บทที่ ๘

บทที่ ๘

 

แม้ร่างกายจะอ่อนเพลียและต้องการการพักผ่อน แต่พิชชาภาก็ไม่สามารถข่มตาหลับได้เสียที การนับแกะ ช้าง 

ม้า วัว ควาย หรือสัตว์ทั้งฟาร์มก็ไม่เคยช่วยให้หล่อนเคลิ้มหลับได้เลย หรือแม้แต่การเปิดฟังพอดแคสต์วิชาการหนักๆ ที่ฟังแล้วพร้อมจะหลับในห้านาทีก็ยังไม่ได้ผล คงต้องโทษคนผิดสัญญาคนนั้นที่บอกว่าจะส่งข้อความมาหาหล่อน 

               พิชชาภาประหลาดใจอยู่เหมือนกัน อันที่จริงหล่อนควรจะหงุดหงิดเรื่องที่ธัชนันท์เฉไฉไม่ยอมตอบว่าเขามีกิ๊กอย่างที่สงสัยอยู่หรือเปล่า แต่เอาเข้าจริงๆ หล่อนก็ไม่ได้อยากรู้ขนาดนั้น เพราะเรื่องที่อยากรู้ที่สุดคือหล่อนผ่านการทดสอบของพฤกษ์หรือเปล่า

               ตอนนี้เกือบตีหนึ่งแล้ว ถึงจะดึกเกินไปที่จะโทร. หาใครสักคน แต่ถ้ายังค้างคาใจอยู่ หล่อนคงไม่ได้นอนทั้งคืนแน่ ดังนั้นพิชชาภาจึงลองเสี่ยงกดโทร. ไปหาพฤกษ์ แต่เขาก็ไม่รับสาย พิชชาภาได้แต่ถอนใจ ป่านนี้เขาคงหลับสนิทไปแล้ว ทว่าหลังจากนั้นไม่นานก็มีสายของพฤกษ์โทร. กลับมา

               “คุณเป็นอะไรไปอีกหรือเปล่า อย่าบอกนะว่าจะให้ผมไปค้างที่โรงพยาบาลเป็นเพื่อนอีก ผมบอกไว้เลยว่าวันนี้ผมไม่สะดวก”

               “รีบออกตัวเชียวนะคุณ ฉันหายดีแล้ว ที่โทร. หาเพราะมาทวงคำตอบ”

               “ทำไมไม่รอถึงพรุ่งนี้เช้า”

               “คุณไม่มีสิทธิ์มาหงุดหงิดใส่ฉันนะ เพราะคุณเป็นคนผิดคำพูด”

พฤกษ์ถอนใจยาวอย่างหน่ายๆ

“งานของคุณผ่าน พอใจหรือยัง งั้นเท่านี้นะ”

“ถ้าขี้เกียจโทร. ก็แค่ส่งข้อความมาบอก มันยากตรงไหน”

“ก็ผมงานยุ่งนี่คุณ ไม่ได้มีเวลาว่างเหมือนคุณหรอกนะ อีกอย่างถ้าคุณอยากรู้จริงๆ ก็คงโทร. มาหาผมเอง แล้วทำไมช่วงหัวค่ำคุณถึงไม่โทร. มาล่ะ”

“ฉันก็ไปกินข้าวกับแฟนสิ...ช่างเถอะ เอาเป็นว่าพรุ่งนี้เราเจอกัน”

“แล้วแฟนคุณรู้ไหมว่าคุณเพิ่งเข้าโรงพยาบาล”

“ฉันไม่ได้บอกเขาหรอก เอาจริงๆ เขาก็ไม่ได้อยากรู้อะไรเกี่ยวกับฉันเลย ฉันถามเขาว่าที่หายไปเพราะมีกิ๊กหรือเปล่า เขาก็บ่ายเบี่ยงไม่ตอบ” พิชชาภาอดระบายไม่ได้ ไม่รู้ว่าทำไมหล่อนถึงสบายใจที่จะเล่าเรื่องส่วนตัวให้เขาฟัง...มันคงเป็นความรู้สึกไว้วางใจแปลกๆ ที่หล่อนเองก็อธิบายไม่ได้

