3

บทที่ 3



 

บทที่3.

                มีนาคมรู้สึกได้ว่ารอยยิ้มเป็นนิจของชายหนุ่มหายไปตั้งแต่วันที่เธอกับเขาทะเลาะกันเรื่องรถยนต์ที่ไปทำสีใหม่ แม้เขาจะขอโทษเรื่องอุบัติเหตุครั้งนั้นแล้วแต่หญิงสาวยังรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติไป

                ไม่ใช่เพราะเขาใส่เสื้อสีเทาเกือบอาทิตย์ หรือไม่ได้ขับรถของเขาไปส่งเธอทำงานเพราะมีกฤตินเป็นคนจัดหารถตู้ส่วนตัวมาให้เพื่อจะได้มีเวลานอนพักระหว่างทาง

                แต่ปัญหามันคืออะไรกันล่ะ

                เธอมองชายหนุ่มที่กำลังนั่งผูกเชือกรองเท้าผ้าใบหุ้มข้อเงียบๆ ก่อนจะย่องไปนั่งข้างหลังแล้วยกมือกอดเขาผ่านใต้วงแขน ตามปกติแล้วเขาจะหันกลับมา ยอมให้เธอจูบแต่โดยดี “จะไปแล้วเหรอคะ”

                “นัดกับไอ้เอกเอาไว้น่ะ ก็บอกแล้วนี่” กันต์ผูกเชือกรองเท้าข้างสุดท้ายเสร็จพอดี

                “ฉันไม่ได้ห้ามเสียหน่อย” มีนาคมเกยคางกับไหล่ ได้กลิ่นสบู่หอมๆ ตอนหันไปจูบที่แก้มหนึ่งฟอดซึ่งคงไม่เป็นปัญหาอะไร “ไปด้วยสิ”

                เธอทิ้งหางเสียงเบาๆ แล้วดันตัวเบียดชายหนุ่มแบบที่ใครก็ต้องใจอ่อน

                “ไม่ละ” กันต์ขยับตัวลุกขึ้น สบตาเธอที่ยังนั่งกับพื้น “คุณไม่ชอบไม่ใช่เหรอ ไปกี่ทีก็เอาแต่ทำหน้าเบื่อแล้วก็เร่งอยากจะกลับทุกที”

                “ก็...มันน่าเบื่อจริงนี่”

                เพราะพวกผู้ชายคุยกันแต่เรื่องที่เธอเข้าไม่ถึง ยิ่งเป็นอดีตเพื่อนร่วมวงของกันต์ก็คุยแต่เรื่องดนตรี พูดจาหยาบคายเหมือนลืมไปว่ามีผู้หญิงนั่งอยู่ด้วย ขนาดมีชินานางแฟนสาวแสนเงียบของเอกฉันท์ซึ่งเป็นหัวหน้าวงอยู่ด้วยเธอยังรู้สึกเคว้งคว้าง เพราะไม่มีอะไรจะคุยกันเลยสักเรื่อง

                “คุณเอาเวลาไปนอนเถอะ เดี๋ยวหน้าเหี่ยวไปทำงานไม่รู้ด้วย” แม้กันต์จิกกัดเธอด้วยคำพูดเป็นปกติอยู่แล้ว แต่พักนี้น้ำเสียงของเขาดูจริงจังกว่าปกติมาก

                “นี่เป็นอะไรฮะ ทำไมต้องอารมณ์เสียใส่ฉันด้วย ฉันทำอะไรผิดเหรอไง”

                “เปล่า” เขาบอกเหมือนไม่ใส่ใจนัก “คุณเคยทำอะไรผิดที่ไหน”

                “ยังไม่จบเรื่องรถใช่มั้ย” มีนาคมแน่ใจว่าเดาถูก เพราะเขาเม้มปากหนึ่งครั้งเมื่อเธอพูดถึงเรื่องนี้

                “ถ้าเป็นเรื่องรถ ฉันบอกแล้วไงว่าวันนั้นฉันอารมณ์ไม่ดีแต่ฉันไม่ได้โกรธคุณอีก เรื่องมันผ่านไปแล้วไม่เห็นจะต้องคิดมากเลย” หญิงสาวลุกขึ้นจ้องตากับคนปากแข็งซึ่งอยู่แทบไม่ติดห้อง ทั้งที่ไม่ได้มีงานอะไรต้องออกไปทำเสียหน่อย

                “มันไม่ใช่แค่เรื่องรถนะมี่” ชายหนุ่มตั้งท่าจะพูดแต่ก็เสียจังหวะเมื่อโทรศัพท์มือถือของเขาดังขึ้น เขารับสายแล้วบอกว่ากำลังจะออกไปกับปลายทางก่อนจะวางสาย “ช่างมันเถอะ”

                สิ้นคำพูดนั้นเขาก็หยิบกุญแจรถแล้วเดินออกไป ปิดประตูใส่โดยที่เธอยังไม่ได้ตอบรับอะไรสักคำ

 

                น่าเบื่อ แค่สิบนาทีเขาก็อยากกลับแล้ว

                กันต์กลอกตามองผู้หญิงที่เต้นอยู่โต๊ะใกล้ๆ ซึ่งส่งสายตาให้เขาอย่างตั้งใจ เจ้าหล่อนพยายามทำอย่างนั้นอยู่หลายนาทีแต่สุดท้ายเมื่อเขาทำเป็นหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเล่น หญิงสาวก็หันไปส่งสายตาทางอื่นแทน

                หากเป็นเมื่อก่อนเขาคงไม่ปล่อยให้หล่อนเสียหน้าแน่

                “ออกมาทั้งทีอย่ามาทำหน้านิ่วคิ้วขมวดสิวะ” ชวิศยกศอกดันใส่เขา พี่ใหญ่สุดของกลุ่มนั้นเป็นนักแสดงที่ทำงานในวงการมานานและเคยรับบทพระเอกก่อนจะถูกลดเป็นบทรอง แต่ถึงอย่างนั้นเจ้าตัวก็บอกว่าเหมือนการปรับลดหน้าที่ในบริษัท อย่างน้อยก็ยังมีงานให้ทำ ทั้งที่สามารถถูกปลดออกไปถาวรอย่างนั้น

                “อย่างพี่ควรจะอยู่บ้านกับเมียมากกว่าไม่ใช่เหรอไง” กันต์ย้อน เพราะช่วงเวลาหลายเดือนกับละครเรื่องก่อนที่ร่วมงานด้วยกันทำให้สนิทสนมได้ไม่ยากเย็น ตอนนี้ภรรยาของชวิศซึ่งเป็นนักแสดงเช่นกันก็กำลังตั้งครรภ์อยู่ด้วย

                “คุณนายอนุญาตแล้วสิวะ ว่าแต่แกเถอะยายมี่ยอมให้มาได้ไงไม่น่าเชื่อ”

                กันต์กำลังจะตอบคำถามแต่ก็ถูกขัดจังหวะจากคนที่นั่งอยู่อีกฝั่งอย่างปองคุณซึ่งทำเป็นพยักเพยิดหน้าให้กับชวิศทั้งที่กำลังถือแก้วเหล้าในมือหนึ่ง ส่วนอีกมือก็คีบบุหรี่เคาะกับถาดเขี่ยบุหรี่ไปด้วย

                “ไม่ใช่หร้อก โกหกแหงๆ เมียมันขี้เหวี่ยงจะตายไป”

                “อย่าเรียกอย่างนั้น เดี๋ยวพ่อตีปากเลย” เขาเงื้อมือขึ้นราวกับจะตบปากอีกฝ่ายจริงๆ แม้ปองคุณจะยังทำตาวิบวับล้อเลียนแล้วชิงตบปากตัวเองเบาๆ เสียก่อน

อย่างที่รู้กันดีในกลุ่มเพื่อนนักแสดงว่าความลับของเขากับมีนาคมไม่ได้มีอยู่จริง หลายคนเลือกเลือกจะไม่พูดออกมาเพราะเข้าใจว่าทุกคนต่างพื้นที่ของตัวเอง รวมทั้งสิ่งที่อยากจะเก็บเป็นเรื่องส่วนตัวนอกเหนือจากการสร้างภาพลักษณ์ที่ดีออกไปสู่สายตาประชาชน

