บทที่ ๔
บุพเพอาละวาด
จากความผิดติดตัววันก่อนที่หนีแม่ออกมาจากงานเลี้ยง แม้ว่าแม่จะหายโกรธแล้ว แต่รติยาก็ยังต้องทำตัวเป็นเด็กดีอยู่ หล่อนจึงถูกพ่อใช้ให้เอาของไปให้เพื่อนย่านลาดพร้าว ของที่ว่าคือหนังสือโหราศาสตร์เก่าๆ ที่พ่อบอกหล่อนว่าเพื่อนขอยืม พ่ออ้างกับหล่อนว่าจะเรียกรถทางแอปพลิเคชันให้ไปส่งของให้ก็ทำไม่เป็น แล้วก็หวงหนังสือ กลัวจะช้ำหรือได้รับความเสียหายระหว่างจัดส่ง เพราะเป็นหนังสือเก่ามากและไม่มีตีพิมพ์แล้ว เลยให้หล่อนเอาไปส่งแทนดีกว่า
“ขอค่าน้ำมันด้วยค่ะพ่อขา” หล่อนแบมือขอพร้อมกับยิ้มหน้าแป้นแล้น ตาเป็นประกายระยับอย่างออดอ้อน แต่มีหรือที่พ่อของหล่อนจะตกหลุมพราง
“เอาไปร้อยเดียว”
“ร้อยเดียว! จากรามอินทราไปลาดพร้าวรถติดจะตาย ขอค่าน้ำมันเป็นสามร้อยไม่ได้เหรอคะพ่อขา”
“ให้สองร้อย”
“พ่ออะ” หล่อนร้องแล้วแกล้งทำหน้ามุ่ยใส่ แต่ก็ยอมตกลงดีกว่าไม่ได้เลย “สองร้อยก็สองร้อย”
พักนี้หล่อนดูเค็มขึ้นและประหยัดขึ้นมากจนทำให้คนเป็นพ่อถึงกับทำหน้านิ่วเล็กน้อย เพราะเมื่อก่อนหล่อนไม่เคยขอค่าน้ำมันแบบนี้ มีแต่จะบริการพ่อแม่อย่างดี แบบนี้มันดูน่าสงสัยจริงๆ
“นี่เพิ่งผ่านสิ้นเดือนมาหมาดๆ เองนะ เงินหมดแล้วหรือไงเจ้าตัวดี”
“เปล่าค่ะ ยังมีอยู่ ก็ขอพ่อไปงั้นๆ แหละ”
หล่อนปฏิเสธ แต่ในใจกลับบอกว่า ‘มีเท่าที่เก็บหอมรอมริบไว้น่ะสิคะพ่อขา ถ้าอีกสองเดือนรุ้งยังไม่ได้งานทำ เห็นทีต้องไปสมัครเป็นพนักงานร้านสะดวกซื้อไปพลางๆ ก่อนแน่นอน’
“งั้นก็แล้วไป พ่อเป็นห่วงนะถึงได้ถาม เศรษฐกิจแย่แบบนี้หลายบริษัทก็ไปไม่ไหว บางบริษัทถึงไม่ได้ปิดตัวลงก็โละพนักงานออก รัดเข็มขัดค่าใช้จ่าย ถ้ารุ้งซวยแบบนั้นขึ้นมาก็กลับมาอยู่ที่บ้านนะ ยังไงพี่ชายเราสองคนก็เลี้ยงดูเราได้สบาย พ่อแม่ก็ยังอยู่ อยู่บ้านเราสบายกว่ากันเยอะนะ”
สบายแน่ค่ะ สบายจนโดนแม่ลากรุ้งไปรู้จักกับลูกชายของคนนั้นทีคนนี้ทีน่ะสิคะพ่อ!
“เอาเป็นว่าตอนนี้รุ้งยังไม่ตกงานค่ะพ่อ ยังโอเคอยู่ ถ้ากินแกลบเมื่อไหร่จะซมซานกลับมาให้พี่เมฆกับพี่ยุซ้ำเติมแล้วกันค่ะ”
การุณหัวเราะคำพูดของลูกสาวแล้วยีศีรษะคนพูดเบาๆ ก่อนจะนึกขึ้นได้
“จริงสิ เมื่อวานไปอยุธยากับเจ้าปุ๊ก รุ้งได้ขอพรเจ้าแม่ตามที่แม่บอกบ้างไหม”
“ไม่ได้ขอหรอกค่ะ” หล่อนตอบแล้วรีบหันไปมองห้องครัว พอเห็นว่าคนเป็นแม่ยังไม่เดินออกมาก็หันมาซุบซิบกับพ่อต่อ “รุ้งยังไม่อยากมีแฟนตอนนี้อะพ่อ พ่อช่วยเบรกๆ แม่ไว้หน่อยสิคะ นะๆ นะคะ”
“ก็ตามใจแม่เขาหน่อยจะเป็นไรไป”
การุณเย้าลูกสาว เพราะเจ้าตัวตามใจภรรยาเสมอ ถือคติว่าเมื่อภรรยามีความสุข บ้านก็จะไม่ร้อนและมีความสุขไปด้วย สิ่งใดที่ภรรยาคิดทำ ถ้าไม่เกินไปนัก เขาก็ไม่เคยค้าน เรียกว่าเป็นพ่อบ้านที่รักภรรยาอย่างมาก ให้เกียรติภรรยา แต่ก็ยังเป็นช้างเท้าหน้าที่พร้อมเป็นผู้นำเสมอเหมือนกัน
“ถ้ารุ้งแต่งงานไป รุ้งก็ต้องไปอยู่บ้านสามีนะคะ แบบนั้นพ่อเหงาไม่รู้ด้วยนะ”
“แต่ถ้าอยู่กับสามีและครอบครัวของสามีที่ตรวจสอบมาแล้วว่าดีพอ ต่อให้เหงาพ่อก็ว่าคุ้ม”
“พ่ออะ ไม่พูดด้วยแล้ว รุ้งเอาหนังสือไปส่งให้เพื่อนพ่อดีกว่า”
รติยาว่าแล้วหยิบหนังสือที่อยู่บนโต๊ะรับแขกเดินไปหาแม่ในห้องครัว เพื่อบอกว่าหล่อนจะออกไปส่งหนังสือให้เพื่อนของพ่อแล้ว พอบอกเรียบร้อย หล่อนก็เดินไปที่รถยนต์ของตัวเองแล้วขับออกจากบ้านไป โดยมีแม่บ้านเป็นคนเปิดปิดประตูให้
ทว่าเส้นทางที่ขับรถไปนั้นการจราจรค่อนข้างคับคั่งอย่างที่หล่อนคิด กว่ารติยาจะมาถึงบ้านเพื่อนของพ่อได้ก็ปาไปสองชั่วโมง เล่นเอาเหงือกแห้งสุดๆ แล้วพอส่งของเสร็จเรียบร้อย กว่าจะออกมาจากย่านนั้นได้ก็เล่นเอาเหนื่อยจนหล่อนถึงกับออกปากบ่น
“ครั้งหน้าให้แกร็บมาส่งเถอะค่ะพ่อ ต่อให้จ้างสามร้อยยังไม่คุ้มค่าน้ำมันเลย”
หล่อนขับรถมุ่งหน้ากลับไปตามเส้นทางเดิม แล้วก็สังเกตเห็นว่าซ้ายมือของหล่อนเป็นรถเมอร์เซเดสเบนซ์สีขาวขัดเงาสะอาดวับราวกับเพิ่งออกมาจากร้านล้างรถ
แต่แวบแรกที่เห็นหล่อนกลับนึกถึงรถยนต์ของผู้ชายที่เจอกันที่วัดและร้านอาหารที่อยุธยา เพราะสีรถและรุ่นน่าจะเป็นรุ่นเดียวกัน แต่พอนึกไปอย่างนั้นก็รีบบอกตัวเองว่า
“ฟุ้งซ่านไปแล้ว รถยนต์แบบนี้ไม่ได้มีคันเดียวในเมืองไทยเสียหน่อย ไม่มีทางที่จะบุพเพอาละวาดจนได้เจอกันอีกหรอก”
รติยาพึมพำขำๆ แต่จังหวะนั้นจู่ๆ ก็มีมอเตอร์ไซค์คันหนึ่งแล่นมาด้วยความเร็วสูงและเบียดแทรกขึ้นมา ทำให้หล่อนต้องหักพวงมาลัยหลบกะทันหัน
“ว้าย! โผล่มาจากไหนเนี่ย”
โครม! เพล้ง!