“ผมจะบอกให้เอาบุญ ลองไปคิดดูนะคุณ อะไรที่มันคลุมเครือ คำตอบนั้นก็เอนเอียงไปทางลบแล้วละ”

“คุณกำลังทำให้ฉันคิดมากอยู่นะ” พิชชาภาท้วงโกรธๆ

“คุณน่าจะได้คำตอบจากการกระทำของเขาอยู่แล้ว คุณก็แค่เสียดาย ลังเล หรือหลอกตัวเองอยู่”

“อย่ามาพูดเหมือนรู้จักฉันดีนะ ฉันไม่คุยกับคุณแล้ว” พิชชาภาวางสายทันทีอย่างเคืองจัดที่ถูกแทงใจดำเข้าอย่างจัง 

ใช่...ทำไมหล่อนจะไม่รู้ว่าธัชนันท์ไม่ได้สนใจหล่อนแล้ว เอาจริงๆ หล่อนกับเขาไม่มีอะไรที่ชอบเหมือนกันเลย แล้วธัชนันท์ก็เป็นคนที่คิดถึงแต่ตัวเอง ผู้หญิงที่จะเป็นแฟนเขาต้องเป็นฝ่ายให้ความสำคัญและสนใจเขามากๆ ซึ่งผู้หญิงคนนั้นไม่ใช่หล่อน คำถามที่เกิดขึ้นคือ ถ้าหล่อนไม่ใช่ผู้หญิงที่ใช่สำหรับธัชนันท์ เขาจะทนคบกับหล่อนไปทำไม ในเมื่อเขาเองก็หล่อเลือกได้เหมือนกัน แต่พอคิดวนไปวนมาไม่ได้คำตอบ พิชชาภาซึ่งไม่ใช่คนที่เคยชินกับการคิดอะไรให้หนักหัวก็ผล็อยหลับไปในที่สุด

วันนี้พิชชาภาตื่นตั้งแต่หกโมงเช้า หล่อนตั้งนาฬิกาปลุกไว้ ตั้งใจว่าวันนี้จะไม่ไปทำงานในสภาพพังๆ เหมือนวันแรกอีกแล้ว วันนี้หล่อนใช้เวลาอยู่ในห้องน้ำนานเป็นพิเศษ ก่อนจะเลือกชุดที่ใส่แล้วไม่ร้อนอบอ้าวเวลาทำสวน ซึ่งหล่อนก็มั่นใจว่าเสื้อผ้าที่หล่อนเลือกใส่เองนั้นดูดีกว่าที่ชุติมาเลือกเป็นไหนๆ

ตอนนี้เพิ่งเจ็ดโมงเช้า หล่อนยังพอมีเวลาจิบกาแฟ แต่พอเดินลงมาที่ห้องนั่งเล่นก็เห็นว่ามารดาของหล่อนนั่งอยู่ในชุดราตรีเต็มยศ

“คุณแม่จะออกไปงานที่ไหนแต่เช้าคะ”

มารดาค้อนให้หล่อนวงใหญ่

“เพิร์ลก็รู้อยู่แล้วจะมาถามแม่ทำไม เราต่างหากที่ควรตอบแม่ว่าจะออกไปไหนแต่เช้า แล้วดูแต่งตัวเข้าสิ น่าเกลียด” แววตาของมารดาบ่งบอกว่าขัดใจอย่างมากที่เห็นหล่อนแต่งตัวด้วยชุดเรียบๆ

“เพิร์ลต้องไปทำงานที่สวน จะให้ใส่ชุดเดรสหรูๆ ไปได้ยังไงล่ะคะ เพิร์ลว่าแม่รีบไปนอนดีกว่าค่ะ ตาคล้ำแล้วนะเนี่ย”

พรรณีทำหน้าตกใจแล้วหยิบกระจกพกพาจากกระเป๋าถือมาส่อง

“จริงด้วย เดี๋ยวต้องรีบไปทาอายครีมหนาๆ เลย” 

