3

บทที่ ๓ ยิ่งไล่ยิ่งเจอ


บทที่ ๓ ยิ่งไล่ยิ่งเจอ
แม่ชื่นไม่ใช่คนเดียวในบ้านที่ตื่นมาด้วยความตกใจเพราะหาเจ้าของห้องไม่เจอ หลังจากเผลอหลับไปในห้องนอนของพิมพ์ภิดา แต่พอตื่นขึ้นมาก็พบว่า เจ้าของห้องยังไม่กลับ จึงวิ่งหน้าตาตื่นลงมาข้างล่าง ในห้องรับแขก ร่างของใครคนหนึ่งนั่งอยู่บนโซฟา ใบหน้าเต็มไปด้วยความอิดโรยเหมือนคนไม่ได้นอนมาทั้งคืนเช่นเดียวกัน
“คะ...คุณผู้หญิง...นั่งอยู่ตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่คะ”
อรุณาไม่ตอบ ตรงหน้ามีแก้วเหล้าทำให้รู้ว่า หล่อนก็เป็นอีกคนหนึ่งที่นั่งรอการกลับมาของลูกสาว ใบหน้าหม่นเศร้าทำให้ป้าชื่นรู้ดีว่า อรุณาก็กลุ้มใจไม่ต่างกัน
“คุณผู้หญิงเห็นคุณหนูกลับมาหรือยังคะ ดิฉันรออยู่บนห้องแต่ไม่เห็น”
“ยัง”
ป้าชื่นมีสีหน้าซีดเผือดยิ่งกว่าเดิม พิมพ์ภิดาเป็นเด็กมีปม จากเดิมนั้นเป็นเด็กเรียบร้อย แต่พอสองแม่ลูกเริ่มทะเลาะกัน หญิงสาวก็เปลี่ยนไป
“เราจะทำไงกันดีคะคุณผู้หญิง หรือว่า จะไปแจ้งความที่สถานีตำรวจดี”
“ทำไมต้องแจ้ง”
“แต่คุณหนู..”
อรุณาก็ร้อนใจไม่ต่างกันแต่ที่ต้องแสร้งทำเป็นเหมือนไม่สนใจนั่นก็เพราะรฐกรขอเอาไว้ เขาอ้างว่า พิมพ์ภิดาทำแบบนี้เพื่อข่มขู่ หากหล่อนเล่นไปตามเกมก็จะถูกลูกสาวหาข้ออ้างมาต่อรองไม่เว้นแต่ละวัน ดังนั้นพอลูกสาวโทรเข้ามาหล่อนจึงกดตัดสายแต่นึกไม่ถึงว่า นั่นคือ ฟางเส้นสุดท้ายให้พิมพ์ภิดาทำเรื่องน่าอับอายยิ่งกว่าเดิม
ตอนที่เห็นไลฟ์สดทางเฟสบุ๊คหล่อนแทบล้มทั้งยืน หล่อนโกรธจนเกือบจะขับรถตามไปที่บาร์แห่ง แต่รฐกรก็ขอเอาไว้อีก เขาอ้างว่า นั่นจะทำให้พิมพ์ภิดาได้ใจหาเรื่องกดดันอรุณามากขึ้น สุดท้ายเมื่อไม่มีทางเลือก หล่อนจึงกลับมานั่งรอที่บ้าน แต่รอแล้วรอเล่าบุตรสาวก็ไม่กลับมา ครั้นพอจะโทรตามมือถือก็ดันปิดไปเสียอีก หล่อนนั่งดื่มเหล้าเพื่อแก้กลุ้มอยู่ในห้องรับแขกจวบจนเช้า
“ช่างประไร..อยากทำอะไรก็เชิญ ฉันจะไม่สนใจอีกต่อไปแล้ว คิดหรือว่า ทำแบบนี้แล้วฉันจะกลัว”
“ช่างไม่ได้นะคะ คุณหนูเป็นผู้หญิงนะคะ จะเป็นตายร้ายดียังไงบ้างก็ไม่รู้ ไม่ได้กลับบ้านทั้งคืนแบบนี้”
“ก็สมควรแล้วนี่ อยากทำตัวเหลวแหลก ป้าดูเอาเองแล้วกันว่า เมื่อคืนนี้หลานสาวคนโปรดป้า ทำอะไรไว้บ้าง
อรุณาหยิบมือถือบนพื้นยื่นส่งให้ เมื่อกดปุ่มภาพเคลื่อนไหวบนหน้าจอก็ปรากฏให้เห็น ป้าชื่นอ้าปากค้างเมื่อเห็นหนุ่มๆ หลายคนกำลังเต้นนัวเนียกับพิมพ์ภิดาบนเวที เสื้อผ้าที่รัดรึงไปทุกสัดส่วนทำให้พิมพ์ภิดาเหมือนสาวน้อยกร้านโลก
“ตายแล้ว คุณหนูเพลิน ทำไมถึงไปเที่ยวที่แบบนี้ อกอีแป้นจะแตก”
“คงคิดว่า ทำแบบนี้แล้วฉันจะอายละมั้ง แต่ขอโทษ เพลินต่างหากที่ต้องอาย” อรุณาแค่นเสียง ทุกครั้งที่ลูกสาวทำเรื่องน่าอับอาย หล่อนจะยิ่งโกรธ
“คุณผู้หญิงทราบเรื่องนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่คะ”
“เมื่อคืน”
อรุณากัดกรามแน่น แค้นจนแทบกระอัก เพราะนึกไม่ถึงว่า พิมพ์ภิดาจะประชดด้วยการทำตัวแบบนี้
“ดิฉันจะโทรถามคุณหนูขวัญ เผื่อคุณหนูจะไปค้างบ้านนั้น”
“ไม่มีทาง สู่ขวัญเป็นเด็กดี ไม่มีวันไปมั่วสุมในที่แบบนั้นแน่”
“นี่หมายความว่า คุณหนูไปเที่ยวบาร์คนเดียวงั้นหรือคะ ตายแล้วดิฉันจะเป็นลม”
ป้าชื่นยกมือทาบอก สีหน้าซีดเผือดยิ่งกว่าเดิม หล่อนเลี้ยงพิมพ์ภิดามาตั้งแต่แบบเบาะ ลึกๆ ลงไปแล้วพิมพ์ภิดาไม่ใช่เด็กใจแตก ทุกอย่างที่ทำลงไปก็เพื่อประชดแม่เท่านั้น
