6

บทที่ ๖ บาดแผล


บทที่ ๖ บาดแผล

 

ชายหนุ่มสั่งตัวเองว่า ไม่ควรสนใจเสียงร้องไห้ปิ่มว่า จะขาดใจของผู้หญิงข้างห้อง แต่เพราะห้องอยู่ใกล้กันหรือไม่หญิงสาวก็อาจจะนั่งร้องไห้อยู่ใกล้ประตูก็เป็นได้ ท่ามกลางบรรยากาศห้องพักบนเนินเขาที่มีแต่ความเงียบ เสียงดนตรีนั้นอยู่บริเวณพูลคลับด้านล่าง ธณริศลงไปรับประธานอาหาร แต่ก็ต้องพบกับความผิดหวังว่า เขมริกาติดธุระด่วน หล่อนขอเลื่อนนัดดินเนอร์เป็นวันพรุ่งนี้แทน

เขาบังเอิญได้เจอกับเพื่อนเก่าซึ่งเป็นคนอเมริกันมาพักผ่อนที่เมืองไทยกับภรรยา เขาบอกว่า ชอบห้องพักที่นี่มากเพราะสะดวกสบาย แถมยังมีความเป็นส่วนตัวสูง ธณริศนั่งคุยกับเพื่อนอยู่เกือบชั่วโมง ตอนที่ขึ้นมาถึง เขาก็ได้ยินเสียงอาละวาดขว้างปาข้าวของพร้อมกับเสียงร้องไห้ของใครบางคน

ธณริศเข้าห้อง อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าตั้งใจจะดูโทรทัศน์แต่แล้วเสียงนั้นก็ยังดังต่อเนื่อง เขาตัดสินใจโทรหาโอเปอร์เรเตอร์เพื่อให้มาจัดการ แต่กลับได้ยินเสียงหล่อนตวาดไล่ทุกคนออกไปพร้อมขู่สารพัด ไม่นานนักผู้จัดการโรงแรมก็มาเพื่อไกล่เกลี่ย หล่อนกระแทกประตูใส่ทุกคน หลังจากนั้นทุกอย่างก็เงียบไปเหลือเพียงเสียงร้องไห้แทน

เขายอมรับว่า ไม่มีสมาธิทั้งที่ความจริงแล้วมันก็ไม่ใช่เรื่องอะไรของตัวเอง เขาลั่นวาจาเอาไว้ว่า จะไม่ช่วยเหลือเด็กสาวอีกต่อไปแล้ว ดังนั้นการที่หล่อนจะทำอะไรก็ไม่ต้องไปยุ่งเกี่ยว แต่มนุษย์ธรรมที่เต้นเร่าๆ ในใจทำให้อดสงสารไม่ได้

เด็กสาวทำให้เขาคิดถึงตัวเองสมัยวัยรุ่น ตอนนั้นเขาน้อยใจเดลที่ไม่มีเวลาให้ จนทำตัวเหลวไหล ใครจะคิดว่า แค่ทำประชดแต่พ่อบุญธรรมกลับดัดนิสัยด้วยการไม่ยอมคุยด้วย นั่นยิ่งทำให้เด็กหนุ่มนิสัยมุทะลุเตลิดเปิดเปิงไปอีก จนกระทั่งเขาได้เจอกับเมลานี หล่อนคือ รักแรก หญิงสาวทำให้โลกที่เคยเงียบเหงาของเขากลับสดชื่นอีกครั้ง ธณริศตั้งความหวังไว้ว่า จะแต่งงานมีครอบครัว แต่สุดท้ายทุกอย่างก็เป็นแค่คำโกหก

เขาถูกหล่อนสลัดทิ้งอย่างไม่ใยดี ธณริศเหมือนนกปีกหัก แต่พอกลับมาถึงเดลกลับไม่ด่าว่า อะไรสักคำ พ่อบุญธรรมแค่ลูบหัวและพูดว่า พรุ่งนี้ให้ไปโรงเรียนเหมือนเดิม หลังจากนั้นชายหนุ่มก็คิดได้ เขาไม่รู้ว่า เด็กสาวข้างห้องมีปัญหาอะไร แต่บางทีอาจเป็นเพราะหล่อนทะเลาะกับคนทางบ้านก็เป็นได้ หลังจากผุดลุกผุดนั่งอย่างไม่เป็นสุข ชายหนุ่มก็ตัดสินใจจะเปิดออกไปดู

ในจังหวะเดียวกับที่ประตูเปิดออก เด็กสาวเดินออกมาในสภาพผมเผ้ายุ่งเหยิง ใบหน้าเลอะเครื่องสำอางเพราะผ่านการร้องไห้อย่างหนัก นัยน์ตาคู่นั้นดูเลื่อนลอย เขาหยุดดูว่า หญิงสาวจะไปที่ไหนแต่พอเห็นว่า หล่อนขี่จักรยานที่อยู่ด้านหน้าบ้านพักลงเขาไป มือเรียวก็เย็นเฉียบ

ใจนึกถึงตอนที่เด็กสาวร้องไห้ตะโกนใส่หน้าพนักงานต้อนรับพร้อมกับขู่ว่า จะฆ่าตัวตายในช่วงแรก หากมีคนมาวอแววกับหล่อน สิ่งที่ธณริศกลัวคือ หญิงสาวจะไปที่ไหนกันแน่ เขาคว้าจักรยานที่จอดอยู่หน้าบ้านพักและขี่ตามหล่อนลงไปทันที

ถนนในโรงแรมค่อนข้างมืดเส้นทางลาดทำให้จักรยานแล่นด้วยความเร็ว รถคันนั้นไปจอดตรงถนนที่มุ่งสู่ชายหาด และอยู่ในสภาพคว่ำอย่างไม่ใยดี ธณริศทิ้งรถและรีบวิ่งตามไป ในใจภาวนาขอให้ทุกอย่างที่คิดไม่ใช่เรื่องจริง แต่แล้วร่างบางของหญิงสาวที่กำลังเดินลงทะเลก็ทำให้เขาตกใจสุดขีด

“เฮ้ย...หนู จะทำอะไรนะ ขึ้นมาเดี๋ยวนี้นะ”

