บทที่ ๖

บทที่ ๖

 

            พิชชาภาแยกต้นอ่อนไป เหลือบมองคนที่เพิ่งปฏิเสธความเป็นเพื่อนกับหล่อนด้วยความแค้น มีใครบ้างที่ไม่อยากเป็นเพื่อนกับสาวสวยสุดเริดอย่าง พิชชาภา วรกิจไพศาล ตั้งแต่เกิดมาก็เพิ่งจะมีอีตาบ้าคนนี้แหละ ผ่านไปสองชั่วโมงแล้วที่หล่อนนั่งก้มๆ เงยๆ ย้ายต้นกล้าใส่ถาด แม้จะพยายามอย่างเต็มที่และไม่อู้เลย ก็ยังแยกต้นอ่อนได้อีกแค่สี่ถาดเท่านั้น เพราะมัวแต่เสียเวลารื้อทำใหม่อีกสองถาด

               ท้องของหล่อนร้องโครกครากเนื่องจากเลยเวลาอาหารกลางวันมานานแล้ว ตั้งแต่เช้ายังไม่มีอะไรตกถึงท้องเลย ซ้ำพฤกษ์ยังทำตัวไม่แยแส ไม่มีน้ำใจจะชวนไปกินข้าวด้วยกันสักนิด แต่ช่างเถอะ หล่อนจะไปหวังอะไรกับคนใจร้าย คิดแล้วก็ได้แต่กัดฟันนั่งแยกต้นอ่อนต่อไป

               “พักกินข้าวก่อนเถอะหนู ตาจัดอาหารไว้ให้ที่โต๊ะม้าหินข้างนอกนี้แล้ว ก๋วยเตี๋ยวธรรมดาๆ หนูคงพอจะกินได้นะ”

               “ขอบคุณมากค่ะ คุณตา ตอนนี้อะไรหนูก็กินได้หมด ถ้าหิวจนทนไม่ได้หนูอาจจะกินกระบองเพชรพวกนี้ก็ได้นะคะ” พิชชาภายกมือไหว้และกล่าวขอบคุณชายชราด้วยความซาบซึ้งใจ

               “ถ้าหนูอยากพักเมื่อไหร่ก็พักได้เลยนะ หน้าปากซอยมีอาหารหลายอย่าง สะอาดและรสชาติใช้ได้ ลองเดินไปดูก็ได้” บุญชูเอ่ยอย่างใจดี

               “หนูขอสารภาพตรงๆ ว่าไม่เคยกินอาหารข้างทางเลยค่ะ แล้วอีกอย่างก็ไม่กล้าไปไหนมาไหนคนเดียวด้วย” พิชชาภาพูดไปก็อาย หล่อนโตขนาดนี้แล้วยังทำตัวเป็นเด็กเล็กๆ ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ แต่คุณตาก็ยิ้มให้อย่างใจดี

               “ถ้าอยากให้ตาไปเป็นเพื่อนก็บอกได้นะ” 

               “ขอบคุณค่ะ” 

พิชชาภายิ้มให้ผู้อาวุโสก่อนจะรีบลุกไปยังโต๊ะม้าหินที่มีชามก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นปลาตั้งไว้ พร้อมน้ำดื่มที่แช่เย็นจนมีไอน้ำเกาะขวด ถ้าเป็นแต่ก่อนหล่อนคงจะไม่กินอาหารธรรมดาถูกๆ แบบนี้ น้ำดื่มแบบนี้ก็ไม่มีวันดื่ม แต่ในเมื่อหิวจัดก็คงต้องลองวัดดวงดูว่าจะท้องเสียไหม

               พิชชาภาตักก๋วยเตี๋ยวปลาชิมนิดหนึ่งก่อน แล้วหลังจากนั้นก็หยุดกินไม่ได้เลย เพราะมันอร่อยต่างจากรูปลักษณ์แสนธรรมดาที่เห็นลิบลับ เผลอๆ นี่อาจเป็นก๋วยเตี๋ยวที่อร่อยที่สุดตั้งแต่หล่อนเคยกินมาด้วยซ้ำ 

               พออิ่มท้องแล้วพิชชาภาก็มีแรงทำงาน หล่อนสามารถแยกต้นอ่อนได้อีกสี่กระถางในเวลาสองชั่วโมง แต่มันก็ปาเข้าไปสี่โมงเย็นซึ่งใกล้เวลาเลิกงานแล้ว พฤกษ์ซึ่งหายไปไหนทั้งวันก็ไม่รู้กลับเข้ามาตรวจงานหล่อน

               “ทำได้แค่หกถาด เหลืออีกตั้งสี่ถาด ผมว่าคุณถอดใจซะเถอะ” 

