยเสียงตุ๋มภายในชักโครก

“อื้อฮือ”

คราวนี้คนที่ทำหน้าเหยเกกลายเป็นคฑาวุธเสียเอง เพราะกลิ่นที่โชยออกมาไม่น่าพิสมัยนัก

“เสร็จแล้วครับ” มนัสยิ้มแป้น

“ล้างก้นเองเป็นไหม”

เด็กน้อยส่ายหน้าแทนคำตอบ

‘เฮ้อ...เวรกรรมอะไรของฉันวะเนี่ย’ คฑาวุธคิดในใจ ก่อนจะดึงกระดาษทิชชูมาเช็ดให้

“ทุกทีแม่จะใช้น้ำล้างแล้วเอามือถูๆ ครับ แม่บอกว่ามันจะได้สะอาด”

“ห๊ะ!”

ให้ตายสิ ผู้บริหารธุรกิจหมื่นล้านจะต้องมาล้างก้นให้เด็กด้วยมือหรือนี่ ใครมาเห็นเข้าคงต้องเอาหน้ามุดแผ่นดินหนีแน่ๆ

แต่หลังจากเขาจัดการล้างก้นให้มนัสเสร็จ และกำลังจะอุ้มออกจากห้องน้ำ คฑาวุธก็เห็นลลิษามายืนกอดอกพิงขอบประตูด้วยสีหน้าขบขันอยู่แล้ว

ชายหนุ่มยิ้มเจื่อน “คุณมาตั้งแต่เมื่อไร”

“ตอนที่คุณบอกให้เขากินผัก”

‘ให้ตายสิ’ เขาพึมพำเบาๆ

“อ๊ะๆๆ กฎข้อที่หนึ่ง ห้ามพูดคำหยาบ” เธอชี้นิ้วใส่เขา

“ครับ” คฑาวุธลากเสียงยานคาง

ลลิษาหัวเราะในลำคอ “เห็นแบบนี้ฉันค่อยวางใจให้คุณมาเป็นพี่เลี้ยงเด็กหน่อย”

“อย่าไปบอกใครละกัน รู้ถึงไหนอายเขาถึงนั่น”

“จะอายทำไมล่ะคะ พ่อที่ไหนเข้าก็ล้างก้นให้ลูกกันทุกคนนั่นแหละ”

“หือ” คฑาวุธครางอย่างนึกเอะใจ

“เอ่อ...” ลลิษาหน้าซีด “ฉะ...ฉันหมายถึงผู้ชายที่เป็นพ่อทั่วไปน่ะ แต่คุณเป็นผู้ชายที่ทำหน้าที่เป็นพี่เลี้ยงเด็ก ก็ต้องล้างก้นได้สิ”

เขาหลิ่วตามองเธอเหมือนตำรวจกำลังจับผิดผู้ร้าย แต่ลลิษากลับรีบเบือนหน้าแล้วเดินหนีไปอย่างน่าสงสัย พอเขาอุ้มมนัสตามไป เธอก็ทำเป็นหยิบนิตยสารมานั่งอ่านอย่างไม่รู้ไม่ชี้ใดๆ ทั้งสิ้น

คฑาวุธวางเด็กน้อยลงในเขตของเขา ก่อนจะเดินไปนั่งจ้องลลิษาต่อ ทำเอาหญิงสาวถึงกับกระสับกระส่าย

“มองอะไร เป็นพี่เลี้ยงเด็กก็ไปอยู่กับเด็กโน่น”

“ทำไมในบ้านไม่เห็นมีรูปพ่อของมนัสเลย” เขาถามเบาๆ เพราะไม่อยากให้เด็กน้อยได้ยิน

“กฎข้อที่สอง ห้ามพูดเรื่องผู้ชายคนนั้น ฉันไม่อยากให้ลูกรู้สึกมีปมด้อย” เธอกระซิบตอบเสียงเข้ม

“ผมถึงกระซิบถามนี่ไง”