“ฉันไม่สนใจแล้ว อยากทำอะไรก็เชิญ แล้วถ้ากลับมาป้าชื่นก็บอกหลานรักด้วยนะว่า เรื่องแค่นี้ฉันไม่สนหรอกไ ฉันขอขึ้นไปอาบน้ำก่อน จะได้รีบไปทำงาน”
ป้าชื่นมองอรุณาอย่างผิดหวัง ที่ผ่านมาหล่อนพยายามเป็นกาวใจให้กับสองแม่ลูก แต่ต่างคนก็ต่างแรง อรุณาทำแต่งานไม่ยอมให้เวลากับลูก ส่วนพิมพ์ภิดาก็เอาแต่ดื้อดึงไม่ยอมฟังคำอธิบายท่าเดียว ยิ่งมีหนุ่มรุ่นน้องมาติดพันอรุณา ความร้าวฉานก็มากขึ้นไปอีก หล่อนเองก็เห็นข่าวเจ้านายจากหนังสือกอสซิป แต่อยู่ในสภาพน้ำท่วมปาก เพราะเป็นลูกจ้างจะให้พูดมากก็คงทำไม่ได้
“คุณผู้หญิงจะไม่ลองโทรหาคุณขวัญหน่อยหรือคะ”
“โทรทำไม”
“ก็โทรตามคุณหนูเพลินยังไงละคะ”
“ประเดี่ยวก็กลับมาเองนั่นล่ะ ไหนบอกว่า ตัวเองเป็นผู้ใหญ่แล้วไม่ใช่หรือ ก็ต้องหัดรับผิดชอบตัวเอง จะให้มาตามล้างตามเช็ดปัญหาที่ก่อเอาไว้ ฉันไม่เอาด้วยหรอก”
ร่างที่ผุดลุกขึ้นจากเก้าอี้เซไป ป้าชื่นเข้ามาประคอง
“คุณผู้หญิงเป็นอะไรหรือเปล่าคะ”
“ไม่! ฉันสบายดี” อรุณาสะบัดมือออก พยายามฝืนยืนทั้งที่ในใจอ่อนล้าเหลือกำลัง
“แต่คุณผู้หญิงหน้าซีดมากเลยนะเจ้าคะ ขึ้นไปนอนพักสักหน่อยดีไหมคะ”
อรุณาหันขวับกลับมา ก่อนจะโพล่งด้วยเสียงอันดัง
“ฉันบอกว่า ไหวยังไงล่ะ ป้าไม่ต้องยุ่ง รีบไปชงกาแฟแก่ๆ ให้ฉันสักแก้วก็พอ ส่วนอาหารเช้าไม่ต้อง ฉันจะตรงเข้าที่ทำงานเลย”
ป้าชื่นโคลงศีรษะ ขณะกำลังจะเดินไปชงกาแฟ มือถือก็ดังขึ้นพอเห็นเบอร์หน้าจอก็จำได้ รีบกดรับทันที พอได้ยินข้อความใบหน้าที่เต็มไปด้วยความกังวลก็คลายลง
“โอ๊ย ขอบคุณมากๆ ค่ะคุณหนูขวัญ ป้าเองก็เป็นห่วงคุณเพลินมากๆ ถ้ารู้ว่า อยู่กับคุณขวัญก็ดีใจแล้วค่ะ บอกให้คุณหนูรีบกลับมาบ้านนะคะ ป้าจะทำอาหารไว้รอ”
ป้าชื่นวางสายไปหันมาหาอรุณา
“คุณขวัญเพิ่งโทรมาว่า คุณเพลินอยู่บ้านเธอค่ะ”
“เห็นไหม บอกแล้ว ป้าก็เลิกตามใจเพลินได้แล้ว ไม่อย่างนั้นต่อไปจะเหลิงไปกันใหญ่”
“แต่คราวนี้คุณเพลินน่าจะน้อยใจจริงๆ นะคะ เรื่องที่ว่า...” ป้าชื่นกำลังจะพูดแต่พอเห็นสีหน้าเคร่งเครียดของอรุณา จึงได้แต่เงียบเสีย
“เรื่องนั้นฉันจะจัดการเองได้ อ้อ...วันนี้ไม่ต้องเตรียมข้าวเย็นให้นะ ฉันคงกลับบ้านดึก ป้าล็อกประตูได้เลย ฉันมีรีโมท”
ร่างเพรียวเดินออกไปทิ้งให้ป้าชื่นสายหน้า
“คุณผู้หญิงน้า ทำไมไม่ยอมสนใจลูกบ้างเลย เจ้าประคุณขอให้คุณหนูกับคุณผู้หญิงปรับความเข้าใจกันเร็วๆ ด้วยเถอะ แม่บ้านอย่างฉันทนรับเรื่องนี้ไม่ไหวแล้ว”
เมื่อวางสายจากป้าชื่น สู่ขวัญก็รีบดึงเพื่อนรักกลับไปคุยในห้องทันที หล่อนแปลกใจตั้งแต่พิมพ์ภิดามากดกริ่งหน้าบ้านตั้งแต่เช้าแล้ว แต่ที่ต้องยอมโกหกพ่อกับแม่ว่า เพื่อนรักมาหาแต่เช้าเพราะไม่ต้องการให้เรื่องบานปลาย หล่อนเห็นสิ่งที่เพื่อนสาวไลฟ์สดตั้งแต่เมื่อคืนแต่พอโทรไปพิมพ์ภิดาก็ไม่รับสาย
“ไหนเล่ามาให้หมดเดี่ยวนี้ว่า เมื่อคืนนี้แกไปไหนมา”
สภาพของเพื่อนรักขอบตาบวมช้ำ ผมเผ้ายุ่งเหยิง แถมเสื้อผ้าที่สวมอยู่ก็เป็นเสื้อผู้ชาย เคราะห์ดีที่หล่อนมีไหวพริบจึงชิงแก้ตัวไปได้อย่างหวุดหวิด
“ก็ไม่มีอะไรมาก ฉันก็แค่ไปเที่ยว”
“อย่ามาโกหก ฉันรู้นะว่า แกไปเที่ยว ไหนรับปากแล้วไงว่า จะไม่ประชดชีวิตด้วยการทำอะไรแผลงๆ ยังไงล่ะ ทำไมถึงทำแบบนี้”
