5

ตะวัน


5

ตะวัน

“Fortune cookie?”

ผมถามเพื่อความแน่ใจ เผื่อบางทีที่ได้ยินตะกี้อาจจะฟังผิดไปก็ได้

“ใช่แก ฟอร์จูนคุกกี้ BNK48 นั่นแหละ”

นาเดียตอบอีกครั้งอย่าง ช้าๆ ย้ำทุกคำ โอเค คราวนี้รับรองฟังไม่ผิด ผมพยายามรักษาสีหน้าให้เป็นปกติ แล้วค่อยๆ หันไปสบตากับพี่นกที่นั่งฟังอยู่ข้างๆ ผม เผื่อว่าจะเจอสายตาที่แสดงความรู้สึกเดียวกัน

แต่ผิดคาด พี่นกยังตั้งใจฟังที่นาเดียนำเสนออยู่

“เอ่อ...มีแผนอื่นอีกไหมอ้ะ นี่แผนแรกใช่ไหม”

ผมลองใช้วิธีปฏิเสธแบบถามหาตัวเลือกอื่น มองในแง่ดี นาเดียอาจจะเตรียมมาสิบแผนก็ได้ นี่เป็นแค่แผนแรกที่นำเสนอให้ผมดู

“ทำไมอะ แกไม่ชอบน้องๆ BNK หรือไง”

นาเดียเอียงหัวอย่างสงสัย

“ชอบดิ แต่ชอบกับให้ไปเต้นเพลงนี้มันคนละเรื่องกันหรือเปล่าวะ แถมไปเต้นในงานหนึ่งร้อยวัน แต่งตัวเป็นน้องๆ BNK อีกด้วย นี่ฉันให้แกมาช่วยคิดการแสดงนะเว้ย ไม่ใช่มาช่วยทำลายการแสดงของทีมอายุรกรรม”

ถูกครับ...การแสดงของภาควิชาอายุรกรรม ที่นาเดียรับปากเป็นมั่นเหมาะว่าจะไปช่วยคิดมาให้ คือการเต้นเพลง Fortune cookie ของน้องๆ BNK48 ที่นาเดียหายไปสามวันบอกว่าไปรวบรวมข้อมูล ผมคาดว่าจะได้อะไรเป็นชิ้นเป็นอันมากกว่านี้

“มันมีเหตุผลนะเว้ยตะวัน”

นาเดียยืนกราน แต่ผมนี่สิคิ้วขมวด มีเหตุผลดีๆ ที่จะอธิบายไหมว่าทำไมผมต้องเต้นเพลง Fortune cookie ด้วย

“เหตุผลอะไรวะ ไหนขอฟังหน่อย”

“โอเค อ้ะ แกดูนะ การแสดงมันต้องมีสักอย่าง มันต้องมีสิ่งที่เรียกว่า จุดขาย”

ไม่พูดเปล่าๆ นาเดียหยิบมือถือตัวเองมาเปิดแอพ keynote โชว์ให้ผมดูสไลด์ที่นางไปบรรจงทำมา

หัวข้อชื่อว่า “เหตุผลที่เราต้องเต้นเพลง Fortune cookie”

...รู้แล้วที่หายไปสามวันนี่คงไปหมดเวลากับการทำสไลด์นี่สินะ นาเดียเอ๊ยยย

อ้ะ ไหนๆ นางก็ทำมาแล้ว ดูหน่อยก็แล้วกัน อยากรู้เหมือนกันว่า มันมีด้วยเหรอ เหตุผลดีๆ ที่ผมและเพื่อนๆ ร่วมภาควิชา ควรจะต้องส่งการแสดง เต้นเพลง Fortune cookie ประกวดในงานหนึ่งร้อยวันของแพทย์ประจำบ้าน พอหันไปมองพี่นก ชียังคงตั้งท่านั่งฟังอย่างตั้งใจ

“จุดขาย ไม่ควรจะซ้ำ เพราะถ้าซ้ำ เราจะมีคู่แข่งให้เปรียบเทียบทันที”

นาเดียเปิดสไลด์แรกให้เห็นภาพประกอบเป็นจุดๆ สิบจุด สิบสี

“อย่างในภาพนี้ มีทั้งหมดสิบจุด สิบสี อ้ะไหนแกเลือกจุดที่แกชอบสิ พี่นกด้วยค่ะเลือกเลยคนละจุด”

นาเดียพยักหน้ามาทางเราสอง

“เอ่อ...สีฟ้าละกัน” ผมเลือกหนึ่งจุด

“พี่เอาสีชมพูละกัน” พี่นกเลือกอีกจุดหนึ่ง

“ทำไมแกเลือกสีฟ้า ตะวัน?” นาเดียถาม

“อ้าว! ก็เราชอบสีฟ้านี่หว่า” ผมบอก

“พี่ก็ชอบสีชมพู เลยเลือกสีชมพูไง” ไม่ต้องรอให้นาเดียถาม พี่นกชิงตอบก่อน

“อ้ะ โอเค งั้นดูสไลด์นี้นะ”

นาเดียเลื่อนข้ามไปสองสไลด์ แล้วโชว์ให้ผมดู มันก็คล้ายๆ เดิม มีจุดสิบจุด แต่มีเก้าสี มีอยู่สองจุดที่เป็นสีฟ้าเหมือนกัน แต่ต่างเฉดกันเล็กน้อย อันนึงสดใสกว่า อีกอันดู...ขรึมกว่า มั้ง?