                อย่างเขากับมีนาคมถือเป็นกรณีหนึ่ง ส่วนปองคุณที่เคยแต่งงานและเลิกรากับภรรยาเก่าตั้งแต่สมัยยังวัยรุ่นก็เป็นอีกแบบ เพราะชายหนุ่มที่โครงหน้าชัดผิวขาวตามเชื้อสายจีนนั้นเพิ่งชิมลางด้านการแสดงหลังจากเป็นนายแบบนั้นมีลูกติดด้วย

                “น้องปูนนี่อยู่บ้านคนเดียวได้ไม่ต้องมีใครเฝ้าเหรอวะไอ้ปิง” เขาถามเมื่อนึกถึงเด็กชายที่ชอบทำหน้าขวางโลกเหมือนพ่อซึ่งกำลังเรียนอยู่ประถมสาม ทำเอาปองคุณสำลักควันบุหรี่ของตัวเอง

                “ป่านนี้นอนหลับไปไหนต่อไหนแล้ว พี่เลี้ยงก็มี”

                “ว่าแต่พี่เลี้ยงสวยมั้ยวะ” ชวิศทำตาเจ้าเล่ห์

“สวยสิ สวยเมื่อสักยี่สิบปีก่อนน่ะพี่วิศ” ปองคุณย่นจมูกแล้วยกมือขึ้น เรียกความสนใจให้กันต์มองตามไปทางที่พ่อลูกหนึ่งมองอยู่จึงเห็นคนที่เพิ่งมาถึง

“สายนะเอ็ง” กันต์ทักชายหนุ่มที่มาช้ากว่าเวลานัด เพราะพักนี้ธามวัตเริ่มจะมีงานชุมหลังจากรับบทรองในละครที่เพิ่งจบไป

“ยังดีกว่าไม่มานี่” อีกฝ่ายยักไหล่ ในบรรดาทุกคนรอบโต๊ะชายหนุ่มเป็นคนที่มีแววว่าจะรุ่งที่สุด เพราะพอเริ่มฉายแววหลังจากนี้ก็ได้รับบทของพระเอกละครก่อนข่าวในเรื่องถัดไปถึงสองเรื่องติด “แกเถอะมาได้เหรอ คิดว่ายายมี่จะตามมาด้วยเสียอีก”

“ก็บอกว่ามากับเพื่อนวงเดิมนั่นแหละถึงไม่มา” กันต์ตอบง่ายๆเพราะมีนาคมรู้จักทุกคนในที่นี้จึงยากหากเขาจะห้ามไม่ให้เธอมาด้วย “ก่อนหน้านี้ก็เช็คมือถือมีอาทิตย์ก่อนนี่แหละที่พอจะเพลาๆ ลงไปบ้าง”

“ถึงว่าทำไมออกไปจากกรุ๊ปแชตบ่อย” ปองคุณหยิบแก้วเบียร์ขึ้นดื่มก่อนพูดต่อ “ตั้งรหัสผ่านเป็นไง”

“นั่นยิ่งมีพิรุธ ทะเลาะกันบ้านแตกแน่” คนเป็นพี่ใหญ่ในกลุ่มรีบเสริมจากประสบการณ์

“มีอีกเบอร์ดีไหม” ปองคุณเสนออีกแต่ชวิศส่ายหน้า ขณะธามวัตเริ่มหัวเราะ

"มีอีกเบอร์แล้วไง มือถือเดี๋ยวนี้มีสองซิมแล้ว"

“งั้นต้องมีมือถือแยกอีกเครื่อง แล้วเซตสถานะแชตเป็นข้อความลับเปิดเฉพาะตอนที่จะใช้งานเท่านั้น รึไม่ก็ลบมันซะทุกครั้งไปเลย”

“เฮ้อ แนะนำแต่ละอย่างคนดีๆ ทั้งนั้น”

กันต์ยกมือโบกไม่รับเบียร์จากอดีตนายแบบที่ส่งให้เพราะเขาขับรถมา ก่อนจะสบตากับธามวัตซึ่งมีมาดขรึมน่าเกรงอกเกรงใจไม่น้อยต่างกับเขาที่เวลานี้ผมเผ้าก็รุงรังเหมือนโยคี จะดูเป็นผู้เป็นคนหน่อยก็ตอนมัดเอาไว้เป็นก้อนกลมๆ เหมือนสาวๆ แต่หันหน้ามาก็ยังมีหนวยุบยับอยู่ดี

“นิสัยผู้หญิงก็อย่างนั้น ยิ่งอยู่ด้วยกันยิ่งจุกจิก เรื่องเช็คโทรศัพท์น่ะทำใจเถอะ”ธามวัตฉวยจังหวะยกเหตุผลแต่มีคนโบกมือไม่เห็นด้วยขึ้นมา

“อย่าเรียกจุกจิก แรกๆ อยู่กันก็อาจจะยังมีความเกรงใจบ้างแต่พอสักปีนะเหมือนได้แม่มาอีกคน เมียพี่สมัยก่อนนะพูดจ๊ะจ๋าขนาดตดมันยังบอกว้ายที่รักทำอะไรน่ะ เดี๋ยวนี้นะแทบจะยกเท้าถีบให้” ชวิศทำหน้าจริงจัง

“โห ถีบเมียเลยเหรอ” กันต์นึกไม่ถึง

“เปล่า เมียเนี่ยถีบกู ด่าอีกว่าท้องผูกมากี่ปี บ้าป่าววะใครมันจะตดหอมได้”

คำพูดของพี่ใหญ่ในกลุ่มสร้างเสียงหัวเราะได้ทั่วทุกคน ที่ดังที่สุดคงจะเป็นปองคุณซึ่งมีประสบการณ์ด้านครอบครัวก้าวหน้าไปกว่าคนอื่น

“เออถ้าลูกพี่ออกมานะจะปวดหัวยิ่งกว่าตอนอยู่กันสองคนอีก วุ่นวายไปหมดเวลาตดยังไม่มี”

“นี่ขนาดจ้างพี่เลี้ยงนะ” กันต์ยังหยุดขำไปด้วยไม่ได้

“จ้างก็ใช่ แต่มันก็ต้องดูแลบ้างนั่นแหละ ไหนจะเป็นห่วงต้องคอยมาเช็คว่าอยู่ที่ไหนทำอะไรอีก อย่างกับอวัยวะที่สามสิบสาม” ปองคุณพูดรัวแทบไม่เว้นจังหวะหายใจ “ไหนจะค่าเทอม ค่าเรียนพิเศษ ประกันชีวิต จิปาถะอีก อย่ามีเลยลูกน่ะ”

“ไม่ทันแล้วนี่หว่าพี่” ธามวัตยิ้มขณะมองชวิศที่ทำหน้าสยองขึ้นมาก่อนจะสบตากันต์อีกที “เปลี่ยนใจยังทันนะ ยังไม่แต่งงานก็ยังโชคดีอยู่”

“แต่งงานอะไร” ชายหนุ่มหัวเราะแห้งๆ นึกถึงมีนาคมขึ้นมา “แค่ลองอยู่ด้วยกัน มี่เองก็วางแผนไว้แล้วว่าคงทำงานอีกนาน อนาคตไกลๆ น่ะกะเกณฑ์ไม่ได้นั่นแหละ”

“โหทำไมดูเศร้าจังวะ นี่คือคนที่เคยลั่นวาจาว่าจะไม่จริงจังจริงเหรอเนี่ย” ปองคุณกระแซะ

“ก็พูดไปเรื่อยแหละ จะอยู่กันนานแค่ไหนก็ไม่รู้นี่ยังเดี๋ยวดีเดี๋ยวทะเลาะกันแทบจะทุกวันอยู่เลย”

เขาตอบก่อนจะหยิบแก้วเบียร์ของอีกฝ่ายขึ้นมาดื่มอึกใหญ่เป็นการตัดบทสนทนา พยายามปิดปากไม่พูดเรื่องส่วนตัวที่หลุดไปอีกด้วยแก้วถัดไป แล้วปล่อยให้เรื่องที่ของคนอื่นถูกยกมาคุยแทนเสียอย่างนั้น