สู่ขวัญแหวใส่ หล่อนกับพิมพ์ภิดาเป็นเพื่อนสนิทกัน สาเหตุที่เพื่อนสาวเป็นเช่นนี้ก็เพราะปัญหาครอบครัวเพียงตัวเดียว เพื่อนสาวโทษว่า การที่บิดาเสียชีวิตเป็นความผิดของมารดา สองแม่ลูกทะเลาะกันไม่เว้นแต่ละวันจนเป็นเหตุของการประชด
“ก็มันโมโหจนหน้ามืดนะสิ แม่ไม่ยอมรับโทรศัพท์ฉัน เอาแต่สนใจแต่ไอ้รฐกร” พิมพ์ภิดาแค่นเสียง หล่อนทั้งโกรธและน้อยใจ ในวินาทีที่เห็นมารดากดตัดสายก็หูอื้อตายลายจนคิดอะไรไม่ออก คิดแค่ว่า จะทำยังไงให้มารดาเจ็บปวดเท่านั้น
“แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องที่แกจะเอาตัวไปอยู่ในที่อโคจรแบบนั้นนะ อย่าลืมสิว่า ตัวเองเป็นผู้หญิง ไปเที่ยวโฮสต์บาร์คนเดียวได้ยังไง แถมยังขึ้นไปเต้นบนเวทีอีก”
“ก็ทำไปแล้วจะให้ทำยังไงล่ะ ถึงยังไงฉันก็ปลอดภัยกลับมาแล้ว เลิกบ่นเสียทีได้ไหม”
หญิงสาวโอ่ ลึกๆ ลงไปแล้วไม่มั่นใจเลยสักนิด ตอนที่ลืมตามาและเห็นตนนอนอยู่กับชายแปลกหน้า พิมพ์ภิดาชาวาบตั้งแต่หัวจรดเท้า หล่อนโชคดีกว่าอีกหลายๆ คนที่เจอกับผู้ชายที่เป็นสุภาพบุรุษ แม้เขาจะมีหนวดเครารุงรัง แต่ก็ไม่ได้รังแกหล่อน
“ฉันจะบ่น จนกว่าแกจะรู้สำนึก สรุปว่า ไปเอาเสื้อใครมาใส่ยะ บอกมาเดี๋ยวนี้นะ”
หญิงสาวจำได้ว่า เสื้อที่เพื่อนสวมตอนเลิกเรียนคือ ชุดนักเรียน แต่ตอนนี้เสื้อเชิ้ตตัวโคร่งไซส์ใหญ่กว่าเดิมเท่าตัวต้องไม่ใช่ของพิมพ์ภิดาแน่
“เสื้อ..ของเอ่อ...” พิมพ์ภิดาอุ้ง ก้มมองเสื้อเชิ้ตตัวโคร่งที่ชายหนุ่มให้ยืมมา พอคิดถึง ใบหน้าที่รกรื้นไปด้วยหนวดและเคราก็ผุดขึ้น “ฉันยืมคนอื่นมา”
“คนอื่น หมายถึง ใคร นี่แกไปค้างบ้านใครมา เล่ามาให้หมดอย่ามาเม้ม ไม่อย่างนั้นฉันโกรธจริงๆ ด้วย ฉันอุตส่าห์ช่วยโกหกว่า แกมาค้างที่นี่”
“ฉันก็ไปค้างบ้านคนรู้จักนั่นล่ะ อย่าเซ้าซี้เลย”
“แกโกหกเพลิน แกไม่รู้จักใคร เพื่อนคนเดียวที่แกซี้ด้วยก็คือ ฉัน เล่ามาให้หมดทุกเม็ด ไม่อย่างนั้นฉันจะลงไปฟ้อง พ่อ แม่ ปู่ย่าว่า แกเป็นเด็กใจแตก”
พิมพ์ภิดารีบคว้ามือเพื่อนรักเอาไว้ยื้อกลับมา
“เฮ้ย...ไม่ได้นะ”
หากครอบครัวสู่ขวัญรู้ว่า หล่อนไม่กลับบ้าน มีหวังคงจะต้องร่ายธรรมะสอนหล่อนแน่นอน ครอบครัวของเพื่อนสาวอบอุ่นจนร้อน แถมทุกคนยังธรรมะธรรมโม ยามว่างเข้าวัดทำบุญ บางครั้งก็ไปนั่งสมาธิด้วยกันทั้งบ้าน ส่งผลให้สู่ขวัญเป็นเด็กดีอยู่ในโอวาทเสมอ
“งั้นก็พูดมา อย่าให้ฉันโมโห ไม่งั้นแกต้องฟังกัณฑ์เทศน์จากเช้ายันเย็นแน่ เผลอๆ พ่อกับแม่ฉันอาจจะจับแกไปบวชชีตลอดชีวิตก็เป็นได้”
“ฉัน...เอ่อ... เมาแล้วหลับไป พอตื่นขึ้นมาก็อยู่ในคอนโดฯ ของใครก็ไม่รู้”
“อะไรนะ”
สู่ขวัญหน้าซีดเผือด พิมพ์ภิดาก้มหน้าเสียงอ่อย จนป่านนี้แล้วหล่อนก็ยังไม่รู้ชื่อของผู้ชายหน้าหนวดคนนั้น หล่อนรู้เพียงว่า คอนโดที่ไปค้างเมื่อคืนคงแพงมากเพราะตั้งอยู่ในย่านธุรกิจ รถที่เข้ามาจอดล้วนแต่เป็นรถหรูราคาแพง เวลาจะเข้าออกต้องมีพนักงานรักษาความปลอดภัยตรวจตรา การผ่านเข้าไปต้องใช้คีย์การ์ด
“ทำไมทำตัวเหลวไหลแบบนี้”
“ก็ฉันเมานี่ แกจะเอาอะไรมากวะ คนเมาจะพูดรู้เรื่องที่ไหน”
“แล้วผู้ชายคนนั้นทำอะไรแกบ้างหรือเปล่า”
“คิดว่า เปล่านะ ฉันรู้สึกว่า ทุกอย่างยังปกติดี”
สู่ขวัญตีมือเพื่อนเผี๊ยะใหญ่ ถลึงตาดุตามด้วยการหยิกแขนเพื่อนรักเข้าอีกครั้งพิมพ์ภิดาร้องโอย
“เจ็บนะขวัญ หยิกมาได้”
“เจ็บก็ดีจะได้สำนึก ถ้าเป็นไปได้ฉันอยากหยิกแกให้เขียวไปทั้งตัวเลยด้วยซ้ำ ว่า แต่แน่ใจนะว่า หมอนั่นไมได้แอบถ่ายคลิปไว้แบล็กเมล ฉันว่า เรารีบไปแจ้งความดักเอาไว้ก่อน เกิดรูปแกถูกปล่อยในเน็ตขึ้นมา”