ขณะที่พรรณีกำลังกังวลเรื่องหน้าตาตัวเอง พิชชาภาก็คิดว่านี่เป็นโอกาสทองที่หล่อนจะหลบมารดาออกไปทำงานโดยไม่ต้องทนฟังเสียงบ่น ทว่าท่านกลับตาไวและเรียกหล่อนไว้เสียก่อน

“ที่แม่ต้องนั่งรอเพิร์ลจนเช้า เพราะขืนเข้านอน กว่าจะตื่นคงไม่ได้พูดกัน...วันนี้น้าดาและเท็ดจะเอาของขวัญวันเกิดมาให้คุณปู่และคุยเรื่องแต่งงานกับเพิร์ลด้วย”

“เดี๋ยวนะคะ แม่ เพิร์ลฟังผิดหรือเปล่า พี่เท็ดเนี่ยนะจะขอเพิร์ลแต่งงาน เมื่อคืนเราไปกินข้าวด้วยกัน ไม่เห็นเขาพูดเรื่องนี้กับเพิร์ลสักคำ” พิชชาภาถึงกับยืนอึ้งไป หรือว่าธัชนันท์จะเอาเรื่องหล่อนไปคิดทั้งคืนและได้คำตอบว่าหล่อนคือคนที่เขารักจริงๆ และอยากใช้ชีวิตด้วย แต่ความรู้สึกของหล่อนก็บอกว่าไม่ใช่

“เท็ดเขารู้สึกผิดกับเพิร์ลว่าที่ผ่านมาเขางานยุ่ง และดูเหมือนเพิร์ลจะไม่มั่นใจในตัวเขา เขาก็เลยปรึกษากับน้าดาว่าให้มาสู่ขอเพิร์ล เพราะฉะนั้นเย็นนี้เพิร์ลรีบกลับบ้านหน่อยก็แล้วกัน แม่นัดช่างแต่งหน้าทำผมไว้ให้แล้ว จริงๆ วันนี้ลางานเลยได้ไหม ผิวเพิร์ลชักจะหมองๆ ควรจะทำสปาและนวดหน้าสักหน่อย”

“ไม่ได้หรอกค่ะแม่ เอาเป็นว่าเย็นนี้เพิร์ลจะรีบกลับมาก็แล้วกันนะคะ ตอนนี้สายแล้ว เพิร์ลไปก่อนนะคะ” 

พิชชาภารีบเดินออกจากบ้านโดยไม่สนใจว่าพรรณีจะฟาดงวงฟาดงาด้วยความขัดใจมากแค่ไหน ระหว่างเดินทางไปที่สวนไอเลิฟแคคตัส พิชชาภาก็หลับตานิ่งเพื่อทบทวนความรู้สึกของตัวเอง

หล่อนควรจะดีใจไม่ใช่หรือที่ธัชนันท์คิดจะจริงจังจนขอหล่อนแต่งงาน แต่ทำไมหล่อนถึงไม่ดีใจเลยล่ะ และอยากให้แฟนหนุ่มบอกเลิกด้วยซ้ำ...หล่อนต้องเป็นบ้าไปแล้วใช่ไหม ทว่าข้อความที่ปรากฏบนจอโทรศัพท์ทำให้พิชชาภาหยุดคิดเรื่องนี้และหันมาสนใจข้อความที่ชญานีส่งมาให้ เดาได้เลยว่าต้องไม่ใช่เรื่องดีแน่ เพราะร้อยวันพันปีชญานีไม่เคยส่งข้อความมาทักทายไต่ถามสารทุกข์สุกดิบ

‘พี่ก็ไม่ได้อยากยุ่งเรื่องของเพิร์ลหรอกนะ แต่คิดว่าเพิร์ลควรรู้ไว้’

หลังจากข้อความก็มีรูปภาพของธัชนันท์ที่กำลังเปิดประตูรถเบนซ์สปอร์ตสีขาว แม้จะไม่เห็นคนขับ แต่เลขทะเบียนรถที่ปรากฏชัดเจนทำให้พิชชาภาถึงกับอึ้งไป เพราะมันคือรถของฐิติกา แล้วลานจอดรถนั้นก็คือร้านอาหารที่หล่อนไปรับประทานกับธัชนันท์เมื่อคืน 