“อ้ะ ตะวัน แกเลือกสิว่าเอาจุดไหน”

“เอ่อ...” ผมคิดนิดนึง “เอาสีฟ้าที่เข้มกว่าแล้วกัน ดูขรึมดี”

“ตอนแกเลือก แกเลือกยังไง” นาเดียถามต่อ

“ก็...เราชอบสีฟ้าอยู่แล้ว แต่พอดีมันมีสีฟ้าสองอัน เราก็ค่อยมาเลือกอีกทีว่าเราชอบฟ้าไหนมากกว่ากัน...ประมาณนี้มั้ง แล้วมันเกี่ยวอะไรกับการเต้น Fortune cookie วะนาเดีย นี่เรางงแล้วนะเว้ยเฮ้ย”

“ใจเย็นสิแก กำลังจะอธิบายให้ฟังนี่ไง”

นาเดียเลื่อนจอมือถือกลับมาที่สไลด์แรกสุดที่มีสิบจุด สิบสี

“ตอนแรกที่มีสิบจุด สิบสี การตัดสินใจของแกคือ การเลือกสีที่แกชอบหนึ่งรอบก็จบเลยถูกไหม” ผมพยักหน้าตอบเขา “แต่พอมีสีฟ้าซ้ำปุ๊บ การเลือกของแกต้องเป็นสองรอบคือ เลือกสีที่ชอบก่อน แล้วค่อยเปรียบเทียบว่า ในสีที่แกชอบสองตัวเลือก แกชอบอันไหนมากกว่ากัน”

นาเดียคว่ำหน้าจอมือถือลงไป

“มันก็เหมือนจุดขายแหละแก”

“การตัดสินใจของกรรมการ เขาไม่ได้เลือกที่การแสดงที่ดีเว้ย เขาเลือกการแสดงที่เขาชอบ และจะชอบไม่ชอบ มันก็ดูที่จุดขายของการแสดงนั้นๆ ถ้าการแสดงของแกมีจุดขายที่ไม่ซ้ำกับชาวบ้าน แล้วมันตรงกับที่กรรมการต้องการ เขาก็จะเลือกให้แกชนะทันที”

ผมหันไปมองข้างๆ พี่นกพยักหน้าเหมือนคนเห็นคล้อยตาม

“แต่ถ้าทันทีที่การแสดงของแก ไปซ้ำจุดขายกับการแสดงของภาควิชาอื่น มันจะเกิดการแข่งขันรอบที่สองในใจกรรมการทันที และอันไหนดีกว่าอันไหน มันตัดสินใจยาก เรามีโอกาสแพ้ก็ได้

ชนะก็ได้ จะยอมให้เกิดการถูกตัดสินสองรอบเพื่อ? ในเมื่อเราทำให้มันเหลือแค่หนึ่งครั้งได้ แค่ไม่ซ้ำจุดขายกับคนอื่น”

“เออ พี่เห็นด้วยกับนาเดีย น้องทำการบ้านมาโคตรดีเลยอ้ะ”

พี่นกตบมือฉาดตอนที่พูด ที่จริงที่นาเดียพูดมามันก็ถูกนะ ผมเห็นด้วย แต่เอาตรงๆ นี่เริ่มหวั่นใจ เพราะถ้าพี่นกดูเห็นด้วยแบบนี้ แปลว่าผมต้องไปเต้น Fortune cookie ตามสไลด์พรีเซ็นเทชั่นของนาเดียน่ะสิ ไม่เอานะเว้ยยยยย

“ดังนั้นเรามาดูกันว่า ภาควิชาอื่นๆ เขาใช้จุดขายอะไรกัน”

นาเดียเปิดสไลด์บนมือถืออีกครั้ง เลื่อนมาสองสามที หยุดตรงสไลด์ที่ชื่อว่า “คู่แข่ง” บรรทัดแรกเขียนว่า ศัลยกรรมกระดูก orthopeadics

“พวกออร์โถขายหล่อ และขาย sexy guy พวกฮีขายแบบนี้ทุกปี และชนะทุกปีด้วย ดังนั้นมึงขายหล่อ ขาย sexy guy ไม่ได้แน่นอน ตัดทิ้ง” นาเดียเคาะบนหน้าจอมือถือ แล้วเครื่องหมาย x สีแดงก็ขึ้นมา

สไลด์ถัดไป วิสัญญีวิทยา anesthesia

“ใครๆ ก็รู้ว่าดมยาสวยทุกปี ปีนี้ทั้งสวยทั้งเฟียซซซ” นาเดียลากเสียงทั้งสูงและยาว เคาะหน้าจออีกที เครื่องหมาย X สีแดงขึ้นมาอีกรอบ “ดังนั้น แกขายสวยไม่ได้ ขายเฟียซก็ไม่ได้เช่นกัน แพ้แน่”