               “คนอย่างฉันไม่ยอมแพ้ง่ายๆ คุณคอยดูก็แล้วกัน ก่อนพรุ่งนี้เช้าฉันจะแยกต้นอ่อนให้เสร็จทั้งหมด”

               “ผมไม่อนุญาตให้คุณนอนค้างในโรงเรือนนี้นะ แล้วก็ไม่ให้คุณเอาต้นอ่อนพวกนี้กลับบ้านด้วย เพราะคุณอาจจะโกงให้คนที่บ้านช่วยทำ”

               “คิดในแง่ร้ายได้ตลอดเลยนะ เอาเป็นว่าฉันขอเวลาอีกสองชั่วโมง ถ้ายังทำไม่เสร็จ ฉันจะเลิกเซ้าซี้ให้คุณขายที่ให้ฉัน”

               “ก็ได้ ผมจะให้โอกาสคุณเป็นครั้งสุดท้ายและจะเตรียมฉลองที่ไม่ต้องมีใครมาสร้างปัญหาให้อีก” พูดจบพฤกษ์ก็เดินออกจากโรงเรือนและปล่อยให้หล่อนอยู่กับความเงียบ 

               อีกตั้งสี่ถาด...พิชชาภาได้แต่ถอนใจ หล่อนกล้าท้าพฤกษ์ได้อย่างไรกัน ทั้งที่รู้ว่าไม่มีทางทำทันแน่ แต่ในเมื่อยังมีโอกาส หล่อนจะต้องทำให้เต็มที่ อย่างมากหล่อนก็แค่สลบคาโต๊ะนี่เท่านั้น หรือถ้าหล่อนหมดสติหรือเป็นอะไรไป พฤกษ์ก็คงไม่มีทางปล่อยให้หล่อนล้มตายกลายเป็นผีเจ้าที่เฝ้าโรงเรือนแน่

               พิชชาภาจึงพยายามมีสมาธิจดจ่อกับการแยกต้นอ่อนอย่างเต็มที่เพื่อแข่งกับเวลาที่เริ่มถอยหลังไปเรื่อยๆ จึงไม่ทันสังเกตว่ามีสายตาสองคู่ที่แอบมองหล่อนอยู่ห่างๆ อย่างห่วงๆ

               พฤกษ์ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมเขาถึงต้องมาแอบดูและลุ้นกับพิชชาภาไปด้วย ทั้งที่จริงๆ แล้วเขาควรจะกลับไปนั่งพักดูซีรีส์ฆ่าเวลาสบายๆ แต่พฤกษ์ก็ให้เหตุผลแก่ตัวเองว่าถ้าหญิงสาวจอมสร้างปัญหาเกิดเป็นอะไรขึ้นมา เขาก็จะยิ่งลำบากกว่าเดิม ดูอย่างวันนี้สิ เขาแทบไม่ได้ทำอะไรเลยเพราะต้องคอยดูแลเธอ

               “คนอะไรปากไม่ตรงกับใจ” บุญชูเปรยลอยๆ 

               “คุณตาหมายถึงใครครับ ถ้าเป็นผม ไม่ใช่แน่นอน” พฤกษ์รีบท้วงอย่างคนร้อนตัว

               “เหรอ แล้วใครกันล่ะที่วันนี้รีบอุ้มแม่หนูคนนี้ไปปฐมพยาบาล ให้นอนพักที่ห้องตัวเองซะด้วย ตอนกลางวันก็ซื้อก๋วยเตี๋ยวมาฝาก แถมตอนนี้ยังต่อเวลาให้อีก” บุญชูเอ่ยยิ้มๆ ทำให้พฤกษ์หน้าแดง เก็บอาการไม่อยู่

               “ผมก็แค่มีมนุษยธรรม คุณตาเคยสอนผมนี่ครับว่าให้ปฏิบัติกับศัตรูเหมือนเป็นมิตร” 

               “ช่างเถอะ เบื่อคนชอบเถียงข้างๆ คูๆ...พฤกษ์อยากจะเฝ้าแม่หนูคนนี้ก็ตามใจ ตาขอไปพักก่อนนะ” บุญชูยิ้มล้อๆ ก่อนจะปล่อยให้เขาแฝงตัวอยู่หน้าโรงเรือนต่อไปเงียบๆ 

               อีกครึ่งชั่วโมงเท่านั้น พิชชาภาจะทำเสร็จทันเวลาไหมนะ เขามองเห็นเธอจากด้านหลังก็เห็นว่าเธอก้มหน้าก้มตาแยกต้นอ่อนไม่หยุดมือ การแยกต้นอ่อนจำนวนหลายร้อยต้นลงในถาดเพาะไม่ใช่เรื่องง่ายๆ อย่างที่คิด มันต้องใช้ความอดทนและความละเอียดอย่างมาก ขนาดเขาซึ่งคุ้นเคยและชำนาญยังทำไม่ไหวเลย ทำแค่สองสามถาดก็ปวดคอ ปวดไหล่ และล้าไปอีกหลายวัน