“คงไม่หรอก ฉันว่า เขาไม่ใช่ผู้ชายแบบนั้น”
“รู้ได้ยังไงว่า เขาเป็นคนดีหรือไม่ดี”
“ก็ไม่รู้ แต่ตอนนี้ฉันรู้สึกปกติมาก”
สู่ขวัญเอื้อมมือมาหยิกแขนเพื่อนรัก พร้อมกับบ่น
“แกอาจจะเมาจนจำอะไรไม่ได้ต่างหาก ฉันเคยเตือนแล้วใช่ไหมว่า การดื่มเหล้ามันผิดศีล สุรามระยะ มัชชะประมา ทัฏฐานา เวระ มณี สิกขาประทัง สมาธิยามิ พระท่านให้งดดื่มน้ำเมา อันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาท ทำให้สติฟั่นเฟือน แถมแกยังเอาตัวไปอยู่ในที่อโคจรแบบนั้น ทั้งสองอย่างนี้เป็นอบายมุข มอมเมาคนให้พลาดพลั้งมานักต่อนักแล้ว จะทำอะไร คิดหน้าคิดหลังเสียบ้าง”
“เออน่า...ฉันเข็ดแล้ว ต่อไปไม่กล้าแล้ว”
“ให้มันจริงเถอะย่ะ คนอย่างแกนะยายเพลิน พอน้อยใจก็เลือดขึ้นหน้าไปหมด ทำไมไม่รู้จักใช้สติ ไตร่ตรองเสียบ้าง”
“ฉันยอมรับว่า ไม่มีสติ แล้วเป็นแกจะรู้สึกยังไง โทรหาแม่ แต่แม่ไม่สนแถมยังควงไอ้แมงดานั่นไปกินข้าวหน้าตาเฉย”
“เมื่อไหร่แกจะเลิกน้อยใจแม่เสียที ท่านก็ต้องมีชีวิตของตัวเองบ้าง แกเป็นลูกต้องดีใจถึงจะถูกที่ท่านมีความสุขถึงจะถูก”
“ไม่! แม่กำลังโดนไอ้รฐกรนั่นหลอก ฉันยอมไม่ได้”
“แต่แม่แกไม่ใช่เด็กแล้วนะเพลิน ท่านโตกว่าแก ผ่านโลกมามากกว่าเยอะ”
“แต่แม่กำลังตาบอดหูหนวก ถึงไม่ยอมฟังอะไรฉันเลย”
อรุณาเปลี่ยนไปตั้งแต่ได้รู้จักกับรฐกร จากเดิมที่ท่านยังเคยพูดดีกับหล่อนบ้าง แต่หลังจากคบกับชายหนุ่ม ท่านก็เอาแต่ฟังคำแนะนำของอีกฝ่ายจนเห็นหล่อนเป็นศัตรู สิ่งที่พิมพ์ภิดาต้องการก็คือ ให้แม่สนใจหล่อนสักนิด
“ฉันว่า เรื่องนี้แกคงห้ามไม่ได้หรอก สักวันหนึ่งแม่แกก็ต้องแต่งงาน”
“ห้ามได้สิ เพียงแต่ฉันต้องหาวิธีที่ดีกว่านี้”
“วิธีอะไร”
“ไม่รู้สิ อะไรก็ได้ ที่ทำให้แม่หันมาฟังฉัน”
“ทำใจเสียเถอะน่า แม่แกเป็นถึงผู้บริหารคุมคนเป็นพันๆ คงไม่มีวันมาฟังเด็กวัยรุ่นอย่างพวกเราหรอก แกเองก็กำลังจะสอบเข้ามหาวิทยาลัย ฉันว่า เอาเวลามาโฟกัสกับเรื่องเรียนไม่ดีกว่าหรือ เหลือเวลาอีกไม่ถึงปี ก็จะสอบเข้าแล้ว หรือว่า แกไม่อยากเข้าคณะที่ตัวเองชอบ”
ความฝันของพิมพ์ภิดาคือ การเป็นสถาปนิก หล่อนชอบวาดรูป ชอบออกแบบ และมีความสุขกับการขีดเขียน แต่พักนี้มัวแต่ยุ่งกับเรื่องของมารดาทำให้แทบไม่มีเวลา หญิงสาวเม้มปากแน่
“ฉันจะไม่ยอมหยุดแค่นี้ ฉันต้องทำให้แม่รู้ให้ได้ว่า ไอ้ผู้ชายคนนั้นเป็นคนเลว”
“แกนี่มันดื้อหัวชนฝาจริงๆ นะ”
“ฉันขอโทษขวัญ ฉันจำเป็นจริงๆ”
“ถึงยังไงฉันก็คงห้ามแกไม่ได้หรอกใช่ไหม งั้นฉันขอแค่อย่างเดียว ต่อไปอย่าไปเที่ยวบาร์แบบนั้นอีก ฉันหัวใจจะวาย”
“รู้แล้วน่า ฉันเข็ดแล้วจริงๆ อีตาหมีนั่นเสียงดุชะมัด” ตอนที่ชายหนุ่มไล่หล่อนออกจากคอนโด พิมพ์ภิดาก็รีบลนลานออกมา ในใจยังนึกว่า เสียดายที่ไม่รู้จักชื่อ
“หมีไหนหรือ”
“ก็คนที่ช่วยฉันไว้นะสิ หนวดเครารกรุงรัง แต่คนอะไรก็ไม่รู้ ตัวโตเสียเปล่าแต่ในตู้โชว์กลับสะสมตุ๊กตาหมี”
“ตุ๊กตาหมีงั้นหรือ” สู่ขวัญพูดอย่างประหลาดใจ
“ใช่ เทดดี้แบร์สีน้ำตาลซะด้วย ขัดกับเพศสภาพชะมัด”
แค่คิดพิมพ์ภิดาก็อดส่ายหน้าไม่ได้ หล่อนบังเอิญเห็นตุ๊กตาหมีอยู่ในตู้กระจกโชว์ในห้องรับแขก คิดแล้วก็ยิ่งประหลาดใจที่ผู้ชายดุๆ คนนั้นเก็บตุ๊กตาเอาไว้
“แปลกดีนะ ผู้ชายอะไรเล่นตุ๊กตาหมี”
“ใช่ ตลกมาก แถมอีตานั่นหน้ายังเหมือนหมีอีกต่างหาก หนวดเครารุงรัง แล้วก็...”