พิชชาภาเดินออกจากร้านอาหารพร้อมแฟนหนุ่ม เขาเดินไปส่งหล่อนถึงรถและรอจนหล่อนขับรถออกไปก่อน แสดงว่าหลังจากที่พิชชาภาขับรถออกไปแล้ว เขาก็ไปกับฐิติกาซึ่งคงแวะมารับเพื่อไปไหนต่อกันสักแห่ง พิชชาภากำโทรศัพท์แน่นด้วยความรู้สึกที่อัดแน่นในใจ ทั้งโกรธ เสียใจ และผิดหวังที่คนกันเองเล่นไม่ซื่อกับหล่อน ทำให้อดคิดย้อนถึงเรื่องอื่นๆ ไม่ได้ อย่างเรื่องกระเป๋าที่หล่อนเคยหมายตาไว้ ฐิติกาก็คงจงใจแย่งมาจากหล่อนจริงๆ 

วันที่ธัชนันท์ตามมาเจอหล่อนที่งานปาร์ตีซึ่งฐิติกามาร่วมงานด้วย เขาก็คงไม่ได้ตั้งใจมาเซอร์ไพรส์หล่อนอย่างที่พูดหรอก เขาคงอยากมาเจอฐิติกามากกว่า และบางทีหลังจากที่หล่อนกลับไปแล้ว เขาก็คงไปหาความสุขกับฐิติกาต่อเหมือนเมื่อคืน

พิชชาภานั่งอึ้งคิดทบทวนเหตุการณ์ และไม่ได้ตอบข้อความใดๆ กลับไป ชญานีคงอดรนทนไม่ได้จึงโทร. มาหาหล่อน

“เพิร์ล พี่ว่าแฟนเธอถูกนังเพื่อนดาราของเธอคาบไปกินแล้ว”

“ขอบคุณที่ส่งรูปนี้มาให้ดูนะคะ ว่าแต่พี่หญิงได้รูปนี้มาจากใครคะ” พิชชาภาคาดว่าป่านนี้ภาพนี้คงจะถูกนำไปเผยแพร่ทั่วแล้ว ดีไม่ดีตามโซเชียลมีเดียอาจมีภาพนี้กระจายไปทั่ว 

“เพื่อนพี่ไปกินข้าวที่ร้านนั้นมา เขาก็ไม่ได้อยากเผือกเรื่องเพิร์ลหรอกนะ แต่เห็นแล้วทนไม่ได้เลยส่งมาให้พี่”

“พี่หญิงส่งไปให้ใครดูอีกหรือเปล่าคะ”

“เพิร์ลเห็นพี่เป็นคนยังไง ที่ส่งมาให้ดู เพิร์ลจะได้จัดการเรื่องนังดารานี่ให้เด็ดขาด อย่าให้มันทำตัวเสมอกับเพิร์ลได้” ชญานีเอ่ยอย่างออกรสมากกว่าจะเป็นห่วงหล่อน แต่ถึงอย่างนั้นก็ทำให้หล่อนตาสว่าง

“เพิร์ลขอบคุณพี่หญิงมากนะคะที่ส่งข่าว” 

พิชชาภารีบจบบทสนทนานี้ หล่อนตอบไม่ถูกว่าควรรู้สึกอย่างไรกันแน่ แม้ใจจริงอยากจะโทร. หาธัชนันท์เดี๋ยวนี้เลย แต่คิดว่าหากโทร. ไปตอนนี้ หล่อนคงขาดสติ อาละวาดใหญ่โต และสุดท้ายคนที่ผิดและดูไม่ดีก็จะกลายเป็นตัวหล่อนเอง คิดในแง่ดีธัชนันท์อาจนัดเจอกับฐิติกาเรื่องงานก็เป็นได้ รอเอาไว้เลิกงาน หล่อนคงใจเย็นพอที่จะพูดคุยกับธัชนันท์ 