เอาตรงๆ...เฟียซคือไรผมยังไม่รู้เลย ไอ้สวยน่ะเข้าใจ แล้วก็คิดอยู่แล้วว่าไม่จะขายสวยได้หรอก นึกถึงหน้าเพื่อนร่วมเทรนนิ่งในสาขาแล้ว มันไม่ได้จริงๆ อ้ะ

“ต่อมา ขายขำ”

นาเดียเลื่อนไปสไลด์ถัดไป ภาควิชา ศัลยศาสตร์ surgery

“แค่พวกเด็นท์ศัลย์โผล่หน้าขึ้นเวที คนก็ขำกันแล้วแก นึกออกใช่ไหม อีพวกนี้น่ะปีนี้สุดจริงๆ ให้มันขึ้นไปเล่นละครใบ้ยืนเฉยๆ คนก็ยังขำได้ ดังนั้น เลิกคิดไปได้เลยเรื่องขายขำ” นาเดียเคาะหน้าจอมือถือ และเป็นอีกครั้งที่เครื่องหมาย X สีแดงขึ้น

“ยังไม่หมดนะ ยังมีต่อ” นาเดียเลื่อนสไลด์ถัดไป ภาควิชา จิตเวชศาสตร์ psychiatry

“ขาย performance ล้วนๆ เลยพวกนี้ สายศิลปิน”

“พวกเด็นท์จิตเวชเนี่ย ความสามารถสูงทั้งนั้น มาสุดทุกคน โดยเฉพาะด้านศิลปศาสตร์ บางปีก็ขึ้นมาขับร้องระดับโอเปร่า บางปีก็เล่นดนตรีเป็นวงใหญ่ ปีนี้ได้ข่าวว่าจะมาแนวละครร้อง musical ดังนั้นถ้าจะให้ไปแข่งความสามารถ แบบ Thailand got talent พวกแกแพ้จิตเวชตั้งแต่คิดแล้วค่ะ เพราะฉะนั้น…”

เหมือนเคย นาเดียเคาะบนหน้าจอมือถือ แล้วเครื่องหมาย X สีแดงก็ขึ้นมา

“เราสู้ด้วยความสามารถไม่ได้ค่ะ ตัดทิ้ง”

เออ...ขายหล่อสวยไม่ได้ ขำก็ไม่ได้ ความสามารถก็ไม่ได้...ที่จริงก็ไม่มีจะขายด้วย ทีนี้จะเหลืออะไรให้ภาควิชาผมวะเนี่ย

นี่ไล่ฟังมานี่ ก็แทบจะนึกไม่ออกอยู่แล้วนะว่าจะเหลืออะไรให้พวกผมขายได้บ้าง แต่ทว่านาเดียยังไม่จบ

“ลำดับถัดไป” สไลด์โชว์เป็นรูปภาควิชา กุมารเวชกรรม pediatrics “ภาควิชาของฉันเอง ที่ฉันจะไม่ไปร่วมแสดง”

“ภาคแกขายอะไรอ้ะนาเดีย” ผมถาม

“ขายหน้ามั้งแก ฉันว่า” นาเดียยักไหล่ เบ้ปาก อารมณ์นางร้ายในตำนานเต็มที่

“ภาควิชาฉันเป็นการแสดงแกงโฮะ คือเอาสวย หล่อ เฟียซ ตลกมารวมกัน ฟังดูเหมือนดีใช่ไหมล่ะแก แต่แปลว่าไม่มีจุดขายอะไรของตัวเองสักอย่าง ขำก็สู้เขาไม่ได้ สวยก็สู้เขาไม่ได้ หล่อ sexy ก็ไม่ได้ สุดท้ายมันคือแกงโฮะรวมของความพ่ายแพ้ ดังนั้นนี่คือการ ขายหน้า”

นาเดียเคาะหน้าจอมือถืออีกครั้ง คราวนี้เครื่องหมาย X สีแดง สามอันติดขึ้นมาพร้อมกัน

“อย่าไปทำตามทีเดียวนะ ขอเตือน แต่ไม่ต้องเตือนหรอก เพราะการแสดงที่ฉันเตรียมไว้ให้แก รับรองไม่มีทางขายหน้า”

และนางก็เลื่อนสไลด์ไปถึงอันสุดท้าย ภาควิชา อายุรกรรม internal medicine พอนาเดียเคาะมือถืออีกครั้ง ตัวหนังสือสีเขียวใหญ่เบ้งก็เด้งขึ้นมา “ขายกระแส”

“ขายกระแส? เหรอ”

ผมถาม นาเดียพยักหน้า

“ถูกต้องแก เราจะเล่นตามกระแส ตอนนี้ BNK48 กำลังมา นี่แหละคือกระแส แล้วคิดดูนะ แกไปทางไหนไม่ได้แล้วจะหล่อ สวย sexy ขำ เฟียซ ความสามารถ กระทั่งขายหน้า ยังมีคนอื่นจองไปหมดแล้ว ช่องว่างเดียวที่เหลืออยู่คือ กระแส อะไรก็ได้ที่อยู่นกระแส ดังๆ เอามาเล่นได้”

