๘
ยายตุ๊กตาล้มลุก
หลังออกมาจากห้องพักของธนาดลแล้วอารดาก็ไปยังห้องพักของตัวเอง หล่อนไม่ได้พักผ่อนเหมือนเขา เพราะต้องจัดการเรื่องต่างๆ ให้เขาก่อน เจ้าตัวจึงโทรศัพท์หาพี่สาวคนรองเพื่อขอให้พี่ช่วยโทร. บอกผู้จัดการของไลน์ผลิตให้จัดหาคนไปซื้อเสื้อผ้าผู้ชายแล้วก็ข้าวของที่จำเป็นสำหรับค้างหนึ่งคืนมาให้ด้วย ซึ่งจริงๆ แล้วหล่อนจะออกไปซื้อเองก็ได้ แต่ก็ไม่เคยซื้อเสื้อผ้าให้ผู้ชายมาก่อน จะไปไหว้วานผู้จัดการคอนโดของธนาดลก็ใช่ที่ ก็มีแต่ทางนี้ละที่พอจะขอให้ช่วยได้
อิงสรณ์รับปากจะส่งคนไปช่วยเหลือน้องสาวตามที่อีกฝ่ายต้องการ แต่ก่อนจะวางสายไปอิงสรณ์ก็กำชับให้อารดาหาโอกาสบอกธนาดลเรื่องที่เป็นญาติกับเจ้าของบริษัทคู่แข่ง เพราะไม่อยากให้ธนาดลไปรู้ทีหลังแล้วจะเข้าใจผิดกันไปเปล่าๆ
อารดาก็ได้แต่รับคำและขอบคุณคำแนะนำของพี่สาวก่อนจะวางสายไปด้วยความหนักใจ ก่อนกลับเข้ามาในห้องพักของธนาดล ปิดประตูอย่างเงียบเชียบ ไม่ให้เกิดเสียงดังรบกวนเขา
หญิงสาวยกเก้าอี้มานั่งเฝ้าธนาดลข้างเตียง หล่อนมองใบหน้าหล่อเหลาในยามหลับของเขาอย่างหนักใจ คิดไม่ออกว่าจะหาจังหวะพูดกับเขาได้อย่างไรโดยที่ไม่ให้เขาโกรธ
‘คุณดล ปุ๊กไม่ได้อยากหลอกคุณ แต่กลัวว่าถ้าพูดความจริงออกไปแล้ว คุณจะมีปฏิกิริยาอย่างไรต่างหาก’
หล่อนคิดในใจวนไปมาอยู่อย่างนั้น เหมือนพายเรืออยู่ในอ่างน้ำที่ไม่มีจุดสิ้นสุดจนเริ่มง่วง เจ้าตัวจึงหยิบหมอนพิงหลังมากอดแล้วก็นั่งสัปหงกเฝ้าเขาต่อไป
เวลาผ่านไปจนกระทั่งถึงช่วงหัวค่ำธนาดลก็ลืมตาตื่นขึ้นมา สิ่งแรกที่เขาเห็นคืออารดาที่นั่งหลับอยู่บนเก้าอี้ กอดหมอนเอาไว้และทำตัวเป็นตุ๊กตาล้มลุกโงนเงนไปมา
ชายหนุ่มมองตุ๊กตาล้มลุกมีชีวิตอยู่นาน จากตอนแรกหงุดหงิดที่โดนหล่อนกระตุกหนวดเสือ แต่ตอนนี้กลับหลุดยิ้มออกมาอย่างขบขัน เมื่อเขารับรู้ถึงความเป็นห่วงเป็นใยของหล่อนที่อุตส่าห์นั่งหลับเฝ้าเขาอยู่ตรงนี้ ทั้งที่ก่อนจะหลับไป เขาออกปากไล่หล่อนเสียขนาดนั้นแล้วแท้ๆ
‘ยายบ๊อง คุณนี่มันบ๊องจริงๆ’
เขานอนมองแม่สาวตุ๊กตาล้มลุกอยู่ครู่ใหญ่ จนกระทั่งเสียงเคาะประตูห้องดังขึ้นและอารดาก็สะดุ้งตื่น เขาจึงรีบหลับตาลง แกล้งทำเป็นว่ายังหลับอยู่ ส่วนอารดากระวีกระวาดไปเปิดประตูห้อง เพราะหล่อนสั่งอาหารกับรูมเซอร์วิซเอาไว้
อารดารอให้พนักงานนำอาหารเข้ามาวางบนโต๊ะเล็กที่พอจะนั่งกินอาหารกันได้ จากนั้นหล่อนก็ให้ทิป แล้วก็ไปปิดประตูอย่างเบามือที่สุด แต่พอเดินกลับเข้ามาก็เห็นว่าคนบนเตียงลุกขึ้นมานั่งแล้วเรียบร้อย
“ขอโทษนะคะที่ทำให้ตื่น แต่นี่หัวค่ำแล้วค่ะ คุณมียาต้องกินอีก แต่ต้องกินอาหารก่อน ยาจะได้ไม่กัดกระเพาะ แล้วถ้าคุณอยากอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า ฉันก็ซื้อเสื้อผ้ามาให้คุณเรียบร้อยแล้วอยู่ในตู้เสื้อผ้า ตอนนี้คุณรู้สึกยังไงบ้าง ปวดหัวหรือเปล่า หรือไม่โอเคตรงไหนหรือเปล่าคะ”
น้ำเสียงและสีหน้าของหล่อนเป็นห่วงเขาอย่างมาก ทำเอาความหงุดหงิดเมื่อตอนกลางวันกลายเป็นเรื่องตลกไปเลยทีเดียว ยิ่งพอรู้ว่าหล่อนทำอะไรให้บ้างก็ใจอ่อนยวบ
“ผมไม่เป็นไร ยังปกติดีทุกอย่าง ไม่ปวดหัว ไม่รู้สึกเจ็บอะไร แต่อาจจะมึนยานิดหน่อย” ธนาดลตอบแล้วขยับตัวจะลงจากเตียง อารดาเห็นดังนั้นจึงเข้าไปจะช่วยพยุง แต่เพราะหล่อนเข้าไปในตอนที่เขายังไม่ได้ตั้งหลักให้ดี ทำให้เขาล้มลงบนเตียง ส่วนหล่อนก็ล้มทับตามจนกลายเป็นตอนนี้หล่อนขึ้นคร่อมเขาไปเสียอย่างนั้น
กรี๊ด!!! บทนี้หนูยอมค่ะเจ้าแม่ แต่ไม่ใช่เวลานี้สิคะ รุกคนเจ็บแบบนี้มันไม่ดีนะคะ!
อารดากรี๊ดในใจแล้วรีบถอยออก ใบหน้าแดงจัดและทำตัวไม่ถูก ใครจะไปคิดว่าจะได้รุกเขาในสถานการณ์นี้
“ดะ...เดี๋ยวฉันออกไปรอคุณที่ระเบียง ถ้าคุณจัดการตัวเองเรียบร้อยแล้วก็เคาะประตูบอกแล้วกัน เอ่อ ที่ฉันไม่กลับไปรอที่ห้องตัวเอง เพราะฉันกลัวคุณจะปิดประตูไม่ยอมเปิดให้ฉันเข้ามาอีก” หล่อนบอกแล้วทำท่าจะวิ่งปรู๊ดไปที่ประตูระเบียง แต่กลับถูกเขาคว้าแขนไว้
“คุณไม่ต้องออกไปไหน รับรองว่าผมไม่ยืนโป๊ให้คุณเห็นซิกซ์แพ็กของผมหรอก” ชายหนุ่มกล่าวจบก็ลุกจากเตียง เดินอ้อมหลังหล่อนไปที่ตู้เสื้อผ้า หยิบเสื้อผ้าออกมาแล้วเดินเข้าห้องน้ำ
อารดาแอบเสียดาย เลือดกำเดาความหื่นก็เกือบไหล เพราะหล่อนดันจินตนาการไปถึงซิกซ์แพ็กของเขา แทบอยากจะลอยตามเขาเข้าห้องน้ำไป จนต้องเตือนตัวเองหนักๆ ว่า
‘ยุบหนอ พองหนอ อย่าหื่นหนอ อย่าโดนซิกซ์แพ็กตกง่ายๆ หนอ’
ฝ่ายธนาดลพอเข้ามาในห้องน้ำก็นึกทึ่งในความรอบคอบของหล่อน ที่ขมับของเขามีแผลเย็บยาวและไม่ควรโดนน้ำ หล่อนจึงเตรียมของไว้ให้เขาอย่างครบถ้วน ทั้งตะกร้าที่มีผ้าขนหนูเล็กๆ สองผืน สบู่เหลวสำหรับเด็กไว้ล้างหน้า เพื่อที่ว่าจะได้ล้างออกง่ายๆ ส่วนอีกตะกร้าก็เป็นครีมโกนหนวด น้ำยาโกนหนวด ยาสีฟัน แปรงสีฟัน เรียกได้ว่าครบครันมาก จนเขาทั้งประหลาดใจและแอบแปลกใจไปพร้อมกัน
หล่อนมีอะไรหลายๆ อย่างในตัวที่ทำให้เขาคาดไม่ถึงได้อยู่เรื่อย มีความย้อนแย้งในตัวเองอยู่มาก จากที่ดูเหมือนไม่ค่อยได้เรื่อง เป็นผู้หญิงบ๊องๆ พูดมาก วุ่นวาย และจีบเขาอย่างเปิดเผย แต่ก็ไม่ได้รุกจนดูน่าเกลียด และดูๆ ไปก็เป็นผู้หญิงที่น่าสนใจ แต่ก็น่าปวดหัวไปด้วยพร้อมกัน
ธนาดลสลัดความคิดที่เกิดขึ้น แล้วเตือนตัวเองว่าเขาไม่ควรสนใจหล่อน ในเมื่อเขาไม่ได้คิดอะไรกับหล่อน ก็ไม่ควรไปสนใจเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ของหล่อนด้วย
ชายหนุ่มใช้เวลาอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าอยู่หลายนาที ก่อนออกมาจากห้องน้ำ ยอมมานั่งกินอาหารด้วยกันกับหล่อน แทนที่จะหนีไปอย่างที่ตั้งใจไว้