ท้องทะเลตอนนี้ทั้งมืดและน่ากลัว แถมคลื่นยังแรง เขาเห็นเมฆตั้งเค้าอยู่ไกลลิบๆ ทะเลที่ภูเก็ตบางครั้งก็น่ากลัว จึงมีข่าวนักท่องเที่ยวเสียชีวิตจากการเล่นน้ำทะเลแบบนี้ ธณริศมั่นใจว่า เด็กสาวไม่ได้ตั้งใจจะว่ายน้ำเล่นเป็นแน่ หล่อนไม่ตอบแต่เดิมดุ่มๆ ลงไป ธณริศชะงัก พึมพำกับตัวเอง

‘นายบอกว่า จะไม่ยื่นจมูกไปช่วยหล่อนยังไงล่ะ กลับห้องเสีย’

ขาสองข้างแข็งทื่อ ก้าวแทบไม่ออก มโนธรรมในใจก่นด่า

‘แต่เธอกำลังจะฆ่าตัวตายนะไอ้หมี จะปล่อยให้เป็นอย่างนั้นหรือ’ สมองด้านดีก่นด่าตัวเอง ขณะที่ร่างของหญิงสาวห่างออกไปเรื่อย เขาเห็นหล่อนเดินลงทะเลอย่างไม่มีที่ท่าหวาดกลัว นั่นก็เพราะแอลกอฮอล์ที่ดื่มไปมากนั่นเอง

“หนูกลับมาเดี๋ยวนี้นะ จะบ้าหรือ เดี๋ยวก็ตายหรอก”

ไม่มีเสียงตอบ แต่จู่ๆ เมื่อคลื่นซัดมาหญิงสาวก็จมหายไปต่อหน้าต่อตา ธณริศสบถออกมาสองสามครั้ง

“โธ่โว้ย...นี่มันอะไรของฉันนะ คอยดูนะลากขึ้นมาได้จะจับตีก้นเสียให้เข็ด เธอนี่มันโคตรยุ่งเลย”

 

ร่างบางที่แน่นิ่งอยู่ตอนนี้ไม่มีแม้แต่ลมหายใจ จากความโกรธที่มีอยู่เดิมกลับเป็นความห่วงแทน ธณริศก้มหูแนบอกและพบว่า หัวใจไม่เต้น เขารีบยกหล่อนพาดบ่าเพื่อให้น้ำทะเลไหลออกมา ก่อนจะลงมือนวดหัวใจตามที่เคยเห็นจากคลาสสอนสมัยเรียน

ตอนอยู่ต่างประเทศ นักเรียนทุกคนต้องรู้จักการกู้ชีพพื้นฐานรวมถึงการใช้เครื่องกระตุกหัวใจที่มีอยู่ตามขนส่งสาธารณะด้วย โชคดีที่หล่อนเพิ่งจะหยุดหายใจไปไม่นาน หลังจากปั้มได้สักพัก ร่างบางก็ค่อยเริ่มขยับ หล่อนอาเจียนและพ่นน้ำออกมาอึกใหญ่ ปฏิกิริยาบอกให้รู้ว่า เริ่มกลับมาหายใจได้เอง ตาคู่สวยลืมขึ้น เมื่อเห็นว่า เป็นใครก็แผดเสียงออกมา

“คุณมาช่วยฉันไว้ทำไม”

“ก็เธอดันมาฆ่าตัวตายต่อตาต่อตาฉันทำไมเล่า ยายเด็กเหลือขอ ทำไมไม่รู้จักรักชีวิต คิดบ้างไหมว่า กว่าจะได้เกิดมาจนโตขนาดนี้ คนอื่นเขาต้องเหนื่อยแค่ไหน”

ธณริศก็เป็นคนหนึ่งที่เคยคิดจะฆ่าตัวตาย ตอนที่เขาอกหักจากแฟนสาวเป็นช่วงที่ชายหนุ่มตกต่ำถึงที่สุด เขารู้สึกว่า ตัวเองไร้ค่า แต่เดลก็เป็นคนปลอบและพูดเตือนสติว่า เขายังโชคดีกว่าอีกหลายๆ คน ทุกครั้งที่ขับรถผ่านแหล่มเสื่อมโทรมในอเมริกาและเห็นเด็กผิวดำยืนสูบบุหรี่อยู่ข้างถนน เดลมักจะเปรยว่า เด็ก

วัยรุ่นหลายคนโชคร้ายที่ต้องเป็นทาสของยาเสพติด หลายคนติดอยู่ในวังวน ทั้งเสพ ทั้งค้า และสุดท้ายชีวิตก็จบลงในคุก บ้างก็ถูกฆ่าตายเหมือนหมาข้างถนน แม้แต่ศพก็ยังหาญาติมารับไม่ได้ ทุกวันนี้อเมริกามีปัญหาเรื่องยาเสพติดในหมู่วัยรุ่นไม่แพ้ชาติอื่นๆ ทำให้ธณริศย้อนดูตัวเอง อย่างน้อยเขาก็โชคดีกว่าคนพวกนั้นที่ชีวิตไม่ได้ตกต่ำจนถึงขีดสุด เขาได้เจอเดลและมีชีวิตที่ดี

“มันเรื่องของฉัน คุณมาเกี่ยวอะไรด้วย”

“เกี่ยวสิ เพราะตอนนี้ชีวิตเธอเป็นของฉันแล้ว ห้ามฆ่าตัวตายเด็ดขาด”

“ฉันจะตาย นายจะทำไม”

ร่างที่แทบไม่มีเรี่ยวแรง แต่พยายามผุดลุกขึ้นจากพื้นอย่างดื้อดึงพร้อมกับตั้งท่าจะวิ่งลงทะเลอีกแต่ธณริศก็ตามไปกระชากหล่อนไว้ หญิงสาวชะงักหันมากัดข้อมือแต่ชายหนุ่มไวกว่า เขาเอี้ยวตัวหลบและล็อกเอวหล่อนไว้จากด้านหลัง ด้วยสัดส่วนร่างกายที่สูงกว่า หนากว่าทำให้หญิงสาวสู้แรงไม่ได้

“ปล่อยฉันนะ ไอ้หน้าหนวด”

“ขืนด่าอีกคำ มีหวังเจอดีแน่”

“ฉันจะด่า ไอ้หมี ไอ้หน้าหนวด ปล่อยฉันนะ”