 

ตีสองแล้วแต่มีนาคมยังรอชายหนุ่มที่ออกไปก่อนหน้านี้หลายชั่วโมง เธอหาวติดกันหลายครั้งขณะเอนตัวพิงกับโซฟาในห้องรับแขก ถึงจะพยายามอดใจไม่โทร.ตามเขาทว่าเธอก็ยังเป็นห่วงอยู่ดีหากกันต์ไม่ได้กลับมาอย่างปลอดภัย

“มาทำอะไรตรงนี้ ไม่ไปนอนเตียงล่ะ” เสียงของกันต์ดังมาก่อนตัว มีนาคมงับปากซึ่งเผลออ้าออกมาเพราะสัปหงกไป

"คิดว่ารอใครล่ะ" เธอเช็ดมุมปากด้วยหลังมือ มองเห็นอีกฝ่ายกำลังนั่งถอดรองเท้าโงนเงน กลิ่นแอลกอฮอล์คงมาจากลมหายใจ กลิ่นบุหรี่ชัดขึ้นเมื่อเดินเข้าไปใกล้แต่เขากลับเอนตัวลงไปนอนกับพื้นทั้งอย่างนั้น

“นี่ ขับรถกลับมาทั้งที่เมาได้ยังไงฮะมันอันตรายรู้ไหม ไปชนคนอื่นจะทำยังไง”

การทำเป็นหลับของเขาต้านทานความเป็นห่วงของเธอไม่ได้ หญิงสาวยังคงสะกิดเจ้าตัวให้ลุกขึ้นมาแม้จะไม่เป็นผล เขาทำตัวเหมือนศพไร้ชีวิตจงใจทิ้งน้ำหนักลงพื้นจนเธอเริ่มหงุดหงิด

"ทำอย่างนี้ถ้าเป็นข่าวออกไปจะทำยังไง มีคนเห็นรึเปล่า"

"ไอ้ธามขับรถมาให้" ศพที่พื้นตอบทั้งที่ยังไม่ลืมตา

"ไหนบอกไปกับเพื่อนที่วงไง" เธอเผลอขึ้นเสียงโดยไม่รู้ตัว ทิ้งแขนของศพที่พยายามยกขึ้นมาลงพื้นดังปั๊ก! เขาสะดุ้งแล้วพลิกตัวงอจับข้อศอก

ศพกลับมามีชีวิตแล้ว แถมยังทำตาเขียวมองเธอกลับอย่างไม่รู้สึกตัวอีก

“ผมพูดงั้นเหรอ ไม่เห็นจำได้”

"อย่ามากวนนะ" กำปั้นของเธอต่อยเข้าไปที่ท้องของเขาเมื่อเห็นช่องว่าง แม้ไม่ได้แรงนักแต่ก็ทำให้คนถูกทำร้ายร่างกายหน้าหงิกยิ่งกว่าเดิม ทั้งที่ปกติแล้วเขาจะส่งเสียงร้องออกมาอย่างเจ็บปวดเกินจริงจนทำให้เธอหลุดหัวเราะออกมา

ท่าทางว่าวันนี้คงมีแต่เรื่องไม่ปกติเธอจึงเปลี่ยนมาใช้ไม้อ่อนด้วยการยกมือลูบแขน แต่เขากระเถิบหนีไปพิงกับฐานของโซฟา สายตาบอกว่าอย่ามาทำเป็นใจดีนักเลย

หลายวันมานี้บรรยากาศระหว่างเธอกับเขาเหมือนมีเมฆฝนอยู่ตลอดเวลา กันต์ยังกลับมาอยู่กับเธอทุกวันก็จริงแต่มันเหมือนกับว่าเธออยู่ลำพังในห้องนี้

บางครั้งเธอเกือบคิดว่าตัวเองกำลังคุยกับกำแพง หรือไม่ก็เสียงแว่วในหูไปเสียแล้วเมื่อเขาไม่ตอบอะไร

"นี่ เรามีปัญหาอะไรที่จะต้องคุยกันรึเปล่าคะ" เธอขยับตามไปนั่งด้วยแล้วซบศีรษะลงกับไหล่เมื่ออีกฝ่ายไม่ขยับตัวหนี

"เราก็มีปัญหากันตลอดนั่นแหละ"

"งั้นมันก็จะผ่านไปเหมือนทุกทีน่ะสิ" เธอยกมือลูบหน้าที่ยังคงขึ้นสี ตาของเขาแดง ออกจะเยิ้มไปหน่อยจนทำให้ตาคมๆ ดูฉ่ำขึ้น ผิวของเขาเองก็ร้อน หูยิ่งแล้วใหญ่

คนพูดกลืนน้ำลายอึกใหญ่จับมือของเธอออกมาวางบนตัก "ผมแค่รู้สึกว่าตัวเองกำลังงี่เง่า"

"ฉันรู้คุณงี่เง่า แต่ฉันเองก็งี่เง่า ไม่อย่างนั้นจะอยู่ด้วยกันได้ยังไง"

ชายหนุ่มหลุบตาเป็นการยอมรับก่อนพิงศีรษะลงกับหน้าอก ยกแขนกอดรอบเอวของเธอไม่ยอมให้ขยับตัวหนี

"ยังคุยกันไม่จบเลยนะ"

"ช่างมันสิ ยังไงเรามันก็เป็นพวกงี่เง่าอยู่แล้ว"

ความอดทนของเธอหมดลงเมื่อเขาถอนใจราวกับได้พบกับที่พักพิงสุดท้าย กลิ่นบุหรี่ที่เธอเคยขอให้เลิกสูบยังคงอบอวล เนื้อตัวซึ่งเหนียวนั้นก็เกินจะทนที่จะทำให้กอดได้อีก เขาหักไม้อ่อนของเธอทิ้งด้วยความลามกอันเป็นนิสัยเบื้องลึก

"ถ้าไม่ไปอาบน้ำ..." เธอดันตัวเขาออกพอให้ได้ระยะก่อนจะง้างหมัด "ก็! ไม่! ต้อง! มา! กอด!"

การต่อยเป็นจังหวะทำให้บางคนหายหน้ามืด แต่พลิกตัวกุมท้องกลับไปนอนกลายเป็นศพท่าทางพะอืดพะอมก่อนรีบลุกวิ่งไปที่ห้องน้ำ เสียงชักโครกดังตามมาหลังจากนั้น เธอเพียงแค่ยืนรอด้านนอกแล้วยื่นผ้าขนหนูให้เขาเช็ดหน้าตอนเดินออกมา

คะแนนของเธอนำไปก่อน 1-0

"สร่างแล้วเนอะ"

เขาไม่ตอบแต่โยนผ้าขนหนูใส่หน้าให้เธอตกใจ กว่าจะทันตั้งตัวเท้าก็ลอยขึ้นจากพื้น คนหายเมาแล้วอุ้มเธอขึ้น ไต่นิ้วไปตามเรียวขาชวนจั๊กจี้

"มาอาบน้ำกัน"

"ไม่!"