ภาพของแผงอกเปลือยกำยำ รวมถึงหลักฐานแห่งความเป็นชายผุดขึ้นในมโนภาพอีกครั้ง พิมพ์ภิดารีบส่ายหน้าไล่ความคิด แก้มสองข้างร้อนผ่าวขึ้นมาอย่างอัตโนมัติ
“แล้วก็อะไร”
“ปะ....เปล่า ไม่มีอะไร ก็แค่เขาไว้หนวด นี่ก็สายมากแล้ว ฉันขอกลับบ้านก่อนนะ ขอยืมชุดแกเปลี่ยนก่อน ไว้อีกสองวันค่อยเอามาคืน”
“ก็เอาสิ แกเปิดตู้เลือกเอาเองก็แล้วกัน ถ้าอาบน้ำเสร็จ ฉันจะให้คนขับรถไปส่งที่บ้าน ป่านนี้แม่ชื่นคงนั่งชะเง้อคอรอแกอยู่แล้วล่ะ”
“ฮัดชิ้ว!”
ธณริศซึ่งทำอาหารอยู่หน้าเตาจามออกมาเสียงดังลั่น
‘ใครนินทาเราวะ หรือว่า จะเป็นยายเด็กเพี้ยนนั่น’
ชายหนุ่มบ่นพึมพำ เขายอมรับว่า นับตั้งแต่หล่อนกลับไป ธณริศก็สลัดหญิงสาวออกไปจากความคิดไม่ได้ ภาพของแววตาหม่นเศร้ายังคงติดอยู่ในความคิด เขาลุกขึ้นมาอาบน้ำแต่งตัวหลังจากนั้นก็ทำอาหารเช้ากินเพื่อคลายเครียด
แม้ว่า เดลจะร่ำรวยเป็นถึงมหาเศรษฐีมีทรัพย์สินเป็นพันๆ ล้านแต่ธณริศก็ไม่ได้ใช้ชีวิตอย่างฟุ้งเฟ้อเหมือนลูกคนรวยคนอื่นๆ เดลสอนให้เขามัธยัสถ์รู้จักค่าของเงิน ยิ่งผนวกกับประสบการณ์สมัยเด็กทำให้ธรริศรู้ซึ้งดีว่า เงินมีค่าขนาดไหน
สมัยเด็กเขาเคยอดมื้อกินมื้อตอนอยู่กับยาย และพอยายเสีย เขาเคยไม่มีอาหารตกถึงท้องหลายวันติดกันเลยทีเดียว สมัยเรียนชายหนุ่มต้องอยู่หอพักเช่นเดียวกับนักศึกษาคนอื่นๆ งานอดิเรกที่เขาชอบคือเข้าครัวทำอาหาร อาศัยจากความทรงจำวัยเด็กตอนอยู่กับยาย หรือเรียนจากคลิปในยูทูปบ้าง พัฒนาจนเก่งขึ้น เพื่อนหลายคนที่เคยชิมฝีมือล้วนแต่บอกว่า เขามีพรสวรรค์
ครั้นพอมาอยู่เมืองไทยเพื่อทำธุรกิจ ธณริศจึงชอบเช่าห้องพักที่มีส่วนพื้นที่สำหรับทำครัว ยามว่าง เขามักจะเตรียมของสดไว้ในตู้เย็นสำหรับอาหารเช้าง่ายๆ อย่างวันนี้ ชายหนุ่มตั้งใจทำเมนูโปรดสมัยเรียน
เขานำไข่ไก่สองฟองลงไปตีกับนมให้เข้ากัน หลังจากนั้นหย่อนเนยลงไปในกระทะพอเนยละลายก็นำไข่ลงไป คนจนใกล้สุกหลังจากนั้นนำแฮมที่ลวกน้ำร้อนไว้เรียบร้อยแล้วลงไปผัดกับไข่ ปรุงรสด้วยเกลือ ชายหนุ่มโรยเครื่องเทศ พริกไทยเล็กน้อย หลังจากนั้นทำการอุ่นแผ่นตอร์ติญ่าซึ่งมีลักษณะคล้ายแผ่นแป้งโรตี แต่เป็นของประเทศสเปน นำไปอุ่นในเตาให้ร้อน หลังจากนั้นนำมาห่อไข่คนแฮม โรยหน้าด้วยชีสพาร์มีซานขูดฝอยโรยหน้า
ชายหนุ่มชงกาแฟดำรสเข้มนำมาดื่มบนโต๊ะด้วย ไม่บ่อยนักที่เขาจะได้มีเวลานั่งพักเหมือนคนอื่นๆ แต่วันนี้สิ่งที่รบกวนจิตใจกลับเป็นหญิงสาวคนเดิม ธณริศมั่นใจว่า หล่อนเป็นเด็กมีปัญหา อาจจะบ้านแตก
พ่อไปทางแม่ไปทางจึงทำตัวประชดใครสักคน เขายังจำตอนที่หล่อนไลฟ์สดในโฮสต์บาร์ได้เป็นอย่างดี ท่าทางแบบนั้นช่างเหมือนกับเขาสมัยวัยรุ่นไม่มีผิด เขาเคยประชดเดลด้วยการทำตัวเหลวแหลก เที่ยวเล่น ไม่เข้าเรียน ดื่มเหล้าเมาหัวราน้ำ เพื่อเรียกร้องความสนใจแต่สุดท้ายคนที่ต้องยอมรับความเจ็บปวดก็คือ ตัวเอง
หลังจากเกิดเมื่อหลายปีก่อนธณริศก็บอกตัวเองว่า การทำร้ายตัวเองไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้นเลย ต่อไปนี้เขาจะไม่ทำอะไรโดยใช้แต่อารมณ์อีก ทุกอย่างในชีวิตต้องผ่านการคิดอย่างรอบคอบ เช่นเดียวกับแผนการเทคโอเวอร์โรงแรมเซ้าท์เฮเว่น นอกจากข้อมูลจากไบรอันแล้ว ธณริศยังหาข้อมูลเกี่ยวกับบริษัทในด้านอื่นๆ เขาค้นข้อมูลจากอินเทอร์เน็ตรวมถึงสายที่เชื่อถือได้