ลลิษาถอนใจเฮือก “ไม่มีเพราะไม่เคยถ่ายไง เขาตายก่อนมนัสจะเกิดเสียอีก”

“แล้วไม่มีรูปคู่กับคุณหรือ”

“ฉันเก็บไปหมดแล้ว ไม่อยากให้มนัสเห็น”

คฑาวุธหรี่ตามองเธอ นั่นเป็นเหตุผลที่ฟังขึ้น แต่มันก็ยังน่าสงสัยอยู่ดีนั่นแหละ เขาจะต้องสืบเรื่องนี้ให้ได้ก่อนที่จะจัดการเรื่องซื้อเฌอริลีนบาร์

“คุณทำงานอะไรอะ” ลลิษาเอ่ยถามแล้วพยักพเยิดหน้าไปที่หน้าบ้านซึ่งมีรถของเขาจอดอยู่ “ทำไมถึงมีรถแพงๆ ขับ ไหนจะเวลาว่างมาเลี้ยงลูกให้ฉันอีก”

“เป็นผู้รับเหมาก่อสร้างน่ะ พอดีช่วงนี้ไม่มีงาน ก็เลยว่าง”

“แล้วไม่ออกไปหางานล่ะ”

เขายักไหล่ “มีคนทำอยู่แล้ว ผมก็แค่คนบริหารจัดการ”

ลลิษาพยักหน้า “คุณอยู่วงการนี้ รู้จัก ดี.เค.กรุ๊ป ไหม”

“เอ่อ...” คฑาวุธชะงักไปชั่วครู่ “ระ...รู้จักสิ บริษัทใหญ่นะนั่น ทำไมหรือ”

“เขามาขอซื้อที่ดินตรงบาร์ของฉันน่ะสิ ให้ราคาน่าสนใจเหมือนกันนะ”

“แล้วคุณขายหรือเปล่า”

ลลิษาส่ายหน้า “ฉันสัญญากับเจ้าของร้านคนเก่าเอาไว้ว่าจะรอให้ใครคนหนึ่งมาเห็นร้านนี้ก่อน”

“ใครหรือ คนรักเก่าเจ้าของร้านหรือเปล่า”

“ก็ทำนองนั้น”

“แล้วทำไมไม่ไปตามหาเขาล่ะ รออย่างนี้แล้วเมื่อไรจะได้มาเห็น เผลอๆ คนคนนั้นอาจตายไปแล้วก็ได้”

“ฉันทำงานทุกวัน ลูกก็ต้องเลี้ยง จะเอาเวลาที่ไหนไปตามหาล่ะ”

“ปิดร้านสิ”

“ต้องปิดกี่วันล่ะ อเมริกาไม่ใช่แคบๆ นะ ข้อมูลอะไรก็ไม่มี มีแต่ชื่อ”

“งั้นแปลว่าคุณต้องติดแหง็กกับร้านนี้ไปตลอดชีวิตหรือ”

“ทำไงได้ล่ะ ฉันสัญญาไปแล้วนี่” เธอบอกอย่างจำนนใจ “อีกอย่างมันก็ไม่ได้เลวร้ายอะไรนะ ฉันสนุกกับงาน ทุกอย่างก็ไปได้สวย ยกเว้นวันที่มีลูกค้ามาหาเรื่องกินฟรีนั่นแหละ”

“แต่งานมันก็ไม่เหมาะกับคุณแม่เลี้ยงเดี่ยวอย่างคุณหรือเปล่า”

เมื่อมีโอกาส คฑาวุธก็ถือโอกาสหว่านล้อมลลิษาเสียหน่อย เพราะเธออาจใจอ่อนถ้ามีเหตุผลดีๆ ที่ทำให้ต้องขายร้านให้เขา โดยเฉพาะเรื่องลูกที่ดูเหมือนเธอจะให้ความสำคัญมากกว่าสิ่งไหนในโลกนี้