อารดาเอาใจใส่ดูแลเขาอย่างดี ดูได้จากอาหารที่หล่อนสั่งรูมเซอร์วิซเตรียมมาให้ อาหารของเขาเป็นข้าวต้มปลาและมีไข่เจียวปูมาด้วยเผื่อไม่อิ่ม ส่วนของหล่อนเป็นสปาเกตตีไวต์ซอสหอยลายมาพร้อมกับขนมปังกระเทียมชีสที่ใส่ชีสมาอย่างจัดเต็ม บอกให้รู้ว่าหล่อนไม่เสแสร้งรักษาภาพลักษณ์คนรักสุขภาพต่อหน้าเขา ก็เป็นอะไรที่แปลกดี เพราะเขาเพิ่งเคยเจอผู้หญิงหน้ามึนแบบหล่อนมาจีบเป็นครั้งแรก
“อาหารที่นี่อร่อยนะ” เขายิ้มให้
“อร่อยจริงด้วยค่ะ”
“ช่วงทำโครงการหัวหิน ผมมาพักที่นี่บ่อย ก็เลยค่อนข้างชินกับที่นี่”
“มิน่าคุณถึงเลือกโรงแรมนี้”
“คุณคิดว่าผมเลือกเพราะจะแกล้งคุณอย่างเดียวเหรอ”
“ก็...ไม่รู้นี่คะ” อารดายิ้มแฉ่งให้ และม้วนเส้นสปาเกตตีใส่ปากเคี้ยวตุ้ยๆ ดูมีความสุขกับการกินจนแวบหนึ่งเขานึกหมั่นไส้ อยากหยิกแก้มหล่อนเหลือเกิน แต่ก็ไม่ได้ทำ เพราะยังไม่ได้สนิทกันถึงขั้นนั้น
“จริงสิคะ ฉันมานั่งคิดๆ ดูแล้ว ฉันสงสัยเรื่องที่คุณถูกทำร้าย ในเมื่อคุณบอกว่าไม่มีศัตรูที่ไหน และไม่รู้ว่าสองคนนั้นเข้ามาทำร้ายด้วยเรื่องอะไร หรือจะเขม่นเหม็นขี้หน้า ฉันว่ามันดูแปลกๆ นะคะ”
“ผมก็ไม่ได้ว่ามันไม่แปลกสักหน่อย”
“แบบนั้นก็แปลว่า คุณก็มีศัตรูน่ะสิคะ เพราะคงไม่มีใครทำร้ายคนอื่นทั้งที่ไม่รู้จักกันหรอกค่ะ”
“ก็ไม่แน่หรอก คนสมัยนี้หัวร้อน คึกคะนอง เอาอารมณ์เป็นที่ตั้ง แค่ขับรถปาดกันแบบไม่ตั้งใจก็ชักปืนมายิงกันแล้ว หรือแค่เดินชน หรือแค่บังเอิญไปสบตากัน ก็หาว่ามองหน้าทำไม”
“ก็จริงค่ะ” อารดาแบ่งรับแบ่งสู้เห็นด้วยบางส่วน “แต่ดีแล้วนะคะที่คุณโดนทำร้ายแค่นี้ ถ้าหนักกว่านี้มีหวังได้นอนโรงพยาบาลหยอดน้ำข้าวต้มจริงๆ แน่ ไม่มีทางที่คุณหมอจะยอมปล่อยให้คุณออกจากโรงพยาบาลแน่ ต่อให้คุณดื้อแค่ไหน แต่ถ้าคุณต้องพักรักษาตัวที่โรงพยาบาลก็เสียงานเสียการแย่เลย”
‘เสียงานเสียการ’
คำนี้ทำให้ธนาดลฉุกใจคิดขึ้นมา ใครก็ตามที่ทำร้ายเขาและถ้าหวังผลให้เสียงาน แสดงว่าต้องรู้ว่าในช่วงสองวันนี้เขามาทำงานด้วยเรื่องอะไร ถ้าเป็นเรื่องงานคอนโดที่หัวหิน อันนี้ตัดทิ้งไปได้เลย เพราะที่นี่สร้างเสร็จแล้ว เหลือแต่เก็บงานและตรวจสอบระบบ
แต่ถ้าเป็นงานที่ยังไม่ได้สร้าง อยู่ในขั้นตอนตกลงผลประโยชน์ อันนั้นมีแน่ และถ้าเขาไม่กลับกรุงเทพฯ ในวันพรุ่งนี้จะมีผลกระทบตามมาอย่างแน่นอน ถ้าตั้งสมมุติฐานนี้และพุ่งเป้าไปที่เรื่องนี้โดยตรง ก็ไม่ยากที่จะชี้เป้าไปว่าใครกันแน่ที่อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ทำร้ายเขา!
“มีอะไรหรือเปล่าคะ หรือคุณนึกออกแล้วว่าใครที่ทำร้ายคุณ!” เห็นเขาเงียบไป อารดาจึงต้องสะกิดถาม
“เปล่า ไม่ใช่อย่างนั้น พอคุณพูดถึงงาน ผมก็เลยคิดเรื่องงานเฉยๆ” ธนาดลบอกปัด ไม่อยากให้หล่อนเข้ามาวุ่นวายกับเรื่องนี้ไปด้วย
อารดาพยักหน้าเข้าใจ จากนั้นก็กินอาหารต่อและคุยกับเขาด้วยเรื่องเรื่อยเปื่อย โดยระหว่างนั้นเปิดโทรทัศน์ไปด้วยเบาๆ
“ผมมาเรื่องโครงการคอนโด แล้วคุณล่ะมาทำอะไรที่หัวหิน แต่ดูจากการแต่งตัวไม่น่ามาเที่ยว” ธนาดลถามเหมือนชวนคุย แต่ก็ถือเป็นการเก็บข้อมูลไปด้วย เขารู้สึกว่าอชุดสูทสตรีสีขาวที่แอบเซ็กซี่ของหล่อน ไม่ได้เหมาะกับการมาเที่ยวทะเลเลยสักนิด
ฝ่ายอารดาพอโดนถามอย่างนี้ก็นึกอยากให้เขาเลิกฉลาด หยุดช่างสังเกตบ้าง คนอะไรจะช่างสังเกตได้ขนาดนี้
“ฉันเป็นตัวแทนบริษัท มาทำงานให้บริษัทค่ะ”
“ทำงานอะไร ผมหมายถึงรูปแบบงาน”
“เอ่อ ประสานงานทั่วไปค่ะ” อารดาตอบแบบกำปั้นทุบดินสุดๆ แต่ก็มีความจริงอยู่
แต่ธนาดลกลับเลิกคิ้วสูง เพราะคำตอบของหล่อนสวนทางกับตำแหน่งงานก่อนหน้านี้ที่หล่อนบอกเขา
“ผมชักสงสัยแล้วว่าบริษัทของคุณทำอะไรกันแน่ หรือว่าขาดคนขนาดหนักถึงได้ส่งพนักงานฝ่ายประสานของธุรการมาเป็นตัวแทน ต้องออกต่างจังหวัดแบบนี้”
ฉึก! โดนเข้าอีกดอกแล้วค่ะ
อารดากลืนน้ำลาย นึกถึงคำทำนายขึ้นมาทันที ‘…ความลับจะถูกเปิดเผย ไม่ควรเดินทางไกล...’
เฮ้อ เกลียดความแม่นของพี่จินก็คราวนี้นี่ละ!
“เจ้านายใช้งานคุ้มค่ะ” หญิงสาวแถสีข้างถลอก ก่อนจะทำเป็นหันไปสนใจข่าวในโทรทัศน์ กำลังนำเสนอแฟ้มคดีดังในอดีต เกี่ยวกับมือปืนรับจ้างคนหนึ่งที่ก่อคดีดังหลายคดี มีชื่อเสียงในแวดวงซุ้มมือปืน แต่งานสุดท้ายที่รับกลับเป็นชนวนให้ต้องหนีตาย เมื่อมือปืนรายนั้นรับงานยิงลูกชายของผู้มีอิทธิพลในจังหวัดเข้า ทำให้ถูกตามล่าจากกลุ่มผู้มีอิทธิพลและตำรวจ
หลายเดือนต่อมา ตำรวจได้รับแจ้งจากชาวบ้านว่าพบศพปริศนาถูกเผานั่งยางอยู่ในป่าละเมาะ หลังการสืบสวนและตรวจสอบหลักฐานจากศพแล้ว พบว่าศพนั้นคือมือปืนที่ถูกตามล่าอยู่ แต่ตำรวจไม่มีหลักฐานว่าใครเป็นคนฆ่ามือปืนรายนี้ แล้วกลุ่มผู้มีอิทธิพลนั่นก็ปฏิเสธว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการตายของมือปืนรายนี้ด้วย คดีของมือปืนดังจึงเป็นอันจบลง แฟ้มคดีจึงถูกปิดไปด้วยเช่นกัน
อารดาดูภาพข่าวไปอย่างแกนๆ ไม่ได้สนใจเป็นพิเศษ จนกระทั่งสกู๊ปแฟ้มคดีดังจบลง แล้วต่อด้วยคดีปัจจุบันซึ่งเป็นคดีทั่วๆ ไปของคนร้ายที่ใส่หน้ากากผีไปขโมยของบ้านชาวบ้าน
หล่อนฟังแล้วก็ไม่ได้คิดอะไร จนกระทั่งภาพข่าวเปลี่ยนไปฉายภาพละแวกที่เกิดเหตุ ซึ่งถ่ายติดบ้านหลังหนึ่งเข้ามาในเฟรมแวบหนึ่ง แต่แค่แวบเดียวก็ทำให้หล่อนชะงัก พร้อมกันนั้นความทรงจำที่ไม่ค่อยดีก็ผุดขึ้นมา เจ้าตัวจึงหันหน้าหนีจากโทรทัศน์
ธนาดลเห็นปฏิกิริยาของหล่อนดูแปลกๆ แล้วก็นึกถึงตอนที่ทั้งสองคนอยู่หน้าห้องคลอดขึ้นมา วันนั้นมีรายการสารคดีเชิงท่องเที่ยวพาทัวร์ย่านเก่าในอดีต และมีภาพบ้านโบราณไทยประยุกต์ปรากฏอยู่ด้วย น่าจะเป็นยุคเดียวกันกับบ้านในภาพข่าวนี้ แล้วหล่อนก็มีปฏิกิริยาเหมือนกับวันนั้น
หล่อนมีปัญหากับบ้านโบราณงั้นหรือ
กลัวบ้านโบราณ กลัวผีเหรอ หรือมีอะไรที่ทำให้รู้สึกไม่ดีมากกว่านั้น?