คะแนนกลับมาเสมอ 1 เท่า

เธอเสียเปรียบในท่านี้ จริงอยู่ที่ในการเรียนศิลปะป้องกันตัวนั้นควรใช้วิธีการกัดหูเพื่อให้ปล่อย แต่ในฐานะที่เป็นคนสนิทสนมกันดี เธอจะใช้วิธีนุ่มนวลกว่านั้น

"นี่...ไปที่เตียงสิ" การพูดเสียงเบา แล้วจดริมฝีปากจูบแก้มทำให้ชายหนุ่มละลายได้ไม่ยาก ดึงเขาให้อยู่ในโหมดว่าง่ายเมื่อก้าวเร็วๆ ไปยังห้องนอน

แผนสะกดจิตขั้นสองนั้นรุนแรงขึ้นเมื่อเธอเป่าลมแผ่วพร้อมกับแล้วพรมจูบ เขาคลายอ้อมกอดแล้วปล่อยให้แผ่นหลังของเธอแตะกับผ้าปูที่นอนซึ่งเย็นจากเครื่องปรับอากาศ จังหวะนี้เองที่มีนาคมพลิกตัวคว้าหมอนแล้วฟาดคนที่กำลังจะปลดกระดุมเสื้อเต็มแรงจนหงายหลัง

"ทำไมชอบดึงเรื่องจริงจังไปเป็นอย่างอื่นทุกทีฮะ" หมอนถูกโยนกลับไปที่เดิมแล้ว แต่คนที่ล้มทั้งยืนยังคงนอนอยู่กับที่

2-1 เธอชนะแล้ว

เขายกแขนยันตัวเองให้ลุกขึ้น น้ำตาปริ่ม "เหมือนได้ยินเสียงกระดูกหักเลย"

มีนาคมเกิดลังเลจนกระโดดลงจากเตียงไป หากเขาล้มลงไปผิดท่าจนบาดเจ็บก็คงเป็นความผิดของเธอ "เจ็บมากมั้ย ลุกได้รึเปล่า"

ก่อนหน้านี้มีช่วงที่กันต์เคยแขนหักเพราะลื่นล้มตอนก้าวลงจากอ่างอาบน้ำ พอแขนหักแล้วเขาก็ต้องงดงานแสดงซึ่งมักจะต้องเล่นกีตาร์ด้วย งานอีเวนท์ก็ยกเลิก จนถอดเฝือกแล้วก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะรับงานอีก

"เจ็บตรงนี้" กันต์จิ้มลงบนอกข้างซ้าย

"แหม...ซ่อมยากซะด้วยสิ" เธอเปลี่ยนใจใช้เท้าเขี่ยแขนของเขาแทนมือ แต่นั่นกลับเปิดโอกาสให้อีกฝ่ายกอดขาของเธอไว้แล้วยกขึ้นทุ่มลงกับเตียงพร้อมโถมตัวลงทับอย่างทันท่วงที

2-2 ไม่!!!

"โอ๊ย" เสียงของกันต์ไม่ได้มาจากความรัญจวนเมื่อเธอกระทุ้งศอกโต้ตอบ

หากพูดไม่รู้เรื่องก็ต้องใช้กำลัง แขนของเขาถูกดันไปอีกทางเมื่อพยายามที่จะล็อคเธอแบบนักกีฬามวยปล้ำ ต้องขอบคุณลักษณะทางกายภาพของผู้หญิงที่ยืดหยุ่นและหลบได้ปราดเปรียวกว่าจนทำให้เธอกลับมาพลิกชนะได้เมื่อกดเขาลงไปนอนคว่ำกับเตียงแล้วนั่งทับด้านบน

3-2 Game Over

"คุณสนุกกับอะไรแบบนี้เสมอนะ" ตัวของเขายังหอบหายใจ แผ่นหลังมีเหงื่อซึมออกมา

"ก็เพราะมีคนชอบใช้วิธีนี้ให้ลืมเรื่องที่กำลังพูดจริงจังไม่ใช่หรือไง"

มีนาคมทิ้งตัวลงซบกับแผ่นหลังนั้น นอนทับเขาไม่ต่างจากเป็นท่อนซุงหนัก แต่กระนั้นท่อนซุงก็รับรู้ว่ามีหัวใจเต้นตุบๆ อยู่ฝั่งเดียวกันถึงสองดวง

"เลิกทะเลาะกันเรื่องรถสักทีเถอะนะ ฉันหวงของก็ใช่ แต่ไม่ได้ห่วงมันไปมากกว่าคุณ" เธอพิงหน้าใกล้กับหัวไหล่ของเขา ยกมือลูบศีรษะคนที่กำลังถอนใจ

"ไม่ใช่เรื่องรถ เรื่องนั้นมันจบไปตั้งนานแล้ว" เสียงของเขาเอ่ยจริงจังจนเธอขมวดคิ้ว ขยับตัวลุกขึ้นเพื่อให้ชายหนุ่มได้ลุกขึ้นมานั่งดีๆ เช่นกัน ระยะห่างของเธอกับเขามีเพียงหัวเข่าที่ชนกันในเวลานี้

ระยะที่ไม่อาจหลบสายตา

"เรื่องพ่อของคุณ"

"พ่อของฉัน?" มีนาคมนึกไม่ถึง "ทักษ์พูดอะไรงั้นเหรอ"

กันต์ส่ายหัวเหมือนยังตัดสินใจพูดไม่ได้ น่ารำคาญจนเธอต้องจับหน้าของเขาให้หันมา บีบแก้มจนยู่คามือไม่ต่างกับในบทของนางร้ายที่กระทำกับนางเอกน่าสงสารให้บอกความลับ

"ฉันถามว่าเขาพูดอะไร" เธอจ้องไม่ให้อีกฝ่ายละสายตา

"เปล่า"

เธอจูบเขาครั้งที่หนึ่ง คนถูกจูบขมวดคิ้วเธอเลยจูบครั้งที่สองและสาม จนเขายกมือห้ามก่อนจะมีครั้งที่สี่

"ใจเย็นก่อน"

"เราไม่ได้จูบกันเลยช่วงนี้ ดังนั้นฉันจะจูบจนกว่าคุณจะยอมพูด" มีนาคมเอียงคอ เขาถอนใจอีก

"คุณทักษ์บอกว่าเราไม่ได้คบกันจริงจังถึงขั้นที่เขาจะเล่าอะไรเกี่ยวกับพ่อของคุณให้ผมฟังได้ ขนาดตัวคุณเองยังไม่ไว้ใจที่จะพูดถึงเรื่องนั้นด้วยซ้ำ เขาว่าคุณน่าจะได้เจอคนที่ดีกว่านี้"

"อะไรนะ"

"ผมไม่อยากพูดถึง เพราะรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นเด็กขี้ฟ้อง"

"เขาบอกอย่างนั้นเหรอ" เสียงของเธอเข้มขึ้น นิ้วจิ้มลงไปที่อกของกันต์ "แล้วคุณก็ฟังเขามากกว่าใจตัวเองเนี่ยนะ"

"แล้วมันจริงไหม"

"ไม่! ฉันไม่พูดเรื่องพ่อเพราะมันทำให้อารมณ์เสียแล้วทักษ์ก็ไม่ได้มีสิทธิ์มากทำตัวเป็นพ่อฉันอีกคนด้วย คุณไม่ได้จำเป็นต้องแคร์เรื่องที่เขาพูดเลย เขาเป็นแค่คนอื่นนะ"

"คุณไม่แคร์คนรอบข้างของคนที่คุณรักได้หรือเหรอ ที่เราต้องคุยกันไม่ใช่เรื่องรถ แต่เป็นเรื่องที่ว่าเราอยู่ด้วยกันอย่างนี้ไปตลอดโดยไม่มีจุดหมายไม่ได้ เพราะเราไม่ได้มีกันแค่สองคนแต่มีคนอื่น มีสังคมอีก"

บรรยากาศแบบนี้กลับมาอีกจนมีนาคมนึกถึงครั้งแรกของการย้ายเข้ามาอยู่ด้วยกัน แม้มันไม่ได้เป็นครั้งแรกของทุกอย่างโดยแท้จริง อย่างน้อยเธอก็รู้ตัวว่าไม่ได้เขินที่เห็นอีกฝ่ายเดินไปมาอยู่ในห้องของตนเองในสภาพไม่ต่างกับนักกีฬาว่ายน้ำ

เวลานั้นกันต์ไม่สามารถใส่เสื้อผ้าชุดเดิมเพราะมันเปียกจากการแช่ในอ่างอาบน้ำที่ขนาดกว้างพอสำหรับสองคน ชายหนุ่มดูกลุ้มใจไม่น้อยที่อาจต้องออกจากห้องไปอย่างกึ่งชีเปลือย

นั่นเป็นครั้งแรกที่เธอตระหนักว่าการนอนไม่เป็นที่ของเขานั้นคือปัญหา

'ทำไมคุณไม่ย้ายขึ้นมาอยู่กับฉันล่ะ'