“คิดดูดีๆ นะ ถ้าคุณไม่ต้องทำงานกลางคืน คุณก็จะมีเวลาเข้านอนกับลูก อ่านนิทานให้ลูกฟัง ผมว่ามันมีความสุขออก เงินที่ ดี.เค.กรุ๊ป เสนอก็ไม่ใช่น้อยๆ คุณเอามาทำธุรกิจออนไลน์เล็กๆ หรือจะเปิดร้านกาแฟก็ได้ ผมว่าดีกว่าอีก”

ลลิษาขมวดคิ้วมุ่น “คุณรู้ได้ยังไงว่า ดี.เค.กรุ๊ป เสนอเงินให้ฉันมากน้อยแค่ไหน”

“โธ่คุณ ผมอยู่วงการนี้ก็ต้องรู้สิ” คฑาวุธอ้าง “แล้วยิ่งคุณไม่อยากขายนะ เขาก็ยิ่งอยากเสนอให้คุณมากขึ้น ทำเลตรงนี้มันสวยมากนะคุณ”

“เมื่อก่อนตอนมันเงียบๆ ไม่เห็นมีคนบอกว่าทำเลดีเลย”

“แหมก็โลกมันหมุนไปเร็วจะตาย ถนนก็ตัดผ่านโน่นผ่านนี่ยุบยับไปหมด ความเจริญมันก็ต้องตามมาเป็นธรรมดานั่นแหละ”

หญิงสาวนิ่งงันไปชั่วอึดใจ “เอาไว้จะลองคิดดูก็แล้วกัน ฉันยังไม่อยากโกงคนตาย”

“เจ้าของร้านคนเก่านี่เป็นอะไรกับคุณหรือ คุณถึงได้จงรักภักดีจัง” พี่เลี้ยงหนุ่มเอ่ยถามด้วยความสงสัยที่ติดค้างมานาน

ลลิษาหันมามองเขาแล้วทำปากเบ้ “ไม่ใช่อะไรอย่างที่คุณคิดหรอกน่า เขาเป็นลุงของฉันเอง”

“ลุง?”

“พี่ชายของแม่น่ะ”

“อ้อ” ชายหนุ่มเอ่ยอย่างโล่งใจ อย่างน้อยเธอก็ไม่ใช่ผู้หญิงที่อุทิศตนเป็นเครื่องบำเรอกามคนแก่เพื่อครอบครองบาร์นั้นเอาไว้เอง มิหนำซ้ำยังเป็นคนที่ยึดมั่นคำสัญญาอย่างน่านับถืออีกต่างหาก

“ลุงคุณคงรักผู้หญิงคนนั้นมากสินะ”

“ฉันก็ไม่รู้อะไรมากหรอกนะ ลุงไม่ค่อยเล่าอะไรให้ฟังหรอก รู้แต่ว่าทั้งสองคนสร้างร้านนี้มาด้วยกัน แต่คุณเฌอริลีนเธอจำเป็นต้องกลับอเมริกาก่อนจะได้เห็นมัน แต่ก็สัญญากับลุงไว้นะว่าจะกลับมาให้ได้ จนลุงตายก็ยังไม่เห็นแม้แต่เงา”

“นั่นไง ผมถึงบอกว่าเธออาจตายไปแล้ว หรือไม่ก็มีสามีใหม่ คุณจะเก็บมันไว้เป็นอนุสรณ์ให้ใครดูกัน”

หญิงสาวนิ่งไปครู่ใหญ่ ก่อนจะเผยยิ้ม “ไม่รู้สินะ ฉันว่าลางสังหรณ์ของฉันไม่เคยพลาด ฉันเชื่อว่ายังไงเสีย ผู้หญิงคนนั้นก็ต้องมา”

คำพูดนั้นทำเอาคฑาวุธต้องยอมใจอ่อน ล้มเลิกแผนการหว่านล้อมให้เธอขายที่ในวันนี้ไป เห็นทีจะต้องหาวิธีอื่นให้เธอขายมันซะแล้ว

“ใกล้เที่ยงแล้ว ผมว่าเราไปกินข้าวข้างนอกกันเถอะ ผมเลี้ยงเอง”