ชายหนุ่มสงสัย แต่ก็ไม่ได้ถามออกไปและกินอาหารต่อ หลังจากที่กินอาหารกันเสร็จเรียบร้อย เขาก็ออกไปยืนรับลมที่ริมระเบียง ธนาดลยังไม่อยากนอนต่อ แม้ว่ายาหลังอาหารที่กินเข้าไปจะทำให้เขาง่วงอยู่บ้างก็ตาม ส่วนอารดาก็ออกมายืนรับลมที่ระเบียงเป็นเพื่อน
ชายหนุ่มสังเกตได้ว่ามีบางช่วงที่หล่อนเหมือนอยากจะพูดอะไร แต่สุดท้ายก็ไม่ได้พูด แล้วบางคราวก็ถอนหายใจ ราวกับว่ามีเรื่องที่รบกวนจิตใจอยู่ แต่เขาก็ไม่ได้ถามออกไป คิดว่าถ้าหล่อนอยากจะพูดอะไรก็คงพูดออกมาเองเมื่อพร้อม
“คุณดลเชื่อเรื่องโชคชะตาไหมคะ”
“จะว่าไม่เชื่อก็ไม่เสียทีเดียว แต่ก็ไม่ได้เชื่อแบบสุดโต่ง ผมเชื่อว่าโชคชะตาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต แต่อีกส่วนคือความพยายาม คือตัวเราเองที่ควบคุมมันเอาไว้ คุณถามทำไม มีอะไรหรือเปล่า”
“อ๋อ เปล่าค่ะ ฉันก็แค่คิดว่าโชคชะตาของเราสองคนนี่แปลกดีจัง ทั้งที่เคยเห็นหน้าค่าตากันมาก่อน แต่กลับไม่เคยได้คุยกัน เหมือนคนไม่รู้จักกัน แต่เมื่อเวลาผ่านไปเรากลับได้มาเจอกันและรู้จักกันมากขึ้น มันเหมือนกับว่าเวลาก่อนหน้านั้นยังไม่ใช่ของเรา ฉันก็เลยคิดว่า แล้วหลังจากนี้โชคชะตาและเวลามันจะเป็นของเราหรือเปล่า”
“คุณอยากให้โชคชะตาของคุณ มีผมอยู่ด้วยงั้นเหรอ” ธนาดลถามกลับตรงๆ เพราะมองออกว่าหล่อนโยนหินถามทาง ในเมื่อกล้าโยนมาตรงๆ ก่อน ถ้าอย่างนั้นเขาก็จะถามกลับไปตรงๆ แบบนี้ละ
“แล้วได้ไหมล่ะคะ” อารดาเสี่ยงถามไป เพราะตอนนี้จะใช้วิธีจีบเขาแบบในตำราก็คงไม่รอด ดังนั้นเท่าที่นึกได้ก็มีแต่แบบนี้ละ บอกไปตรงๆ พูดกันให้ชัดๆ ไปเลยว่าหล่อนจะขอจีบเขา ส่วนหลังจากนี้จะหมู่หรือจ่าก็วัดดวงกันไปเลยก็ได้
ธนาดลไม่ตอบคำถามนี้ ไม่ใช่ว่าเขาเกรงใจ หรือยังคิดคำตอบไม่ออก แต่เป็นเพราะวันนี้อารดาช่วยเขามาทั้งวันแล้ว ถ้าจะพูดอะไรให้หล่อนเสียใจก็คงไม่ดี ถึงหญิงสาวไม่ใช่สเปกของเขา พูดมากและวุ่นวายไปบ้าง แต่เขาก็สัมผัสได้ว่าเนื้อแท้ของหล่อนเป็นผู้หญิงที่ดี ไม่มีมารยาร้อยเล่มเกวียน เขาก็เลยคิดว่าวันนี้จะขอละเว้นหล่อนไว้ก่อนแล้วกัน
“ผมไม่ขอตอบคำถามนี้ แต่จะทิ้งคำถามให้คุณเอาไปคิด สมมุติว่าถ้าโชคชะตาบอกว่าเราไม่คู่ควรกัน คุณจะเดินหน้าต่อ หรือว่าหยุดและยอมรับในโชคชะตาครั้งนี้”
ธนาดลกล่าวทิ้งท้ายไว้แค่นั้นก็ไม่พูดอะไรต่อ เขามองท้องทะเลมืดมิดที่อยู่ห่างออกไปเบื้องหน้า แล้วก็คิดว่าโชคชะตามักเล่นตลกกับผู้คนเสมอ อย่างเช่นครั้งนี้โชคชะตาก็ส่งคนที่เขาไม่ได้สนใจ ไม่ได้อยู่ในสเปกมาจีบเขา ส่วนคนที่เขาเคยสนใจและเคยรักเมื่อนานมาแล้ว โชคชะตากลับบอกว่าเขาไม่เหมาะสม ช่างน่าขันสิ้นดี
อารดาไม่ตอบคำถามนี้ หล่อนเพียงแค่ทอดมองไปยังท้องทะเลมืดดำยามค่ำคืน ที่คล้ายกับโชคชะตาของหล่อนในตอนนี้เลยจริงๆ มืดแปดด้านในการจีบเขา แล้วก็มืดแปดด้านกับการบอกความจริงด้วยว่าหล่อนเป็นหลานของคู่แข่งเขา
โชคชะตาช่างใจร้ายกับหล่อนจริงๆ ให้หล่อนสู้ชีวิตคนหล่อ แต่ดันเจอคนหล่อสู้กลับซะงั้น
เฮ้อ...ความรักครั้งนี้ ทำไมช่างดูร่อแร่ รุ่งริ่งจริงจริ๊ง
คิดแล้วก็ได้แต่แอบถอนหายใจ ก่อนจะขอตัวกลับห้องพักของตัวเอง หน้าตาไม่ได้ซึมเศร้าเหงาหงอย แต่ก็ไม่ได้ยิ้มแย้มพูดมากเหมือนก่อนหน้านี้
ธนาดลแอบมองแล้วก็เป็นห่วงอยู่เหมือนกัน แต่เพราะหล่อนไม่ได้พูดอะไร และไม่ได้ร้องไห้หรือแสดงท่าทีเสียใจออกมาตรงๆ เขาจึงไม่ได้พูดอะไรต่อ นอกจากมาส่งหล่อนที่หน้าประตูห้องพักของตัวเอง
“ขอบคุณสำหรับวันนี้”
“ไม่เป็นไรค่ะ ราตรีสวัสดิ์นะคะ”
“เช่นกัน”
อารดากลับมาที่ห้องพักและอาบน้ำเตรียมพักผ่อน แต่เพราะคำถามของเขาที่วนเวียนอยู่ในหัวและคำพูดของพี่สาวที่เตือนหล่อนเอาไว้ก่อนหน้านี้ รบกวนจิตใจหล่อนอย่างมาก มากจนเจ้าตัวนอนไม่หลับ แล้วกว่าจะข่มตาให้หลับลงได้ก็เกือบตีสอง พร้อมกับที่เจ้าตัวตัดสินใจว่าจะต้องหาโอกาสบอกความจริงกับเขาในเร็วๆ นี้!
ยามสายของวันธนาดลก็ขับรถกลับกรุงเทพฯ โดยอารดาขอนั่งไปด้วย หล่อนอ้างว่ารถของตนเองเสีย ธนาดลรู้ดีว่า โกหกทั้งเพ หล่อนแค่อยากจะกลับไปกับเขาเพราะกลัวว่าระหว่างทางที่ขับรถกลับไป ถ้าเกิดเขาไม่สบายหรือเป็นอะไรขึ้นมาจะไม่มีใครช่วย
เป็นครั้งแรกที่เขารู้ทั้งรู้ว่าหล่อนโกหก แต่ก็ยอมตามใจให้หล่อนกลับไปด้วยกัน เพราะเข้าใจในเจตนาและความตั้งใจของหล่อน ส่วนรถยนต์ของอารดานั้น หล่อนให้ผู้จัดการไลน์ผลิตช่วยจัดการหารถสไลด์มาเอารถของหล่อนไปส่งที่คอนโดที่กรุงเทพฯ แล้วเรียบร้อย
แต่ถึงอย่างนั้นธนาดลก็อดแปลกใจไม่ได้ว่า เมื่อคืนเขาพูดไปขนาดนั้นแล้วแท้ๆ คิดว่าเช้านี้หล่อนจะเล่นบทนางเอกหลบหน้าเขาหรือซึมไปแล้ว แต่ที่ไหนได้ หล่อนกลับทำตัวตามปกติ สีหน้าท่าทางก็ไม่ได้อมทุกข์ ห่อเหี่ยวแต่อย่างใด หรือหล่อนคิดว่า ตราบใดที่เขาไม่พูดออกมาตรงๆ ว่าไม่รักไม่ชอบ ก็แปลว่ายังพอมีความหวังอยู่
ถ้าหล่อนคิดอย่างนั้นจริงๆ ก็เรียกว่าเป็นผู้หญิงที่ใจสู้เรื่องความรักมากเลยทีเดียว
“คุณดลคะ ช่วยแวะร้านของฝากให้หน่อยได้ไหมคะ ฉันอยากซื้อของไปฝากคนที่บ้านค่ะ”
ชายหนุ่มพยักหน้าแล้วแวะร้านของฝากให้ตามที่หล่อนขอ เพราะเห็นแก่หล่อนที่มีน้ำใจและเขาเองก็อยากซื้อของไปฝากครอบครัวด้วยเหมือนกัน แล้วไม่นานนักทั้งสองคนก็มาถึงร้านของฝาก ใช้เวลาไม่มากก็ซื้อของเสร็จเรียบร้อย
แล้วพอกลับมาขึ้นรถ อารดาก็หยิบตุ๊กตาตัวเล็กๆ รูปกระต่ายน้อยที่ทำจากเปลือกหอยขึ้นมาวางบนคอนโซลหน้ารถพร้อมหันมายิ้มให้
“ของฝากจากหัวหิน แล้วก็ของที่ระลึกเป็นการขอบคุณที่คุณพาฉันมาซื้อของแล้วก็พากลับกรุงเทพฯ ด้วยกันค่ะ”
“ผมไม่ได้บอกสักหน่อยว่าอยากได้”
“แต่ฉันอยากให้ แม้มันจะเป็นสิ่งเล็กๆ ดูไม่มีค่าเลยในสายตาของคุณ แต่มันมีความปรารถนาดีจากฉัน สักวันถ้าคุณยอมเปิดใจมองเจ้าตุ๊กตาตัวนี้ คุณอาจจะเห็นสิ่งดีๆ ที่ซ่อนอยู่ก็ได้”
“คุณกำลังอุปมาอุปไมยว่าเป็นตัวเองเหรอ” เขาถามกลั้วหัวเราะในความพยายามดีเยี่ยมของอารดา ที่ยังคงหน้ามึนจีบเขาได้หน้าตาเฉย แล้วก็คิดว่าเดี๋ยวหล่อนคงเฉไฉบ่ายเบี่ยงว่าไม่ใช่ แต่ที่ไหนได้ แม่สาวหน้ามึนกลับยอมรับอย่างเต็มปากเต็มคำ
“ใช่ค่ะ แล้วฉันก็จะรอจนกว่าคุณจะเปิดใจให้ด้วย”
ธนาดลทำเสียงในลำคอ ก่อนจะส่ายหน้าเล็กน้อยและพารถยนต์มุ่งหน้ากลับสู่กรุงเทพฯ ในระหว่างที่เขาขับรถไปหล่อนกลับนั่งเงียบๆ บางคราวก็สัปหงกจนศีรษะโขกกับหน้าต่างรถ แล้วก็สะดุ้งตื่น หันมาทำหน้าเจื่อนๆ ใส่เขา ต่อจากนั้นก็พยายามช่วยดูทางและนั่งไปเป็นเพื่อน แต่ก็ไม่รอด เผลอนั่งหลับเป็นพักๆ อยู่ดี
ธนาดลมองแล้วก็ไม่รู้ว่าจะขำหรือสงสารดี แล้วก็เริ่มได้คิดว่าการอยู่กับหล่อนก็ไม่ได้น่าเบื่อเท่าไร ออกจะแปลกดีเสียด้วยซ้ำที่มีผู้หญิงเพี้ยนๆ อย่างหล่อนมาอยู่ใกล้ๆ เพราะก่อนหน้านี้เขาเคยเจอแต่ผู้หญิงที่แสร้งทำตัวอ่อนหวาน น่ารัก ทำเป็นสาวสวยรักเด็ก ต่างๆ นานาจนเขาเอียน เพราะจับได้ไล่ทันสาวๆ เหล่านั้นได้หมดทุกคน
แต่อารดากลับไม่พยายามทำอะไรแบบนั้นเลย หล่อนแสดงตัวตนให้เขาเห็น บางครั้งก็ดูบ๊องๆ แต่ก็ไม่ถึงกับเพี้ยน เป็นแม่สาวพิลึกที่ไม่รู้ว่าทำไมถึงอยากจีบเขาหรือชอบอะไรในตัวเขานักหนา จนเขาแอบคิดว่า ตัวเขามีอะไรให้หล่อนสนใจกัน
สามชั่วโมงต่อมาธนาดลจอดส่งอารดาที่หน้าบันไดทางขึ้นคอนโด
หญิงสาวก้าวลงจากรถและปิดประตู ก่อนจะเคาะกระจกให้เขาลดกระจกลง ยื่นหน้ามายิ้มแฉ่งใส่เขาพร้อมกับบอกว่า “ขอบคุณนะคะที่ขับมาส่ง ขับรถกลับบ้านดีๆ นะคะคุณดล”
“ครั้งหน้าอย่าพยายามตั้งใจวางแผนเพื่อขึ้นรถผมอีกก็แล้วกัน”
“ว้า แย่จัง โดนจับได้เสียแล้ว” อารดาไม่แปลกใจที่โดนเขาจับได้ หญิงสาวยิ้มให้แล้วถอยหลังออกมาจากรถ โบกมือบ๊ายบาย ยืนรอจนกระทั่งรถยนต์ของเขาลับสายตาไป หล่อนจึงหิ้วข้าวของที่ซื้อมาขึ้นคอนโดของตัวเองไป
แต่แทนที่จะตรงขึ้นไปยังห้องพักของตัวเอง หล่อนกลับตรงไปยังลานจอดรถและเอาของฝากที่ซื้อมาไปวางไว้ในรถยนต์ของตัวเองที่พนักงานนำกลับมาจากหัวหินให้แล้ว จากนั้นหล่อนก็ขึ้นไปยังห้องพัก อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า ก่อนจะกลับลงมาที่รถอีกครั้งและขับรถออกจากคอนโดไปที่บ้านของตนเอง เพื่อเอาของฝากไปให้พ่อ แม่ และพี่สาว
แต่เวลานี้พ่อกับพี่สาวยังอยู่ที่บริษัท หล่อนจึงได้เจอแค่แม่ก็เลยอยู่กินอาหารเที่ยงกับแม่ รวมทั้งนั่งเล่นอยู่เป็นเพื่อนจนกระทั่งแม่นึกขึ้นได้ว่า หล่อนควรเอาของที่ซื้อมาแบ่งไปให้คุณตาด้วย อารดาก็เลยต้องขับรถไปหาคุณตาในช่วงบ่ายแก่ๆ นั่นเอง โดยไม่รู้เลยว่าความลับของหล่อนกำลังจะแตกแล้วในวันนี้!