ทุกครั้งก่อนจะตัดสินใจเทคโอเวอร์บริษัทใด ธณริศต้องดูจนแน่ใจว่า การลงทุนแต่ละครั้งจะไม่สูญเปล่า เขาดาวน์โหลดข้อมูลของโรงแรมลงมาในไอแพดส่วนตัว ธณริศมักจะเก็บไฟล์ข้อมูลไว้อย่างเป็นระเบียบ ทั้งนี้เพื่อเอาไว้ใช้สำหรับวิเคราะห์ รวมถึงถ้าต่อไปเมื่อเขากลับอเมริกา จะได้นำเสนอข้อมูลเหล่านี้ให้กับเดลได้รับรู้
สิ่งที่ทำให้แปลกใจนั่นก็คือ ก่อนหน้านี้เซ้าท์เฮเว่นเคยทำกำไรได้สูงมาก แต่หลังจากการเสียชีวิตของประธานบริษัทอย่างคุณพชร เมื่อหนึ่งปีก่อน เซ้าท์เฮเว่นก็เข้าสู่ช่วงขาดทุกอย่างหนัก ทุกอย่างเป็นเพราะการบริหารผิดพลาดผนวกกับการใช้เงินมือเติบของลูกสาวเพียงคนเดียวที่ชื่อว่า เขมริกา
หล่อนมีชื่อเล่นที่คนในวงสังคมรู้จักกันว่า เข็ม เป็นสาวสังคมจ๋า เรียนจบจากต่างประเทศ ตลอดเวลาที่เขมริกาอยู่ในต่างประเทศ หล่อนใช้เวลา ’เที่ยว’ มากกว่า ’เรียน’ ดังนั้นพอคุณพชรเสียชีวิตอย่างกะทันหันด้วยโรคหัวใจ เขมริกาจึงต้องเข้ามาบริหารงานโดยไม่มีพื้นฐานอะไรเลย
นอกจากหล่อนจะอ่อนหัดในเรื่องธุรกิจแล้วยังเป็นคนที่ใช้มือเติบอีกด้วย ชายหนุ่มแอบติดตามอินสตราแกรมของหล่อนและพบว่า หญิงสาวใช้เงินซื้อข้าวของต่างๆ แทบไม่เว้นแต่ละวัน ทั้งกระเป๋า รองเท้า เครื่องประดับ แต่ละชิ้นล้วนแต่เป็นของแพง ข่าววงในบอกว่า หล่อนเอาแต่ฟังคำป้อยอของลูกน้องทำให้บริษัทขาดทุนย่อยยับและเนื่องจากหญิงสาวเป็นคนไม่สู้งานจึงรีบหาทางขายกิจการของเซ้าท์เฮเว่นไปให้พ้นมือ
เขมริกาเป็นคนสวย ใบหน้าที่ผ่านการศัลยกรรม ฉีดเสริมเติมแต่ละจุด อีกทั้งการแต่งกายที่ดูวาบหวาม หญิงสาวเปลี่ยนคู่ควงเป็นว่าเล่น ไบรอันแอบกระซิบว่า เงินส่วนหนึ่งที่หายไปนั่นก็เพราะถูกอดีตแฟนของเขมริกายักยอกเอาไปนั่นเอง
จุดอ่อนของเขมริกาก็คือ ความเหงา หล่อนเพิ่งจะเลิกกับแฟน และเอาแต่เที่ยวสังสรรค์ ดังนั้นเขาควรจะใช้โอกาสนี้ตีสนิทกับหล่อน แม้ว่า การหลอกผู้หญิงจะไม่ใช่วิธีที่ธณริศชอบทำ แต่ครั้งนี้เขาต้องการรู้เขารู้เรา ดีกว่า ผลีผลามเข้าไปเทคโอเวอร์บริษัทแล้วต้องขาดทุน
นอกจากบริษัทเขาแล้ว ยังมีบริษัทคู่แข่งที่ชื่อ เวิร์ดคลาสที่จ้องจะควบกิจการของเซ้าท์เฮเว่นอีกด้วย สำหรับธณริศแล้วการเปิดเกมรุกที่ฉับไว คือ คติที่ใช้มาตลอดในการทำงาน เขากดเข้าไปในหน้าจอสายการบิน และเลือกจองตั๋วเครื่องบินเที่ยวที่เร็วที่สุด ตามด้วยการจองห้องพักที่หรูที่สุดของโรงแรมผ่านเว็บไซด์แห่งหนึ่งที่นิยมกัน เงินจำนวนนี้ถ้าเทียบกับเงินกำไรที่จะได้นับว่า คุ้มเกินคุ้ม พรุ่งนี้เขาจะเดินทางไปที่เซ้าท์เฮเว่นในฐานะแขก และบางทีอาจจะได้พบ เจ้าของโรงแรมสาวสวยคนนั้นเพื่อหลอกถามข้อมูลบางอย่าง ธณริศขบคิดในใน เขาได้แต่หวังว่า ครั้งนี้คงจะไม่มีอะไรมาทำให้แผนการต้องวุ่นวายอีก แต่ชายหนุ่มคงไม่รู้หรอกว่า บางครั้งชะตาชีวิตของมนุษย์ก็ได้ถูกลิขิตเอาไว้แล้วให้วุ่นวายอย่างไม่รู้จักจบสิ้น...