ด้านหน้ารถหล่อนชนท้ายรถเบนซ์เข้าอย่างจัง เสียงชนและเสียงไฟท้ายแตกดังชัดเจน ขนาดขับไม่เร็วกันทั้งคู่ยังเกิดความเสียหายได้
รถเบนซ์เปิดไฟฉุกเฉินแล้วเริ่มชะลอรถเข้าข้างทาง รติยาซึ่งไปไหนไม่ได้จึงต้องชะลอรถจอดเข้าข้างทางท้ายรถเบนซ์คันที่ไปจูบเข้า ส่วนมอเตอร์ไซค์ตัวต้นเหตุนั้นซิ่งหนีไปอย่างรวดเร็วแทบไม่เห็นฝุ่น
“กลับมาก่อนสิไอ้บ้า ทำคนอื่นซวยแล้วหนีกันหน้าตาเฉยเลยเหรอ!”
รติยาได้แต่คราง ทำหน้าเบ้อย่างสิ้นหวัง ก่อนจะมองรถเบนซ์หรูและนึกถึงทางออกของตนว่าไม่มีแน่นอน รถยนต์หล่อนไม่มีประกันเพราะหมดอายุไปหลายเดือนก่อน แล้วหล่อนก็เห็นว่าตัวเองไม่เคยเกิดอุบัติเหตุ เลยชะล่าใจ ไม่ได้ต่อประกัน ตอนนี้จึงมีแค่ประกันภาคบังคับหรือ พ.ร.บ รถยนต์แค่นั้น
ตาย ตายแน่นอน ตายแบบไม่ฟื้น ไม่ต้องรอสวด เผาอย่างเดียวแน่ๆ!
หญิงสาวคิดวุ่นวายไปหมด จนกระทั่งเจ้าของรถเบนซ์ก้าวลงจากรถและเดินมาหาที่ประตูฝั่งคนขับ หล่อนเห็นแค่ว่าเขาใส่สูทสีเทาและสวมแว่นดำ สิ่งแรกที่หล่อนทำได้มีแค่การกดปุ่มเปิดกระจกรถ และหลับตาปี๋ยกมือไหว้ขอโทษเขาสุดๆ
“ขอโทษจริงๆ ค่ะ ฉันไม่ได้ตั้งใจ มอเตอร์ไซค์คันนั้นมันเบียดแซงขึ้นมากะทันหัน ฉันก็เลยไปจิ้มท้ายรถคุณ ฉันมีกล้องติดรถนะคะ เอาให้ดูก็ได้ จริงๆ นะคะ ฉันไม่ได้ตั้งใจจริงๆ ค่ะ”
หล่อนพรั่งพรูทุกคำพูดออกมาอย่างหมดเปลือก ฝ่ายคนถูกชนท้ายรถซึ่งตอนแรกทำหน้าหงุดหงิดลงจากรถ ตอนนี้กลับทำหน้าแปลกใจแทน ตามมาด้วยความรู้สึกขบขัน เมื่อเห็นว่าหล่อนเป็นผู้หญิงคนเดียวกันกับที่เขาเคยช่วยไว้ และหล่อนก็จอดรถปิดท้ายรถเขาที่ร้านอาหารด้วย
“เอามือลงก่อนดีกว่าไหม”
ชายหนุ่มเอ่ยขณะถอดแว่นดำออก รอให้หล่อนเอามือลงเพื่อจะได้มองหน้าเขาได้ชัดๆ ฝ่ายคนที่ยกมือขึ้นไหว้ท่วมหัว พอได้ยินเจ้าของรถคู่กรณีเอ่ยและได้กลิ่นหอมของดอกไม้ที่เคยได้กลิ่นมาแล้วครั้งหนึ่ง ก็ทำหน้านิ่วอย่างแปลกใจพร้อมกับคิดว่า
‘อ่า...กลิ่นนี้อีกแล้ว แล้วก็เสียงคุ้นๆ นี้อีกแล้ว’
รติยาค่อยๆ ลดมือลงพร้อมกับลืมตาขึ้นข้างหนึ่ง แล้วก็อีกข้างหนึ่ง ราวกับกลัวจะเห็นสิ่งที่น่ากลัวที่สุด หล่อนไล่สายตาขึ้นมองจากเสื้อเรียบหรูเนี้ยบขึ้นไปยังลำคอ ไล่ไปถึงคางและโครงหน้าหล่อเหลาที่เหมือนเคยเห็นมาแล้ว
“ไม่จริงอะ...”
หญิงสาวคราง ทำหน้าเบ้แล้วก็อยากกรี๊ดออกมาพร้อมกันเสียเดี๋ยวนั้นที่ได้เจอเขาอีก ไม่คิดเลยว่าบุพเพมันจะอาละวาดซ้ำซากได้ทั้งที่ยังไม่ครบสี่สิบแปดชั่วโมงเลยด้วยซ้ำ แถมหล่อนยังก่อวีรกรรมใส่เขาไว้กระทงใหญ่อีกต่างหาก!