ธณริศคำรามใส่หู ถ้าหากเขามีกรงเล็บคงเผลอตะปบเด็กสาวจอมยุ่งไปเรียบร้อยแล้ว ใบหน้าที่เลอะไปด้วยมาสคาร่าและเครื่องสำอางดูแล้วช่างน่าสงสาร แต่หล่อนก็ยังดื้อดึง ดิ้นรนในอ้อมกอด

“หยุดดิ้น ไม่อย่างนั้นกระดูกหักคามือแน่” เขาคำราม รัดแขนให้แน่นขึ้น หวังให้หญิงสาวคลายพยศ แต่อีกฝ่ายก็ยังผรุทสวาทต่อ

“ไอ้คนโฉด ปล่อยฉัน”

“ไม่ปล่อย มีอะไรไหม จะอยู่ดีๆ หรือว่า จะให้ชกหน้าให้สลบเลือกเอา”

หญิงสาวเชิดหน้าอย่างไม่กลัวพยายามอย่างยิ่งที่จะแกะแขนที่กอดอยู่รอบเอวออก ธณริศกระชับวงแขนแน่นมากขึ้นอีก จนหญิงสาวโอดครวญ

“ฉันเจ็บนะ หายใจไม่ออกแล้วด้วย กะเอาตายเลยหรือไง”

“ก็ไหนบอกว่า อยากตายไม่ใช่หรือ แค่นี้จะกลัวอะไร”

“เรื่องของฉัน คุณไม่เกี่ยว”

“ฉันก็ไม่อยากจะยุ่งหรอกนะแต่เธอดันมาสะอึกสะอื้นอยู่ข้างห้อง หนวกหูจะตาย ถ้าอยากจะตายก็กลับไปตายที่กรุงเทพฯ นู่น ไม่มีใครเขาสนหรอก”

คำพูดที่โพล่งออกไปเหมือนสะกิดต่อมในใจ หญิงสาวจากที่เคยดิ้นรนกลับเป็นอ่อนแรงเสียดื้อๆ เขาได้ยินหล่อนสะอื้น ไหล่บางสั่นไหว ธณริศชะงักค่อยๆ วางร่างในอ้อมกอดลงจนเท้าแตะพื้น เมื่อหญิงสาวขยับจะหนี เขาก็คว้าข้อมือไว้ มือที่แข็งแกร่งเหมือนดั่งคีมเหล็กล็อกหล่อนเอาไว้

“อย่าดื้อ คราวนี้ฉันเอาจริงแน่”

“คุณจะพาฉันไปไหน”

“ก็กลับห้องพักนะสิ ฉันเหนื่อย อยากจะพักผ่อน อุตส่าห์เสียเงินค่าห้องตั้งแพงแต่กลับต้องมาว่ายน้ำทะเลกลางดึก ลงไปลากเด็กดื้อขึ้นมาก ซวยชะมัด”

“ใครใช้ให้คุณมายุ่งล่ะ เสือกไม่เข้าเรื่อง”

ธณริศเงื้อมือขึ้น หล่อนก้มหน้า หลุบตามอง

“หยุดพูดคำหยาบได้แล้ว ฉันเบื่อที่ต้องมาต่อล้อต่อเถียงกับเด็กอย่างเธอเต็มทีแล้ว นี่มันกี่โมงกี่ยามแล้วรู้ไหม”

“งั้นก็ปล่อยฉันไปสิ”

“ไม่! คืนนี้เธอต้องนอนที่ห้องฉัน”

“เฮ้ย...จะบ้าหรือ ฉันไม่ไป เกิดคุณหน้ามืดปล้ำฉันขึ้นมาทำยังไงล่ะ”

“ดูสารรูปตัวเองเสียก่อน มอมเหมือนลูกหมาตกน้ำอย่างนี้ใครจะนอนด้วยลง ตามฉันมาเดี๋ยวนี้” ชายหนุ่มกึ่งลากกึ่งจูง แต่หญิงสาวกลับร้องโวยวาย

“ปล่อยฉันจะ ฉันจะร้องให้คนช่วย”

“ก็เอาสิ ถ้าคิดว่า ยังมีใครแคร์เธอ รู้ตัวไหมว่า ทำคนอื่นเขาเดือดร้อนขนาดไหน ส่งเสียงโวยวายรบกวนแขกไปทั่ว ไม่รู้จักเกรงใจเสียบ้าง”

“ก็ฉันเสียใจนี่”

“คิดว่า มีแต่เธอที่เสียใจเป็นหรือไง จำเอาไว้นะหนู ในโลกนี้ยังมีคนที่ทุกข์มากกว่าเธออีกเยอะ คนที่ถูกพ่อแม่ทอดทิ้ง ทิ้งไว้จริงๆ ที่ข้างถนน คนที่ไม่มีข้าวกินจนต้องไปเป็นขอทาน คุณหนูอย่างเธอไม่มีวันเข้าใจหรอก”

“คุณจะรู้ได้ยังไงว่า ฉันทุกข์น้อยกว่าคนอื่น เอาอะไรมาวัด”

“รู้สิ ทุกข์ของเธอนั่นมันคือ ทางใจ แต่เธอคงไม่เคยเห็นเด็กต้องอดข้าวเป็นอาทิตย์ๆ นอนอยู่ข้างถนน แถมยังโดนนักเลงไล่ซ้อม ต้องหนีหัวซุกหัวซุน”

“ใครจะลำบากแบบนั้น”

“มีก็แล้วกันน่ะ เลิกพูดมากได้แล้ว ยังไงคืนนี้เธอก็ต้องไปนอนห้องฉัน เลือกเอาว่า จะไปดีๆ หรืออยากให้ลงไม้ลงมือ แต่บอกไว้ก่อนนะว่า ฉันจัดหนักแน่”

 

เด็กสาวที่ถูกมัดติดกับเก้าอี้โซฟาหยุดดิ้นไปแล้ว ธณริศพาหล่อนกลับมาถึงห้องในที่สุด เขาไม่กล้าทิ้งหล่อนเอาไว้เพียงลำพัง แต่เลือกที่จะพากลับห้องแทน เด็กสาวยังไม่ยอมหยุดพยศ เขาจึงใช้เชือกผูกรองเท้าสองเส้นต่อกันมัดข้อมือหล่อนไว้ ตอนแรกเด็กสาวโวยวายตะโกนเสียงดังลั่นตอนหลังเขาจึงใช้ผ้าขนหนูอุดปาก ส่วนตัวเองก็กลับเข้าไปนอนในห้อง