“เอ่อ...ถ้าจะขายกระแสของอะไรที่คนพูดถึง เราว่า the face ก็ได้ไหม เอามาเลียนแบบ the face all stars ไง กำลังมาแรงเหมือนกัน” ผมพยายามข้างๆ คูๆ เสนอทางเลือกอื่นมาให้

“โถ ตะวัน มึงจะจัด the face มึงดูหน้าเด็นท์แต่ละคนในภาคมึงก่อนดีไหมคะ หน้าหล่อ อันนี้ก็พอไหวนะ แต่ส่วนสูงแต่ละคนเนี่ย เกินหลักกิโลเมตรกันบ้างไหม รวมถึงแกด้วยเนี่ย ถ้าแกจัด the face ได้มีคนถามกันพอดีว่าหานายแบบ หรือหาสมัครพรรคพวกไปทิ้งแหวนที่มอร์ดอร์”

โอ๊ยยย เจ็บ เจ็บมาก นาเดียเป็นเพื่อนรักกัน ทำไมต้องเล่นจุดอ่อนกันขนาดนี้ด้วยเนี่ย เจอคำตอบนี้เข้าไป ผมปิดปากเงียบกริบไม่กล้าออกความเห็นเลย ได้แต่หันไปมองพี่นก เผื่อพี่เขาจะเถียงได้ หรือมีความเห็นอะไรใหม่ที่ทำให้ภาควิชาเรารอดพ้นจากการเต้น Fortune cookie ได้บ้าง

“พี่ว่า...” พี่นกเปิดปาก “พี่เห็นด้วย”

แล้วก็ตบตักฉาดใหญ่ “เจ๋งมากนาเดีย วิเคราะห์ดีมาก พี่เห็นด้วย ซื้อเลย เอา ปะซ้อม”

“อ้าวเฮ้ยยย พี่นก เอาจริงดิ”

กลายเป็นผมนี่แหละที่กลายเป็นอะไรเอ่ยไม่เข้าพวก พี่นกกับนาเดียเข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ยเสียอย่างนั้น ถึงขนาดว่าจะให้ตามเพื่อนๆ มาร่วมซ้อมกันตอนนี้

“ตะวันเอ๊ย นาเดียมันวิเคราะห์มาถูกแล้วนะ เอาเหอะ เต้น Fortune cookie น่าจะเป็นทางออกเดียวที่เข้าท่าที่สุดของพวกเราที่เหลืออยู่แล้ว ยังไงก็คงไม่ได้ที่โหล่หรอก”

พี่นกตบไหล่ผม เหมือนจะปลอบนะ แต่ผมรู้สึกว่ากำลังโดนบังคับว่ะ

“โอ๊ย! ไม่ต้องห่วงค่ะเจ้นก ที่โหล่น่ะ ภาควิชาหนูจองค่ะพี่ แกงโฮะขนาดนั้น”

นาเดียกลอกตา ก่อนที่จะรับปากที่นกเป็นมั่นเหมาะ “เดี๋ยวหนูสอนเต้นให้เองค่ะเจ้ รับรองว่าน้องๆ ของเจ้ต้องได้สักรางวัล ชั-ว-ร์-”

“อ้ะ ตะวัน” นาเดียหันมาทางผม

“แกเป็นน้องโมบายล์นะ เป็นเซ็นเตอร์”

“หา!?”

“ไม่ต้องหาใครที่ไหนหรอก แกเนี่ยแหละเป็นโมบายล์”

อ้าวเฮ้ย! อะไรวะเนี่ย

โอเค เข้าใจ ยอมรับว่าต้องเต้นเพลงนี้ แต่ที่ผมคิดไว้ คือผมอยู่หลังๆ เต้นผิดบ้างถูกบ้างไม่มีใครมองเห็น แต่นี่นาเดียให้ผมเป็นเซ็นเตอร์ที่ต้องอยู่หน้าสุด แถมกลางสุดด้วยเนี่ยนะ

“แกเป็นเซ็นเตอร์ไม่ได้เหรอนาเดีย คนอื่นๆ จะได้มองแก จะได้มีแกเป็นแบบเต้นได้ไม่พลาดงี้ไม่ดีกว่าเหรอ”

“ไม่ได้หรอกตะวัน เพราะฉันจะอยู่ตำแหน่งแคปเฌอปราง”

“อ้าว! แล้วถ้าเราเต้นผิด ทำไงอ้ะนาเดีย เรากลัวว่ะ”

สิ่งที่ผมกลัว คือไอ้นี่นั่นละแค่เต้นกายบริหารสั้นๆ ตอนสมัยประถมยังเต้นผิดๆ ถูกๆ กับเพลงยาวๆ แถมท่ายากด้วย จะไปเหลืออะไร

นาเดียตบไหล่ผม มองหน้าด้วยแววตาของคนที่มีความเห็นใจเต็มเปี่ยม แอบดีใจว่านาเดียจะยอมเปลี่ยนตำแหน่งแทน แล้วให้ผมไปอยู่ด้านหลังๆ

“ทางออกง่ายมากแกตะวัน” นาเดียบีบไหล่ผมแน่น

“แกก็อย่าเต้นให้ผิดสิ อ้ะ ซ้อมกันได้เลย”

โธ่เว้ยยยยยย!!!