“ผมไม่ใช่ผี”
เขาบอกเสียงกลั้วหัวเราะ พอดีกับที่เจ้าหน้าที่ตำรวจขี่มอเตอร์ไซค์ผ่านมา พอเห็นว่ามีรถสองคันจอดอยู่ริมถนนจึงเข้ามาสอบถาม ได้ความว่าเกิดเหตุเฉี่ยวชนกัน แต่ทั้งสองคันมีกล้องติดรถและดูท่าทางน่าจะตกลงกันได้ จึงสั่งให้ย้ายรถไปจอดในปั๊มน้ำมันที่อยู่ใกล้ๆ เพื่อไม่ให้เกะกะขวางทางการจราจร
สองหนุ่มสาวจึงต้องย้ายรถไปจอดในนั้น พอจอดรถเรียบร้อยรติยาก็ลงจากรถมายืนทำหน้าเหมือนเด็กที่โดนผู้ใหญ่เรียกมาคุยเวลาทำผิด ส่วนคนที่ทำตัวเป็นผู้ใหญ่และดูจะเป็นผู้ใหญ่กว่าจริงๆ ยืนคุยโทรศัพท์มือถืออยู่กับใครคนหนึ่ง หลังจากที่ดูร่องรอยความเสียหายของรถเสร็จแล้ว
“ฉันคงไปไม่ทันประชุม พอดีเกิดอุบัติเหตุรถชน คงต้องอยู่เคลียร์ให้จบก่อน...” เขาเว้นจังหวะไปนิดเพื่อฟังปลายสายพูดก่อนจะตอบกลับไป “ไม่เป็นไร ไม่ได้บาดเจ็บตรงไหน สั่งเลื่อนประชุมเป็นพรุ่งนี้แทน”
จากนั้นก็พูดคุยกับคนในสายอยู่สักพักก่อนจะวางสายไป แต่พอหันมาเจอผู้หญิงที่ขับรถมาชนท้ายรถเขายืนทำหน้าเจี๋ยมเจี้ยม ท่าทางเหมือนเด็กกำลังจะโดนครูตี จากที่เครียดเรื่องไปประชุมไม่ได้ก็เกือบจะหลุดหัวเราะออกมา ดีว่ายั้งไว้ทัน แต่ถึงอย่างนั้นก็เผลอหลุดยิ้มออกมาอยู่ดี
รติยาเอียงคอมองเขาด้วยความแปลกใจและงุนงงว่าเขาเป็นพวกโลกสวยหรือใจเย็นเป็นน้ำแข็งหรืออย่างไรกัน ขนาดรถยนต์ถูกชนท้ายยังยิ้มได้ แถมไม่โกรธอีกด้วย ต้องเป็นคนมองโลกในแง่ดีขนาดไหนเนี่ย!
“คุณยิ้มอะไรคะ”
หญิงสาวโพล่งถาม แล้วก็แอบหมั่นไส้เขาขึ้นมา ทั้งที่รถถูกชนแต่ยังยิ้มได้อีก อย่างว่าแหละ เขาเป็นผู้เสียหาย อาจจะเสียเวลาและเสียงาน แต่อย่างน้อยเขาก็ไม่ต้องเสียเงินเหมือนที่หล่อนกำลังจะเสีย ถ้าอย่างนั้นก็ไม่แปลกหรอกถ้าเขาจะดูไม่เป็นเดือดเป็นร้อนอะไรเลยสักนิด
“ผมแค่กำลังคิดว่า ไม่คิดว่าเราจะต้องมาเจอกันอีกครั้งในสถานการณ์แบบนี้”
“เลือกได้ฉันก็ไม่อยากชนท้ายรถคุณเหมือนกันแหละค่ะ”
หล่อนบ่นอุบ ทำหน้างอเป็นม้าหมากรุก เขาได้แต่ส่งยิ้มอย่างเมตตาปรานีให้ก่อนจะหันไปมองหน้ารถของหล่อนที่ได้รับความเสียหายมากกว่าท้ายรถของเขา แล้วก็หันมามองหล่อนอีกครั้งก่อนจะเอ่ยปากชวน
“อยู่ตรงนี้อากาศร้อน เราเข้าไปนั่งคุยกันในร้านกาแฟดีกว่า”
ชายหนุ่มกล่าวจบก็ออกเดิน ไม่รอให้หล่อนตอบตกลงหรือปฏิเสธ เล่นเอารติยาถึงกับทำหน้าเหลอ ไม่คิดว่าเขาจะชวนแบบนี้ แถมชวนเสร็จยังเป็นฝ่ายเดินนำไปที่ร้านกาแฟ ไม่ถงไม่ถามความสมัครใจสักคำ ทำเอาหล่อนต้องเดินตามไปอย่างช่วยไม่ได้
‘โอ๊ย มันจะชิลไปหน่อยแล้วค่ะคุณขา รถโดนชนท้ายแต่กลับให้ไปนั่งคุยกันสบายๆ ในร้านกาแฟ’
รติยาคิดขณะเดินตามเขาไป แต่เนื่องจากช่วงก้าวของเขาค่อนข้างยาวเพราะเป็นคนตัวสูง หล่อนซึ่งเดินตามไปจึงต้องซอยขายิกๆ เหมือนเด็กเดินตามผู้ใหญ่ แล้วหล่อนก็ไม่ทันระวังเมื่อเขาหยุดเดินกะทันหันตอนที่อีกก้าวเดียวก็ถึงประตูร้านกาแฟ หล่อนหยุดไม่ทันเลยชนแผ่นหลังเขาอย่างจัง
ตุ้บ!
“โอ๊ย คุณอะ จะหยุดก็ไม่บอก เจ็บนะ”
หญิงสาวร้องเสียงอู้อี้ต่อว่าเขา พร้อมกับยกมือขึ้นคลำจมูกป้อยๆ แต่ระหว่างนั้นกลับแปลกใจขึ้นมาว่าตนเองชนเขาเข้าไปขนาดนี้ กลับไม่ได้กลิ่นน้ำหอมหรือโคโลญกลิ่นดอกไม้ที่มักจะได้กลิ่นทุกครั้งเวลาเจอเขา ราวกับว่ากลิ่นหอมไม่ได้มาจากตัวเขา
ถ้าอย่างนั้นมันมาจากไหน จากต้นไม้หรือดอกไม้แถวนี้หรือ แล้วทำไมกลิ่นมันถึงได้ตามหลอกหลอนหล่อนเหลือเกิน แถมยังจำเพาะต้องเป็นช่วงเวลาก่อนจะได้เจอเขาด้วย แปลกดีจริงๆ
หล่อนได้แต่คิดสงสัยระหว่างคลำจมูกป้อยๆ ฝ่ายคนที่ทำคนอื่นเจ็บก็ได้แต่หันมาขอโทษ
“ขอโทษที คุณเจ็บมากไหม“ เขาขอโทษและดูว่าหล่อนเส้นเลือดฝอยในโพรงจมูกแตกจนเลือดกำเดาไหลหรือเปล่า แต่พอเห็นว่าไม่มีเลือดไหลเขาก็พูดต่อ “ผมแค่จะถามว่าคุณแพ้กลิ่นกาแฟหรือเปล่า เพราะบางคนแพ้ก็มี เราจะได้ไปนั่งร้านอื่น”
เขาหมายถึงร้านอาหารฟาสต์ฟูดไก่ทอดชื่อดังที่อยู่ถัดจากร้านกาแฟไปนิดเดียว
“ไม่ได้แพ้ค่ะ”
หนุ่มสุดหล่อพยักหน้ารับ ก่อนจะหันไปเปิดประตูร้านกาแฟและรอให้หล่อนเดินเข้าไปก่อน ทั้งสองคนไปสั่งกาแฟที่เคาน์เตอร์ เพราะอย่างน้อยถ้าต้องคุยข้อตกลงชดใช้ค่าเสียหายกัน คงไม่ใช่แค่สองสามนาทีจบ
“คุณรับเครื่องดื่มอะไรดี”
“เอ่อ...”