               นึกแล้วก็รู้สึกผิดไม่น้อยที่เขาทดสอบความอดทนของหญิงสาวอย่างหนักหน่วง แต่ถ้าจะให้เขาอ่อนข้อ คุยดีๆ กับพิชชาภาง่ายๆ ก็เสียเชิงพอดี หญิงสาวเคยได้อะไรง่ายๆ มาตลอดชีวิต เขาแค่อยากดัดนิสัยให้เธอได้เรียนรู้ว่าในโลกแห่งความจริงมีหลายอย่างที่ต้องใช้ความอดทนพยายามกว่าจะได้มา...อย่างน้อยก็ที่ดินผืนนี้

               อีกสิบนาทีเท่านั้นก็ได้รู้แล้วว่าพิชชาภาจะได้อยู่ก่อกวนที่สวนกระบองเพชรของเขาต่อไปไหม แทนที่เขาจะนึกโล่งใจที่เธออาจจะไม่ได้มาที่นี่อีก เขากลับใจหายแปลกๆ อย่างไรไม่รู้ อย่างน้อยในความวุ่นวายและปัญหาที่เกิดขึ้นก็ทำให้ชีวิตที่ราบเรียบของพฤกษ์มีสีสันขึ้นมาบ้าง แม้จะเป็นสีสันที่ออกจะฉูดฉาดเกินไปก็ตาม

               ในขณะที่พฤกษ์จมอยู่ความคิดของตัวเองเพลินๆ ก็มีเสียงตุ้บดังขึ้น พฤกษ์หันไปมองก็เห็นว่ามันคือเสียงศีรษะของพิชชาภากระแทกลงกับพื้นโต๊ะ อย่าบอกนะว่ายายนี่หมดสติไปอีกแล้ว 

               “นี่คุณ ฟื้นสิ จะมานอนตายเป็นผีเฝ้าโรงเรือนแบบนี้ไม่ได้นะ” พฤกษ์เขย่าร่างหญิงสาวที่นอนไม่ได้สติให้ตื่นขึ้นมา พิชชาภาปรือตามองเขาอย่างอ่อนแรง

               “ฉันหายใจไม่ออก ช่วยด้วย”

               สีหน้าของพิชชาภาดูซีดเผือดกว่าเมื่อเช้า ทำให้เขาใจคอไม่ดี ในวินาทีนั้นเองพฤกษ์จึงตัดสินใจพลิกตัวเธอให้หงายขึ้นก่อนจะโน้มใบหน้าลงไปเพื่อช่วยผายปอดให้เธอ เมื่อเขาเริ่มปฏิบัติการกู้ชีพ ดวงตาของพิชชาภาก็เบิกกว้างขึ้นพอๆ กับปริมาณออกซิเจนที่เพิ่มขึ้นในร่างกาย

               จนกระทั่งเธอเริ่มมีอาการขัดขืนนั่นแหละ เขาถึงรู้ว่าเธอเริ่มได้สติแล้ว แต่พฤกษ์กลับไม่อยากหยุดการปฐมพยาบาลนี้เลยจริงๆ จนกระทั่งมีเสียงของใครคนหนึ่งดังขึ้น

               “ทำอะไรกันน่ะ” 

               พฤกษ์ได้สติ ผละออกจากพิชชาภาและหันไปมองต้นเสียง

               “อ้าว เนตร คุณมาทำอะไร” พฤกษ์ทักหญิงสาวคนสนิทด้วยเสียงแปร่งๆ

               “เนตรก็มาส่งกระถางน่ะสิคะ เรานัดกันไว้ พฤกษ์จำไม่ได้เหรอ” เนตรนพินจ้องมองพิชชาภาเขม็ง 

               “ผมขอโทษ พอดีเมื่อกี้คุณพิชชาภาหมดสติหายใจไม่ออก ผมก็เลยช่วยผายปอดให้” แม้พฤกษ์จะอธิบายตามจริง แต่เนตรนพินก็ยังทำหน้าไม่เชื่ออยู่ดี

               “แล้วผู้หญิงคนนี้คือใครคะ ทำไมถึงมาอยู่ที่สวนของพฤกษ์ได้” 

พอเนตรนพินเริ่มคาดคั้น พฤกษ์ก็เริ่มไม่พอใจ จึงนิ่งเงียบไม่ตอบ ทว่าหญิงสาวที่ถูกพาดพิงกลับตอบคำถามนี้แทน