 

21:45

ที่จริงไม่ได้มีเคสยุ่งยากอะไร ส่งเวรเสร็จตั้งแต่ยังไม่หกโมงด้วยซ้ำ เคสรับใหม่ก็ไม่มี เวรก็ไม่ได้อยู่ แต่ต้องซ้อมเต้นเพลง Fortune cookie แถมนาเดียเอาจริงสุดๆ ถึงขั้นไปขอยืมห้องออกกำลังกายของแผนกเวชศาสตร์ฟื้นฟู ที่มีกระจกแบบ dance studio เพื่อใช้ในการซ้อมเต้นเลยทีเดียว

ตอนแรกก็คาดหวังว่าเพื่อนๆ แพทย์ประจำบ้านร่วมชั้นปีเดียวกันกับผมคนอื่นๆ จะกระบิดกระบวนไม่อยากเต้น แต่ที่ไหนได้ ทุกคนสนุกสนานมากกับการได้เต้นเพลงนี้ เลยกลายเป็นว่าผมนี่แหละ อะไรเอ่ยไม่เข้าพวกของจริง

ที่จริงผมชอบเพลงนี้นะ แต่การชอบเพลงนี้ กับการต้องมาเต้นเพลงนี้ มันคนละเรื่องกันนี่หว่า แต่สายเกินกว่าจะเปลี่ยนใจ เพราะตอนนี้ทุกคนเต้นกันไปได้ครึ่งเพลงแล้ว ส่วนผมที่เป็นเซ็นเตอร์จำยอม ยังสะดุดขาตัวเองตอนเต้นท่อนแรกของเพลง

กว่าจะซ้อมท่อนแรกจนพอใจนาเดียมัน ปาไปก็เกือบสามทุ่มครึ่ง ดีนะผมบอกว่าพี่ปอรออยู่ที่คอนโด นาเดียเลยปล่อยพวกเรากลับก่อน แต่มีข้อแม้ว่าต้องกลับไปฝึกต่อ พรุ่งนี้ตอนเย็นเจอกันอีกรอบ...ถ้ารู้ว่ามาเรียนเฉพาะทางแล้วต้องมาเจออะไรแบบนี้ ผมไม่กลับมาเรียนดีกว่า

บ่นในใจไปเรื่อยเปื่อยจากรถไฟฟ้า มาถึงปากซอยพอดี ผมเหลียวซ้ายแลขวามองไปทางวินมอเตอร์ไซค์ แอบนึกว่าขอให้เจอคนขับคนเดิมทีเถอะ แต่คงไม่บังเอิญขนาดนั้นหรอกมั้ง ที่จริงตอนนี้เหลือใครก็ได้ ผมยอมซ้อนหมด อยากกลับห้องพี่ปอไปอาบน้ำนอนจะแย่แล้ว

อ้าว! นายวินคนเดิมยังอยู่จริงๆ ด้วย

ผมเห็นเขากำลังก้มหน้าดูโทรศัพท์มือถืออยู่ ในหูก็เสียบหูฟัง พอเดินเข้ามาใกล้ๆ ก็ได้ยินเขากำลังฮัมเพลงเบาๆ อย่างสบายอารมณ์ ผมว่ามันเนื้อกับทำนองมันคุ้นๆ นะ แต่ยังนึกไม่ออกว่าเพลงอะไร

“นี่คุณวิน”

ผมลองเรียกเขาเบาๆ แต่ไม่ได้ผล เขายังคงก้มหน้าดูมือถือ พลางฮัมเพลงต่อไป

“คุณวินครับ คุณวิน”

ผมลองเพิ่มวอลลุ่มดู แต่เขาก็ยังคงไม่ได้ยิน สงสัยพ่อคุณเปิดวอลลุ่มฟังเพลงดังสุดแหงๆ เรียกยังไงก็คงสู้เสียงเพลงในหูเขาไม่ได้ ผมตัดสินใจเดินเข้าไปกระตุกชายเสื้อวินเขาเบาๆ

“คุณวิน คุณวินครับ”

เขาสะดุ้งนิดนึง ก่อนจะกระชากสายหูฟังออก “อะ...เอ่อ ครับคุณหมอ” ผมได้ยินเสียงเพลง “ให้ฉันดูแลเธอ” ของแหนม รณเดช ดังออกจากหูฟัง เขารีบกดปิดเพลง

“กลับมาดึกจังนะหมอ” เขายิ้มแยกเขี้ยวทักทาย พลางเกาหัวแก้เก้อ

“นายนี่ ฟังเพลงดังๆ ระวังหูเสื่อมนะ เรียกตั้งนานไม่ได้ยิน”

“อ๋อ! แหะๆ คือใจลอยนิดหน่อยน่ะหมอ พอดีดูเฟซแฟนเก่าอ้ะ”