ช่วงบ่ายหลังกลับมาจากหัวหิน ธนาดลอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าและโทรศัพท์หาเลขาฯ ของตัวเองเพื่อคุยเรื่องงาน ก่อนที่เขาจะเดินทางไปบ้านหลังหนึ่งแถบชานเมือง ซึ่งเป็นบ้านของ มนูญ สิริศิลป์ทัศน์ คุณตาเจ้าของบ้านโบราณบนเนื้อที่เกือบสองไร่ที่เขาต้องการซื้อ
ก่อนหน้านี้มนูญบ่ายเบี่ยงมาตลอด อ้างว่าสัญญายังไม่ครอบคลุม ให้แก้สัญญาที่ชัดเจนมากขึ้น ฝ่ายกฎหมายของเขาพยายามปรับเปลี่ยนร่างสัญญาอยู่สามครั้งกว่ามนูญจะพอใจ แต่พอจะเซ็นสัญญาก็เป็นปัญหาอีก ไม่ว่างบ้างอะไรบ้าง จนกระทั่งล่าสุดที่คนของเขามาหาก็ถูกแกล้งให้ไปเดินเล่นเป็นเพื่อนในสวนผลไม้ของมนูญ แต่สุดท้ายแทนที่มนูญจะยอมเซ็นสัญญา กลับบอกว่าเหนื่อยแล้วให้มาอีกทีวันหลัง
เพราะเหตุนี้เขาจึงบอกลูกน้องว่าครั้งหน้าจะมาเอง แล้วทางมนูญก็นัดวันเองเสร็จสรรพว่าเป็นวันนี้ จึงเป็นที่มาว่าทำไมเขาถึงไม่ยอมพักรักษาตัวที่โรงพยาบาลอีกหนึ่งคืน เพราะกลัวจะกลับมาไม่ทันนัดของมนูญ เนื่องจากถ้านัดนี้ล่มอีก เขาอาจจะโดนมนูญเล่นแง่อย่างอื่นต่อได้
อีกเหตุผลที่เขาไม่อยากผิดนัดนี้ นั่นก็คือ เขาไม่ต้องการเปิดช่องโหว่ให้คู่แข่งของตัวเองใช้จุดนี้มาโจมตี เพราะความจริงแล้วเจ้าของบ้านหลังนี้มีศักดิ์เป็นพ่อตาของปฐมพงษ์ พี่ชายแท้ๆ ของปฐพี ซึ่งเป็นประธานกรรมการของบริษัทคู่แข่ง ถ้าเขาผิดนัด สถานการณ์ก็อาจจะเปลี่ยนไปได้ง่ายๆ เขาจึงไม่ยอมเสี่ยงเป็นอันขาด
ธนาดลขับรถมาถึงบ้านของเจ้าของบ้านโบราณหลังนั้น แม่บ้านชะงักไปนิดหนึ่งแต่ก็ต้อนรับเขา ซึ่งธนาดลมองออกว่าเป็นการต้อนรับตามมารยาทมากกว่า เขาเดินตามแม่บ้านเข้าไปในห้องรับแขก ซึ่งเจ้าของบ้านนั่งรออยู่แล้ว
“สวัสดีครับคุณมนูญ”
“อ้าว นึกว่าจะเป็นพ่อหนุ่มคนเดิมมาเสียอีก นั่งก่อนสิ” ชายสูงวัยกล่าว แต่แวบหนึ่งกลับแสดงสีหน้าผิดหวังและกังวลออกมา
ทำให้ธนาดลเดาได้เลยว่าถ้าเขาส่งลูกน้องมา ก็ไม่แคล้วต้องเจอฤทธิ์คุณตาเจ้าของบ้านคนนี้เล่นงานอีกแน่ๆ แต่พอเปลี่ยนคนมาทำหน้าที่แทน เจ้าของบ้านเลยไม่รู้ว่าจะใช้ลูกไม้ไหนดี
ธนาดลแนะนำตัวอย่างเป็นทางการว่าตนเองคือใครและมีตำแหน่งอะไรในบริษัท รวมทั้งทางบริษัทได้ส่งเขามาเป็นตัวแทนโดยตรงเพื่อคุยเรื่องการซื้อขายที่ดินบ้านโบราณหลังนี้
มนูญพยักหน้ารับเข้าใจ แต่พอเห็นผ้าปิดแผลที่ศีรษะของอีกฝ่าย จึงถามไถ่ด้วยความสงสัย
“แล้วนั่นไปโดนอะไรมาล่ะพ่อหนุ่ม”
“พอดีเกิดอุบัติเหตุนิดหน่อยครับ”
“ที่จริงถ้าไม่สบายก็ไว้ค่อยมาคุยกันวันหลังก็ได้”
“ไม่เป็นไรครับ ผมไม่อยากผลัดวันกับคุณมนูญ ไม่อยากให้คิดว่าทางผมเองที่ไม่มีความพร้อมในการเจรจาครับ”
คุณตาจอมแสบทำเสียงในลำคอเมื่อไอ้หนุ่มคนนี้พูดตรงๆ ออกมาอย่างนี้ ซึ่งเป็นสิ่งที่เจ้าตัวแอบคิดอยู่ว่าถ้าเจ้าหนุ่มนี่ไม่มาในวันนี้ ก็จะใช้ข้ออ้างเรื่องนี้มาแกล้งว่าไม่มีความพร้อมในการเจรจาธุรกิจเอาเสียเลย
“ถ้าไม่เป็นไรก็ดีแล้ว แต่เมื่อวานนี้ผมให้คนไปตรวจสอบเรื่องราคาที่ดินมา ราคามันต้องได้มากกว่านี้ แต่ก็ไม่แน่ใจเอกสารที่ได้มาเป็นของปีไหน ถ้ายังไงคุณลองไปตรวจสอบความถูกต้องมาก่อนดีกว่า ขอหลักฐานราคาประเมินที่ดินจากกรมที่ดินมาใหม่อีกทีจะดีกว่า แล้วเราค่อยว่ากัน ส่วนวันนี้ก็ถือว่ามานั่งดื่มชา คุยกันสบายๆ ก็แล้วกัน”
นั่นไง! คนแก่หัวดื้อเล่นเขาอีกจนได้!