               “มาอยู่ที่สวนก็ต้องมาทำสวนสิคะ...เดี๋ยวนะคะ ฉันคุ้นๆ หน้าคุณจัง เหมือนเคยเห็นรูปคุณในห้องนอนของคุณพฤกษ์”

               พฤกษ์ถลึงตาใส่พิชชาภาที่พูดจาเรื่อยเจื้อย แววตาของเนตรนพินที่จ้องมองพิชชาภาเลยยิ่งเดือดดาลกว่าเดิม

               “พฤกษ์เป็นอะไรกับผู้หญิงคนนี้คะ” 

เนตรนพินคาดคั้นเขาทันที แต่ก่อนที่เขาจะชี้แจงอะไร พิชชาภาก็แย่งพูดอีกตามเคย

               “เลิกเรียกฉันว่าผู้หญิงคนนี้ซะที ฉันชื่อ พิชชาภา วรกิจไพศาล เรียกง่ายๆ ว่าเพิร์ลก็ได้ ฉันไม่ได้เป็นกิ๊กหรือเป็นแฟนกับคุณพฤกษ์ คุณอย่าเพิ่งนอยด์สิ” 

พิชชาภาเอ่ยพลางกลอกตาหน่ายๆ แต่พฤกษ์กลับขำท่าทางของหญิงสาวจนเผลอหัวเราะออกมา

               “ไม่ตลกเลยนะพฤกษ์ เนตรว่าเราต้องคุยกันหน่อยแล้ว” เนตรนพินเอ่ยเสียงเครียด 

               “คุณพิชชาภาก็อธิบายทุกอย่างหมดแล้ว ผมไม่มีอะไรจะอธิบายอีก” 

พอพฤกษ์เอ่ยแบบนี้ นัยน์ตาของเนตรนพินก็เริ่มเปียกรื้น พิชชาภาถอนใจยาวอย่างหน่ายๆ ก่อนจะหันมาเอ่ยกับเขา

               “ฉันว่าคุณควรจะเคลียร์กับแฟนให้รู้เรื่องดีกว่านะ ส่วนฉันแยกต้นอ่อนครบสิบถาดแล้ว คุณลองตรวจดูก็ได้...ฉันขอตัวกลับก่อนละ” 

               “ผมยังไม่ได้ตรวจงานของคุณเลย อย่าเพิ่งด่วนสรุปว่างานของคุณจะผ่าน”

               “ฉันว่าสิ่งที่สำคัญกว่าการตรวจงานฉันก็คือปัญหาของคุณตอนนี้ ขอให้โชคดีนะ” 

พิชชาภาขยิบตาให้และปล่อยให้เขาต้องเผชิญหน้ากับความอึดอัดใจและคำถามที่เขาไม่พร้อมจะตอบ

               พฤกษ์ชวนเนตรนพินไปนั่งคุยที่ร้านกาแฟหน้าปากซอย เขาเลือกที่นั่งชั้นที่สองซึ่งไม่มีลูกค้า ทั้งคู่สั่งเครื่องดื่มกันคนละแก้ว พฤกษ์เลือกดื่มกาแฟดำเพราะเขารู้สึกเหนื่อยๆ เพลียๆ มาทั้งวัน ส่วนเนตรนพินสั่งอเมริกาโนเย็น แต่กลับปล่อยให้น้ำแข็งละลาย สีหน้าของหญิงสาวดูเครียดจนเขาอึดอัด

               “เนตรดื่มกาแฟหน่อยดีไหม”

               “เนตรจะไม่กินอะไรทั้งนั้นจนกว่าพฤกษ์จะอธิบายเรื่องทั้งหมดเกี่ยวกับผู้หญิงคนนั้นให้เนตรฟัง”

               พฤกษ์ถอนใจหน่ายๆ แต่ก็ยอมเล่าสาเหตุที่พิชชาภามาทำงานที่สวนให้เนตรนพินฟังเพื่อตัดรำคาญ

               “ปกติพฤกษ์ไม่ยอมใจอ่อนง่ายๆ แบบนี้ ถ้าไม่อยากขายที่ ปฏิเสธก็จบแล้ว การที่พฤกษ์ยอมให้ผู้หญิงคนนี้มาทำงานที่สวนแสดงว่าพฤกษ์ต้องแอบชอบเขาใช่ไหม” เนตรนพินถามเสียงสั่น

               “ถ้าผมตอบว่าใช่ล่ะ เนตร” จริงๆ พฤกษ์ไม่อยากทำร้ายจิตใจหญิงสาว แต่เขาจะปล่อยให้เนตรนพินทำตัวเป็นเจ้าข้าวเจ้าของเขาแบบนี้ไม่ได้ 