หล่อนอึกอัก สมองตื้อไปหมด คิดไม่ออกกะทันหัน เพราะในหัวคิดแต่เรื่องตัวเลขชดใช้ค่าเสียหาย อารมณ์ดื่มกาแฟไม่มีอยู่ในหัวเลยแม้แต่น้อย แต่ก็ยอมเลือกกาแฟมามั่วๆ หนึ่งอย่าง
“มอคคาเย็นค่ะ”
“หวานธรรมดาหรือหวานระดับไหนคะ”
“หวานน้อยค่ะ”
พนักงานรับทราบและทวนรายการที่สั่ง รติยาทำท่าจะหยิบเงินออกมาจากกระเป๋าสะพาย แต่คนที่ถูกหล่อนชนท้ายแล้วยังต้องลากกันเข้ามาในร้านกาแฟด้วยกันกลับชิงจ่ายให้แทน
“ผมจ่ายเองเป็นการขอโทษที่ทำให้คุณเจ็บ”
เขากล่าวแล้วยิ้มให้เป็นครั้งแรก ทำเอาคนที่ยังจมูกแดงอยู่ถึงกับเกือบละลายเพราะรอยยิ้มของเขา ตอนนิ่งๆ ก็ดูขรึมมีเสน่ห์ดี พอยิ้มเท่านั้นละ เล่นเอาใจบาง ใจละลายได้เลยทีเดียว
รติยายืนรอจนเขารับใบเสร็จจากพนักงานมาเรียบร้อย จากนั้นสองหนุ่มสาวก็ไปนั่งที่โต๊ะด้วยกัน แต่ระหว่างรอกาแฟมาเสิร์ฟหล่อนแอบสังเกตเขาไปด้วยนิดหน่อย เพราะถูกความหล่อเหลาน่ามองของเขาตกเข้าให้อย่างจัง
เขาเป็นผู้ชายที่ตัวสูงจริงๆ ขนาดนั่งแล้วยังดูออกว่าสูง ช่วงไหล่กว้างภายใต้เสื้อสูทเรียบหรูต่างจากวันก่อนที่เจอกันที่เขาใส่ชุดสบายๆ แต่วันนี้ทั้งเสื้อผ้าหน้าผมดูเนี้ยบเรียบหรู มือใหญ่หนาแต่ไม่ดูเทอะทะอวบอ้วน แถมท่านั่งของเขายังวางมาดผู้บริหารชัดเจนเสียจนหล่อนเริ่มฝ่อแล้วว่าจะโดนเรียกค่าเสียหายขนาดไหนไม่รู้
‘คนอะไรทั้งหล่อและดูดีไปหมด เฮ้อ หล่อวัวตายควายล้มจริงๆ ค่า’
หล่อนคิดพลางเลื่อนสายตามองเขาเพลินๆ จนกระทั่งสบตาเขา ถึงได้รู้สึกตัวว่าเขามองหล่อนอยู่ ไอ้แบบนี้เขาต้องรู้แน่ๆ ว่าหล่อนแอบหลงเสน่ห์ความหล่อเหลาของเขา จึงทำเป็นหันไปมองทางอื่นแก้เก้อ ส่วนคนถูกมองก็กระตุกยิ้มก่อนจะดึงความสนใจของหล่อนกลับมาได้ด้วยคำพูดนิ่มๆ
“เราจะเอายังไงกันต่อดี เรื่องค่าซ่อมรถ”
คำพูดของเขาทำเอารติยาถึงกับหันขวับมาทันที แล้วก็อ้อนเขาแบบไม่ต้องแอ๊บให้เสียเวลา
“ฉันขอโทษนะคะ แต่รถของฉันไม่มีประกันค่ะ มีแต่ พ.ร.บ”
หล่อนตีหน้าเศร้าเหมือนตอนอ้อนแม่เวลาทำผิด เพราะถือคติว่าถ้าทำผิดและรู้ตัวว่าผิดก็อ้อนไว้ก่อน แล้วทุกอย่างจะดีเอง แต่คำพูดที่เขาตอบกลับมาทำให้คนที่อ้อนอยู่ถึงกับชะงักไปเลยทีเดียว
“ผมก็ไม่มีประกันเหมือนกัน”
หล่อนอ้าปากค้าง มองเขาตาปริบๆ ก่อนจะมองออกนอกหน้าต่างไปยังรถยนต์ของเขา แล้วหันมามองเขาอีกรอบ พร้อมกับถามอย่างไม่สงวนท่าทีใดๆ เลยแม้แต่น้อย
“เบนซ์หรูขนาดนั้นเนี่ยนะคะไม่มีประกัน!”
ใครเชื่อก็บ้าแล้ว! ปกติรถราคาแพงแบบนี้ต้องมีประกันชั้นหนึ่งอยู่แล้ว ถึงแม้เบนซ์คันนี้จะไม่ได้ใหม่ป้ายแดง และจากตัวอักษรทะเบียนที่เห็นหราอยู่ก็น่าจะเป็นรถที่มีอายุสี่หรือห้าปีแล้ว แต่ยังถือว่าดูไม่โทรมเลยสักนิด แสดงว่าเจ้าของรถดูแลดี แล้วมาบอกว่าไม่มีประกันใครจะไปเชื่อ
หนุ่มสุดหล่อเจ้าของรถยนต์ราคาแพงยิ้มให้เมื่อเห็นหล่อนทำหน้าเหลอ เลิกทำตาปรอยอ้อนเขาอย่างที่เขาก็มองออกว่าหล่อนแค่แกล้งทำ พอเป็นแบบนี้ทำให้เขารู้สึกสนุกและตลกในมารยาทกิ๊กก๊อกของหล่อน จนอยากรู้ว่าหล่อนจะมีปฏิกิริยาอย่างไรต่อไปถ้าเขาบอกว่า
“ที่จริงรถคันนี้เคยมีประกัน แต่ประกันหมดอายุยังไม่ได้ต่อ เพราะปกติมันถูกจอดทิ้งไว้ในโรงรถ ไม่ค่อยได้เอามาใช้งาน เพิ่งจะเอาออกมาใช้งานวันก่อนที่เราเจอกันที่อยุธยา แล้วก็วันนี้ที่เราเจอกันอีกครั้ง”
งานเข้าแล้วไงยายรุ้ง! รถยนต์ไม่ค่อยได้ใช้งาน แต่ดูแลดีขนาดนี้ ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเขารักรถยนต์คันนี้มากแน่ๆ แล้วแบบนี้จะโดนค่าเสียหายกี่บาทล่ะ โอ๊ย ขนหน้าแข้งไม่เหลือให้ร่วงแน่รุ้งพรายเอ๋ย!