คำว่าขึ้นนั้นถูกต้องแล้ว เพราะเขาเองก็มีห้องอยู่ในคอนโดมิเนียมเดียวกับเธอ เพียงแต่อยู่ในชั้นที่ต่ำกว่าและขนาดเล็กไม่ต่างจากตู้กระจกของหนูแฮมสเตอร์เลย

'แค่ทิ้งเสื้อผ้าไว้ที่นี่บ้างก็ได้ละมั้ง' แต่ชายหนุ่มเสนอทางแก้ปัญหาที่ง่ายกว่าเสมอ

'ฉันไม่ได้หมายถึงแค่เรื่องเสื้อผ้าหรือของอย่างอื่น ฉันหมายถึงทำไม เราไม่มาลองอยู่ด้วยกันล่ะ'

เขาเลิกคิ้ว ก่อนจะนั่งลงตรงข้ามกับเธอบนเตียง 'จริงจังรึเปล่า'

เธอมองเขาโดยไม่มีความหวั่นไหวแทนคำตอบนั้น

'ไม่กลัวเหรอ มันไม่เหมือนว่าเราคบกัน เจอกันตอนมีเวลาว่างแล้วไปเที่ยว แบบนั้นมันอาจจะมีความสุขมากกว่าก็ได้นะ อย่างน้อยก็ไม่ต้องทะเลาะกันเรื่องยกฝาชักโครกหรือเก็บเส้นผมบนท่ออะไรแบบนี้'

'นี่ คุณจะแต่เล่นเกมในด่านเดิมไปตลอดชีวิตไม่ได้หรอกนะ' เธอหงุดหงิดเล็กๆ ที่เขาพยายามหาคำอธิบายสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นเหมือนเธอเป็นเด็ก และไม่รู้ว่าพูดอะไรออกไป 'หรือคุณกลัวว่านานไปเราจะเบื่อกันเองละ'

'ไม่รู้สิ' เขาหัวเราะเป็นการยอมรับ 'แต่ถ้าได้ตื่นมาข้างกันทุกวันก็คงดีละมั้ง'

แต่ในเวลานี้เธอจะตอบอย่างไรดีกับคำถามในทำนองเดียวกันของเขา

"เราเล่นเกมแต่ในด่านเดิมกันไม่ได้อีกแล้วนะ" กันต์จงใจใช้คำพูดเหมือนที่เธอเคยถามเขา

"ที่จริงคุณอาจจะแค่อยากรู้เรื่องพ่อของฉันก็ได้นี่คะ"

"ผมอยากรู้ทุกเรื่องนั่นแหละ ไม่ใช่แบบผิวเผิน"

มีนาคมสูดหายใจลึก คงได้เวลาที่จะเลเวลอัพความสัมพันธ์แล้ว

 

            ความทรงจำที่ชัดเจนขึ้นยามตื่นทำให้ชายหนุ่มยังม้วนตัวอยู่ใต้ผ้าห่มอีกพักใหญ่ ก่อนจะต้องยอมรับว่าเมื่อคืนการพูดคุยของเขากับเธอลุกลามไปไกลกว่าที่ตั้งใจไว้มาก ทั้งที่พอเริ่มเมาเขาก็คิดว่าจะทำเป็นลืมๆ เรื่องที่เกิดขึ้นไปตามคำแนะนำของธามวัต แต่สุดท้ายก็กลับต้องพูดมันออกมาเมื่อเธอไม่ยอมปล่อยประเด็นนั้นไปง่ายๆ

                วันนี้หญิงสาวไม่ยอมปลุกเขาแต่ทิ้งโน๊ตเอาไว้ว่าจะออกไปธุระกับกฤติน มีรอยจูบจากลิปสติกสีแดงบนกระดาษชวนให้นึกถึงเหตุการณ์หลังจากการการปรับความเข้าใจซึ่งเป็นไปอย่างเข้มข้นและสับสนเล็กน้อย ...แม้ควรเรียกว่าเป็นการละลายกำแพงชั่วคราวน่าจะเหมาะกว่า

                เขาเช็ดรอยจูบบนหน้าผาก ลูบรอยแดงจากเล็บซึ่งสะท้อนผ่านกระจกตรงช่วงลำคอยาวมาถึงไหล่ ผมซึ่งยาวเลยบ่านั้นน่าจะได้เวลาที่ตัดหรือทำอะไรสักอย่าง

                เที่ยงสิบนาที มีเสียงแจ้งเตือนจากโทรศัพท์มีนาคมส่งข้อความถามว่าเขาตื่นหรือยัง เขาถ่ายรูปตัวเองซึ่งกำลังใช้ไดร์เป่าผมของเธอส่งกลับไป เธอส่งสติ๊กเกอร์รูปแมวซึ่งมีตาเป็นหัวใจกะพริบกลับมา

                เที่ยงครึ่งเขากินอาหารมื้อแรกของวันเป็นข้าวต้มกึ่งสำเร็จรูปซึ่งใส่เพียงน้ำร้อนลงไป กลับมานอนเล่นเมื่อยังไม่ถึงเวลานัดกับโปรดิวเซอร์ที่สตูดิโอขณะหยิบแทบเล็ตซึ่งยังเปิดโปรแกรมสำหรับอ่านเรื่องย่อบทโทรทัศน์ที่ตนเองปฏิเสธไปขึ้นมา

รูปของมีนาคมในชุดว่ายน้ำทูพีชเป็นสิ่งแรกที่ขึ้นมาหลังจากการกรอกชื่อนามสกุลของเธอลงในเว็บไซต์สืบค้นข้อมูล มันดึงความสนใจเขาไปจนลืมว่าจุดหมายที่แท้จริงคือการค้นประวัติต่างหาก

เขาเริ่มเพลิดเพลินกับการดูภาพถ่ายของหญิงสาวเจ้าของเรือนร่างเย้ายวนในชุดว่ายน้ำ โฆษณาเคลื่อนไหวซึ่งยังคงคอนเซปต์เซ็กซี่ หรือแม้กระทั่งคลิปวีดีโอละครเรื่องแรกซึ่งยังได้รับบทเพื่อนนางเอก ก่อนจะผันสู่ด้านมืดรับแต่บทร้ายหลังจากนั้น

แน่นอนว่าเธอแต่งตัวชวนให้ใจสั่นเสมอ แต่งหน้าจัด มีมุกตลกร้ายกับสายตาชวนให้ยอมสยบ ไม่น่าแปลกใจที่เธอไม่ค่อยเหมาะกับบทอ่อนหวานนัก แต่ถึงอย่างนั้นกันต์ก็เป็นผู้กำความลับว่าเวลาที่เธอล้างเครื่องสำอางออกแล้วมีโฉมหน้าที่แท้จริงอย่างไร หลังจากตื่นเช้ามาแล้วผมยุ่งขนาดไหน ท่าทางตอนกำลังใส่คอนแทคเลนส์ดูตลกมาเท่าไหร่ รวมทั้งเซนส์การทำอาหารที่ติดลบชวนสยอง

หากนอกเหนือจากนั้น เขาไม่รู้เลย

ประวัติของเธอถูกลงเอาไว้อย่างไม่ละเอียดนัก ส่วนใหญ่จะเป็นรายชื่อของผลงานการเข้าวงการผ่านการโมเดลลิงและประกวดเวทีหนึ่ง แต่เรื่องครอบครัวกลับลงไว้เพียงสั้นๆ ว่ามีมารดาเป็นผู้คอยสนับสนุน

งานหลักของมีนาคมคือละคร รองลงมาคือพรีเซนเตอร์สินค้าซึ่งภาพลักษณ์เน้นความทันสมัยและเป็นผู้ใหญ่ แต่ที่เขาจำเธอได้เมื่อตอนยังเป็นวัยรุ่นคือโฆษณาลูกอมช็อคโกแลตที่มีคนใส่ชุดหมีเต้นอยู่ด้วย