               “แล้วเนตรล่ะ พฤกษ์ก็รู้ว่าเนตรชอบพฤกษ์มากแค่ไหน ชอบมาก่อนใครๆ แล้วก็รอพฤกษ์คนเดียวมาตลอด” สีหน้าของเนตรนพินเจ็บปวดเหมือนโลกกำลังจะถล่ม

               “ก็อย่างที่ผมเคยบอกเนตรนั่นแหละว่าตอนนี้เนตรคือเพื่อนสนิทที่สุดของผม ถ้าการชอบผมจะทำให้เนตรต้องเศร้าและเป็นทุกข์ ก็เลิกชอบผมเหอะ”

               คำพูดของเขาทำให้เนตรนพินนิ่งงันไปกว่าเดิม หญิงสาวก้มหน้านิ่งคล้ายพยายามข่มใจ ก่อนจะเงยหน้ามองเขาและเอ่ยเสียงสั่น

               “เนตรขอโทษ เนตรตกใจที่เห็นพฤกษ์จูบผู้หญิงคนนี้ ก็เลยหึงจนควบคุมอารมณ์ไม่ได้ เนตรสัญญาว่าต่อไปเนตรจะไม่ทำตัวแบบนี้อีกแล้ว”

               “ผมไม่ได้จูบเขา ผมแค่ผายปอด” พฤกษ์ย้ำเสียงเข้ม

               “ก็นั่นแหละ จริงๆ พฤกษ์ไม่ได้ตั้งใจจะขายที่ให้เอสพีกรุ๊ปอยู่แล้ว เนตรว่าพฤกษ์ก็ไม่จำเป็นต้องให้เขาทำงานที่นี่หรอก ผู้หญิงคนนี้ดูจับจด ทำอะไรไม่เป็น ขืนให้ช่วยงานนานกว่านี้จะยิ่งสร้างปัญหาให้เปล่าๆ”

               จนกระทั่งตอนนี้เนตรนพินก็ยังไม่ยอมเรียกชื่อพิชชาภา หญิงสาวคงจะเหม็นหน้าอีกฝ่ายมากจริงๆ

               “เอาจริงๆ ผมก็ยังไม่ได้ตัดสินใจหรอกนะว่าจะขายที่หรือเปล่า เพราะคุณตาอยากกลับไปอยู่ที่เพชรบูรณ์ อีกอย่างพิชชาภาก็ไม่ได้แย่มากนะ แยกต้นอ่อนได้สิบถาดในวันเดียวถือว่าอึดสุดๆ” พฤกษ์ชื่นชมหญิงสาวด้วยความจริงใจ และทำให้เขาเป็นห่วง ป่านนี้พิชชาภาน่าจะสลบไปแล้ว

               “พฤกษ์ดูปลื้มเขามากเลยนะ ไม่คิดเลยว่าสเปกของพฤกษ์จะเป็นแบบนี้ สงสัยเนตรต้องไปหาเสื้อผ้าแบรนด์เนมมาใส่แข่งซะแล้ว” เนตรนพินพูดทีเล่นทีจริง แต่พฤกษ์ฟังแล้วกลับหงุดหงิด

               “ถ้าผมจะรักเนตร ผมก็จะรักตัวตนจริงๆ ของเนตร”

               “แหม ล้อเล่นน่า ดูเหมือนเนตรพูดอะไรก็ไม่เข้าหูพฤกษ์ไปซะหมด เอาเป็นว่าเนตรจะไม่พูดเรื่องนี้ให้กวนใจอีก ไว้พฤกษ์พร้อมเมื่อไหร่หรือเริ่มแน่ใจว่าชอบเนตรแล้วเราค่อยมาคุยกัน เปลี่ยนมาคุยเรื่องสนุกๆ ดีกว่า ตกลงพฤกษ์จะไปร่วมงานแฟร์ที่ขอนแก่นไหม”

               พฤกษ์โล่งใจที่อย่างน้อยเนตรนพินก็ยอมหยุดพูดเรื่องความสัมพันธ์ หญิงสาวไม่ใช่คนโง่ เธอคงจะรู้ดีว่าหากคาดคั้นเขามากกว่านี้ เขาอาจจะทนเธอไม่ได้จริงๆ 

               “ตอนแรกว่าจะไม่ไปนะ ก็อย่างที่บอกว่าไม้มันขาดตลาด กลัวไปจะไม่คุ้ม แต่เฮียหมีขอร้องให้ไปช่วย ผมก็เลยว่าจะไป ถือโอกาสพาคุณตาไปเปลี่ยนบรรยากาศด้วย”