รติยาครางหงิง หน้าเหลือสองนิ้วและสิ้นหวังสุดๆ ก่อนจะอ้อนเขาต่อ
“ขอโทษจริงๆ ค่ะ แต่มันเป็นอุบัติเหตุ” หล่อนบอก ทำหน้าเบ้แล้วรีบบอกต่อก่อนที่เขาจะเข้าใจผิด “ฉันไม่ได้จะบอกว่าจะไม่รับผิดชอบนะคะ แต่ฉันไม่มีเงินจ่ายคุณทีเดียวทั้งหมด คือ...ฉันพอรู้มาบ้างว่าอะไหล่รถเบนซ์ค่อนข้างแพง ถ้ายังไงถ้าอู่รถยนต์ประเมินมาแล้ว ช่วยลดให้หน่อยได้ไหมคะ”
หญิงสาวร้องขอ ทำตาปรอยใส่แถมยกมือไหว้เขาด้วย ทำเอาคนที่เก๊กอยู่นานเกือบหลุดขำออกมาเสียเดียวนั้น แต่ต้องทำวางหน้านิ่งต่อไป เพราะอยากรู้ว่าหล่อนจะแก้ไขสถานการณ์นี้อย่างไร
พอดีกับที่พนักงานนำกาแฟมาเสิร์ฟ การสนทนาจึงหยุดลงชั่วครู่ รติยาทำหน้าจ๋อยก่อนจะยกแก้วกาแฟขึ้นดื่มอย่างกังวล แต่อีกฝ่ายกลับดื่มกาแฟอย่างใจเย็น แล้วก็เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าเขายังไม่รู้จักชื่อหล่อนเลย
“คุยกันมาตั้งหลายคำแล้วยังไม่รู้จักชื่อกันเลย ผม อติรุจ รัตนธนการ ยินดีที่ได้รู้จัก เรียกผมว่ารุจก็ได้”
ชายหนุ่มแนะนำตัวและยิ้มให้อย่างเป็นมิตร เพราะเขาไม่ได้เดือดร้อนอะไรกับการซ่อมรถยนต์เอง เพียงแต่ที่ไม่ยอมปล่อยผ่านไปง่ายๆ เพราะต้องการดูความตั้งใจ ความรับผิดชอบของอีกฝ่ายว่ามีหรือไม่
อีกทั้งไม่รู้ว่าทำไมเหมือนกัน มันเหมือนรู้สึกถูกชะตากับหล่อน ทั้งที่หล่อนก็ไม่ได้มีอะไรโดดเด่นเลยสักนิด มีแต่จะทำให้เขาขำความซุ่มซ่ามของหล่อนมากกว่า แล้วยังมารยาหญิงที่ต้องไปฝึกมาอีกเยอะนั่นอีก
“ฉันชื่อ รติยา ทรัพย์สิริหาญ ชื่อเล่นรุ้งค่ะ” หล่อนตอบแล้วก็ชิงขอความเมตตาจากเขาต่อเลย “คือ...ก่อนหน้านี้ฉันเป็นแค่พนักงานบริษัทธรรมดาๆ เงินเดือนไม่ได้มากอะไร แต่ตอนนี้ตกงานอยู่ มีแต่เงินเก็บเล็กๆ น้อยๆ เกรงว่าจะชดใช้คุณหมดทีเดียวไม่ได้ ถ้ายังไงคุณพอจะโทร. สอบถามศูนย์ให้ช่วยตีราคาค่าซ่อมแบบเบาๆ ให้หน่อยได้ไหมคะ แล้วฉันจะทยอยผ่อนจ่ายชดใช้ค่าเสียหายให้ค่ะ”
อติรุจเลิกคิ้วเล็กน้อยกับนามสกุลของหล่อนก่อนจะส่งยิ้มจางๆ ให้ เพราะอย่างน้อยหล่อนก็ไม่ได้ตีเนียนหรือขอให้แล้วกันไป แต่พยายามรับผิดชอบค่าเสียหาย เป็นคนที่ซื่อตรงและซื่อสัตย์ดี แบบนี้เขาก็จะยอมใจดีให้ ไม่เรียกแพงแล้วกัน
“เดี๋ยวผมจะให้เลขาฯ ตรวจสอบราคาจากศูนย์ให้”
ชายหนุ่มว่าแล้วลุกจากเก้าอี้ ขอตัวไปโทรศัพท์หน้าร้าน พร้อมกันนั้นก็ถ่ายรูปความเสียหายของท้ายรถส่งไปให้เลขาฯ ส่วนตัวของเขาเพื่อให้ช่วยประสานงานศูนย์ซ่อมรถให้
ระหว่างนั้นรติยาคิดจะส่งข้อความไปบอกเพื่อนรัก แต่อีกใจก็คิดว่าอย่าดีกว่า เพราะไม่รู้ว่าเพื่อนจะกรี๊ดดีใจที่หล่อนได้เจอสุดหล่อคนนั้นอีกแล้ว หรือว่าบ่นใส่ที่หล่อนหาเรื่องซวยไม่เลิก
หญิงสาวจึงตัดสินใจไม่ส่งข้อความบอกอารดา แล้วหันไปมองจอโทรทัศน์ติดผนังเป็นการแก้กลุ้ม บนจอกำลังขึ้นข่าวด่วนคั่นเวลาว่ามีคนถูกยิงตายแถวอยุธยา พบศพในป่าละเมาะข้างทาง หล่อนดูแล้วก็ไม่ได้สนใจอะไรนอกจากคิดว่าคนเดี๋ยวนี้ฆ่ากันง่ายเหลือเกิน เอะอะอะไรก็ฆ่ากันทำร้ายกัน โลกชักจะอยู่ยากขึ้น คนหัวร้อนมีอยู่เต็มเมืองไปหมด คิดอะไรไม่ออกบอกไม่ถูกก็ฆ่าแกงกันเป็นผักปลา
ถัดมาครู่ใหญ่อติรุจก็เดินกลับมาหาหล่อน เขาดื่มกาแฟไปพลางๆ และชวนหล่อนคุยฆ่าเวลาระหว่างรอให้เลขาฯ ส่วนตัวติดต่อประสานงานกับศูนย์รถยนต์เพื่อสอบถามและประเมินค่าเสียหายในเบื้องต้น
“คุณมีธุระจะรีบไปไหนหรือเปล่า”
“ไม่มีค่ะ แต่คุณน่าจะมี”
“ผมมีประชุม แต่เลื่อนแล้ว ไม่เป็นปัญหา”
ค่ะ ใช่ค่ะ คุณไม่เป็นปัญหา แต่ฉันเป็นและเป็นมากด้วย