เพียงไม่นานการดิ้นรนก็สงบลง ธณริศแอบย่องอออกมาดูและพบว่า เด็กดื้อหลับไปแล้ว ใบหน้ายังคงแฝงไว้ด้วยความอิดโรย เขานำเสื้อตัวเองสวมทับไปบนเรือนร่างนั้นเพื่อปิดบังความเย้ายวนตรงหน้า หญิงสาวคงไม่รู้หรอกว่า ยามเสื้อเปียกผ้าเนื้อบางทำให้เห็นทะลุไปถึงไหนต่อไหน

ทรวงอกคัพดีอวดท้าสายตาภายใต้ร่มผ้า ผ้าที่เปียกทำให้มองทะลุไปถึงด้านใน ยอดทรวงดุนดันผ่านเนื้อผ้า ชายหนุ่มนึกถึงตอนนวดกระตุ้นหัวใจ เขาต้องผายปอดให้หญิงสาวด้วย น่าแปลกที่มันเป็นแค่การช่วยชีวิต แต่สมองกลับยังจำได้ถึงความนุ่มและละมุนของริมฝีปาก ที่แน่ๆ เขาเป็นผู้ต่อลมหายใจให้หล่อน แม้ว่า ตอนนี้บางทีเจ้าตัวอาจจะยังไม่ล้มเลิกความคิดที่จะฆ่าตัวตาย

ชายหนุ่มย่อตัวลงมองเสี้ยวหน้าของเด็กสาวในยามหลับ แพขนตางอนยาวปิดสนิท จมูกโด่งบ่งถึงความรั้นของเจ้าตัว ใบหน้าที่ไม่มีเครื่องสำอางสวยกว่าตอนที่พอกเมคอัพหน้าเตอะเป็นไหนๆ เขายังไม่รู้ว่า พรุ่งนี้จะทำยังไงต่อ

หากหญิงสาวยังต้องการจะฆ่าตัวตาย เขาคงไม่มีเวลาที่จะตามไปช่วยทุกครั้ง ทางเดียวที่เป็นไปได้คือ ต้องหาทางเกลี้ยกล่อมให้เปลี่ยนใจ ถ้าหากเขารู้ว่า หญิงสาวเป็นใครกันแน่ และเหตุที่ทำให้ตัดสินใจแบบนี้คือ อะไร บางทีอาจจะช่วยให้ทุกอย่างง่ายขึ้น

พรุ่งนี้เขาคงต้องลงไปคุยกับพนักงานต้อนรับด้านล่าง อาจมีใครในโรงแรมแห่งนี้ที่พอจะรู้ว่า เด็กสาวเป็นใครกันแน่ และมาที่นี่เพราะอะไร เขามั่นใจว่า หล่อนต้องทะเลาะกับใครสักคนที่นี่และเป็นต้นเหตุแห่งการคิดสั้น

ธณริศมองหญิงสาวที่พลิกตัวอย่างกระสับกระส่าย หล่อนเหมือนคนละเมอและร้องไห้ออกมาอีก ร่างบางกอดมือเขาไว้ เรือนร่างนุ่มนิ่มแนบกระชับกับแผงอกแข็งแรง ชายหนุ่มตัวแข็งทื่อ เขาจำได้ดีว่า ภายใต้เสื้อคลุมตัวโคร่งมีส่วนเว้าส่วนโค้งเช่นไร

“พ่อ...หนูคิดถึงพ่อ พ่อ”

ชายหนุ่มยิ่งอย่างลังเล สุดท้ายก็กลั้นใจเอื้อมมือไปลูบศีรษะ ก่อนเอียงหน้าไปพูดข้างหูพร้อมถอนตัวออก

“นอนเถอะ ยายเด็กดื้อ พรุ่งนี้ค่อยตื่นขึ้นมารบกันใหม่”

“ไม่...พ่ออย่าไปนะ พ่อต้องอยู่กับเพลิน”

หญิงสาวซุกตัวเข้าหาทั้งน้ำตาและกอดชายหนุ่มเอาไว้แน่น ธณริศตัวแข็งทื่อ เขาไม่ใช่พระอิฐพระปูนที่จะไม่รู้สึกอะไร แต่มโนธรรมในใจก็สั่งว่า ต้องปลอบ

“ชาติก่อนฉันติดหนี้เธอหรือไงนะ ยายเด็กดื้อ”

เมื่อไม่มีทางเลือกชายหนุ่มก็ตัดสินใจทิ้งตัวลงนอนข้างๆ โชคดีที่โซฟาในห้องนี้มีขนาดใหญ่พอจะนอนได้สองคน

ชายหนุ่มกลั้นใจนอนนิ่ง รู้สึกถึงมือที่โอบกอดแน่น เขาพยายามหายใจให้เบาที่สุดเพื่อรอตัวยุ่งหลับสนิท รออยู่ไม่นานร่างบางก็หลับลึกไปอีกครั้ง มือที่กอดเอวไว้คลายลง เขาค่อยๆ ถอยตัวออกจากอ้อมกอด พึมพำว่า

“วุ่นวายจริงๆ เลยเด็กหนอเด็ก หวังว่า พรุ่งนี้คงไม่ตื่นมาอาละวาดอีกนะ”

ร่างสูงเหยียดตัวขึ้นและลุกขึ้นจากเก้าอี้ มองหญิงสาวที่นอนอยู่บนเตียงพร้อมส่ายหน้า เขาตัดสินใจเดินกลับไปยังเตียงของตนบ้าง แต่ชายหนุ่มคงไม่รู้หรอกว่า บนใบหน้าของตนบัดนี้แต้มไปด้วยรอยยิ้ม...