เมื่อพิมพ์ภิดากลับถึงบ้าน มารดาก็ออกไปทำงานเรียบร้อยแล้ว ภายในบ้านจึงเหลือแต่เพียงแม่บ้านอาวุโส เป็นโอกาสอันดีที่จะหลบเลี่ยงจากทุกอย่าง พิมพ์ภิดาไม่ได้ภูมิใจกับสิ่งที่ทำลงไปเมื่อคืนเลยแม้แต่น้อย คนเดียวที่หล่อนไม่อยากโกหกก็คือ ป้าชื่น
ป่านนี้ป้าชื่นคงจะทราบเรื่องทั้งหมดแล้ว หญิงสาวรีบตรงขึ้นห้องเพื่ออาบน้ำเปลี่ยนเสื้อทันที หล่อนหวังว่า ป้าชื่นอาจจะออกไปธุระและพอท่านกลับมา หล่อนก็นอนหลับปุ๋ยไปเรียบร้อยแล้ว ร่างกายอ่อนเพลียเพราะดื่มอย่างหนัก แถมอาการแฮงค์เล่นงานจนหัวปวดหนึบ แต่ความหวังไม่เป็นจริงเพราะพอเปิดประตูออกมาก็เจอกับผู้พิพากษานั่งรออยู่ด้วยใบหน้ามึนตึง
สำหรับคนอื่นพิมพ์ภิดาอาจจะกล้าแสดงท่าทีเหวี่ยงวีน แต่เพราะป้าชื่นเลี้ยงหล่อนมาตั้งแต่แบเบาะ หญิงสาวจึงเกรงใจ เจ้าของห้องแสร้งทำเป็นเดินไปนั่งสางผมหน้ากระจก ทั้งที่ในใจเต้นรัว
“เมื่อคืนนี้คุณหนูไปค้างที่ไหนมาคะ บอกป้ามาเสียดีๆ”
“เพลินก็ไปค้างบ้านขวัญยังไงล่ะป้า”
“ไม่จริง ป้ารู้นะคะว่า คุณขวัญช่วยคุณหนูโกหก”
“โกหกอะไรกันคะ เพลินไปค้างบ้านขวัญจริงๆ ไม่เชื่อโทรถามได้” พิมพ์ภิดาโต้
“เดี๋ยวนี้คุณหนูไม่ยอมบอกความจริงกับป้าหรือคะ หรือว่า เห็นว่า ป้าชื่นคนนี้ไม่สำคัญอีกต่อไปแล้ว” พอเจอไม้นี้เข้า พิมพ์ภิดาถึงกับไปไม่ถูก ยิ่งเห็นแม่นมที่รักน้ำตาคลอ ลำคอหล่อนก็ตีบตัน หล่อนรักและเคารพป้าชื่นเหมือนญาติสนิท ป้าชื่นคอยดูแลเอาใจใส่หล่อน เป็นคนที่รักหล่อนมากพอๆ กับพ่อแท้ๆ
นับตั้งแต่หล่อนลืมตาดูโลก ป้าชื่นเป็นคนช่วยเลี้ยงดู ช่วงที่จอร์ชออกไปเปิดร้านอาหารหล่อนก็อยู่กับแม่นมอาวุโสแทบทุกวัน ครั้นพอโตขึ้นจนเข้าโรงเรียน ป้าชื่นกับคนขับรถก็จะเป็นคนไปรับไปส่ง แม้แต่วันงานโรงเรียนหากบิดาไม่ว่าง ป้าชื่นก็จะไปนั่งดูการแสดงของหล่อน ช่วงที่พ่อกับแม่มีปัญหาทะเลาะกัน ป้าชื่นก็พยายามเป็นกาวใจให้คนทั้งคู่ แต่สุดท้ายทุกอย่างก็เปล่าประโยชน์ หล่อนกับแม่ยังกลายเป็นคนแปลกหน้าต่อกันในที่สุด
“ป้าชื่นรู้อยู่แล้ว แล้วทำไมต้องถามเพลินด้วย” พิมพ์ภิดาพูดเสียงเครือ ไม่มีเหตุผลใดๆ ที่จะแก้ตัวให้กับการกระทำบ้าบิ่นของหล่อน หญิงสาวแค่อยากประชดเท่านั้น
“เพราะป้าอยากฟังจากปากของคุณหนูเองยังไงละคะ เพราะอะไรถึงได้ไปเที่ยวที่แบบนั้น มันไม่ดีรู้ไหมคะ “
พิมพ์ภิดาเดาได้ทันทีว่า มารดาคงเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟังเรียบร้อยแล้ว ได้ว่า มารดาคงเล่าเรื่องให้ฟังหมดแล้ว ป่วยการที่จะโกหกต่อไปอีก
“ไม่ดียังไงคะป้า ทีแม่ยังควงไอ้แมงดานั่นไปกินข้าวได้เลย”
“ตายแล้วคุณหนู พูดถึงคุณรฐกรแบบนั้นคะ”
“เพลินพูดความจริงค่ะป้า ผู้ชายคนนั้นต้องการปอกลอกแม่”
“คุณผู้หญิงเป็นผู้ใหญ่มากแล้วนะคะ เรื่องชีวิตคู่ก็ต้องให้ท่านตัดสินใจเอง คุณหนูในฐานะลูก ไม่ควรเข้าไปยุ่งเรื่องนี้”
“แต่เพลินปล่อยให้แม่ถูกหลอกไม่ได้ ป้าชื่นไม่รู้หรอกว่า เมื่อคืนนี้แม่กดตัดสายเพลิน แม่เห็นมันสำคัญกว่าเพลิน”
พิมพ์ภิดาน้ำตาคลอ ยิ่งคิดก็ยิ่งน้อยใจมารดา บ่อยครั้งที่หล่อนรู้สึกว่า ท่านรักงานมากกว่าหล่อน ท่านไม่แม้แต่จะรอซักถามความจริงว่า หล่อนไปไหนมา หล่อนจะเป็นอันตรายอะไรหรือเปล่า แต่กลับออกไปประชุมทั้งที่ลูกสาวยังกลับไม่ถึงบ้านด้วยซ้ำ หลังจากชาร์จโทรศัพท์เสร็จ หญิงสาวก็เปิดมือถือขึ้นอีกครั้ง มีมิสคอลอยู่หลายสายจากมารดาของหล่อน แต่กลับไม่มีข้อความอะไรที่จะบอกได้เลยว่า แม่เป็นห่วงการเงียบเฉยของอรุณาทำให้หล่อนเจ็บปวดมากขึ้นไปอีก มันเหมือนหล่อนไม่มีตัวตนอยู่บนโลกใบนี้ด้วยซ้ำ