รติยาโอดครวญในใจ หวังแค่ให้เงินชดใช้ค่าเสียหายไม่แพงมาก เพราะตอนนี้หล่อนตกงานอยู่ ถ้าราคาค่าซ่อมแพงมากก็สุ่มเสี่ยงที่หล่อนจะชอร์ตเงินจนต้องกลับไปพึ่งพ่อแม่และพี่ชาย แล้วเรื่องที่หล่อนตกงานอยู่ก็จะความแตกแน่นอน
ไม่นานนักก็มีสายเรียกเข้าถึงเขา อติรุจรับสายจากเลขาฯ ส่วนตัว เขารับทราบราคาแล้วเอ่ยทวนตามที่ปลายสายรายงาน
“ค่าไฟท้ายข้างเดียวสองหมื่นห้า ค่ากันชน ทำสีและค่าแรง รวมแล้วหกหมื่นใช่ไหม”
รติยาแทบทรุด อยากเป็นลมไปเสียเดี๋ยวนั้น แค่สองหมื่นช่วงนี้ก็แย่แล้วสำหรับหล่อน แต่คนที่เพิ่งเอ่ยราคาหมาดๆ กลับยิ้มส่งให้ เขาพูดคุยกับปลายสายอีกสองสามคำแล้วจึงวางสาย ก่อนจะบอกหล่อนอย่างเห็นใจเมื่อเห็นหล่อนทำท่าเหมือนอยากเอาหัวชนฝาตายเสียให้ได้
“ผมให้ผ่อนจ่ายก็ได้ แต่มีข้อแม้...”
อติรุจบอกแค่นั้นรติยาก็ตาเป็นประกายด้วยความหวังแทบจะทันที
“จริงเหรอคะ!”
“จริง” เขายืนยันก่อนจะแกล้งบอก “ให้คุณไปทำงานเป็นแม่บ้านให้ผมสักสามเดือนเป็นไง”
“เอาจริงเหรอคะ”
หล่อนถามกลับ ทำหน้าแปลกๆ เชื่อสนิทใจไปแล้วว่าเขาพูดจริง แต่แค่นั้นก็ทำเอาเขาถึงกับกลั้นขำไว้ไม่อยู่ จากที่อุตส่าห์เก๊กเมื่อครู่ก็หลุดเก๊กจนได้ พอเขาหัวเราะเบาๆ ด้วยสีหน้าที่แสดงว่าขบขันหล่อนอย่างยิ่ง มันกลับทำให้เขาดูผ่อนคลายและชวนมองเหลือเกิน ชวนให้คิดว่าช่างเป็นผู้ชายที่เหมาะกับคำว่าแค่ยิ้มให้ก็ใจละลายแล้ว!
‘โอ๊ย คุณสุดหล่อขา ตอนนี้ไม่ใช่เวลาจะมาตกหัวใจสาวๆ นะคะ’
รติยาได้แต่ครางในใจ ทำหน้าปั้นยากสุดๆ ส่วนคนที่ขบขันความซื่อของหล่อนก็เลิกขำได้และบอกว่า
“ผมแค่แหย่เล่น เพราะเห็นคุณทำหน้าเครียดจนคิ้วแทบจะผูกโบอยู่แล้ว”
อติรุจกล่าวจบก็ลุกไปขอยืมกระดาษกับปากกาจากร้านกาแฟแล้วกลับมาหาหล่อน เขาร่างสัญญาชดใช้ค่าเสียหายต่อหน้าหล่อน พอเขียนเสร็จก็ส่งให้หล่อนอ่าน
หญิงสาวรับมันมาอ่าน ในสัญญาระบุว่าหล่อนจะต้องชดใช้ค่าเสียหายที่ชนท้ายรถยนต์ของเขา โดยสามารถผ่อนจ่ายได้ในระยะเวลาหกเดือน หลังจากหกเดือนไปแล้วถ้ายังไม่สามารถหาเงินมาชดใช้เขาได้ทั้งหมด แต่ได้ชดใช้มาแล้วเกินครึ่งหนึ่ง เขาจะยินยอมให้ยืดเวลาการชดใช้ต่อไปอีกสามเดือน แต่ถ้าหล่อนหนีหนี้ไม่ยอมจ่าย เขามีสิทธิ์ใช้สัญญานี้ฟ้องค่าเสียหายกับหล่อนได้ทั้งทางแพ่งและอาญา เมื่อจ่ายค่าชดใช้ครบแล้วจะไม่มีการเรียกร้องใดๆ จากกันอีก
หล่อนอ่านข้อความทั้งหมดแล้วก็รู้ได้ทันทีว่า ภาษาที่เขาใช้เขียนสัญญานี้ไม่ใช่ภาษาทั่วไป เขาต้องรู้กฎหมายพอสมควร แบบนี้สงสัยหล่อนจะเจอของแข็งเข้าเสียแล้ว แต่ก็ยังดีที่เขาให้เวลาหล่อนขนาดนี้ ถ้าเป็นคู่กรณีคนอื่นคงไม่ได้แน่
“คุณอ่านแล้วว่ายังไง ตกลงไหม”
“ตกลงค่ะ อย่างน้อยก็ดีกว่าจ่ายให้คุณทีเดียวตอนนี้”
รติยายอมรับว่าตอนนี้ไส้หล่อนมันแห้งสุดๆ จากนั้นหล่อนก็อ่านสัญญาอีกครั้งเพื่อความมั่นใจ แล้วส่งคืนให้เขาคัดลอกใส่กระดาษอีกแผ่นไว้ เพื่อที่ตอนเซ็นจะได้มีเก็บไว้เป็นหลักฐานทั้งสองฝ่าย รวมทั้งมีการบันทึกวิดีโอระหว่างการเซ็นสัญญาไว้ด้วยโทรศัพท์ของทั้งสองคน และรบกวนพนักงานร้านให้ช่วยบันทึกภาพไว้ด้วยอีกทีหนึ่ง
พอทุกอย่างดูจะตกลงกันได้เรียบร้อย ต่างคนก็ต่างแลกเบอร์โทรศัพท์ไว้สำหรับติดต่อเพื่อติดตามความคืบหน้าในการชดใช้ค่าเสียหาย จากนั้นอติรุจก็เดินมาส่งหล่อนที่รถเพื่อจะได้แยกย้ายกันไป เพราะถึงเขาจะยกเลิกการประชุมไปแล้ว แต่ก็ยังมีงานต้องไปทำต่ออยู่ดี
ทว่าตอนที่กำลังจะเดินไปที่รถนั่นเอง บริเวณหน้าร้านสะดวกซื้อซึ่งอยู่ห่างออกไปและมีห้องน้ำคั่นกลางระหว่างร้านกาแฟกับร้านสะดวกซื้อก็ดูเหมือนจะเกิดเรื่องขึ้น เมื่อผู้หญิงคนหนึ่งร้องตะโกนขอความช่วยเหลือ
“ช่วยด้วยค่ะ โจรวิ่งราวค่ะ!”