“นายหมายถึงเฟซบุ๊กใช่ปะ?” ผมถามกลับ เขาก็พยักหน้า

“ทำไมอ้ะ คิดถึงแฟนเก่าเหรอ” เออ พอถามเสร็จแล้วถึงเพิ่งนึกได้ จะไปยุ่งอะไรเรื่องส่วนตัวเขากันเล่า รู้จักกันรึก็เปล่า เดี๋ยวเขาเกิดไม่พอใจที่ไปจุ้น จะแย่เอา

ดีที่เขาไม่ได้โกรธ กลับหันมายิ้มแห้งๆ ใส่เฉยๆ

“ก็...นึกถึงมากกว่ามั้งหมอ ไม่ได้คิดถึงหรอก”

พูดจบเขาก็ถอดสายหูฟังออกจากมือถือ พันรอบๆ แล้วเก็บเข้ากระเป๋ากางเกง

“ยังไง นึกถึงกับคิดถึง ต่างกันด้วยเหรอ”

“ต่างสิหมอ ถ้านึกถึง มันเหมือนเขาผ่านมาในความคิดเฉยๆ แต่ถ้าคิดถึงมันจะมีความรู้สึกว่าอยากให้เขากลับมาอยู่ข้างๆ เราด้วย”

“อ๋อ!” ผมพยักหน้า นึกถึงคำว่า comes acroos the mind คงประมาณนั้นแหละ

“งั้นนายก็แค่นึกถึงเขา แบบนึกถึงเฉยๆ แต่ไม่ได้อยากให้เขากลับมา”

“ก็คนอยู่ด้วยกันมาตั้งสี่ปีน่ะนะหมอ มันก็ต้องมีบ้างล่ะ หมอไม่เคยนึกถึงแฟนเก่าบ้างหรือไง”

ผมส่ายหน้า “หึ! ที่ผ่านมาในชีวิตนี่ไม่เรียกแฟนหรอก คนนี้น่ะคนแรก”

เขาพยักหน้าช้าๆ ทำหน้าทึ่ง

“โอ้โห! หมอโตจนป่านนี้เพิ่งมีแฟนคนแรก นี่ถามจริงนะหมอนะ...หมอยังซิงปะเนี่ย 555”

ผมเผลอตัวตีที่ต้นแขนเขาไปทีนึง

“ทะลึ่งเว้ย ไม่บอก!”

เขายิ่งกลับหัวเราะ “หมอเขินก็บอกมาเหอะน่า โดนถามแบบนี้ อ้ะ ไปคอนโดเดิมใช่ไหมหมอ” พูดจบเขาก็หยิบหมวกกันน็อกใบเดิมยื่นให้

ผมรับมาใส่ “ก็ใช่น่ะสิ มีแฟนเดียว คนเดิม ก็ต้องกลับไปคอนโดเดิมสิ ถามแปลก” แล้วขึ้นไปซ้อนท้ายรถเขา มือข้างหนึ่งจับที่จับด้านหลัง อีกด้านก็คล้องไหล่เขาไว้เหมือนเดิม

“จ้าาาหมอ อ้ะ จับแน่นๆ นะ ผมซิ่งละ”

“เฮ้ย! อย่าซิ่งเว้ย ไม่เอากลัว”

“จับแน่นๆ แล้วกันหมอ จะได้ไม่ตก”

ไม่ถึงสามนาที เขาก็มาส่งผมที่หน้าคอนโดพี่ปอ

“อ้ะ สามสิบ” ผมยื่นเงินให้เขา พลางถอดหมวกกันน็อกยื่นคืนให้ “เออ แล้วก็…”

“แล้วก็อะไรครับหมอ” เขายังคงสวมหมวกกันน็อกอยู่ แต่เพราะกะบังกันลมของเขามันใส ก็เลยทำให้ผมเห็นสีหน้าสงสัยของเขา

“เราก็ชอบเพลงนั้นเหมือนกัน ให้ฉันดูแลเธอ ของแหนม รณเดชอ้ะ” ผมพยักหน้าไปทางมือถือที่เหน็บเอวของเขา คุณวินหัวเราะชอบใจ “เพลงโปรดของลุงกับอาผม แกสองคนชอบฮัมในบ้านบ่อยๆ ผมเลยติดมาน่ะหมอ ไปนะ ฝันดีหมอ”

“อื้มมม นายก็ฝันดีนะคุณวิน”

แล้วเขาก็ขับรถไป...

เออ แปลกดี

ผมไม่ได้หมายถึงเขานะที่แปลก ผมหมายถึงทั้งเขาและผมนี่แหละที่แปลก เป็นคนขี่กับผู้โดยสารกันมาหลายรอบจนกระทั่งเริ่มคุยกันเหมือนเพื่อน แต่ผมยังไม่รู้จักชื่อเขาเลย ครั้งหน้าต้องถามแล้วละ จะได้ไม่ต้องเรียก คุณวิน กับ คุณหมอ แบบนี้

 

วันงานหนึ่งร้อยวัน

“และทีมที่ชนะการแข่งขันการแสดงในงานหนึ่งร้อยวันปีนี้ได้แก่…ศัลยกรรมกระดูก จากการแสดงชุด Strip that down ครับ!!!”