“ถ่ายชุดว่ายน้ำเกือบทุกปีเลยนี่” เขาพึมพำเพราะรูปที่แนบอยู่ในเว็บข่าวล้วนเป็นรูปจากนิตยสาร ลิงค์แนบแต่ละลิงค์ตามรายปักษ์นั้นก็ชวนให้ตาลุกวาว

หากจำไม่ผิดปีนี้มีนาคมจะได้ต่อสัญญากับแบรนด์ชุดชั้นในด้วย ดังนั้นเขาอาจจะต้องเห็นภาพแฟชั่นชุดชั้นในของเธอบนบิลบอร์ดระหว่างขับรถยนต์บนทางด่วนอย่างปีที่แล้วก็ได้

แค่คิดก็คันยิบๆ ในใจบอกไม่ถูก

เขาลองค้นหาเฉพาะนามสกุลของเธอซึ่งใช้ตามแม่ แต่ไม่มีอะไรที่ดูเป็นสำคัญ เท่าที่เธอเคยเล่าอีกฝ่ายนั้นตอนนี้กำลังอาศัยอยู่ต่างประเทศ ส่วนพ่อเธอไม่อยากเอ่ยถึง

กันต์คิดถึงพล็อตละครที่ได้อ่าน ว่าด้วยเรื่องราวของหญิงสาวซึ่งคิดว่าตัวเองเป็นคนธรรมดาไร้ญาติมิตร แล้วเพิ่งมารู้ตัวทีหลังว่าเป็นลูกเศรษฐีร้อยล้านส่วนพระเอกก็จะกลายเป็นแค่นักดนตรีกระจอกๆ ธรรมดาเท่านั้น

จะว่าไป...เรื่องนี้ดูคุ้นๆ อยู่เหมือนกัน

เสียงโทรศัพท์ทำให้เขาละสายตาจากแทบเล็ต ปลายสายคือธามวัตที่เป็นสารถีส่งเขาถึงที่เมื่อวานนี้

“ว่าไงธาม” กันต์ขมวดคิ้วขึ้นเมื่อปลายสายบอกว่าแค่โทร.มาเพื่อเช็คว่าเขายังมีชีวิตอยู่ดีหรือไม่รวมทั้งสถานการณ์มึนตึงกับมีนาคมเป็นอย่างไร

“ก็บอกแล้วว่าจะทนตึงใส่กันกี่วันได้ นี่พี่วิศชวนพนันกันอยู่”

"แล้วเป็นไง"

"ฉันก็ทายถูกน่ะสิ"คนพูดหัวเราะเบาๆ คุยสัพเพเหระอีกครู่รวมไปถึงเรื่องที่เขากำลังจะไปทดสอบบทละครเรื่องใหม่ที่จะทำให้ต้องหายหน้าไปอีกพักเพราะต้องทำงานในกองถ่ายทุกวัน

“เออ โชคดีแล้วกัน” กันต์วางสายหลังจากนั้น ไม่ถึงสิบวินาทีชื่อของเขาก็ถูกดึงกลับไปอยู่ในห้องของกลุ่มสนทนาอันประกอบไปด้วย ชวิศ ธามวัต และปองคุณอีกครั้ง

 

                สตูดิโอของค่ายเพลงต้นสังกัดเป็นสถานที่ซึ่งกันต์ใช้เวลามาหมกตัวมากที่สุด แม้เพลงล่าสุดของเขาจะถูกปล่อยออกมาเกือบครึ่งปีแล้วก็ตาม

                เดี๋ยวนี้ตลาดของดนตรีเปลี่ยนไป การออกเพลงมาทั้งอัลบั้มแล้วขายให้ได้เป็นเรื่องที่ยากขึ้นดังนั้นแผนการตลาดในช่วงหลังมานี้คือการปล่อยเพลงออกมาทีละเพลงแล้วทำให้มันติดตลาดทุกเพลงขายออนไลน์ในแอพพลิเคชันก่อนที่จะปล่อยอัลบั้มเต็มออกมาในแอพพลิเคชันอีกหรือไม่ก็จัดคอนเสิร์ตหลังจากนั้น

                อดีตวงดนตรีของเขาดูเหมือนจะไปได้ไม่เลวนัก มือกีตาร์คนใหม่เองก็ได้รับการยอมรับ เรื่องความสัมพันธ์ที่เคยอยู่ในจุดเปราะบางของเขากับเอกฉันท์ซึ่งเป็นนักร้องหลักและหัวหน้าวงนั้นได้รับการสะสางแล้ว...อย่างน้อยเขาก็คิดอย่างนั้น

                ก็เพราะเขาเป็นคนแนะนำชินานาง เพื่อนของตัวเองให้อีกฝ่ายรู้จักและตอนนี้ทั้งคู่ก็ยังคบกันดีอยู่แม้ว่าหญิงสาวจะบ่นประปรายถึงเรื่องการทำงานไม่เป็นเวลาของแฟนหนุ่มรวมทั้งการที่ชอบขาดการติดต่อไปในบางช่วงเวลาก็ตาม

“เอาเดโม่ฟังเด๊ะ” เขาทักคำแรกเอกฉันท์ก็หัวเราะออกมา คงรู้ว่าเขาอยากฟังเพลงใหม่ของวงซึ่งไม่มีตัวเองเป็นสมาชิกอยู่ด้วยแล้วใจจะขาด

“มันเจ๋งมากเหมือนทุกทีนั่นแหละตั้งแต่แกออกไป” คนพูดทำหน้าภูมิใจจนกันต์แกล้งเบ้ออกไป

สีหน้าของเอกฉันท์มักฉายความมั่นใจเสมอ รูปลักษณ์ภายนอกไม่เคยเป็นปัญหาสำหรับคนที่รู้ว่าตัวเองมีข้อดีอะไร ส่วนสูงที่น้อยกว่านั้นเทียบไม่ได้กับน้ำเสียงที่แม้แต่กันต์ยังยอมรับว่าหาคนเลียนแบบได้ยาก

เพียงจังหวะของดนตรีเริ่มขึ้นกันต์ก็หลับตาลง ตัดการรับรู้สิ่งอื่นรอบตัวออกไปแล้วจมลึกลงไปในห้วงของเสียงเพลง เขาขยับศีรษะไปตามจังหวะช้าๆ มโนภาพตามแต่ละโน้ต เสียงหนักเบาที่แตกต่างกันแต่ไหลลื่นไปเหมือนกับลูบมือไปบนเนื้อผ้าที่สากหากสม่ำเสมอ

เขาชอบมัน ชอบมาก

“เจ๋ง” กันต์ยอมรับเมื่อถอดหูฟังออก “แต่ก็คงไม่ดีไปกว่าตอนฉันอยู่หรอก”

“ไอ้บ้า” เอกฉันท์ยกมือตบหัวเขาด้วยความรัก เจ็บใช้ได้เขากำลังจะยกมือตบหัวอีกฝ่ายกลับแล้วหากไม่ได้เห็นหญิงสาวที่ยืนอยู่ด้านหลังของเพื่อนเงียบๆ เหมือนวิญญาณ

“แกเพิ่งไปขับรถชนใครตายแล้วหนีมารึเปล่า” กันต์มองหญิงสาวผมดำแต่ฟูตัดกับผิวขาวซีดซึ่งแต่งสโมกี้อายสีดำฟุ้งรอบดวงตาจนน่าเสียดายหน้าตาจิ้มลิ้ม เธอมองเขากลับแล้วเม้มปากที่แห้งลอกเป็นแผ่นเข้าหากัน

เอกฉันท์ทำหน้าเหรอหราก่อนจะหันไปตามสายตาของเขายังด้านหลัง สะดุ้งอีกทีเมื่อเห็นหญิงสาวที่กอดอกขึ้น

“ฉันเป็นคนค่ะ”

กันต์เลิกคิ้ว หันไปทางเพื่อนแล้วพูดเบาลง “เดี๋ยวนี้มีพวกนักร้องฝึกหัดมาที่สตูแล้วเหรอ คิดว่าจะอยู่แต่ส่วนอะคาเดมี่ซะอีก”