 

แดดที่ส่องเข้ามาในห้องผ่านหน้าต่างที่เปิดเอาไว้ ทำให้ที่นี่ราวกับสวรรค์บนดิน ห้องนอนของชายหนุ่มเป็นห้องพูลวิลล่าที่มีราคาแพงที่สุด วิวที่เห็นจึงเป็นวิวที่มหัศจรรย์ที่สุดเช่นเดียวกัน พระอาทิตย์ที่เพิ่งโผล่ลับขอบฟ้า ทำให้ท้องฟ้าเจือเป็นสีส้มอ่อนๆ แสงสีเรื่อเรืองมลังเมลืองไปทั่ว เสียงนกร้องสดชื่น ด้านหน้าคือ สระว่ายน้ำขนาดใหญ่ เมื่อมองไปจะเห็นสีของน้ำในสระตัดกับสีของน้ำทะเลสุดสายตา

พิมพ์ภิดาขยับตัวอย่างเมื่อยขบ หล่อนเพิ่งสังเกตว่า เชือกรองเท้าที่ผูกหล่อนไว้ได้ถูกคลายออกแล้ว แต่เพราะความอ่อนเพลีย เจ้าตัวจึงขดอยู่ในท่าเดิมตลอดทั้งคืน หญิงสาวจำได้ว่า ดื่มเหล้าอย่างหนัก ทั้งไวน์ เบียร์กระป๋องอีกนับไม่ถ้วน หล่อนร้องไห้ด้วยความเสียใจและเริ่มต้นทำลายข้าวของ

พนักงานของโรงแรมเข้ามาเตือน แต่หญิงสาวก็เงียบเพียงครู่เดียว ข้อความที่ถูกส่งมาจากวิมลเพื่อตามให้หล่อนกลับกรุงเทพฯ แต่สุดท้ายพิมพ์ภิดาก็เลือกที่จะไม่ตอบ ความอดทนขาดผึงเมื่อเห็นข้อความถูกส่งมาจากมารดา อันเป็นคำสั่งให้หล่อนเลิกสร้างความอับอายและกลับกรุงเทพฯ ในทันที

ไม่รู้ว่า อะไรดลใจทำให้หญิงสาวลุกขึ้น ขี่จักรยานลงไปที่ชายหาด หล่อนตั้งใจจะจบชีวิตของตัวเอง แต่ในความมืดและอ้างว้างนั้นเอง มือแข็งแรงก็คว้าและกระชากขึ้น พิมพ์ภิดาจำไม่ได้ว่า เกิดอะไรขึ้นอีกหลังจากนั้น ทุกอย่างเหมือนอยู่ในความมืด เมื่อคืนนี้หล่อนฝันถึงพ่อ ฝันว่า ท่านมากอดและปลอบหล่อนเหมือนอย่างที่เคยทำตอนเด็ก

ขอบตาสองข้างเจ็บจนระบมจากการร้องไห้ หญิงสาวค่อยๆ เหยียดตัวลุกขึ้น ตามองเข้าไปในห้องนอนและเห็นว่า ผู้ชายคนเดิมนอนหลับอยู่ เขาไม่ได้สวมเสื้อ ผ้าห่มที่คลุมอยู่ร่นลงมาถึงเอวจนเห็นแผงอกแน่นตึง เรือนร่างของเขาไม่มีไขมันเลยสักนิด กล้ามเนื้อเด้งดึ๋งเป็นลอนๆ เสี้ยวหน้ายามหลับช่างหล่อเหลา

ผู้ชายคนนี้ช่วยหล่อนไว้ถึงสองครั้งแล้ว หญิงสาวจำคำพูดที่เขาพูดได้ลางเลือน เกี่ยวกับความทุกข์ เขาไม่มีวันเข้าใจปัญหาของหล่อนหรอก ร่างบางเพ่งมองใบหน้าที่รกรื้นไปด้วยหนวดเครา ผู้ชายคนนี้หน้าตาดีมาก ถ้าหากไม่มีหนวดเครารกรุงรังคงจะเป็นคนหล่อมากทีเดียว

เพราะเผลอจ้องมองใบหน้าถึงได้โน้มต่ำลงไปอย่างไม่รู้ตัว จู่ๆ นัยน์ตาที่เคยปิดสนิทก็ลืมขึ้น พิมพ์ภิดาหวีดร้องด้วยความตกใจ เสียหลักล้มใส่ชายหนุ่ม มือแตะตรงแผ่นอกแน่นตึงของคนตรงหน้าเพื่อขืนตัวออก สภาพหล่อนตอนนี้ช่างน่าหวาดเสียงอย่างที่สุด

“คิดจะลักหลับฉันหรือไงหนู หรือว่า จะถ่ายรูปแบลกเมล์”

แม้จะเป็นคำพูดหยอกแกมหยิก แต่พิมพ์ภิดาก็หน้าแดงก่ำ หล่อนขืนตัวออกจากอ้อมกอดและพยายามลุกขึ้นแต่เตียงที่นุ่มมากทำให้การลุกขึ้นเป็นไปได้ยาก

“ขืนดิ้นบนตัวฉันอีก ไม่รับรองความปลอดภัยรู้เอาไว้ด้วย”

หญิงสาวตัวแข็งทื่อมองชายหนุ่ม ก่อนที่ใบหน้าจะกลายเป็นสีแดงจัดลงไปถึงคอ เมื่อรับรู้ถึงบางอย่างที่ดุนดันอยู่ตรงท้องน้อย ความทรงจำเมื่อครั้งเห็นชายหนุ่มเปลือยผุดขึ้น สุดท้ายด้วยความกลัวจึงยอมนิ่งเสีย ชายหนุ่มผุดลุกขึ้นทั้งที่ยังมีหล่อนอยู่ด้านบน ก่อนที่มือแข็งแรงจะเป็นฝ่ายจับหัวไหล่และยกพิมพ์ภิดาให้พ้นตัว

“ฉันอยากกลับห้อง”

“ก็เอาสิ แต่อย่าคิดฆ่าตัวตายอีกเข้าใจไหม”

พิมพ์ภิดาไม่ได้รับปากแต่กลับหลุบตาลง หล่อนหมุนตัวแต่กลับถูกชายหนุ่มกระชากข้อมือเอาไว้ ดึงหล่อนเข้าหาตัว เรี่ยวแรงที่เหนือกว่าทำให้หญิงสาวถลามาซบอยู่ตรงอก

“คุณทำอะไร”

“เธอยังไปไหนไม่ได้ ตราบใดที่ยังไม่รับปาก ที่ฉันพูดเมื่อกี้ไม่ได้ยินหรือไง อย่ามาทำหูทวนลม ฉันสั่งว่า ห้ามฆ่าตัวตายอีก เป็นเด็กเป็นเล็กแล้วยังคิดสั้น ไม่เสียดายชีวิตหรือไงหนู”