ผมกลอกตาวนจากขวาไปซ้าย จ๊ะเอ๊กับสายตานาเดียพอดีที่กลอกจากซ้ายวนมาขวาพอดี เราสองคนนั่งติดกันตอนประกาศรางวัลในงานหนึ่งร้อยวันให้แพทย์ประจำบ้าน

มันไม่ใช่เรื่องเกินความคาดหมายที่พวกออร์โถได้รางวัลชนะเลิศ วัดจากเสียงกรี๊ด (ของกรรมการ) ตอนที่พวกนั้นออกมาพร้อมเพลง Strip that down รู้อยู่แล้วว่าเอาที่หนึ่งไปกินแน่นอน

“ขอเชิญตัวแทนทีมมารับรางวัลชนะเลิศครับ โทรทัศน์จอพลาสม่า 42 นิ้ว กับเครื่องเล่นเกม PS4 pro ครับ”

ไอ้กรรมการก็ประกาศกระแทกเสียงจริง โอย! เห็นแล้วอิจฉา อยากได้บ้าง คิดพลางหันไปมองตู้เย็นที่อยู่ข้างเวที...เอาน่า พวกผมก็ไม่ได้แย่หรอก อย่างน้อยเราก็ได้ที่สาม ได้ตู้เย็นอย่างที่ต้องการมาในครอบครอง พร้อมกับไข่ไก่สดหนึ่งตะกร้า

ใช่ครับ Fortune cookie เก้ๆ กังๆ ของภาควิชาผม คว้ารางวัลที่สามจากการประกวดการแสดงของแพทย์ประจำบ้าน!

พี่นกงี้หน้าบานไปเลย ถึงจะได้ที่สามก็เถอะ เอาตรงๆ พวกเราก็เล็งตู้เย็นไว้อยู่แล้ว งานนี้ถือว่าได้ที่สามก็ช่าง แต่ได้สิ่งที่ต้องการ ก็วินแล้ว

แผนขายกระแส ได้ผลจริงๆ ตามที่นาเดียคาด ได้โชคช่วยด้วยที่กรรมการสองในสาม เป็นแฟนคลับวง BNK48 เลยทำให้ได้คะแนนบวกเพิ่มอีก โดนทีมศัลยกรรมเฉือนชนะได้ที่สองไปนิดเดียว ก็พวกนั้นขึ้นมาแสดงตลกนี่นา...เออ ดี รู้อยู่แล้วว่าตลก เลยขึ้นมาแสดงตลกคาเฟ่ไปเลย จะได้จบเรื่องจบราว

สรุป ที่หนึ่งขายหล่อ ชนะไป

ที่สอง ขายขำเฉือนชนะ ที่สามพวกผมที่ขายกระแส

ส่วนพวกดมยาที่สวยและเฟียซ (ออกเสียงแบบนี้ถูกใช่ไหม) พลาดตรงที่กรรมการเป็นผู้หญิงเยอะ เลยทำให้ความสวยความเฟียซ แปลงเป็นความน่าหมั่นไส้ ตกรอบไป

ส่วนภาควิชากุมารเวชกรรม ก็อย่างที่นาเดียทำนายจริงๆ คือ ขาย...หน้า ได้มาม่ากลับภาควิชาไปหนึ่งลัง แอบเห็นว่าเป็นรสหมูสับธรรมดาๆ ด้วยนะ

“และหลังจากนี้เป็นต้นปายยยยยย” กรรมการลากเสียงยาว “จะเป็นช่วง after party เรามาแดนซ์ให้สุดเหวี่ยงฉลองชีวิตหนึ่งร้อยวันแรกของเรสซิเด็นท์กันครับ ไหนของเสียงหน่อยสิว่า พวกเราจะทำไมนะ?”

“เรียน และ เยิน ไป ด้วย กัน!!!”

ทั้งห้องประชุมตะโกนตอบรับ ใครเป็นคนคิดโค้ดนี้กันวะเนี่ย...แล้วดนตรีอินโทร.เพลง turn up the music ก็ดังขึ้น เรสซิเด็นท์รอบตัวผมลุกขึ้นมุ่งสู่ฟลอร์หน้าเวที นาเดียสะกิดผม “ไปแก ไปแดนซ์กัน”

ผมส่ายหน้า “ไม่อะแก พี่ปอรอรับกลับอยู่เนี่ย ขอกลับเลยแล้วกันนะแก”

นาเดียกลอกตาใส่ผม “ย่ะ เชิญเถอะย่ะ แม่คนมีเจ้าของแล้ว คอยดูนะ คืนนี้ฉันจะสารภาพรักกับพี่เขาดู”

ประโยคนั้นทำเอาผมหันหลังขวับทันที

“เดี๋ยว แกจะสารภาพรัก? สารภาพรักกับใครวะนาเดีย ทำไมฉันไม่รู้มาก่อน”

นาเดียหรี่ตาใส่ผมอย่างคนเจ้าเล่ห์

“ไม่บอกย่ะ ไว้ได้เป็นแฟนพี่เขาก่อน แล้วฉันจะบอก อ้ะ แกจะกลับไม่ใช่เหรอ รีบๆ กลับไปได้แล้วไป พรุ่งนี้รอฟังข่าวดีของฉันแล้วกัน”

คราวนี้คนที่กลอกตาเป็นผมนี่แหละ

“เออ...เชิญตามสบาย ฉันกลับไปนอนแล้วนะ แล้วก็นาเดีย”

“ทำไมยะ มีอะไรอีก”

“ขอบคุณนะ ที่ทำให้ภาคเราได้ที่สาม”

“อย่ามาทำเป็นซึ้งย่ะ แค่นี้เอง สิวๆ ลืมไปแล้วหรือไงว่าเราสองคนจะ?...”