หญิงสาวที่น่าจะอายุน้อยกว่าตัวเองหลายปีนั้นใส่เสื้อแขนยาวสีดำเข้ารูป มีรอยขาดที่ตั้งใจตัด กางเกงยีนส์ซีดขาดๆ กับรองเท้าวิ่งสีดำที่ร้อยเชือกสีชมพูสะท้อนแสง

“นี่คาโป้ที่เป็นผู้ช่วยโปรดิวเซอร์ที่ฉันเคยเล่าให้ฟังไง”

“คาโป้” กันต์ทวนชื่อที่ทำให้เขานึกถึงอุปกรณ์ที่ใช้ปรับคีย์เสียงของกีตาร์มากกว่าที่จะนึกถึงชื่อคน “อายุเท่าไหร่น่ะเรา”

“ยี่สิบค่ะ” เจ้าตัวตอบออกมาแล้วเชิดหน้าขึ้นทำให้เขาส่งสายตาไปหาเอกฉันท์อย่างนึกสงสัยว่าไม่ได้หูฝาดไปใช่หรือไม่

“ก็คิดว่าอายุมากกว่านี้ซะอีก” เขาบอกเมื่อเห็นเพื่อนของตัวเองพยักหน้ายืนยันว่าไม่ได้หูฝาด แกล้งยิ้มหวานเมื่อเห็นหญิงสาวทำหน้าตึงเพราะคิดว่าว่าเธอหน้าแก่ “งั้นเรียกพี่สิจ๊ะน้องคาโป้”

“อย่าไปแกล้งน้องเขาสิวะ” เอกฉันท์ปรามเขาเมื่อเห็นว่าคนฟังหน้าแดงขึ้นมาด้วยความโกรธ

“คุณกันต์” หญิงสาวเรียกเขาเป็นทางการ “ฉันเป็นผู้ช่วยโปรดิวเซอร์นะคะ ไม่ใช่เด็ก กรุณาเรียกว่าคีตกัญด้วยค่ะ”

“คี-ตะ-กัญ” เขาทวนเพื่อให้จำได้หากยังไม่ทันพูดอะไรนอกเหนือจากนั้นก็ถูกเอกฉันท์เป็นฝ่ายลากออกมาเสียก่อนโดยไม่ทันร่ำลาอีกฝ่าย

“มีธุระอะไรก็ไปทำเลยไป จะมาหาพี่สิทธาก็ไปเถอะ”

“อะไรว้า”กันต์แกล้งทำเป็นเสียดายก่อนจะนึกขึ้นได้ “ผู้ช่วยโปรดิวเซอร์คนนี้ใช่มั้ยที่แกบอกว่าประหลาดน่ะ หรือเพราะดูเหมาะกับชุดโลลิต้าแบบนั้น”

“ไม่ใช่โว้ย ฉันหมายถึงเรื่องที่ชอบบอกว่าเห็นสีเวลาฟังเพลงต่างหาก”

“เออแปลกจริงว่ะ” กันต์ยังไม่ได้พูดให้จบดีเอกฉันท์ก็ถูกตามตัวเสียก่อน แต่ก่อนไปอีกฝ่ายบอกว่าโปรดิวเซอร์ของเขาจะมีเวลาปลีกตัวชั่วคราวจากพักครึ่งจากการประชุมทีมเรื่องมิวสิกวีดีโอของนักร้องคนอื่น

ไม่ทันขาดคำเขาก็เห็นสิทธาซึ่งมักสวมเสื้อยืดกับกางเกงขาสั้นและรองเท้าแตะมาทำงานกำลังเกาหัวยุ่งๆ ในมือยังถือปึกสตอรีบอร์ดเอาไว้

“ท่าทางปวดหัวเชียวพี่สิท” เขาแซวเสียงใส

“เออ ปวดหัวฉิบหาย” คนพูดยกมืออีกข้างเกาคางซึ่งมีหนวดเคราปกคลุมไปด้วย หลังจากเอาเดโม่ให้เขาแล้วสิทธาก็ดูเหมือนจะเก้ๆ กังๆ ยืนเพื่อถ่วงเวลาไม่ต้องประชุมต่อ"เมื่อไหร่เนื้อเพลงเอ็งจะส่งมาให้ทำครบๆ วะ นี่มันนานแล้วนะ"

ยิ้มของกันต์เริ่มแห้งลงทีละนิด เขาใช้ทักษะหัวเราะเพื่อหลบเลี่ยงความรู้สึกผิดว่าเพลงของตนเองยังช้าไปกว่ากำหนด และเพลงที่ให้แต่งเพื่อที่จะประกอบละครเรื่องหนึ่งก็ยังอยู่ในช่วงเรียบเรียงเนื้อร้อง

"เออ ไอ้โป้ไปไหนวะจะได้แนะนำให้รู้จักกัน"

"คาโป้ที่ตัวเล็ก โกธิคๆ หน่อยรึเปล่า"

"ไอ้นั่นแหละจะโกธิครึโลลิต้าก็ช่าง ว่าจะให้มาช่วยงานด้วย" สิทธายืนยันแล้วว่าคือคีตกัญแน่ ทำท่าจะหันไปเรียกให้คนตามมาแต่ตนเองกลับถูกดึงให้เข้าประชุมต่อเสียก่อน เจ้าตัวขอเวลาได้อีกครู่แต่เรื่องที่อยากเพิ่มคนตามงานกับเขาก็ตกไปอย่างโชคดี

"ไอ้คุณซีวันนี้ก็มาสาย แถมยังให้คนอื่นมานั่งรออีก ไม่รู้จะด่าห่าเหวอะไรแล้ว"

“ซีมันมาสายปกติอยู่แล้วนี่หว่าพี่” เขาทำเสียงหึๆ ในลำคอเมื่อนึกถึงนักร้องหนุ่มอีกคนที่มีภาพลักษณ์เป็นผู้ชายอบอุ่น เสียงนุ่ม หน้าตาเรียบร้อย หากนิสัยนั้นขัดกับหน้าตาอย่างที่สุด

“แต่วันนี้มันให้ดาราที่นัดมาคุยกันเรื่องเอ็มวีมารอไงวะ รู้มั้ยมันอยากจะได้มานี่ก็ไปขอร้องมาให้แล้วยังจะเสือกมาสายให้เสียหน้า”

“ต้องให้พี่ขอร้องเลยเหรอ ดังขนาดไหนกันเชียว” กันต์แกล้งกระเซ้าเมื่อเห็นว่าคู่สนทนาเริ่มอารมณ์ขึ้น

“คุณพลศรุตไง พระเอกตั้งแต่ยุคคุณพ่อแล้ว แกก็น่าจะทันนะ”

“ทันสิ” เขาทำตาโต “ผมโตมากับหนังคุณป๋าเลยนะ เสียดายอยู่ๆ ก็หายไป อย่างน้อยมาเล่นบทพ่อบทปู่ก็ยังดี นี่ยังอยู่ไหมอยากเจอ”

กันต์อยากจะทวนชื่อภาพยนตร์ที่อีกฝ่ายแสดงมาหลายต่อหลายเรื่องให้สิทธารู้ว่าตัวเองไม่ได้ตื่นเต้นเกินจริง แต่เขาตื่นเต้นจริงๆถึงชะโงกหน้ามองผ่านประตูห้องประชุมที่เปิดทิ้งไว้ครึ่งหนึ่ง

“เค้ากลับไปเพราะมีคนมาสายเนี่ยแหละ เสียใจด้วยนะ”

 

                สีหน้าของมีนาคมยังคงเรียบเฉยเมื่อกันต์ยังคงพูดถึงพลศรุตที่คลาดกันไป เธอเริ่มยกเล็บที่เพิ่งขัดเคลือบน้ำยาแบบใสขึ้นมามองแก้เบื่อ หยิบโทรศัพท์ซึ่งติดฟิล์มแบบกระจกขึ้นส่องหน้าต่อทั้งที่ยังนั่งอยู่ด้วยกันที่โต๊ะอาหาร

                เห็นทีว่าเขาต้องหยุดพูดเรื่องฆ่าเวลาได้แล้ว

"วันนี้ไปกับเจ๊ตินเป็นไงบ้าง"

"ก็ไม่มีอะไรมาก กดสิว ทรีตเมนต์ผิวแล้วก็นวดตัว อะไรอีกนิดหน่อย" คนพูดยกแขนยื่นมาให้ตรงหน้า เมื่อจับดูก็รู้ว่ามันนุ่มหนุบหนับกว่าเดิมอย่างไม่ได้คิดไปเอง "แต่ที่จริงวันนี้ฉันไปธุระอย่างอื่นด้วย"

น้ำเสียงของมีนาคมซ่อนอะไรบางอย่างเอาไว้ให้จับสังเกตได้ แต่ถึงอย่างนั้นกันต์ก็ยังใช้ปลายนิ้วลูบท้องแขนของเธอโดยไม่พูดอะไร

"ฉันคุยกับทักษ์แล้วนะ"

นิ้วมือที่สากกว่าของเขาสะดุดไป เวลานี้จึงคล้ายกับว่ามันเป็นการเขี่ยมากกว่าลูบอย่างวาบหวิวที่ตั้งใจในทีแรก "คุยเรื่อง?"