“แต่เมื่อวานนี้ คุณผู้หญิงนั่งรอคุณเพลินทั้งคืนนะคะ ตอนที่ป้าลงมา ท่านนั่งอยู่ในห้องรับแขกไม่ยอมขึ้นห้อง”
“แต่แม่ก็ไม่ยอมคุยกับเพลิน”
“คุณผู้หญิงคงมีเหตุผลของท่าน”
“เพลินก็มีเหตุผลของตัวเองเหมือนกัน เห็นทีเพลินคงต้องทำอะไรให้มันหนักข้อขึ้น แม่ถึงจะยอมหยุดฟังบ้าง”
แม่บ้านอาวุโสยกมือทาบอก หล่อนเลี้ยงพิมพ์ภิดามาตั้งแต่แรกเกิด และรู้จักนิสัยใจคอเป็นอย่างดี หญิงสาวไม่ใช่เด็กก๋ากั๋น แต่ทุกอย่างที่ทำลงไปก็เพื่อประชดนั่นเอง หลังจากจอร์ชเสียชีวิต พิมพ์ภิดาก็เหมือนคนเสียศูนย์
“คุณหนูคิดจะทำอะไรคะ”
“อะไรก็ได้”
“เลิกคิดอะไรแผลงๆ ได้แล้ว มันไม่ดีหรอกค่ะ ทำแล้วจะได้อะไรขึ้นมา ป่านนี้คุณจอร์ชที่อยู่บนสวรรค์จะเสียใจแค่ไหน คุณหนูของชื่น เคยเป็นเด็กน่ารัก แต่นี่อะไรกัน”
ภาพที่พิมพ์ภิดานุ่งสั้นสายเดี่ยวยังติดตายิ่งคิดถึงตอนที่หญิงสาวขึ้นไปยักย้ายส่ายสะโพกบนเวทีป้าชื่นก็แทบลมจับ
“ป้าชื่นไม่เข้าใจเพลิน”
“เข้าใจสิคะ ป้ารู้ว่า คุณหนูก็เจ็บปวด แต่ที่คุณหนูควรทำก็คือ ยอมรับว่า คุณแม่กำลังจะมีความสุข”
“นี่ป้าชื่นเห็นด้วยหรือคะ ที่แม่จะแต่งงานใหม่”
“ไม่ใช่ค่ะ...แต่ป้าเป็นแค่ลูกจ้าง คงไม่มีสิทธิ์คัดค้าน ถ้าคุณผู้หญิงเห็นว่า คุณรฐกรเป็นคนดี ป้าก็คงขัดไม่ได้”
“ไม่...มันเป็นแมงดา มันต้องการฮุบสมบัติของเรา”
“พูดจาแบบนี้ไม่น่ารักเลยนะคะ ประเดี๋ยวใครได้ยินเข้า” ป้าชื่นปราม
“มากกว่านี้เพลินก็จะพูด ถ้าหากว่า จะทำให้คนอื่นรู้บ้างว่า ไอ้รฐกรมันไม่ใช่คนดี มันเข้ามาเพราะต้องการบริษัทของเรา แม่ตามเล่ห์เหลี่ยมไม่ทันหรอก”
“คุณผู้หญิงท่านผ่านโลกมามากทำไมจะไม่รู้ ถ้าคุณผู้หญิงตัดสินใจแล้ว คุณเพลินก็ต้องยอมรับ สักวันหนึ่งเขาก็ต้องย้ายเข้ามาในบ้านนี้”
“ไม่..เพลินไม่ยอม แต่ถ้าวันหนึ่งแม่เลือกมันละก็ เพลินนี่ล่ะที่จะเป็นฝ่ายไปจากบ้านนี้เอง”
“คุณหนู” ป้าชื่นพ้อ เอื้อมมือมากุมมือพิมพ์ภิดา
หล่อนสะบัดออก และยกมือขึ้นปาดน้ำตาที่ไหลอาบสองแก้มแทน พิมพ์ภิดากลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่ ทุกครั้งที่เอ่ยถึงบิดา หล่อนก็ยิ่งรู้สึกโกรธมารดามากยิ่งขึ้น หากวันนั้นท่านไม่ทำแต่งานและยอมรับโทรศัพท์ บิดาคงไม่เสียชีวิต พิมพ์ภิดาเคยคิดจะย้ายไปอยู่อเมริกาแต่ก็มาเกิดเรื่องเศร้าขึ้นเสียก่อน
“ป้าชื่นรู้ไหมว่า เพลินเจ็บ ยิ่งคิดถึงการตายของพ่อ เพลินก็ยิ่งเกลียดแม่”
“มันไม่ใช่ความผิดของคุณผู้หญิงนะคะ คุณจอร์ชทำงานหนักเลยไม่ได้พักผ่อน ทุกอย่างที่เกิดขึ้นเป็นอุบัติเหตุ”
“เป็นเพราะแม่ทำแต่งาน แม่ไม่เคยสนใจอย่างอื่นนอกจากงาน คอยดูนะ เพลินจะทำให้แม่รู้ว่า วันหนึ่งที่แม่ต้องเสียทุกอย่างไป จะรู้สึกยังไง”
“ยกเลิกความคิดเถอะนะคะ การประชดชีวิตไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้นมามีแต่ทำให้ยิ่งตกต่ำลงไป เชื่อป้านะคะ ป้าขอร้อง”
ป้าชื่นดึงหญิงสาวเข้ามากอด พิมพ์ภิดาไม่ตอบแต่สะอื้นด้วยความเจ็บปวด หญิงสาวไม่ได้รับปากแต่กำลังวางแผนในใจต่างหาก ครั้งนี้หล่อนจะไม่พลาด หล่อนจะทำให้มารดาล้มเลิกความคิดที่จะแต่งงานกับรฐกรให้จงได้


รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น