สองหนุ่มสาวหันไปมอง เห็นผู้ชายคนหนึ่งวิ่งตรงมาทางนี้ ในมือมีกระเป๋าสะพายของผู้หญิงติดมือมาด้วย ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเป็นโจรวิ่งราวแน่นอน หลายคนที่อยู่ในปั๊มเริ่มหันมอง บางคนวิ่งมาจะช่วย บางคนเดินออกมาจากห้องน้ำก็ตกใจถอยไป ส่วนบางคนโทรศัพท์แจ้งตำรวจ
รติยาตกใจและมองหาตัวช่วย หล่อนหันไปเห็นอิฐบล็อกสีส้มที่วางตกแต่งสวนหน้าห้องน้ำขึ้นมา แล้วทำท่าจะหยิบขึ้นมาขว้างใส่คนร้าย แต่ช้ากว่าอติรุจที่ก้าวเข้าไปขวางคนร้ายจนหล่อนถึงกับร้องเสียงหลง
“คุณ!”
คนร้ายเองก็ตกใจเหมือนกันและตวาดกึ่งข่มขู่ใส่คนที่ขวางทาง
“ถอยไปนะมึง อย่ามาขวางกู!”
“อย่าทำให้เรื่องมันแย่ไปมากกว่านี้ดีกว่า ส่งกระเป๋าคืนมาถ้าไม่อยากเจ็บตัว”
“มึงนั่นแหละที่ต้องเจ็บตัว!”
คนร้ายกล่าวจบก็ชักมีดพับออกมาจากกระเป๋ากางเกง จ้องอติรุจอย่างพร้อมจะจ้วงแทงใส่ถ้าอีกฝ่ายไม่ยอมถอย แต่แทนที่อติรุจจะกลัวและถอยไปตามที่มันขู่ เขากลับคลายเนกไทออกและปลดกระดุมคอเสื้อเพื่อให้ขยับตัวง่ายขึ้น จากนั้นก็ถอดเสื้อสูทออกวางพาดไว้กับแท่นปูนสำหรับกันรถพุ่งเข้าใส่ทางเท้า
ก่อนที่รติยาจะทันได้ร้องห้าม อติรุจก็พุ่งเข้าใส่คนร้ายที่ถือมีดอยู่ คนร้ายเห็นดังนั้นก็ตวัดมีดใส่ แต่อติรุจเอี้ยวตัวหลบและปัดมือข้างนั้นให้พ้นรัศมีการทำร้าย ทว่าคนร้ายยังไม่ยอมแพ้ มันตวัดมีดใส่อีกครั้ง คราวนี้คมมีดโดนหลังมือของอติรุจ แต่เขาระวังตัวอยู่แล้วจึงก้าวถอยมาได้ทัน ทำให้เกิดบาดแผลเหมือนแค่โดนมีดบาดธรรมดาเท่านั้น
“เลิกเล่นได้แล้ว!”
เขาตวาดใส่แล้วชกหน้าคนร้าย ฝ่ายโดนชกถึงกับเซถลาไปอย่างไม่ทันตั้งตัว ชายหนุ่มจับข้อมือคนร้ายข้างที่ถือมีดอยู่แล้วบิดแขนจนเหมือนปีกไก่ที่โดนพับ อีกฝ่ายล้มลงนอนกับพื้นและถูกปลดมีดออกจากมือได้อย่างง่ายดาย
อติรุจเหวี่ยงมีดทิ้งไปให้ห่างตัวเพื่อไม่ให้คนร้ายแย่งมีดมาทำร้ายเขาหรือใครได้อีก หลายคนที่ยืนมุงอยู่ห่างๆ รวมถึงเด็กปั๊มพอเห็นว่าคนร้ายไม่มีอาวุธแล้วก็รีบกรูเข้ามาช่วยจับตัวไว้ แต่เจ้าตัวพยายามขัดขืน เลยเจอรุมกระทืบไปจนอ่วม ก่อนจะถูกจับมัดด้วยเชือกไนลอนที่หาได้ในปั๊ม ระหว่างนั้นก็รอให้ตำรวจมาถึง จะได้จับคนร้ายไปนอนเล่นในคุกที่สถานีตำรวจ
ฝ่ายอติรุจพอเห็นว่าคนร้ายสิ้นฤทธิ์และพนักงานปั๊มเข้ามาช่วยคุมตัวไว้ไม่ให้ก่อเรื่องอีก เขาก็เอากระเป๋าสะพายไปคืนให้ผู้หญิงที่ถูกวิ่งราว ผู้หญิงคนนั้นขอบคุณเขามากมาย แต่ก็ตกใจและเป็นห่วงด้วยที่เขาได้รับบาดเจ็บเหมือนกัน
“คุณมีแผลนะคะ ไปโรงพยาบาลดีกว่าไหม” คนที่เขาช่วยไว้ทักเมื่อเห็นบาดแผลของเขา
“ไม่เป็นไรครับ แค่มีดบาดนิดหน่อย เดี๋ยวซื้อแอลกอฮอล์กับยาทำแผลในร้านก็ได้แล้วครับ”
รติยาพอได้ยินอย่างนั้นก็ถือวิสาสะดึงมือเขาไปที่อ่างล้างหน้าหน้าห้องน้ำชาย แล้วให้เขาล้างหลังมือที่เป็นแผลก่อนจะบอกว่า
“เดี๋ยวคุณนั่งรอที่ม้านั่งตรงสวนหย่อมหน้าห้องน้ำก่อนนะคะ ฉันจะไปซื้อยามาทำแผลให้ค่ะ”
หล่อนว่าแล้วก็ไม่รอให้เขาตกลงหรือปฏิเสธ รีบวิ่งไปที่ร้านสะดวกซื้อเพื่อซื้อยามาทำแผลให้เขา คนถูกสั่งทำตาปริบๆ เดินไปนั่งที่ม้านั่งตามที่หล่อนบอกด้วยความรู้สึกที่ไม่เคยคุ้น เพราะปกติเขามีแต่จะสั่งคนอื่นมากกว่าถูกสั่ง
ไม่นานนักรติยาก็กลับมาหาอติรุจพร้อมชุดทำแผล ส่วนตำรวจซึ่งเพิ่งมาถึงกำลังสอบถามจากพนักงานปั๊ม แล้วเตรียมพาคนร้ายขึ้นท้ายรถไปยังสถานีตำรวจ รวมทั้งบอกให้ผู้เสียหายตามไปให้ปากคำต่อด้วย