ธนาดลคาดไว้แล้วว่าจะต้องเกิดเรื่องแบบนี้ เขาจึงเตรียมเอกสารมาพร้อมทุกอย่าง ไม่ว่าคุณตาเจ้าของบ้านต้องการเอกสารอะไร เขามีให้หมด
“ไม่ต้องเสียเวลาถึงขนาดนั้นหรอกครับ เผอิญว่าผมเตรียมมาด้วยพอดี เผื่อคุณมนูญอยากจะตรวจสอบอีกครั้ง” ชายหนุ่มหยิบเอกสารออกมาจากกระเป๋าใส่เอกสาร เล่นเอาชายสูงวัยถึงกับคิ้วกระตุกแล้วเหลือบมองแม่บ้านคนสนิทด้วยสีหน้าเจื่อนๆ ส่วนแม่บ้านก็ได้แต่ส่ายหน้าเพราะไม่รู้จะช่วยอย่างไร
เจ้าของบ้านจึงทำทีเป็นหยิบเอกสารราคาประเมินที่ดินขึ้นมาอ่าน ใจไม่ได้อยู่ที่เอกสารในมือเลยแม้แต่น้อย แต่แอบชำเลืองมองไอ้หนุ่มที่อยู่ตรงหน้ามากกว่า
หน็อย! ไอ้หนุ่มนี่มันร้ายจริงเว้ย สมแล้วที่เป็นถึงกรรมการผู้จัดการของบริษัท
อย่างนี้แล้วฉันจะเตะถ่วงแกล้งมันยังไงดี
มนูญไม่รู้จะทำอย่างไร นอกจากใช้วิธีถามช้างตอบม้า เอาให้ความเข้าใจไม่ตรงกันไปก่อน แล้วก็ยังหาข้อสรุปกับราคาที่ดินที่ตนเองพอใจไม่ได้ โดยอ้างว่าไม่สมน้ำสมเนื้อกับที่ดินผืนนั้น
ธนาดลไม่ได้ถอดใจ แต่ก็ไม่ได้อ้อนวอนหรือทำตัวให้อีกฝ่ายรู้สึกว่าเขาเป็นลูกไก่ในกำมือที่ต้องมาง้อเพื่อให้ได้ที่ดิน มนูญจึงเกิดอาการลังเลอยู่เหมือนกันว่าจะเอาอย่างไรต่อไปดี
ทว่าตอนนั้นเองก็เหมือนมีเสียงสวรรค์มาโปรด เมื่อเสียงบีบแตรรถยนต์ดังมาจากถนนหน้าบ้าน แล้วสักพักก็ตามมาด้วยเสียงรถยนต์แล่นเข้ามาในเขตบ้านเมื่อคนขับรถที่พ่วงตำแหน่งคนดูแลบ้านของมนูญเปิดประตูรั้วให้รถยนต์คันนั้นเข้ามา
“แม่พุดไปดูซิว่าใครมา” มนูญหันไปสั่งแม่บ้านคนสนิทที่ยืนอยู่ใกล้ๆ
“ค่ะคุณท่าน”
แม่พุด หรือป้าพุดรับคำแล้วเดินออกไปจากห้องรับแขก แล้วเมื่อออกมาหน้าบ้านก็เห็นรถยนต์สีขาวที่คุ้นตาจอดอยู่ ก่อนที่เจ้าของรถจะก้าวลงมาแล้วเดินไปเปิดประตูด้านหลังคนขับ หยิบข้าวของที่ซื้อออกมาจากรถ
“อุ๊ย คุณปุ๊ก ลมอะไรหอบมาคะเนี่ย” ป้าพุดเอ่ยทัก
“ลมคิดถึงคุณตาค่ะ” อารดาตอบกลับฉอเลาะใส่ก่อนจะเฉลย “ลมคุณนายอรุณีสั่งให้เอาของมาให้คุณตาค่ะ”
แม่บ้านถึงกับหลุดหัวเราะเมื่ออารดาเรียกแม่ของตัวเองแบบนั้น ซึ่งอารดาก็เป็นอย่างนี้มาตั้งนานแล้ว เผลอเป็นไม่ได้ ชอบทำทะเล้นแหย่ผู้เป็นแม่และคุณตาทุกที แต่ทุกคนก็รักหล่อนเพราะความทะเล้นนั้นมีความน่าเอ็นดูอยู่ด้วย
“คุณตามีแขกเหรอคะป้าพุด” อารดาถามพลางพยักพเยิดไปที่รถยนต์คันที่จอดอยู่ รู้สึกว่าคุ้นตากับสีและรุ่นของรถ แต่ก็ไม่ได้คิดอะไรมาก
คุณตาเองรักสันโดษ ไม่ค่อยชอบวุ่นวายกับผู้คน แต่ก็เป็นที่รู้จักของชาวบ้านในละแวกนี้ดี เพราะตอนหนุ่มๆ ท่านเคยเป็นครูสอนหนังสือที่โรงเรียนละแวกบ้านนี้เอง ทว่าทำงานได้สิบห้าปีก็ลาออกเพราะอยากมาดูแลสวนผลไม้ของตัวเองอย่างจริงจัง แต่ถึงอย่างนั้นท่านก็ยังคงมีลูกศิษย์ลูกหาแวะเวียนมาอยู่บ้างเป็นครั้งคราว ซึ่งปัจจุบันลูกศิษย์เหล่านั้นบางคนกลายเป็นคนใหญ่คนโตไปแล้วก็มี
“ค่ะ แต่เป็นแขกไม่สำคัญหรอกค่ะ คุณปุ๊กเข้าไปได้เลยค่ะ”
“จะดีเหรอคะป้า”
“ดีค่ะ เชื่อป้าเถอะ ไปค่ะคุณปุ๊ก เข้าไปในบ้านกัน” แม่บ้านคนสนิทชวนแล้วช่วยถือของที่อารดาหิ้วมาฝากเจ้านาย
ส่วนอารดาได้แต่พยักหน้าหงึกๆ แอบแปลกใจเหมือนกันว่าแขกที่มาหาคุณตาเป็นใคร ทำไมเหมือนหล่อนจะมาช่วงจังหวะดีแบบแปลกๆ
อารดาคิดระหว่างเดินเข้าไปในบ้าน ผ่านโถงทางเดิน หล่อนก็ส่งเสียงเรียกไปก่อนที่ตัวจะก้าวเข้าไปเสียอีก
“คุณตาขา ปุ๊กมาแล้ว ปุ๊กเพิ่งไปหัวหินมา มีของมาฝากคุณตาเยอะแยะเลย...” หล่อนส่งเสียงไปแล้วก็เลี้ยวเข้าไปในห้องรับแขก แล้วก็ต้องชะงักเมื่อเห็นว่าคนที่นั่งอยู่บนโซฟาฝั่งตรงข้ามกับคุณตาของหล่อนคือ ธนาดล!
ฝ่ายธนาดลก็อึ้งไปเหมือนกันที่มาเจอหล่อนที่นี่ ทั้งที่ตอนกลับมาถึงกรุงเทพฯ หลังจากไปส่งหล่อนแล้วเรียบร้อย เขาก็ติดต่อให้ธนัช เลขาฯ คนสนิทของพี่ชายให้ช่วยหาข้อมูลทั้งหมดของอารดา เพราะมีเรื่องจำเป็นต้องตรวจสอบ ธนัชก็รับปากจะไปจัดการให้ แต่ยังไม่ทันที่เขาจะได้ข้อมูลที่สั่งไป ดูเหมือนคำตอบทุกอย่างจะชัดเจนแจ่มแจ้งแล้ว และอยู่แค่ปลายจมูกมากกว่าที่คิดเสียด้วย
ชายหนุ่มเริ่มปะติดปะต่อเรื่องทั้งหมดเข้าด้วยกันอย่างรวดเร็ว ว่าทำไมอารดาจึงอาศัยอยู่ที่คอนโดหรูของบริษัทคู่แข่ง แล้วทำไมหล่อนถึงไปโผล่ที่หัวหินเมื่อวานนี้ แต่พอถาม หล่อนก็บอกว่ามาทำงาน ทั้งหมดก็เพราะหล่อนไม่ได้เป็นแค่พนักงานบริษัทตัวเล็กๆ แต่หล่อนน่าจะเป็นลูกสาวเจ้าของบริษัทส่งออกผลไม้กระป๋อง ซึ่งเป็นพี่ชายของปฐพี แล้วพี่ชายคนนั้นก็มีแต่ลูกสาว รวมทั้งไลน์ผลิตส่วนหนึ่งของบริษัทนั้นก็อยู่ที่ประจวบคีรีขันธ์ด้วย
ฝ่ายอารดาที่ใจหล่นไปกองที่ตาตุ่มเพราะความแตกแล้วเรียบร้อย รู้อย่างนี้หล่อนน่าจะบอกเขาไปตั้งแต่เมื่อคืนเสียก็ดีหรอก
“คุณดล มันไม่ใช่อย่างที่คุณคิดนะ ฉันจีบคุณคือเรื่องจริง แล้วฉันก็ไม่รู้เรื่องการตกลงซื้อขายบ้านของคุณตามาก่อนด้วย ฉันมารู้เรื่องนี้ก็หลังจากที่พวกเราไปช่วยผู้หญิงท้องแก่ด้วยกัน” อารดาโพล่งออกไป แต่ธนาดลก็ยังไม่ยอมพูดอะไร ท่าทางของเขาเหมือนกำลังชั่งใจอยู่ว่าคำพูดของหล่อนมีน้ำหนักน่าเชื่อถือได้มากแค่ไหน หล่อนเห็นอย่างนั้นก็รีบอธิบายต่อแบบหมดเปลือกเลย
“วันนั้นฉันกลับไปที่บ้าน คุณอามากินข้าวด้วยกันกับพ่อแล้วก็พูดเรื่องการเจรจาซื้อขายที่ดินของคุณตาที่คุณตาไม่ยอมขายให้สักที แล้วก็พูดถึงบริษัทคู่แข่ง แต่ฉันไม่รู้ว่าบริษัทไหน แต่พี่อิงพี่สาวของฉันบอกว่าบริษัทคู่แข่งที่ว่าเป็นบริษัทของคุณ แล้วก็เตือนฉันว่าคุณอาจจะเข้าใจผิดเข้าสักวัน ให้ฉันหาทางบอกความจริงกับคุณ ว่าฉันไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับเรื่องนี้ แต่ฉันไม่รู้จะบอกคุณยังไง ฉันกลัวว่าคุณจะไม่เชื่อฉัน แล้วก็จะไม่ยอมให้ฉันเข้าใกล้คุณอีก แต่ฉันยืนยันได้ว่าที่พูดมาทั้งหมดคือความจริง ฉันจีบคุณจริง เพราะฉันชอบคุณจริงๆ คุณธนาดล!”
คำสารภาพของหล่อน เล่นเอามนูญกับแม่บ้านถึงกับทำหน้าเหลอกับเซอร์ไพรส์ที่ได้ยิน
โอ้ พุธโธ ธัมโม สังโฆ สาวสมัยนี้จีบผู้ชายก่อนและบอกรักก่อนอีกต่าง!