“คำก็เด็ก สองคำก็เด็ก แล้วเด็กไม่มีหัวใจหรือไง”

“หัวใจมันเกี่ยวอะไรกับที่จะฆ่าตัวตายมิทราบ รู้บ้างไหมว่า ถ้าเมื่อคืนนี้ฉันไม่ว่ายน้ำลงไปช่วย นู่น ป่านนี้ตกนรกไปถึงขุมไหนๆ แล้ว”

“ก็ใครใช้ให้คุณช่วยล่ะ”

“ยังอีก ยังจะปากเก่ง”

มือที่คว้าเปลี่ยนเป็นบีบจนเจ็บ พิมพ์ภิดาโอดโอย แต่ก็จ้องหน้าชายหนุ่มอย่างไม่ลดละ ใบหน้าคมสันที่ยื่นเข้ามาใกล้ไม่ได้ทำให้หล่อนกลัวเลยสักนิด ตรงกันข้ามกลับเชิดหน้าอย่างท้าทาย

“เรื่องของฉันคุณจะทำไม”

“ถามจริงๆ เหอะ มีเรื่องอะไรทุกข์นักหนา ถึงกับต้องฆ่าตัวตาย ฐานะก็ออกจะรวย มีเงินจ่ายค่าห้องเป็นฟ่อนๆ แล้วยังจะกลุ้มใจอะไรอีก”

“คนอย่างนายไม่เข้าใจหรอก”

“ทำไมฉันจะไม่เข้าใจ”

ชายหนุ่มโต้ พิมพ์ภิดาจับได้ว่า เขากำลังโกรธ สังเกตจากนัยน์ตาที่วาววับตรงหน้า หล่อนเพิ่งมีโอกาสเห็นนัยน์ตาของผู้ชายตรงนี้ที่เป็นสีเทา หรือว่า เขาจะเป็นลูกครึ่ง ถ้าดูจากรูปร่างที่สูงใหญ่เกินกว่าชายไทยทั่วๆ ไปแล้วก็อาจจะเป็นไปได้

“เพราะนายมันไม่มีหัวใจยังไงล่ะ นายทำทุกอย่างก็เพื่อเงิน แล้วคู่ขานายคนที่หัวทองๆ ไปไหนแล้วล่ะ”

ชายหนุ่มหน้าบึ้งจัด ตะคอกเสียงห้วน

“นั่นมันเพื่อนฉัน”

“เพื่อนหรือ แต่เห็นกอดกันกลมเชียว แถมยังลูบแขนโอบไหล่ คงจะรวยน่าดูเลยสินะ มิน่านายถึงมีปัญญาพักห้องหรูขนาดนี้” หญิงสาวเบ้ปากค่อนใส่

“ปากดีนัก เธอนี่มันเหลือขอจริงๆ จนป่านนี้แล้วยังไม่สลด รู้ตัวไหมว่า เมื่อคืนนี้เกือบตายไปแล้ว”

“เออน่าไม่ต้องมาย้ำหรอก เอาเป็นว่า ฉันขอบคุณนายก็แล้วกันที่ช่วย แต่ต่อไปนี้นายไม่ต้องมาวุ่นวายกับฉันอีก ฉันจะกลับกรุงเทพ”

“ฉันก็ไม่ได้อยากยุ่งเรื่องเธอนักหรอก ไหนๆ ก็ตื่นแล้ว รีบอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วก็ออกไปได้แล้ว”

ชายหนุ่มโยนเป้ที่มีข้าวของส่งให้ พิมพ์ภิดาจำได้ว่า นี่คือ เป้ของหล่อนที่วางอยู่ในห้อง เขาคงรู้ถึงได้อธิบายขึ้น

“เมื่อคืนนี้ฉันเห็นประตูห้องเปิดอยู่ กลัวว่า จะถูกยกเค้า ก็เลยเข้าไปหยิบมาไว้ให้ แต่เงินที่อยู่ในนั้นฉันไม่ได้แตะต้องมันแม้แต่บาทเดียว เธอตรวจดูเสียก่อน”

“เงินไม่สำคัญสำหรับฉัน”

“แล้วอะไรล่ะที่สำคัญ”

หญิงสาวนิ่งไม่ตอบ หล่อนเพิ่งเข้าใจว่า เงินทองมากมาย ไม่อาจซื้อความสุข ยิ่งเห็นสายตาเย็นชาของแม่ หล่อนก็รู้สึกเหมือนโลกถล่มลงตรงหน้า หล่อนพลาดที่เมื่อดื่มเหล้าจนเมามายถึงได้คิดสั้น แต่วันนี้หล่อนจะต้องเริ่มต้นชีวิตใหม่ ในเมื่อแม่ไม่ได้รักหล่อนอีกต่อไปแล้ว หญิงสาวก็ตั้งใจจะไปตามทางของตน

“ช่างเถอะ ถึงพูดไปนายก็ไม่เข้าใจหรอก”

ร่างบางคว้าเป้ขึ้นหลัง เดินไปที่ประตู แต่แล้วเสียงเอะอะโวยวายด้านหน้าทำให้ชะงัก แทนที่จะโผล่ออกไป หล่อนกลับแอบดูตรงรูที่ประตูแทน ห้องพักที่เคยเป็นของหล่อนบัดนี้มีคนยืนออกันอยู่เต็ม หนึ่งในนั้นคือ รฐกรและวิมล ซึ่งเป็นเลขาของอรุณา เสียงจากนอกห้องดังลอดเข้ามา หญิงสาวเลือกที่จะไม่เปิดออกไปเพราะต้องการรู้ว่า คุยอะไรกัน

“คุณเพลินหายไปไหนนะ ในห้องก็ไม่มี”

“ป่านนี้คงกลับกรุงเทพฯ ไปแล้วมั้ง” รฐกรพูดขึ้น สีหน้าเขาบึ้งตึง ขอบตาดำคล้ำ เหมือนคนไม่ได้นอนตลอดทั้งคืน

“ไม่น่าใช่นะคะคุณฐา เมื่อคืนนี้คุณเพลินเมามาก ดิฉันเรียกเท่าไหร่เธอก็ไม่ยอมเปิดประตู”

“งั้นก็อาจจะไปเดินเล่นที่ไหนแล้วก็ได้ คุณวิก็รู้ว่า เด็กคนนี้ถูกตามใจเสียจนเหลิง คงดีใจสินะที่งานเลี้ยงเมื่อคืนล้มไม่เป็นท่า”