               “ดีเลย เพราะเนตรก็อยากเอากระถางรุ่นใหม่ไปขาย ขายในงานแฟร์นี่ออกดีกว่าขายในไอจีเยอะ เราจะไปกันยังไงดีล่ะ ขับรถหรือว่านั่งเครื่องไปดี” เนตรนพินดูมีชีวิตชีวาขึ้นมาทันที ทุกครั้งที่เขาไปออกงานต่างจังหวัดก็ได้หญิงสาวนี่แหละที่ช่วยจัดการเรื่องการเดินทาง

               “ไปรถดีกว่า เพราะผมต้องเอากระบองเพชรไปด้วย ถ้าขึ้นเครื่องก็ต้องเคาะดินออก ผมขี้เกียจเอามาลงดินใหม่”

               “เนตรก็เห็นด้วย แต่พฤกษ์ไม่ต้องกลัวเหนื่อยนะ เดี๋ยวเนตรจะช่วยขับรถสลับให้เองเวลาง่วงๆ” 

               “ถ้าเนตรเป็นคนขับ ผมคงไม่กล้าหลับหรอก คุณน่ะใจร้อน” 

               “แหม พฤกษ์ก็ เนตรไม่กล้าซิ่งหรอกถ้ามีคุณตานั่งไปด้วย รับรองว่าถึงที่หมายอย่างสบายใจ เดี๋ยวเนตรว่าจะเตรียมอาหารว่างไว้กินในรถด้วย พฤกษ์กับคุณตาอยากกินอะไร เนตรทำให้เต็มที่เลย”

               แล้วเนตรนพินก็วาดฝันแผนการที่จะไปงานออกร้านที่ขอนแก่นด้วยสีหน้าเป็นสุข พฤกษ์ซาบซึ้งใจไม่น้อยที่เนตรนพินพยายามช่วยเหลือเขาทุกอย่าง สิ่งไหนที่เขาชอบหรือมีความสุข หญิงสาวก็พร้อมทำให้ทุกอย่างด้วยความเต็มใจ ผิดกับผู้หญิงอีกคนที่นอกจากจะสร้างปัญหาและเป็นภาระให้เขาแล้ว ยังช่วยอะไรเขาไม่ได้เลย 

ทว่าแม้เนตรนพินจะดีกว่าพิชชาภาทุกอย่าง แต่เขากลับไม่เคยรู้สึกหัวใจเต้นแรงเมื่ออยู่ใกล้ชิดเธอเลย...บางทีอาจเป็นเพราะความสนิทคุ้นเคยเลยทำให้หัวใจของเขาชาชินไปแล้วละมั้ง

               

               หลังเสร็จภารกิจโหดหิน พิชชาภาตั้งใจว่าหล่อนจะรีบตรงดิ่งกลับบ้านแล้วนอนยาวๆ แต่จู่ๆ ก็เปลี่ยนใจกะทันหันและสั่งให้คนขับรถพาหล่อนไปโรงพยาบาลเอกชนที่หล่อนเคยไปใช้บริการเป็นประจำ

               พิชชาภาอ่อนเพลียจนรู้สึกเหมือนจะเป็นลม ขืนกลับไปบ้านแล้วหมดสติขึ้นมาอีกรอบคงไม่มีใครช่วยหล่อนแน่ พอนึกถึงเรื่องนี้น้ำตาก็รื้นขึ้นมา เวลาหล่อนเจ็บป่วยหรือมีปัญหาจะหวังให้คนในครอบครัวหรือคนรักมาดูแลหล่อนไม่ได้เลย จริงอยู่อาจจะมีคุณปู่คนหนึ่งละ แต่ท่านก็แก่เกินกว่าจะต้องมาดูแลหล่อน

               พิชชาภาไล่รายชื่อในโทรศัพท์ว่าจะโทร. หาใครดี ถ้าโทร. หาแม่ แม่ก็คงโวยวาย แล้วส่งคนงานที่บ้านสักคนให้มาอยู่เป็นเพื่อนหล่อน ดีไม่ดีจะหาเรื่องซ้ำเติมอีก ส่วนธัชนันท์ยิ่งแล้วใหญ่ ตอนนี้เขาหายเงียบไปจนชักสงสัยว่าเขางานยุ่งหรือมีกิ๊กกันแน่ แต่ตอนนี้หล่อนชักจะงอนจนไม่อยากโทร. ไปหาเขาก่อน จึงเลื่อนรายชื่อดูต่อ แต่ก็ไม่มีใครหรือเพื่อนคนไหนที่จะพึ่งพาได้เลย จะโทร. หาลูกน้องสองคนก็เลยเวลางานแล้ว จนกระทั่งเลื่อนมาถึงชื่อของพฤกษ์