ทันทีที่พิชชาภาก้าวลงจากรถก็เห็นว่าวันนี้บรรยากาศที่สวนไอเลิฟแคคตัสดูคึกคักกว่าเคย คล้ายมีการจัดงานเลี้ยง เพราะมีทั้งโต๊ะที่จัดวางหม้อก๋วยเตี๋ยว อาหาร ขนม และไอศกรีมอยู่ด้านนอกสวน พิชชาภาเหลือบมองชุดของตัวเองด้วยความขัดใจ ถึงจะเป็นงานเลี้ยงเล็กๆ ก็เถอะ หล่อนไม่เคยปรากฏตัวในงานเลี้ยงในสภาพโทรมๆ แบบนี้มาก่อน พฤกษ์ก็ช่างใจดำ อย่างน้อยก็น่าจะโทร. มาบอกหล่อนบ้าง ถ้าเจอหน้าจะต้องต่อว่าเสียหน่อย

ทว่าเมื่อเดินไปถึงโรงเรือนก็เห็นว่ามีเด็กอายุประมาณเจ็ดถึงสิบปีทั้งชายและหญิงราวยี่สิบคนนั่งอยู่ตามโต๊ะต่างๆ ที่จัดอุปกรณ์ต่างๆ ไว้พร้อม เด็กๆ เหล่านั้นแต่งกายด้วยชุดราคาถูก หน้าตามอมแมมเหมือนเด็กขายพวงมาลัยที่เดินเร่ขายของตามท้องถนน คำถามที่ตามมาก็คือเด็กๆเ หล่านี้มาทำอะไรที่นี่ หรือว่าพฤกษ์จะจ้างเด็กๆ พวกนี้มาช่วยงาน

               พิชชาภากำลังคิดอะไรเพลินๆ ก็สะดุ้งก็เมื่อมีเสียงดังขึ้นด้านหลัง

               “ยืนอึ้งทำไมล่ะคุณ ทำไมไม่เข้าไปช่วยดูแลเด็กๆ” จู่ๆ พฤกษ์ก็เอ่ยขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย

               “อะไรนะ คุณจะให้ฉันทำหน้าที่เป็นพี่เลี้ยงเด็กพวกนี้เหรอ ไม่เอาหรอก ฉันเกลียดเด็ก” พิชชาภาพูดตรงๆ หล่อนเล่นกับเด็กไม่เป็น เรื่องเลี้ยงหรือดูแลเด็กยิ่งเป็นไปไม่ได้ใหญ่

               “เอาน่าคุณ น้องๆ พวกนี้น่ารักทุกคน เผลอๆ พวกเขาจะเป็นฝ่ายดูแลคุณมากกว่า ไปนั่งรวมกลุ่มกับเด็กๆ เถอะ วันนี้ทางสวนจัดกิจกรรมให้เด็กๆ ในชุมชมแออัดได้ลองจัดสวนถาด ผมหวังว่าคุณพอจะช่วยสอนเด็กๆ ได้บ้าง”

               “เดี๋ยวนะ ฉันไม่เคยจัดสวนถาดมาก่อน ฉันทำไม่ได้หรอก”

               “ไม่มีอะไรยากเลยคุณ ถ้าคุณแยกต้นอ่อนลงถาดได้ เรื่องการจัดสวนถาดนี่สบายมาก รับรองว่าวันนี้ผมไม่ทำให้คุณป่วยหนักจนต้องเข้าโรงพยาบาลอีกหรอกน่า” พฤกษ์เอ่ยยิ้มๆ แม้ใบหน้าของเขาจะมีหน้ากากอนามัยปิดหน้าไว้ครึ่งหนึ่ง พิชชาภาก็ยังพอมองเห็นว่าสายตาที่เขามองหล่อนดูเป็นมิตรกว่าเดิมอย่างเห็นได้ชัด

               พิชชาภาไปนั่งรวมกลุ่มกับเด็กๆ ซึ่งต่างจับจ้องหล่อนด้วยแววตามีคำถาม จนกระทั่งเด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่เป็นหน่วยกล้าตายถามขึ้นมา

               “ป้าคนนี้จะมาช่วยสอนพวกเราจัดสวนถาดเหรอคะ ครูพฤกษ์”