ฝ่ายธนาดลแม้จะกรุ่นโกรธอยู่พอสมควร แต่ก็คิดว่าหล่อนจะตรงไปตรงมาเกินไปแล้ว กล้าบอกว่าจีบเขาต่อหน้าคุณตาของตนเอง แล้วยังกล้าพูดความในใจออกมาอีก ถ้าไม่สติแตกก็ต้องเรียกว่าใจกล้าแบบไม่ดูทิศทางลมเอาเสียเลย
ทุกคนต่างเงียบกันไปอึดใจใหญ่ ก่อนที่มนูญจะหันไปพยักหน้ากับแม่บ้านและซุบซิบกันสองคน
“เอายังไงต่อดีแม่พุด”
“อิฉันก็ไม่รู้เหมือนกันค่ะคุณท่าน” ป้าพุดไม่รู้จริงๆ ว่าจะช่วยได้อย่างไร หรือควรแนะนำอะไรดี ก็ใครจะไปคิดว่าคนที่มาติดต่อเรื่องธุรกิจกับคุณท่าน จะกลายเป็นคนที่หลานสาวของคุณท่านตามจีบอยู่
มนูญจึงกระแอมเบาๆ กับสถานการณ์อิหลักอิเหลื่อนี้ แล้วบอกให้หลานสาวเข้ามานั่งให้เรียบร้อย
“เอาละๆ ปุ๊กมานั่งให้เรียบร้อย พักกินน้ำกินท่าก่อน สงสัยตาต้องซักให้ขาวเสียแล้วว่าเป็นยังไงมายังไง ทำไมถึงไปจีบเขาได้” คนเป็นตาเกริ่นบอกให้รู้ว่า ไม่ยอมให้ใครก้าวออกจากบ้านหนีไปดื้อๆ จนกว่าจะได้รู้ที่มาที่ไป และรู้ในสิ่งที่ต้องการรู้ทั้งหมด
อารดาจึงนั่งลงบนโซฟาใกล้ๆ คุณตา หน้าตาจ๋อยสนิท บวกกับเพิ่งจะรู้สึกอายกับสิ่งที่โพล่งออกไปเมื่อครู่นี้ จนอยากหายตัวได้เสียเดี๋ยวนี้ ส่วนธนาดลก็ไม่ได้แสดงทีท่าอะไร นอกจากแววตาที่บอกว่าเหนื่อยใจ
แล้วพอแม่บ้านเอาของไปวางและรีบหาน้ำหาท่ามาให้อารดาดื่ม พอเจ้าตัวดื่มเข้าไปอึกใหญ่ก็สูดหายใจลึกๆ ทำเหมือนประหนึ่งพร้อมแล้วที่จะขึ้นลานประหาร
เชิญเลยค่ะคุณตา! จัดมาเลยคุณดล ไอ้ปุ๊กพร้อมโดนเชือดแล้ว
มนูญส่ายหน้ากับท่าทีของหลานสาว ถ้าไม่ติดว่าธนาดลอยู่ด้วยจะเอื้อมมือไปเขกกะโหลกสักโป๊กด้วยความหมั่นไส้ แต่ต้องยั้งไว้ เพราะมีเรื่องต้องถามไถ่กันให้กระจ่างก่อน
“ตกลงที่พูดมาเมื่อครู่นี้จริงเหรอ ที่ว่าไปจีบเขาอยู่”
“จริงค่ะ ปุ๊กจีบเขาอยู่ ตอนแรกยังไม่รู้จะออกหัวออกก้อย แต่ตอนนี้คงออกสาหัสแล้วละค่ะ” อารดาตอบเสียงขื่นพลางเหลือบมองธนาดลครั้งหนึ่ง แล้วก็ทำตาปรอยใส่เขา ไม่อยากให้เขาถือโทษโกรธหล่อน อย่าทำเหมือนในละครที่ไม่ยอมฟังเหตุผลหรือความจริงจากหล่อนเลย
ธนาดลแม้จะโกรธอยู่พอสมควร แต่พอหล่อนพูดออกมาอย่างนี้ เขาก็เกือบหลุดขำออกมาเหมือนกัน แต่ต้องแสร้งตีหน้าขรึมไว้ เพราะไม่แน่ใจว่าหล่อนแกล้งพูดเพื่อลดทอนสถานการณ์ตึงเครียด หรือว่าพูดออกมาจากใจจริง
มนูญพยักหน้าเข้าใจหลานสาวตัวดี ว่าไอ้สาหัสเนี่ยคงใช่แล้วละ ก็ถ้าไปจีบคนคนหนึ่ง แต่ดันมีความลับที่เกี่ยวเนื่องกับตัวคนจีบ แต่เจ้าตัวไม่ยอมบอก เป็นใครก็ต้องหงุดหงิดและโกรธทั้งนั้น แต่ก็ถือว่าไอ้หนุ่มนี่ยังสงวนท่าทีได้ดีอยู่ ถือว่าสอบผ่านด้านมารยาทและความเป็นมืออาชีพในการควบคุมอารมณ์ ส่วนเรื่องอื่นคงต้องรอดูกันต่อไป
“แล้วไปรู้จักกันได้ยังไง” คราวนี้มนูญไม่ได้ถามหลานสาว แต่หันไปถามธนาดลแทน
คนถูกถามเลยต้องอธิบายให้ฟังตามจริงว่า
“ผมเป็นน้องชายของ อติรุจ รัตนธนการ พี่ชายของผมเป็นสามีของเพื่อนสนิทคุณอารดาครับ เราก็เลยได้รู้จักกัน แต่ไม่ได้สนิทกันเป็นการส่วนตัว คุณอารดาเองก็เพิ่งมาจีบผมเมื่อเร็วๆ นี้”
“นี่แสดงว่ายายปุ๊กจีบคุณก่อนจริงๆ”
“ครับ”
เขาตอบแค่นั้น ไม่สาธยายอะไรต่อ เล่นเอามนูญถึงกับเหล่ใส่หลานสาวเลยทีเดียว
“เยี่ยมมาก สาวสมัยนี้ จีบผู้ชายก่อน นี่ถ้าคุณยายของเรายังอยู่นะเจ้าปุ๊ก รับรองได้เป็นลมไปแล้ว ทำไปได้ยังไง”
สาวๆ สมัยนี้เหลือเกินจริงๆ แต่ดูเหมือนคนที่จีบคนอื่นก่อน และดูท่าว่าโดนเทก่อนด้วย กลับมองว่าเป็นเรื่องปกติ
ไม่เห็นจะแปลกเลย ยุคนี้จีบก่อนผิดตรงไหนกัน!
“โธ่ คุณตาขา นี่ไม่ใช่ปีสองพันห้าร้อยสักหน่อย จีบผู้ชายก่อนไม่ผิดนะคะ ไอ้ที่ผิดน่ะคือไม่กล้าจีบแล้วนั่งอยู่บนหอคอยงาช้าง รอให้เจ้าชายปีนขึ้นไปหา ยุคนี้ไม่ลงมือจีบก่อนก็นกสิคะ ขนาดจีบก่อนยังดูทรงแล้วจะนกเลย” อารดาพูดได้หน้าตาเฉย ไม่ใช่ไม่สะทกสะท้านอะไร แต่ใจคอมันห่อเหี่ยวจนคิดแง่ดีไม่ได้เลยจริงๆ เห็นอนาคตอันใกล้นี้ไหวๆ ว่าหล่อนจะโดนธนาดลเทเข้าจริงๆ ยกเว้นแต่เขาจะยอมเข้าใจและให้อภัยที่หล่อนไม่ได้บอกความจริงกับเขา
“ยังจะมีหน้ามาพูดอีกนะเจ้าปุ๊ก”
“ก็ปุ๊กพูดความจริงนี่”
“ยัง ยังอีก งามหน้านักนะเรา”
“คุณตาอ่า...” หญิงสาวทำหน้ามุ่ย กระเง้ากระงอดใส่ผู้เป็นตา
เข้าใจอยู่หรอกว่าถ้าเป็นยุคสมัยคุณยายยังสาวการจีบผู้ชายก่อนอย่างนี้ ดูอย่างไรก็ไม่สมกับความเป็นสาวเป็นนาง แต่คุณตาของหล่อนต้องก้าวทันโลกบ้างสิ จะให้หล่อนใช้วิธีแบบสาวสมัยก่อนได้อย่างไรกัน
“พอๆ ไม่ต้องพูดแล้วเราน่ะ ยิ่งพูดยิ่งไปกันใหญ่” มนูญติง ทำหน้าดุใส่หลานสาว แต่แล้วก็เกิดความคิดหนึ่งขึ้นมา แม้จะดูพิลึกไปสักนิด แต่ในเมื่อหลานสาวพึงใจผู้ชายคนนี้ และจากที่พูดคุยกันมาไอ้หนุ่มนี่ก็เป็นถึงกรรมการผู้จัดการของบริษัท ท่านก็อยากรู้นักว่าเขาจะแก้ไขสถานการณ์และตัดสินใจอย่างไร ถ้าสมมุติว่าท่านยื่นข้อเสนอพิลึกๆ นี้ออกไป
“เอาเป็นว่าตาเข้าใจเรื่องนี้ก็แล้วกัน” มนูญว่าแล้วถอนหายใจกับหลานสาวตัวดี แต่ยังต้องการคำตอบที่สงสัยก่อนจะหันไปทางธนาดล
“แต่เรื่องระหว่างเรายังต้องตกลงกันอยู่ ข้อเสนอราคาที่คุณบอกมาก่อนหน้านี้ ผมยังไม่ตกลงหรอกนะพ่อหนุ่ม เพราะมันดูจะไม่สมน้ำสมเนื้อ และคุณเองก็ไม่เคยรู้จักบ้านหลังนั้นเลย คุณค่าของบ้านมันอยู่ที่ผู้อยู่อาศัยและความทรงจำ บ้านไม่ได้เป็นแค่สถานที่ แต่เป็นทุกอย่างสำหรับคนที่รักมัน”
“ผมเข้าใจครับในด้านความรู้สึก แต่ก็ต้องขอเรียนตามตรงว่าในแง่ของธุรกิจแล้วผมก็ถอยไม่ได้เหมือนกัน แต่ก็พร้อมจะยอมรับการตัดสินใจของคุณ เพียงแต่หากยังไม่ได้ข้อสรุปในสิ้นเดือนนี้ เกรงว่าบอร์ดบริหารจะไม่ยอมรอและทุกอย่างอาจจะไม่ง่ายเหมือนอย่างตอนนี้ครับ” ธนาดลไม่อ่อนข้อให้ แต่ก็ไม่ได้ใช้ไม้แข็งด้วยเช่นกัน
ธุรกิจก็เป็นอย่างนี้ มีทั้งออกหัวและออกก้อย หรือออกตรงกลาง สามารถผลักดันให้เป็นไปในทิศทางที่ต้องการได้หรือไม่ ก็เป็นเรื่องของปัจจัยและเวลา
ไม่เลวเลยไอ้หนุ่มนี่!
มนูญพยักหน้า ยิ้มเล็กน้อย แอบชื่นชมการรุกและถอยของเจ้าหนุ่มนี่อยู่ไม่น้อย ดูมีชั้นเชิงกว่าตัวแทนบริษัทที่เคยส่งมา นั่นแทบจะกราบกรานเขา แต่พอโดนเขาไล่บี้ไล่ต้อนเข้ามากๆ ก็ไปไม่เป็น ทำหน้าเจื่อน หรือตอนที่โดนแกล้งให้ไปเดินชมสวนเป็นเพื่อนก็ไม่สู้เลยสักนิด จนคุณตาวัยดึกแอบคิดว่าคนหนุ่มสมัยนี้ช่างอ่อนหัด อ่อนแอเสียเหลือเกิน นิดไม่สู้ หน่อยไม่สู้
“ในเมื่อกล้าพูดถึงขนาดนี้ งั้นก็ลองฟังข้อเสนอของคนแก่หน่อยจะเป็นไร”
“ข้อเสนอหรือครับ?”
“ใช่ ข้อเสนอง่ายๆ ไม่มีอะไรมาก ง่ายยิ่งกว่าต่อรองราคาผลไม้ในตลาดเสียอีก”
“ข้อเสนออะไรครับ” ธนาดลรู้สึกสังหรณ์ใจว่าไอ้ข้อเสนอนี่ต้องทำให้เขาปวดหัวแน่ เพราะคนแก่หัวดื้อรายนี้ท่าทางจะไม่ใช่ย่อยๆ ดูท่าว่าจะฉลาดกว่าหลานสาวจอมวุ่นวาย ไม่อย่างนั้นคงไม่เตะถ่วงเวลาการตกลงซื้อขาย แล้วหลอกให้คนของเขาปวดหัวจนแทบจะร้องขอชีวิตได้นานขนาดนี้
“เวลาคนเราอยากได้ของอะไร หรืออยากซื้ออะไร ก็ต้องรู้ก่อนว่ามันคุ้มค่าที่จะได้ และรู้ว่ามันสมควรได้เพราะอะไร ในเมื่อคุณอยากได้ที่ดินของบ้านหลังนั้นถึงขั้นเสนอว่าจะทำการย้ายบ้านไปไว้ยังที่ดินที่คุณเตรียมไว้ให้ งั้นแล้วทำไมไม่ลองไปอยู่ดูสักตั้งล่ะ อยู่ให้รู้ว่าบ้านนั้นมันเป็นยังไง มันสมควรอยู่ในสถานที่เดิม หรือมันควรจะไปอยู่ที่อื่นอย่างที่คุณเสนอ”
เอาแล้วไง เรื่องตลกร้ายของคนแก่!