               ถึงชายหนุ่มจะดูเป็นคนใจร้าย แต่อย่างน้อยก็เขาพยายามช่วยหล่อน ครั้งแรกถึงกับอุ้มหล่อนจากโรงเรือนไปห้องนอนของเขา และเมื่อครู่นี้ก็ยังช่วยผายปอดให้หล่อนด้วย แม้จะให้ความรู้สึกเหมือนการจูบมากกว่าปฐมพยาบาลก็ตามเถอะ แต่มันกลับทำให้หล่อนรู้สึกดีและอบอุ่นหัวใจแบบแปลกๆ 

               ถ้าหล่อนโทร. หาเขา...เขาจะด่าหล่อนไหมนะ 

               แต่ไม่รู้ว่าทำไมพิชชาภาถึงสบายใจที่จะโทร. หาเขาที่สุด คล้ายมีความมั่นใจอยู่ลึกๆ ว่าอย่างไรเขาก็ต้องมาอยู่เป็นเพื่อน พิชชาภาฟังเสียงสัญญาณรอสายที่ดังไปแล้วสองสามครั้งและรอลุ้นให้เขารับสาย จนกระทั่งเกือบจะสายหลุดนี่แหละปลายสายถึงกดรับ

               “ผมยังไม่ได้ตรวจดูเลยนะว่างานของคุณผ่านหรือเปล่า” พฤกษ์รีบชิงพูดก่อน

               “ฉันไม่ได้จะถามเรื่องนี้ คือฉันกำลังจะไปโรงพยาบาล คุณไปเป็นเพื่อนฉันหน่อยได้ไหม” 

               “เดี๋ยวนะ เราสนิทกันเหรอ ทำไมคุณถึงไม่โทร. หาคนในครอบครัวหรือเพื่อนคุณล่ะ ลูกน้องคุณก็มี” พฤกษ์ถามด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดหน่อยๆ

               “ไม่มีใครให้ฉันโทร. หาได้เลย” พิชชาภาตอบด้วยน้ำเสียงเรียบๆ แต่ทำให้อีกฝ่ายนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง

               “คุณอยู่โรงพยาบาลไหน เดี๋ยวผมไปหา”

               “ขอบคุณนะ ฉันรู้ว่ายังไงคุณก็ต้องมา” พิชชาภารีบบอกชื่อโรงพยาบาลและพิกัดให้ชายหนุ่มทราบ แล้วรีบวางสายก่อนที่เขาจะเปลี่ยนใจเสียก่อน

               พิชชาภานั่งรอใกล้ๆ เคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์ ไม่นานนักพฤกษ์ก็เดินเข้ามา 

               “ขอบคุณอีกครั้งนะที่คุณยอมมา ฉันไม่เคยมาโรงพยาบาลคนเดียว ถ้าคุณหมอให้ฉันแอดมิตจะได้มีคนเซ็นรับเป็นญาติ”

               “ผมมาเพราะคุณป่วย แล้วผมเองก็มีส่วนผิด”

               “คุณนี่ปากร้ายแต่ใจดีนะ” พิชชาภาเอ่ยยิ้มๆ ก่อนจะเดินไปที่ประชาสัมพันธ์เพื่อแจ้งอาการเบื้องต้น ซึ่งพฤกษ์ก็ช่วยหล่อนจัดการเรื่องต่างๆ อย่างคล่องแคล่วจนได้พบแพทย์

               “หมอตรวจอาการโดยรวมแล้ว คุณพิชชาภาไม่ได้เป็นอะไรมาก นอกจากมีอาการอ่อนเพลียเนื่องจากพักผ่อนไม่พอ ถ้ายังไงวันนี้หมอขอแนะนำให้คุณพิชชาภาแอดมิตที่โรงพยาบาลหนึ่งคืนเพื่อให้น้ำเกลือนะคะ”

               “ฉันขอจ้างพยาบาลพิเศษด้วยได้ไหมคะ ไม่กล้านอนคนเดียว” พิชชาภาเอ่ยเสียงอ่อยอย่างกังวล แต่แพทย์หญิงกลับทำหน้างงๆ

               “คุณพิชชาภาจะจ้างพยาบาลทำไมคะ ทำไมไม่ให้แฟนนอนเฝ้าล่ะคะ” แพทย์หญิงเหลือบมองไปทางพฤกษ์ที่ทำหน้างงยิ่งกว่า

               “ฉันยังไม่มีแฟนนะคะคุณหมอ ผู้ชายคนนี้เป็นเพื่อนของฉันค่ะ” พิชชาภารีบปฏิเสธเสียงสั่น พฤกษ์เองก็รีบแก้ตัว