               พิชชาภาจ้องเด็กผู้หญิงคนนั้นอย่างเคืองจัด ตั้งแต่เกิดมายังไม่มีใครเคยเรียกหล่อนว่าป้า แต่ก็เตือนตัวเองว่าอย่าวีนใส่เด็ก เดี๋ยวจะถูกมองว่าเป็นมนุษย์ป้าใจร้ายไปอีก ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องรักษาภาพลักษณ์ของเซเลบสวยใสเอาไว้

               “พี่ชื่อเพิร์ลจ้ะ วันนี้จะเป็นมาเป็นครูผู้ช่วย เด็กๆ เคยทำสวนถาดกันแล้วหรือยังเอ่ย” พิชชาภาเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนหวานที่สุดเท่าที่คนอย่างหล่อนจะทำได้

               “พวกเราจัดกันบ่อยจนแทบจะหลับตาจัดกันได้แล้วครับ ว่าแต่พี่เถอะครับ เคยจัดมาแล้วกี่ครั้ง” เด็กผู้ชายที่ดูเหมือนจะโตที่สุดในกลุ่มเอ่ยกับหล่อนอย่างลองภูมิ

               “พี่ไม่เคยจัดมาก่อนหรอกจ้ะ แต่ก็คิดว่าไม่น่าเกินความสามารถ เรื่องแบบนี้มันต้องใช้จินตนาการ ความคิดสร้างสรรค์ และความสามารถทางศิลปะจริงไหม”

               คนอย่างพิชชาภาไม่เคยยอมเสียหน้า หล่อนไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับการจัดสวนถาด แต่ดูจากอุปกรณ์ที่พฤกษ์เตรียมไว้ให้ตรงกลางโต๊ะซึ่งมีกระบองเพชรต้นจิ๋วหลากหลายพันธุ์ หินกรวดสี และของประดับสวนเล็กๆ น้อย อาทิ พวกบ้านจิ๋วเซรามิก ก้านตุ๊กตาประดับรูปสัตว์ต่างๆ ก็พอนึกออกแล้วว่าจะจัดสวนถาดอย่างไร

               “เอาละ ครูว่าเรามาลงมือทำกันเลยดีกว่า เด็กๆ สามารถเลือกกระบองเพชรได้คนละหกต้น และของประดับสวนคนละสามชิ้น ถาดเซรามิกคนละหนึ่งใบ” พฤกษ์เริ่มแบ่งอุปกรณ์

               พิชชาภาหมายตาถาดเซรามิกใบนึงเอาไว้ แต่กลับถูกเด็กที่เรียกหล่อนว่าป้าคว้าไปเสียก่อน ซ้ำยังยิ้มสะใจที่หล่อนได้ถาดสีดำทะมึนไป

               “ป้าทำสวนถาดปราสาทแม่มดให้ดูหน่อยสิคะ” 

ยายเด็กปากร้ายได้ทีเย้ยหล่อน พิชชาภากัดฟันแน่น นี่คิดจะแกล้งหล่อนชัดๆ

               “ได้สิ เดี๋ยวพี่จะทำให้ดูนะคะ” 

แล้วพิชชาภาก็เล็งกระบองเพชรจิ๋วที่มีทรงหนามโหดๆ และของตกแต่งสวนที่มีเสือ สิงโตวางประดับ ใจจริงหล่อนอยากได้เครื่องประดับจำพวกแมงมุมหรือค้างคาว แต่พฤกษ์มีแต่ของตกแต่งน่ารักฟรุ้งฟริ้ง

               พิชชาภาเพลินกับการจัดสวนถาดจนลืมเรื่องภาพของธัชนันท์ที่เป็นตะกอนรบกวนจิตใจ ภาพของเด็กรอบๆ ตัวซึ่งมีรอยยิ้มระบายบนใบหน้าทำให้บรรยากาศภายในสวนดูสดใสขึ้นมาทันตา แต่ละคนพยายามจัดสวนอย่างสุดฝีมือโดยมีพฤกษ์คอยกำกับช่วยดูแลอย่างใกล้ชิด พิชชาภาซึ่งจัดสวนเสร็จเร็วกว่าเด็กๆ ก็ลุกขึ้นมาช่วยสอนบ้าง แต่ละคนก็รับฟังหล่อนดี ราวชั่วโมงเศษ สวนถาดก็เริ่มเสร็จสมบูรณ์ แม้บางสวนอาจจะจัดอย่างบิดเบี้ยวไปบ้าง แต่ดูเหมือนเจ้าของจะภูมิใจในฝีมือของตัวเอง