แต่เขาฟังผิดไปหรือเปล่าที่มนูญอยากให้เขาไปลองอาศัยอยู่เนี่ยนะ!
“จะให้ผมไปลองอาศัยอยู่ที่นั่นหรือครับ?” ชายหนุ่มทวนถาม แทบไม่เชื่อหูตัวเอง เขาไม่ได้อยากได้บ้าน แต่อยากได้ที่ดิน แต่เพราะเข้าใจในคุณค่าของบ้านโบราณ เขาจึงได้เสนอว่าจะออกค่าใช้จ่ายในการย้ายบ้านหลังนั้นไปไว้อีกสถานที่ให้ด้วย เรียกว่าเป็นการลงทุนที่ใจป้ำมากแล้ว ไม่คิดว่าจะถูกยื่นข้อเสนอพิลึกๆ แบบนี้เข้าจนได้
“ใช่ ก็ลองไปอยู่สักสามอาทิตย์ ถ้าอยู่รอดก็ตกลงราคาตามที่คุณเสนอมาครั้งล่าสุดได้เลย แต่ถ้าไม่ ผมก็จะยืนยันเอาราคาที่ผมพอใจ เก้าสิบห้าล้าน ถ้ารับราคานี้ไม่ได้ก็เรื่องของคุณ” มนูญไม่เปิดช่องโหว่ใดๆ ให้ แล้วก็ไม่รู้ว่าเห็นใจหรือกลั่นแกล้งกัน กับประโยคต่อมา
“แต่จะให้คุณไปอยู่คนเดียว เดี๋ยวจะเหงาเกินไป ถ้าอย่างไรก็ให้เจ้าปุ๊กไปอยู่เป็นเพื่อนด้วยก็ได้ ถ้าคุณกับเจ้าปุ๊กยอมไปอาศัยอยู่ที่บ้านหลังนั้นด้วยกันครบสามอาทิตย์ แล้วก็รู้จักบ้านหลังนั้นดีพอแล้วก็มาเซ็นสัญญาซื้อขายกันได้เลย แค่นั้นเองง่ายๆ เห็นไหม!”
สิ้นเสียงบอกของคุณตา อารดาก็ร้องเสียงหลงทันที
“คุณตา!”
อารดาแทบจะกรี๊ดออกมาด้วยความดีใจที่คุณตาเป็นพ่อพระมาโปรดทำให้หล่อนได้มีโอกาสใกล้ชิดธนาดลมากขึ้น แต่อีกใจก็กลายเป็นความหนักใจขึ้นมา แม้ว่าหล่อนจะไม่ได้กลัวบ้านหลังนั้นทั้งที่เคยเกิดเรื่องขึ้นกับหล่อนเมื่อหลายปีก่อน แต่หล่อนไม่เคยกลับไปที่บ้านหลังนั้นอีกเลย ไม่รู้ว่าป่านนี้สภาพเป็นอย่างไรบ้าง แม้พ่อของหล่อนส่งช่างไปปรับปรุงซ่อมแซม และตัดสินใจสร้างบ้านหลังใหม่ให้คุณตา เพราะคุณตาไม่อยากให้ต่อเติมจนเสียเอกลักษณ์ความเก่าแก่ไป แล้วการอยู่ที่นั่นก็ไม่ค่อยสะดวก เพราะบ้านหลังนั้นไม่มีห้องน้ำบนชั้นสอง เวลาจะเข้าห้องน้ำก็ต้องลงมาชั้นล่าง
พอคุณตาย้ายมาอยู่บ้านหลังใหม่นี้ หล่อนก็มาเยี่ยมคุณตาที่บ้านนี้ตลอด ไม่เคยไปที่บ้านหลังนั้นอีกเลย แล้วจู่ๆ คุณตาก็มายื่นข้อเสนอพิลึกพิลั่นนี้ให้ธนาดล หล่อนก็เลยเกิดอาการดีใจแต่ก็ไม่สุด
แล้วอีกอย่าง สมมุติว่าหล่อนยินดีกระโจนลงไปในข้อเสนอนี้ แล้วธนาดลเองก็ยินดีด้วยเหมือนกัน แต่สุดท้ายแล้วกลายเป็นว่า เขายอมรับข้อเสนอเพียงเพราะผลประโยชน์ทางธุรกิจ ส่วนหล่อนไม่ได้อยู่ในสายตาและไม่เคยอยู่ในใจของเขาเลยหรือเปล่า
อารดาคิดแล้วก็ได้แต่มองหน้าธนาดล เขานิ่งจนหล่อนใจคอไม่ดีเลยจริงๆ
ฝ่ายธนาดลที่ยังนิ่งอยู่นั้นเพราะกำลังใช้ความคิด เขาไม่อยากเป็นคนโง่ที่กระโดดลงไปในหลุมพราง แล้วก็ไม่อยากเป็นคนที่ทิ้งโอกาสทางธุรกิจที่ดีไปด้วยเช่นกัน เพราะฉะนั้นก็ต้องคิดให้รอบคอบ ไม่ใช้อารมณ์ ความรู้สึกตัดสินใจ ทางเดียวที่เขานึกออกในตอนนี้ก็คือ...
“ผมขอเวลาในการให้คำตอบได้ไหมครับ” ชายหนุ่มไม่ยอมตอบตกลงในทันที แต่ก็ไม่ได้ตัดรอนด้วยเช่นกัน จึงแสร้งทำทีเป็นว่าไม่สามารถตัดสินใจได้และขอเวลาไปคิดดูก่อน แล้วมีหรือที่มนูญจะมองไม่ออก ว่าการทำแบบนี้เรียกว่าเดินหมากกลับมาหยั่งเชิงเขาเช่นกัน
“ไม่น่าจะตัดสินใจยากเลยไม่ใช่เหรอ ในเมื่อคุณก็รู้จักเจ้าปุ๊กอยู่แล้ว”
“ปัญหาไม่ได้อยู่ตรงนั้นครับ”
“แล้วอยู่ตรงไหน”
“อยู่ที่ผมเอง เพราะผมต้องจัดการเคลียร์งานหลายๆ อย่างและมีเรื่องที่ต้องการจัดการอยู่มาก ที่นั่นไกลจากที่ทำงานของผมพอสมควร ผมจึงต้องขอเวลาจัดการตัวเองและตัดสินใจให้รอบคอบครับ” เขาบอกไปด้วยเหตุผลที่พอจะฟังขึ้น แต่ในใจนั้นไม่ได้คิดอย่างที่พูดไปเลยแม้แต่น้อย เขาแค่รู้สึกไม่สะดวกใจและยังตัดสินใจตอนนี้เลยไม่ได้ต่างหาก
แหม! ไอ้หนุ่มนี่มันร้ายวุ้ย ไม่ยอมให้เลยจริงๆ
“ก็ได้” มนูญยอมลงให้ “ผมให้เวลาคุณห้าวัน ไปคิดมาว่าจะยอมรับข้อเสนอนี้ไหม ถ้ายอมและทำสำเร็จตามเงื่อนไข คุณก็ได้ที่ดินนี้ไปในราคาของคุณ แต่ถ้าไม่ผมก็จะขายในราคาของผม หรือไม่ก็อาจจะเปลี่ยนใจเพิ่มราคาขึ้นอีก”
มนูญยื่นคำขาด แต่คิดแล้วว่าต่อให้ธนาดลยอมตกลง อารดาก็คงไม่ยอมตกลงด้วยแน่ๆ เพราะหลานสาวเป็นคนกลัวผีมาก แล้วถึงบ้านหลังนั้นจะไม่มีผี แต่แม่หลานสาวช่างจินตนาการก็ชอบคิดไปว่ามี คงไม่ยอมไปอยู่ที่นั่นง่ายๆ ไอ้หนุ่มนี่ก็อาจจะชวดที่ดินไปได้ง่ายๆ เลย แต่ถ้ายายหลานสาวชอบผู้ชายคนนี้มากถึงขั้นยอมทำตามข้อเสนอพิลึกของท่าน อันนั้นก็คงต้องมาคิดหาทางจัดการกันอีกที!
ธนาดลนิ่งอึ้งไปกับข้อเสนอปิดตายนี้ อย่างไรเขาก็เป็นฝ่ายเสียเปรียบชัดๆ
“ถ้าอย่างนั้น อีกห้าวันผมจะมาให้คำตอบครับ” เขาประวิงเวลาได้แค่นี้ ในใจเขาตอนนี้เหมือนเป็นกาน้ำร้อนที่กำลังเดือดปุดๆ รู้สึกเหมือนโดนตาหลานคู่นี้ปั่นหัวด้วยข้อเสนอที่เห็นอยู่ทนโท่ว่าเอื้อประโยชน์ให้ฝั่งของมนูญและอารดามากกว่า
“แล้วผมจะรอนะคุณธนาดล” มนูญตอบกลับ กระหยิ่มยิ้มย่องอย่างผู้ชนะ
ธนาดลจึงขอตัวกลับเพราะเห็นว่าสมควรแก่เวลา และเขาไม่อยากอยู่ที่นี่นานเพราะตอนนี้อารมณ์ไม่ดี เกรงว่าถ้าอยู่ต่อ อาจจะมีการองค์ลงต่อหน้าตากับหลานคู่นี้ได้
ดังนั้นพอธนาดลลุกขึ้นยืนและไหว้มนูญตามมารยาทและหมุนกายเดินออกไปจากห้องรับแขก อารดาก็หันไปบอกคุณตาทันที
“คุณตา ปุ๊กขอไปส่งคุณดลก่อนนะคะ” หล่อนบอกแล้วลุกพรวดเดินแกมวิ่งตามคนที่ก้าวยาวๆ นำหน้าไปก่อนแล้วด้วยแรงโมโห
มนูญก็ไม่ได้คัดค้านอะไรนอกจากมองตามหลานสาววิ่งตามหนุ่มหล่อนั่นไป ก่อนจะหันมาทำเป็นกระซิบกระซาบกับแม่บ้านคนสนิท
“นี่แม่พุด คิดว่าจะสำเร็จไหม”
“อิฉันก็ไม่ทราบหรอกค่ะคุณท่าน แต่ดูท่าทางแล้ว เขาไม่พอใจนะคะ”
“ไม่พอใจแล้วจะทำอะไรได้ ยังไงตอนนี้ฉันก็ถือไพ่เหนือกว่า”
“ค่า ค่า” แม่บ้านคนสนิทรับคำ แอบส่ายหน้าให้แก่การเล่นตลกของเจ้านาย แล้วก็ไม่วายเตือนชายชราเจ้าแผนการที่หาเรื่องปวดหัวให้คนอื่นได้เก่งเหลือเกิน
“ถ้าคุณท่านไม่สงสารเขา ยังไงก็สงสารคุณปุ๊กไว้บ้างก็ดีนะคะ”
“สงสารเรื่องอะไร”
“ก็สงสารที่สองคนนั้นเขาดูจะผิดใจกันน่ะสิคะ ดูเหมือนเขาจะเข้าใจผิดว่าคุณปุ๊กมีช่วยเกี่ยวข้องกับการติดต่อซื้อขายบ้านเก่าของคุณท่าน เขาอาจจะคิดก็ได้ว่าที่คุณปุ๊กเข้าไปตีสนิทด้วยเพราะอยากสืบข่าวคราวฝั่งเขาหรือเปล่า”
“ถ้าคิดได้แค่นั้นก็ปล่อยให้โง่ไปเถอะ” มนูญกล่าวขึงขังขึ้นมาทันที เพราะถ้าผู้ชายที่หลานสาวชอบจะโง่คิดได้แค่นั้น ก็ไม่เหมาะที่จะมาเป็นหลานเขยเขาหรอก!