รติยานั่งลงบนม้านั่งข้างกายเขาแล้วขอดูหลังมือเขาข้างที่ถูกบาด
“ขอดูแผลหน่อยค่ะ เลือดหยุดไหลหรือยังคะ”
“หยุดไหลแล้ว แผลไม่ลึกหรอก แค่มีดบาดเอง”
อติรุจบอกเพื่อให้หล่อนสบายใจ แต่ก็ยอมส่งหลังมือที่บาดเจ็บให้ดู หล่อนดูแล้วเห็นว่ามันเป็นแค่รอยมีดบาดตื้นๆ จริงๆ ก็ไม่รู้ว่าเขาโชคดีหรือห้อยพระ ถึงสู้กับคนร้ายที่มีมีดแต่ได้รับบาดเจ็บแค่นี้
“แผลไม่ลึกจริงๆ ด้วย แต่ก็ต้องทำแผล ต้องฆ่าเชื้อนะคะ เดี๋ยวอักเสบ”
หล่อนว่าแล้วแกะซองชุดทำแผลเล็กๆ เทแอลกอฮอล์ใส่สำลีและนำมาเช็ดรอบแผลเพื่อฆ่าเชื้อ จากนั้นก็ใช้เบตาดีนขวดเล็กหยอดแผลให้เขา ทำไปปากก็บ่นไป
“คุณน่ะพุ่งเข้าไปใส่คนร้ายอย่างนั้นมันอันตรายนะคะ ถ้าโดนแทงตายขึ้นมาจะว่ายังไง คิดว่าตัวเองเป็นพระเอกหรือไง เคยเห็นไหมคะว่าพระเอกก็ตายได้”
รติยาว่าเป็นชุด แต่แทนที่อติรุจจะสลดหรือสำนึกว่ามันอันตราย เขากลับหัวเราะคำต่อว่าต่อขานของหล่อน เพราะนอกจากแม่และน้องสาวแล้ว ก็ไม่เคยมีใครกล้าโกรธใส่เป็นฟืนเป็นไฟและเป็นห่วงเขาไปพร้อมกันแบบนี้
“ขอโทษที่ทำให้ตกใจ แต่ผมประเมินแล้วว่าคนร้ายคนนั้นไม่ใช่มืออาชีพ”
อติรุจบอกและยิ้มให้อย่างที่ขโมยหัวใจหล่อนได้เลย แต่หล่อนก็พยายามทำเป็นไม่สนใจรอยยิ้มของเขาและบอกตัวเองว่าเขามีภรรยาแล้ว ต่อให้เขามีเสน่ห์และหล่อแค่ไหน หล่อนก็ต้องตัดใจแต่เนิ่นๆ แล้วจึงทำเป็นชวนคุยเรื่องคนร้ายเพื่อไม่ให้ตัวเองคิดแต่เรื่องของเขา
“คุณรู้ได้ยังไงคะว่าคนร้ายคนนั้นไม่ใช่มืออาชีพ” หล่อนถามกลับขณะหยิบผ้าก๊อซปิดแผลแบบพร้อมใช้ที่มีเทปกาวในตัวมาปิดแผลให้เขา
“ท่าทางเลิ่กลั่กและแววตาเป็นกังวลของเขา มันไม่ใช่มืออาชีพ แล้วก็ลักษณะการถือมีดไม่ใช่คนที่เจนจัดเรื่องการใช้อาวุธหรือการต่อสู้ประชิดตัว เขาสามารถเพลี่ยงพล้ำได้ทุกเมื่อถ้าผมหาจังหวะดีๆ”
คำตอบของเขาทำให้หล่อนทำหน้านิ่วและอดหมั่นไส้ไม่ได้กับความทะนงตนรวมทั้งความมั่นหน้ามั่นใจของเขา แต่อีกใจก็คิดว่าดีแล้วที่เขาไม่ได้บาดเจ็บไปมากกว่านี้
“เสร็จแล้วค่ะ”
“ขอบคุณมาก คุณพยาบาลจำเป็น”
รติยาค้อนใส่ก่อนจะเก็บอุปกรณ์ทำแผล จากนั้นเขาก็เดินมาส่งหล่อนที่รถยนต์เพราะตนเองมีธุระต้องไปทำต่อ ส่วนหล่อนก็ต้องกลับบ้านแล้วด้วยเช่นกัน
“หวังว่าครั้งหน้าที่เจอกัน เราจะได้เจอกันแบบดีๆ บ้าง” อติรุจเย้า
รติยาได้แต่แอบถอนหายใจ นี่หล่อนจะต้องบอกตัวเองอีกกี่ครั้งว่าห้ามหลงเสน่ห์ความหล่อเหลาและความตรงสเปกตรงใจเพราะเขามีเมียแล้ว!
“แล้วฉันจะทยอยโอนเงินค่าซ่อมรถไปให้ค่ะ”
หล่อนได้แต่บอกขอบคุณก่อนจะก้าวขึ้นรถไป ส่วนคนที่เดินมาส่ง พอส่งเสร็จก็เดินไปขึ้นรถของตัวเอง เขารอให้หล่อนขับไปก่อนจึงขับตามออกไป และแยกกันตรงสี่แยกไฟแดงของแยกถัดไป โดยที่รติยาไม่รู้เลยว่าเขาติดใจหล่อนเข้าเสียแล้ว
เพราะทั้งนามสกุลของหล่อนที่คุ้นหูเขามาก บวกกับท่าทางของเจ้าตัวที่แม้จะดูออกว่าหลงความหล่อเหลาของเขา แต่ก็ไม่ได้ทอดสะพานใส่ทั้งที่ทำได้ อีกทั้งตอนที่หล่อนดูเป็นห่วงเขา นั่นไม่ใช่อาการเสแสร้งแกล้งทำ ไม่ใช่เพียงเพราะพูดไปตามสถานการณ์ แต่ดูเป็นห่วงจริงๆ มันทำให้เขารู้สึกสนใจหล่อนขึ้นมา แล้วก็ได้แต่หวังว่าการเจอกันครั้งหน้าจะมีเรื่องดีๆ เกิดขึ้น
ความคิดเห็น |
---|