“เรียน และ เยิน ไป ด้วย กัน”

ผมตะโกนแข่งกับเสียงดนตรีในห้องประชุม พลางมองนาเดียวิ่งถลาไปกลางฟลอร์ ผมยังไม่รู้หรอก ว่าชายหนุ่มปริศนาคนที่นาเดียอยากจะบอกรักน่ะใคร แต่ก็ขอให้เขาสมหวังในความรักแล้วกัน นาเดียเป็นคนดี ควรมีเรื่องดีๆ เกิดในชีวิตนางบ้าง

คิดอย่างนั้นแล้วผมก็หันหลัง เดินออกจากห้องประชุมไป ทิ้งความชุลมุนอึกทึกที่แสนวุ่นวายทว่าสนุกสนานไว้เบื้องหลัง ปาร์ตี้สนุกก็จริง แต่ผมมีคนที่ผมรักและรักผมรออยู่แล้ว

เสียงข้อความเข้า ผมหยิบมือถือมาดู

 

Por DDS ;

พี่จอดรถรอที่หน้าตึกแล้วครับ ลงมาได้เลย

 

ผมยิ้ม...

เห็นไหม ผมมีคนที่ผมรักและรักผมรออยู่แล้ว

 

มือถือดังตอนเที่ยงคืนครึ่ง

ผมกับพี่ปอเพิ่งเข้านอนกันได้ไม่ถึงครึ่งชั่วโมงดี ปกติผมจะไม่ปิดมือถืออยู่แล้ว แต่จะลดเสียงลง และวางไว้ข้างๆ หมอนเผื่อมีเรื่องฉุกเฉิน โรงพยาบาลจะได้โทร.ตามได้ โดยไม่รบกวนพี่ปอ แต่คืนนี้ผมลืมหรี่เสียง เลยทำให้พี่ปอตื่นด้วย

“ขอโทษฮะพี่ปอ นอนต่อเถอะ สงสัยโรงพยาบาลตามน่ะฮะ”

เขาพยักหน้า มือของพี่ปอยังพาดไว้บนตัวผมอยู่ พอหยิบมือถือมาดู ปรากฏว่าไม่ใช่โรงพยาบาลโทร.มา แต่เป็นสายจากนาเดียโทร.มา มันมีอะไรหรือเปล่าวะ ผมรีบกดรับสาย

“ฮัลโหล แกนาเดีย มีอะไร”

“… …”

“อ้าว! นาเดีย โทร.มาแล้วอย่าเงียบสิแก มีอะไรอ้ะ”

“…แก…”

ปลายสายน้ำเสียงไม่ค่อยโอเคเลย ผมรู้สึกใจไม่ดี มันเป็นอะไรหรือเปล่า ได้รับอุบัติเหตุอะไรหรือเปล่าเนี่ย ผมเริ่มกังวล

“เฮ้ย! นาเดีย...นาเดีย แกเป็นอะไรหรือเปล่า นี่อยู่ที่ไหนอ้ะ เจ็บอะไรตรงไหนไหม”

“เจ็บ...เจ็บที่หัวใจนี่อ้ะแก…เขาไม่รักฉันว่ะ ฮือ...”

เอ๊ะ! เดี๋ยวนะ ทำไมเนื้อหา จังหวะจะโคนในการพูด และน้ำเสียงมันแปลกๆ เนี่ย บ้าบออะไร เจ็บที่หัวใจ

“นี่แกเมาหรือเปล่าเนี่ยนาเดีย” ผมถาม

“ไม่มาววว แกก็รู้ ฉันไม่เคยเมา”

โอเค…ชัดสุดๆ นาเดียเมาที่สุดแล้ว ถ้ามันพูดแบบนี้

“เฮ้ย! นาเดีย สติ ตั้งสติ แกอยู่ที่ไหน เดี๋ยวฉันไปรับ”

“อยู่ที่เดิมแหละ แก เขาไม่รักฉันว่ะแก...แกไม่ต้องมารับฉัน ฉันเดินกลับเองได้”

“โอ๊ยยย มึงคงกลับไหวหรอกนาเดีย เอางี้นะ แกอยู่ที่เดิม นั่งอยู่อย่างนั้นนะ เดี๋ยวฉันจะไปหา รอแป๊บเดียว แป๊บเดียว อย่าเพิ่งลุกไปไหน อย่าเพิ่งทำอะไร”

“เดี๋ยว ฉัน จะ ไป หา”

พูดจบผมก็วางสาย หันไปทางพี่ปอ...

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น