“โธ่ คุณท่าน แต่คุณปุ๊กดูจะชอบเขาจริงๆ นะคะ” แม่บ้านคนสนิทพยายามเตือนเจ้านาย แต่มีหรือคนเป็นเจ้านายจะยอม
“ชอบจริงแล้วไง ก็ต้องผ่านมันไปให้ได้” มนูญเสียงอ่อนลงเล็กน้อยจากที่ขึงขังเมื่อครู่นี้ “แม่พุดก็กังวลเกินไป เจ้าปุ๊กน่ะแกร่งกว่าที่คิดนะ”
“อิฉันรู้ค่ะว่าคุณปุ๊กเธอเข้มแข็ง แต่อย่างไรก็ผู้หญิง จะไปเข้มแข็งได้ตลอดยังไงคะ”
“เอาน่าๆ ฉันว่าแค่นี้เจ้าปุ๊กไม่น้ำตาเช็ดหัวเข่าง่ายๆ หรอก อีกอย่างนะ นี่ถือเป็นการทดสอบไปด้วยในตัว ถ้าสองคนนั้นคบหากัน โดยไม่ได้มีเรื่องบ้านของฉันเข้ามาเกี่ยวด้วย อย่างไรก็ต้องเจอบททดสอบแบบนี้เข้าสักวัน ความหนักแน่นมั่นคงคือพื้นฐานของชีวิตคู่และการเป็นคนรักกัน”
“ค่า” แม่บ้านได้แต่รับคำ จนใจจะเถียงด้วย
ฝ่ายอารดาที่เดินแกมวิ่งตามธนาดลออกมาจนถึงหน้าตัวบ้านก็เห็นเขาเปิดประตูเตรียมจะก้าวขึ้นรถยนต์ของตัวเอง หล่อนจึงร้องเรียกเขาไว้
“คุณดล รอเดี๋ยวค่ะ!”
คนถูกเรียกปิดประตูรถและหมุนกายหันกลับมามองหล่อน ใบหน้าของเขาไม่ได้แสดงความโกรธแต่อย่างใด แล้วก็ไม่ได้แสดงอารมณ์ใดๆ นอกจากนิ่งเฉย พอๆ กับน้ำเสียงของเขาที่ถามมา
“มีธุระอะไรจะพูดอีกหรือคุณอารดา”
“ฉันขอโทษที่คุณตายื่นข้อเสนออย่างนั้นให้คุณ”
“คุณจะขอโทษทำไม ในเมื่อสิ่งนี้มันไม่ใช่หนึ่งในแผนการของคุณไม่ใช่เหรอ หรือว่าจริงๆ แล้วมันใช่!”
“ไม่ใช่นะคะ! ฉันไม่ได้มีส่วนรู้เห็นอะไรด้วยเลยกับข้อเสนอของคุณตา”
“ถ้าคุณอยากให้ผมเชื่อ ผมก็จะเชื่อ”
ธนาดลบอกว่าเชื่อ แต่น้ำเสียงและสีหน้าเหมือนจะตรงกันข้าม เขาโกรธมาก แต่ไม่ได้โกรธหล่อน โกรธตัวเองต่างหากที่ปล่อยให้หล่อนปั่นหัวอยู่ได้ตั้งนาน แล้วก็ไม่เอะใจอะไรเลย แถมยังไม่ตรวจสอบประวัติหล่อนตั้งแต่แรก ครั้งนี้เขาพลาดเอง เพราะวางใจว่าหล่อนเป็นเพื่อนสนิทของรติยา
“ฉันรู้ว่าคุณคงไม่เชื่อ แต่ฉันอยากให้คุณรู้ความจริง ว่าฉันไม่เคยคิดใช้ประโยชน์ทางอ้อมจากข้อตกลงทางธุรกิจของคุณ อยากให้คุณเข้าใจว่าฉันไม่ใช่คนที่จะขุดหลุมพรางใส่คุณได้” อารดากล่าวจบก็สบตาเขานิ่ง อยากให้เขารู้ว่าที่หล่อนพูดมาคือความจริงทั้งหมด
เขาจะโกรธเรื่องที่หล่อนไม่ยอมบอกความจริงก็ได้ แต่อย่างน้อยก็ไม่ควรคิดว่าหล่อนมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องบ้าๆ นี่ ถึงหล่อนจะตามจีบเขาอย่างไร ทำตัวเพี้ยนๆ กล้าตื๊อ กล้าวุ่นวายกับเขาแค่ไหน แต่หล่อนไม่ใช่คนเจ้าเล่ห์!
“หึ!” เขาทำเสียงในลำคอ “ก็ได้ ถ้าคุณยืนยัน ผมจะยอมเชื่อว่าคุณไม่เกี่ยวข้อง แต่จากนี้กรุณาเลิกตามจีบผมด้วย เพราะต่อให้คุณพยายามอย่างไร มันก็ไม่มีวันสำเร็จ”
“ทำไมคะ”
“คุณไม่รู้จริงๆ หรือว่าทำไม”
“เพราะฉันเป็นหลานของคุณตา แล้วก็หลานของคุณอาที่เป็นคู่แข่งบริษัทของคุณแค่นั้นเหรอ!” หล่อนน้อยใจที่เขาตัดสินหล่อนไปแล้ว แต่ธนาดลไม่ได้สนใจเรื่องนั้นเลยสักนิด
“เปล่า เพราะคุณไม่ใช่สเปกของผมต่างหาก คุณไม่เคยอยู่ในสายตาของผม แล้วถึงผมจะมองเรื่องผลประโยชน์ทางธุรกิจ แต่ผมก็จะไม่ยอมเล่นเกมของคุณตาคุณเด็ดขาด ผมไม่ใช่เหยื่อของคุณ หรือของใคร”
“คุณดล...” อารดาสะอึก หน้าเจื่อนที่เขาพูดออกมาตรงๆ ว่าหล่อนไม่ใช่สเปกให้เขาเหลียวมอง สนใจเลย มันเจ็บนะที่โดนพูดใส่หน้าแบบนี้ แต่หล่อนก็ฝืนยิ้มทำใจดีสู้เสือต่อ ไม่ใช่ว่าหล่อนมองโลกในแง่ดีหรือโลกสวยเกินไป แต่อย่างน้อยก็คิดว่าความพยายามที่จะอธิบายให้เขาเข้าใจก็ไม่ได้สูญเปล่าเสียทีเดียว
“ก็ได้ค่ะ ฉันเข้าใจแล้ว” แม้เจ็บ แต่พยายามซ่อนไว้ตอนที่เอ่ยประโยคต่อไป “ขอบคุณนะคะที่พูดออกมาตรงๆ แต่ถึงอย่างนั้นฉันก็ดีใจที่อย่างน้อยคุณก็เชื่อว่าฉันไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้จริงๆ”
“พูดกันตามตรง ต่อให้ผมเชื่อคุณหรือไม่ มันก็ไม่ทันแล้วอารดา” เขาย้ำชัด
“ฉันเข้าใจแล้วค่ะ” อารดาสูดหายใจลึกอย่างเรียกกำลังใจ “ขอบคุณสำหรับช่วงเวลาที่เราเคยได้สนิทสนมและรู้จักกัน แล้วก็ขอบคุณที่คุณให้ฉันได้พยายามจีบคุณแล้ว แต่เป็นฉันเองที่ไม่ได้เรื่อง ไม่ว่าจะทำยังไงก็ทำให้คุณประทับใจไม่ได้เลย...วันนี้ฉันยอมแพ้แล้วค่ะ”
หญิงสาวกล่าวจบก็ส่งยิ้มให้เขา เป็นยิ้มที่เสมือนกับการปลอบใจตัวเองไปในตัว หล่อนไม่ร้องไห้ฟูมฟายหรือต่อว่าต่อขานเขา นั่นทำให้ธนาดลงุนงงกับปฏิกิริยาของหล่อนอย่างมาก เพราะปกติแล้วเวลาที่ผู้หญิงถูกหักอกก็มักจะมีปฏิกิริยาที่แสดงออกถึงความเสียใจ ไม่ใช่อย่างที่หล่อนทำอยู่
จนแวบหนึ่งเขาเผลอคิดไปว่า แท้จริงแล้วหล่อนไม่ได้คิดจริงจังกับการจีบเขาตั้งแต่แรก แค่จีบแบบเผื่อใจไว้เจ็บ จีบได้ก็ดี จีบไม่ได้ก็ไม่เป็นไรแบบนั้นหรือเปล่า ซึ่งถ้าใช่อย่างที่คิด ก็สมควรแล้วที่หล่อนโดนเขาหักอก!
“ผมขอตัวก่อน” ธนาดลกล่าวจบก็เปิดประตูก้าวขึ้นรถและปิดประตูดังโครม รู้สึกหัวเสียและหงุดหงิดกับความคิดที่เกิดขึ้น
อารดาจึงถอยออกมาให้พ้นระยะรถยนต์และยืนส่งเขาจนรถลับสายตาไป
โดยที่เขาไม่รู้เลยว่าคนที่ยังยิ้มได้แม้ถูกหักอกนั้น ความจริงแล้วเจ็บปวดอย่างมาก แต่เป็นความเจ็บที่พูดไม่ออกและไม่อยากแสดงความอ่อนแอออกมาให้ใครเห็นด้วย แล้วก็ได้แต่นึกถึงเจ้าแม่ศักดิ์สิทธิ์ที่ตนเองไปขอพรมา
‘คงต้องยอมแพ้แล้วค่ะเจ้าแม่ขา ลูกคงไม่ได้เรื่องจริงๆ ขนาดเจ้าแม่ช่วยแล้ว ลูกก็ยังทำให้เขารักไม่ได้เลย’
ความคิดเห็น |
---|