หลังจากพิมพ์ภิดากลับมาบรรยากาศในงานก็กร่อยสนิท อรุณาดื่มเหล้าเสร็จก็ขอตัวกลับห้องและเก็บตัวอยู่ในนั้นตลอดทั้งคืน รฐกรไม่มีทางเลือกจึงต้องกลับห้องของตนบ้าง

“อย่าโทษคุณเพลินเลยค่ะ เธอคงช็อก”

“เห็นแก่ตัวมากกว่า คอยดูนะ เจอหน้าเมื่อไหร่ได้เห็นดีกันแน่”

“นี่คุณฐาจะทำอะไรคุณเพลินหรือคะ” วิมลพูดขึ้น

“ผมจะทำอะไรลูกสาวคนโปรดของพี่อุ๊ได้ละครับ ผมก็แค่อยากจะปรับความเข้าใจกับเธอ ผมรักพี่อุ๊ด้วยใจจริง แต่ถ้าคุณเพลินคิดจะขวาง ผมก็จะสู้ไม่ถอย คุณวิคอยดูผมบ้างก็แล้วกัน”

ร่างสูงที่ก้าวขึ้นรถกอล์ฟ ขณะที่วิมลมองสภาพห้องที่พังระเนระนาด อันเป็นฝีมืออาละวาดของคนเมา หล่อนจำต้องก้าวขึ้นรถตาม พร้อมกับสั่งคนขับรถ

“ไปที่พูลคลับนะคะ”

“แล้วนี่คุณไม่แวะไปรายงานให้พี่อุ๊ทราบหรือครับว่า ลูกสาวหายตัวไป”

“ท่านประธานกลับกรุงเทพฯ ไปแล้วค่ะ”

“อะไรนะ” รฐกรโพล่งขึ้น หน้าซีดเผือด เขาเองก็เสียหน้าที่ไม่รู้ ทั้งที่ประกาศตัวว่า เป็นคนรักของอรุณา

“ใช่ค่ะ ท่านประธานให้รถโรงแรมไปส่งเมื่อเช้ามืดแล้ว และจองตั๋วเที่ยวเช้าสุด บอกว่า ปวดหัว อยากกลับบ้าน แถมยังฝากบอกคุณฐาว่า ให้ช่วยดำเนินการต่อให้เรียบร้อย”

“ทำไมพี่อุ๊ไม่บอกอะไรผมเลย”

“ข้อนั้นดิฉันก็ไม่ทราบค่ะ คุณฐาคงต้องสอบถามกับท่านประธานเอาเอง”

 

“ไอ้หน้าหล่อนั่นใคร”

ธณริศยื่นหน้ามาถาม เขาเห็นเด็กสาวยืนแอบฟังอยู่หน้าประตู เท้าที่ชะงักไม่ยอมเปิดออกไป ขณะที่มือบางกำแน่นขึ้นเรื่อยๆ ใบหน้าบูดบึ้งด้วยความโกรธ เขาจึงชะโงกหน้าผ่านทางกระจกข้างประตูบ้าง ห้องพักแห่งนี้นั้นเป็นประตูไม้ส่วนด้านข้างเป็นกระจกใส แต่มองจากด้านนอกเข้ามาจะไม่เห็น เขาจำผู้หญิงอีกคนได้ หล่อนแวะมาที่ห้องเมื่อคืนนี้และพูดคุยกับเด็กสาวแต่สุดท้ายก็ถูกไล่กลับไป

“ว่าที่พ่อเลี้ยง”

ชายหนุ่มอมยิ้ม เขาพอจะเดาได้จากบทสนทนาเมื่อปะติปะต่อกับเรื่องราวในบาร์โฮสต์รวมถึงเรื่องที่หล่อนพึมพำเมื่อคืน

“อย่างนี้สินะ เธอถึงทะเลาะกับที่บ้าน เขาจะแต่งกับแม่เธอหรือไง”

“ใช่แล้วทำไม คุณมาเกี่ยวอะไรด้วย”

“ฉันไม่เกี่ยวหรอก แต่ฉันจะบอกให้ฟังนะ ที่เธอทำมันโง่มาก ต่อให้ฆ่าตัวตายสังเวยก็ไม่มีวันแย่งแม่คืนมาได้หรอก เธอนะเสียเปรียบไอ้หมอนั่นเห็นๆ”

“คุณจะรู้อะไร”

“ฉันเป็นนักธุรกิจ แค่นี้มองไม่ยากหรอก ไอ้หมอนั่นมันเล่ห์เหลี่ยมแพรวพราว ส่วนเธอก็ดีแต่ใช้อารมณ์ ถึงได้โดนมันปั่นหัวเล่นยังไงล่ะ”

“คุณหมายความว่า ยังไง”

“สังเกตไหมว่า ผู้ชายคนนั้นกำลังโกรธ เห็นเส้นข้างขมับไหม รวมถึงคอ อาการแบบนั้นมันบอกถึงคนที่กำลังเครียด”

“คุณเรียนจิตวิทยามาหรือไง”

“ไม่ต้องเรียน ฉันก็รู้ ฉันเจอคนมาเยอะ”

“แหงสิ ก็นายเป็นเด็กนั่งบาร์นี่น่า วันๆ ก็ต้องเจอคนหลากหลายประเภท”

ธณริศกำลังจะโต้กลับแต่กลับเงียบเสีย ถึงเขาเถียงว่า ตัวเองไม่ใช่แต่เด็กสาวก็คงไม่ฟังอยู่ดี ตอนนี้เขามีบางอย่างน่าสนใจกว่า นั่นคือ การวิเคราะห์ผู้ชายที่เห็นเมื่อครู่

“แม่เธอแต่งงานกับผู้ชายคนนั้นนานหรือยัง”

“ยังไม่แต่ง แค่เกือบ”

“งั้นก็โชคดีแล้ว เพราะฉันมีวิธีให้แม่เธอเปลี่ยนใจ”

หญิงสาวเบิกตากว้าง เอื้อมมือมากุมมือธณริศไว้อย่างดีใจ ตาของหล่อนเปล่งประกายระยิบระยับ

“คุณทำได้จริงๆ หรือ ช่วยบอกฉันหน่อย มีวิธียังไง”