ลลิษาขมวดคิ้วมุ่นมองเขา “นี่ฉันจ้างคุณมาเป็นพี่เลี้ยงลูกนะ ไม่ได้จ้างคุณให้มาเลี้ยงข้าวฉันกับลูก”

“นี่แสดงว่าผมได้งานแล้วใช่ไหมเนี่ย”

“ค่า” หญิงสาวลากเสียงยาวอย่างนึกหมั่นไส้ “ก็แค่อาทิตย์เดียว พอลูกฉันไปโรงเรียน คุณจะไปไหนก็เรื่องของคุณ”

“โอเค” คฑาวุธยกนิ้ว “งั้นมื้อนี้คุณเลี้ยงก็แล้วกัน”

“ก็ได้ แต่ไม่ต้องไปกินข้างนอกหรอก มันเปลือง ฉันจะทำกับข้าวให้คุณกับลูก...” ลลิษาเว้นจังหวะเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยต่อเสียงอ้อมแอ้ม “...ของฉันกินเอง”

“ฮ้า...ลาภปากแท้ๆ”

“กินแล้วอย่าอ้วกให้เห็นก็แล้วกัน” ลลิษาทำปากเบ้ จากนั้นก็ลุกขึ้นเดินเข้าไปในครัว

คฑาวุธมองตามไปด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะลุกเดินไปนั่งกับมนัส “เจ้าหนู แม่ทำอาหารอร่อยไหม”

“อร่อยสิครับ” เด็กน้อยยิ้มแป้น แววตาใสซื่อนั้นทำให้เขามั่นใจว่าจะไม่อ้วกออกมาอย่างที่เธอขู่แน่ๆ

ไม่นานอาหารจากฝีมือของลลิษาก็ถูกเสิร์ฟลงบนโต๊ะพร้อมข้าวสวยร้อนๆ คฑาวุธจ้องมองกับข้าวที่มีแกงจืดแตงกวายัดไส้หมูสับ ไข่ตุ๋นแฮม และผัดผักบร็อคโคลี่ ก็รู้เลยว่านี่มันอาหารที่ทำง่ายๆ สำหรับเด็กทั้งนั้น

“กินได้ไหมคะ”

เขาเงยหน้ามองเธอ “ได้สิครับ แหมท่าทางน่าอร่อยทั้งนั้นเลย”

“ขอโทษนะคะที่ไม่มีของเผ็ด”

“อ่า...ไม่เป็นไรครับ ผมเข้าใจ มีเด็กนั่งกินด้วยนี่นะ”

ลลิษายิ้ม แล้วใช้ช้อนกลางตักบร็อคโคลี่ให้ลูกชาย แต่เด็กน้อยกลับทำหน้าแหย ดูเหมือนจะไม่ถูกโรคกับผักสีเขียวๆ สักเท่าไร

“ในห้องน้ำ คุณลุงบอกว่ายังไงจ๊ะ” ผู้เป็นแม่เอ่ยถาม

“ให้กินผักผลไม้เยอะๆ” มนัสทำหน้าจ๋อย

“แล้วจะกินไหมล่ะ ถ้าไม่กินแม่ไม่ให้คุณลุงมาเล่นด้วยแล้วนะ”

“รีบกินเลยเจ้าหนู” คฑาวุธรีบแทรกขึ้นทันที

“ลุงสัญญากับผมก่อนสิ ว่าจะมาอีก”

“แน่นอน ลุงจะมาทุกวันเลยดีไหม” เขายิ้ม ก่อนจะหันไปยักคิ้วกับลลิษาที่นั่งทำหน้าปูเลี่ยนเหมือนคนเสียรู้เข้าให้อีกแล้ว

มนัสร้องเย้ด้วยความดีใจ ก่อนจะก้มหน้าก้มตากินผักสีเขียวและกับข้าวอื่นๆ จนข้าวสวยหมดจาน

“หมดแล้ว คุณลุงต้องทำตามสัญญานะ”