               “ผมไม่ได้เป็นเพื่อนเธอครับ...แต่เป็นเจ้านาย”

               “ตายจริง หมอต้องขอโทษด้วยนะคะที่เข้าใจผิด เอาเป็นว่าหมอจะให้ทางวอร์ดผู้ป่วยจัดหาพยาบาลพิเศษให้นะคะ” 

               หลังจากพบแพทย์แล้ว พิชชาภาก็ถูกย้ายไปห้องพักผู้ป่วย หล่อนขอจองห้องพักวีไอพี แต่เต็มทุกห้อง หล่อนเลยได้พักห้องเพรซิเดนต์ซึ่งมีขนาดรองลงมา แม้ปัญหาเรื่องห้องจะหมดไป แต่กลับไม่มีพยาบาลพิเศษว่างมาดูแลหล่อนเลย พยาบาลในวอร์ดยืนกรานว่าหล่อนไม่ต้องกลัว การนอนโรงพยาบาลไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด ห้องพักก็เพิ่งซ่อมแซมตกแต่งใหม่ บรรยากาศสวยงามเหมือนอยู่ในโรงแรมหรูก็ไม่ปาน 

               พิชชาภาไม่ได้ติดขัดเรื่องนั้น แต่หล่อนกลัวผีต่างหาก

               “คุณพยาบาลคะ เคยมีคนตายในห้องนี้หรือเปล่าคะ ห้ามโกหกฉันนะคะ” พิชชาภาถามพยาบาลด้วยสีหน้าท่าทางจริงจัง 

พยาบาลสาวทำหน้าอึดอัดใจ แต่ก็ตัดสินใจตอบตามตรง

               “ก็มีค่ะคุณ มันเป็นเรื่องธรรมดาของโรงพยาบาล แต่ยังไม่เคยมีผู้ป่วยคนไหนถูกผีหลอกเลยนะคะ” 

               “แต่คุณพยาบาลก็ไม่กล้ารับประกันใช่ไหมล่ะคะว่าฉันจะไม่โดนหลอก” พิชชาภาแย้งอย่างไม่ยอม 

               “ถ้าคุณยังมีแรงเถียงขนาดนี้ คงไม่มีผีตัวไหนกล้ามาหลอกคุณแล้วมั้ง แล้วถ้ากลัวมากขนาดนี้ก็กลับบ้านไปเถอะ คุณมีเวลาพักผ่อนเหลือเฟือ” พฤกษ์ทำหน้ารำคาญ

               “ฉันมีเวลาพักผ่อนที่ไหนกันคะ เจ้านาย พรุ่งนี้ฉันก็ต้องไปทำงานที่สวน”

               “ผมยังไม่ได้พูดเลยนะว่าจะให้คุณทำงานที่สวนของผมต่อ”

               “คุณเพิ่งบอกคุณหมอไปไม่ใช่เหรอว่าคุณเป็นเจ้านายของฉัน ถ้าคุณไม่ยอมให้ฉันทำงานก็เท่ากับว่าคุณเป็นคนเชื่อถือไม่ได้”

               พฤกษ์โบกมือเป็นเชิงปรามให้หล่อนหยุดพูด 

               “ผมว่าเราอย่าเพิ่งคุยเรื่องนี้กันเลย คุณพยาบาลช่วยพายายคนนี้ไปให้น้ำเกลือทีครับ ถ้าผมต้องคุยด้วยนานกว่านี้คงต้องแอดมิตด้วยแน่ๆ”

               “งั้นเราแอดมิตให้น้ำเกลือพร้อมกันเลยไหมล่ะคุณ เดี๋ยวฉันออกค่ารักษาให้ทั้งหมด” 

พิชชาภาหันมายิ้มให้พฤกษ์อย่างมีความหวัง ไม่มีพยาบาลพิเศษก็ไม่เป็นไร อย่างน้อยมีพฤกษ์อยู่เป็นเพื่อนทั้งคืนก็ยังดี เสียงทะเลาะของหล่อนกับเขาคงจะทำให้ผีขยาดไม่กล้ามาหลอกแน่ๆ

               “เลิกเพ้อเจ้อได้แล้วคุณ ไม่งั้นผมจะให้คุณหมอตรวจเช็กสมองคุณด้วย” 

พอพฤกษ์ตีหน้าขรึม พิชชาภาก็ไม่กล้าตอแยเขาอีก ถึงเขาจะใจร้ายกับหล่อนอย่างไร เขาก็ยังตามหล่อนไปที่ห้องพักอยู่ดี พิชชาภาแอบอมยิ้มน้อยๆ อย่างน้อยค่ำคืนที่ต้องนอนโรงพยาบาลก็ไม่น่าหวาดหวั่นอีกต่อไป

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น