“ก็ไม่อยากเพียงแต่เธอต้องตั้งสติ ไม่ใช่ร้องห่มร้องไห้ เอะอะก็กินเหล้าแล้วขึ้นไปเต้นบนเวทีมันไม่ได้”

เด็กสาวหน้างอง้ำ มือที่กุมมือธณริศเอาไว้คลายออก

“ฉันไม่ได้ขึ้นไปเต้นรำสักหน่อย แค่วันนั้นวันเดียว”

“ก็นั่นล่ะ การทำอะไรที่ขาดสติเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำอย่างยิ่ง ที่เมาแล้วอาละวาดทำลายข้าวของก็ไม่ควร เพราะเวลาคนอื่นมองจะคิดว่า เธอมันก็แค่เด็ก พูดอะไรไม่มีเหตุมีผล ถ้าเทียบกับผู้ชายที่เจ้าเล่ห์แบบนั้นแล้วละก็ แพ้ทุกประตู”

“คุณรู้ได้ยังไงว่า ไอ้รฐกรเจ้าเล่ห์”

“โอ๊ย แค่เห็นแว๊บเดียวก็ดูออกแล้ว มันเป็นเสือผู้หญิง”

“ใช่ มันหลอกผู้หญิงมาเป็นสิบๆ คนแล้ว แต่พอฉันพูด แม่ไม่เคยฟังเสียที”

“เพราะเธอไม่รู้จักวิธีบอกนะสิ คนที่เป็นผู้ใหญ่กว่า เขาไม่ชอบหรอกนะที่จะไปแสดงท่าทางว่า รู้มากกว่า รู้ดีกว่า เพราะฉะนั้นไม่ควรทำ”

“สอนฉันหน่อยได้ไหม ฉันอยากทำให้แม่เลิกกับมัน” หางเสียงหล่อนห้วนจัด แม้ว่า ตอนนี้มือนุ่มๆ จะกุมมือธณริศอีกครั้งแต่เขาก็ยังมองเห็นความเจ็บปวด อันที่จริงมันก็ไม่ใช่เรื่องของเขา แต่การเห็นเด็กสาวต้องฆ่าตัวตายทำให้เขาคิดว่า ควรจะทำอะไรสักอย่าง

“ได้สิ ฉันจะสอน”

“นายจะคิดค่าจ้างเท่าไหร่ บอกมาได้เลยนะ ฉันยินดีจ่ายไม่อั้น อ้อแล้วถ้าคู่ขาของนายไม่พอใจละก็ ฉันจะไปคุยกับเขาให้ยอมเอง”

“ฉันบอกแล้วไงว่า นั่นมันเพื่อน สนิทกันสมัยอยู่อเมริกา”

“นี่คุณมาจากอเมริกางั้นหรือ ถ้าอย่างนั้นทำไมถึงมาทำงานบาร์ล่ะ”

ชายหนุ่มเบ้หน้า อยากจะอธิบายแต่สุดท้ายก็เงียบเสีย เขาไม่ต้องการเสียสมาธิกับเรื่องใดอีกแทนที่จะตอบเขากลับพูดว่า

“ฉันยินดีแนะนำให้ฟรี ไม่คิดเงิน เพียงแต่เธอต้องสัญญามาก่อนว่า จะไม่คิดสั้นอีก ฉันไม่ชอบเห็นใครทำเรื่องโง่ๆ “

“ก็ได้...ฉันสัญญา”

“สรุปว่า เราสองคนทำข้อตกลงกันแล้วนะ”

“อื่ม”

“ทีนี้เธอจะเอายังไงต่อ จะกลับห้องหรือจะกลับกรุงเทพฯ”

หญิงสาวนิ่งไปอย่างใช้ความคิดก่อนจะยิ้มออกมาเมื่อนึกขึ้นได้

“ฉันอยากขอแชร์ค่าห้อง”

ธณริศอ้าปากค้าง โพล่งขึ้น

“ว่า อะไรนะ”

“ไม่เอาน่า ห้องคุณก็ออกจะกว้าง มีฉันอยู่ด้วยอีกคนจะเป็นไรไป แล้วตอนนี้ฉันก็กลับห้องไม่ได้ ฉันอยากหายตัวไปสักพัก แต่ขืนออกไปเปิดห้องใหม่ มีหวังคุณวิมลก็รู้กันพอดี ฉันจะช่วยคุณออกค่าห้องครึ่งหนึ่งก็แล้วกัน”

“เฮ้ยไม่ดีมั้ง” แม้ชายหนุ่มมั่นใจในเกียรติของตัวเอง แต่เขาไม่เคยแชร์ห้องกับใครมาก่อนยกเว้นสมัยเรียน ยิ่งเป็นเด็กสาวที่ก่อแต่ความวุ่นวายด้วยแล้ว

“ฉันสัญญาว่า จะอยู่ในที่ของตัวเอง คุณจองห้องพักไว้กี่คืนล่ะ”

“เหลืออีกสองคืน”

“พอดีเลย ฉันกำลังหาที่หลบแม่ คุณคงไม่อยากเห็นฉันระหกระเหินไปหาที่พักคนเดียวหรอกใช่ไหม อย่างที่คุณบอกว่า ผู้หญิงมีอันตรายรอบด้าน” เด็กสาวหัวใสยกคำพูดเมื่อครั้งก่อนขึ้นมาขู่

พอเจอไม้นี้เข้าไปธณริศถึงกับอึ้งพูดไม่ออก เด็กสาวคนเดิมส่งยิ้มหวานมาให้

“ฉันชื่อ พิมพ์ภิดา ชื่อเล่นว่า เพลิน แล้วคุณล่ะ”

“กริซ”

ชายหนุ่มตอบพร้อมกับพยักหน้า

“สรุปว่า เรารู้จักกันแล้วนะ ฉันรู้ว่า คุณเป็นคนใจดี คงไม่ไล่เด็กตาดำๆ ไปหรอกนะ ฉันขอตัวไปอาบน้ำก่อนนะเหนียวตัวมากแล้ว”

ธณริศมองเด็กสาวที่ผิวปากเข้าไปในห้องน้ำพร้อมกับโคลงศีรษะ วันพักผ่อนแสนสุขของเขากำลังจะจบลงเมื่อมีเด็กสาวจอมป่วนเข้ามาในชีวิต...

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น