“เก่งมากเจ้าหนู ลุงจะมาหาทุกวันเลย” คฑาวุธย้ำพร้อมยักคิ้วให้หญิงสาวอย่างผู้ชนะอีกครั้ง

 

หลังจากอิ่มกันแล้ว ลลิษาก็เก็บจานชามเข้าไปล้างในครัวและเก็บกวาดครัว ก่อนจะออกมาดูสองหนุ่มว่ากำลังทำอะไรกันอยู่

“แล้วเจ้าเต่าก็ค่อยๆ เดินต้วมเตี้ยมแซงเจ้ากระต่ายที่กำลังหลับปุ๋ยอยู่ใต้ต้นไม้อย่างมีความสุข...”

เสียงของคฑาวุธแว่วมาก่อนที่เธอจะเห็นตัวเสียอีก ลลิษาจึงค่อยๆ ย่องไปชะโงกมองเข้าไปในคอกกั้นเด็ก จนกระทั่งพบว่าลูกชายของเธอกำลังนอนซุกอยู่บนอกเขา ดวงตาหลับพริ้มไปตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้

ภาพนั้นทำเอาลลิษาถึงกับน้ำตารื้น เพราะเอาเข้าจริงแล้ว ทั้งคู่ก็เป็นพ่อลูกกัน แต่ทั้งๆ ที่ใกล้ชิดกันขนาดนี้ พวกเขากลับไม่รู้ว่าต่างคนก็ต่างมีสายสัมพันธ์กันอย่างลึกซึ้ง มันทำให้หญิงสาวรู้สึกผิดขึ้นมา เนื่องจากตัวเธอเองนั่นแหละที่เป็นกำแพงขวางกันความเป็นสายโลหิตของคนทั้งคู่อยู่

“แกหลับแล้วค่ะ”

ในที่สุดลลิษาก็ตัดสินใจหยุดภาพนั้นไว้ก่อนที่เธอจะหลั่งน้ำตาออกมา

“อ้าว กระต่ายหลับซะละ”

คฑาวุธค่อยๆ ขยับเพื่อไม่ให้มนัสตื่น ก่อนจะจัดท่าทางให้เขานอนสบายที่สุด จากนั้นก็ข้ามรั้วออกมายืนบิดตัวด้วยความเมื่อยที่ต้องอยู่ในท่านั้นนานๆ แต่พอเขาหันมาเห็นเธอกำลังจ้องเขม็งอยู่ก็ชะงัก

“ผมมีอะไรติดอยู่ที่หน้าหรือไง”

ลลิษาส่ายหน้ายิ้มๆ “ไม่มีหรอกค่ะ ฉันแค่แปลกใจที่คุณดูแลเด็กได้ดีเหลือเกิน”

“ผมก็แปลกใจตัวเองเหมือนกัน” เขาหัวเราะเบาๆ

“ขอบคุณนะคะ”

“ห๊ะ!?” ชายหนุ่มเลิกคิ้วมองเธอด้วยความตกใจ

“ขอบคุณที่มาช่วย” เธอบอก “ถ้าไม่ได้คุณฉันคงแย่”

“ไม่เป็นไรหรอก ได้ค่าจ้างด้วย ผมทุ่มเต็มที่” คฑาวุธชูกำปั้น

“อืม...ฉันถามอะไรคุณหน่อยได้ไหม”

“เอาสิ ถามมาเลย”

“ทำไมคุณต้องมาทำแบบนี้ จริงๆ แล้วคุณต้องการอะไรกันแน่”

“หือ” เขาครางเบาๆ อย่างประหลาดใจ

“ทุกอย่างมันไม่ปรกติเลย คุณหายไปตั้งเจ็ดปี แต่แล้วจู่ๆ คุณก็มาทักฉันที่หน้าโรงเรียนลูก ทำดีกับฉัน แถมยังหยุดงานมาเป็นพี่เลี้ยงเด็กให้ฉันอีก ทั้งหมดนี้คุณต้องการอะไรกันแน่คะ”

“ผม...เอ่อ...”

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น