               “มีใครอยากเล่าให้ฟังไหมว่าสวนของแต่ละคนคือสวนอะไร”

               เด็กผู้หญิงจอมแสบซึ่งพิชชาภารู้ภายหลังว่าชื่อฝ้ายยกมือขึ้นทันที หล่อนแอบทำปากเบ้หน่อยๆ สวนถาดของฝ้ายไม่ต้องอธิบายก็รู้ว่าคือสวนอะไร เพราะมีของประดับรูปหัวใจสีแดงแจ๊ดเด่นกว่ากระบองเพชรเสียอีก

               “สวนของฝ้ายคือสวนแห่งความรัก ตุ๊กตาเด็กผู้หญิงคือฝ้ายเอง ส่วนเด็กผู้ชายคนนั้นคือแฟนของฝ้ายในอนาคต ฝ้ายว่าเด็กผู้ชายคนนี้หน้าคล้ายครูพฤกษ์นะคะ” เด็กหญิงทำหน้าเคลิ้มฝัน

               พิชชาภากะแล้วเชียวว่ายายเด็กแก่แดดจะต้องมาไม้นี้แน่ เลยกลั้นขำไว้ไม่อยู่

               “ป้าขำอะไรคะ อิจฉาฝ้ายละสิ สงสัยป้าจะยังไม่มีแฟน”

               “ใครว่า...พี่มีแฟนแล้ว แฟนพี่หล่อกว่าตุ๊กตานี่อีก”

               “ฝ้ายไม่เชื่อ คนที่มีความรักทำไมถึงทำสวนถาดได้ออกมาดูดาร์กขนาดนี้ ป้าอกหักหรือเปล่า”

               คำพูดของเด็กหญิงธรรมดาเหมือนหนามแหลมๆ ที่เสียบฉึกในใจ มันเจ็บแปลบจนพูดไม่ออก 

               “ก็มีคนบอกให้พี่ทำสวนปราสาทแม่มดให้ดูไม่ใช่เหรอ” พิชชาภาแก้ตัวเสียงเครือ 

               “แล้วทำไมป้าต้องร้องไห้ด้วย” 

               พิชชาภาไม่รู้ตัวเลยว่าหล่อนกำลังร้องไห้ ซ้ำยังร้องไห้ต่อหน้าเด็กๆ เสียด้วย น่าอายเสียจริง หล่อนอยากจะมุดดินหนีให้รู้แล้วรู้รอด

               “พี่เขาไม่ค่อยสบายน่ะ คงจะปวดหัวมาก แต่ครูขอร้องให้มาช่วยสอนพวกเรา พี่เขาถึงได้มา ฝ้าย ขอโทษพี่เขาสิ” พฤกษ์เอ่ยกับเด็กหญิงด้วยน้ำเสียงเรียบๆ

               พิชชาภามองหน้าพฤกษ์อย่างไม่เชื่อนักว่าเขาจะช่วยหล่อน ทำให้หล่อนซึ้งใจอย่างบอกไม่ถูก 

               “ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ฝ้ายคงไม่ได้ตั้งใจ” 

               “ผมว่าคุณออกไปนั่งพักข้างนอกเถอะ อ้อ ข้างนอกมีออกร้านของกิน คุณไปสั่งอาหารได้เลย” 

               พิชชาภาหันไปยิ้มให้พฤกษ์นิดๆ เป็นเชิงขอบคุณก่อนจะเดินออกไปสูดอากาศข้างนอก เพื่อคิดชั่งใจว่าหล่อนควรจะทำอย่างไรกับเรื่องที่เจ็บปวดใจอยู่ในเวลานี้ 


 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น