"เรื่องของเรา" เธอยกแขนขึ้นเท้าคาง ระยะห่างระหว่างกันมีเพียงโต๊ะสี่เหลี่ยมจตุรัสซึ่งมีทั้งแก้ว จานกว้างก้นลึกที่เหลือแต่น้ำราดหน้าวิญญาณหมูลอยละล่อง

ทั้งที่เขาใช้เวลาไปสตูดิโอเพื่อขอเดโม่เพลงของตัวเอง แวะซื้ออาหารเย็น แต่เธอใช้เวลาช่วงนั้นอยู่กับทักษ์คิดแล้วปลายนิ้วขี้หึงก็ดีดเข้าที่ข้อศอกของคนที่ยังไม่รู้ตัวว่าคือต้นเหตุ

                "เจ็บนะ" เธอยกมือลูบศอก ชักสีหน้าจะตีแขนเขากลับบ้าน "ฉันบอกเขาแล้วว่าปล่อยให้ฉันจัดการเรื่องของตัวเอง อะไรที่ไม่ได้เกี่ยวกับเขา เขาก็ไม่จำเป็นต้องมาเดือดร้อนด้วย"

                "แล้วเรื่องพ่อของคุณจะไม่เป็นอะไรเหรอ"

"ช่างเขาสิ ฉันเหมือนเด็กที่ยังไม่โตหรือไง"

ที่จริงก็เหมือนบางครั้ง...ได้แค่คิด เขาไม่พูดหรอก

"คุณจะเข้าหน้าไม่ติดกับเขามากกว่าเดิมเพราะผมรึเปล่า"

"ก็ช่างสิ" มีนาคมยังย้ำอย่างเดิม "วันนี้คุณพูดถึงเขามากจนฉันจะอ้วกอยู่แล้วนะ"

เจ้าตัวยกจานของตัวเองไปวางยังอ่างล้างจาน ท่าทางว่าเรื่องการพัฒนาความสัมพันธ์ที่เคยพูดคุยกันค้างเอาไว้จะเกิดขึ้นอย่างปุบปับไม่ได้

อาจเหมือนกับช่วงที่เขาย้ายเข้ามาที่นี่ใหม่ๆ เริ่มแรกมีเพียงเสื้อผ้าไม่กี่ชุด สักพักการจัดระเบียบภายในห้องก็เริ่มเปลี่ยนไป มีของหลายชิ้นที่ต้องซื้อใหม่ อย่างโซฟาตัวใหญ่ที่ใช้นอนแทนเตียงได้ หรือตู้สำหรับใส่เสื้อผ้าของเขา

"แต่ถึงอย่างนั้นมันไม่ได้แก้ปัญหาไปหรอกนะ"

"เพราะคุณมองว่าเป็นปัญหาต่างหาก มันถึงเป็นปัญหา แค่คำพูดของเขามันทำให้คุณเป็นไอ้งี่เง่าได้ขนาดนี้เลยหรือไงฮะ"หญิงสาวเชิดหน้ากอดอก ยืนพิงอ่างล้างจาน "ไล่ให้ฉันไปเจอคนที่ดีกว่านี้ พูดมาได้ยังไง"

"ผมไม่ได้หมายความอย่างนั้น...ผมก็แค่คิดว่า บางทีคุณอาจจะมีทางเลือกที่ดีกว่านี้ก็ได้"เขาถอนใจ ให้เปรียบเทียบกันแล้วนักแสดงที่อยู่ในจุดเดียวกับมีนาคมส่วนใหญ่แล้วมักจะคบกับนักธุรกิจหรือไม่ก็ไฮโซอะไรสักอย่างที่ดูสมฐานะกัน คนที่มีทั้งเงินและชื่อเสียงที่จะทำให้เธอมีชีวิตสุขสบายไปตลอดได้

"ผู้หญิงต้องการคนที่มั่นคงทุกยุคนั่นแหละ งานผมไม่มั่นคงหรอกคุณก็เห็น"

"เล่นบทพระเอกเสียสละหรือไงคะฉันก็มีเงินจากงานไม่มั่นคงเหมือนกันอย่าลืมสิ" มีนาคมเริ่มเคลื่อนไหว เธอเดินกลับมานั่ง แต่ไม่ใช่ที่เก้าอี้ตัวเดิม

"ไม่ได้ตัวเบาเลยนะ"

"สมน้ำหน้า น้ำหนักฉันขึ้นก็เพราะอยู่กับคุณนี่"

หญิงสาวยกแขนโอบรอบคอ เบียดตัวเข้ามาพิงทำให้ชายหนุ่มอดจะวางมือบนขาของคนที่นั่งอยู่บนตักไม่ได้ ใจของเขาเริ่มสั่นเมื่อได้กลิ่นน้ำหอมจางๆ ตัวของเธอเองก็นุ่มนิ่ม แม้แต่ปลายผมยังไม่ทำให้รู้สึกระคายเลย

"งานของเราไม่มั่นคงแต่ยังไงก็ยังมีโอกาสเก็บเงินได้เร็วกว่าอาชีพอื่น ถ้าเป็นช่วงกอบโกยก็ต้องพยายามเก็บให้ได้มากที่สุด เราไม่ลำบากหรอกถ้ารู้ตัวว่ามีจุดหมายคืออะไร"

"แล้วกระเป๋าแบรนด์เนมคุณล่ะ" เขาหรี่ตาใส่

"ฉันไม่ได้ซื้อบ่อย"

"รุ่นที่ใช้นี่มีสามสีแล้ว"

"อย่าห้ามฉันซื้อกระเป๋า" มีนาคมยกมือกุมอกพลางมองกระเป๋าแบรนด์เนมราคาเกินแสน ราวกับหัวใจได้รับการอักเสบรุนแรงแล้วสลบซบลงกับอกของเขา

"มันเป็นอุปกรณ์ส่งเสริมภาพลักษณ์" เธอพึมพำ "ฉันต้องสวยและมีรสนิยม"

"ผมไม่ได้ไม่เข้าใจเรื่องนั้น แต่มันหมายถึงคุณใช้เงินเร็วเกินไปเพราะหามาได้ง่าย แต่เราคงไม่ได้อยู่ในช่วงกอบโกยไปตลอดจริงไหม"

เธอเงยหน้ามองเขา ตาเป็นประกาย "ถึงเวลานั้นคุณก็อย่าทิ้งฉันนะ"

"คงต้องคิดดูก่อน"

หญิงสาวถอนใจแล้วซบหน้ากับคอของเขา "กลัวเลี้ยงฉันไม่ได้สินะ"

"กลัวว่าเราจะอยู่อย่างมีความสุขไม่ได้มากกว่า"

"แค่อยู่ด้วยกันไปเรื่อยๆ ไม่ได้หรือไง การกังวลกับสิ่งที่ยังมาไม่ถึงมีแต่จะทำให้ตอนนี้เราต้องมาทะเลาะกันนะ"

ชายหนุ่มถอนใจบ้าง เริ่มคล้อยตามไปกับคนนั่งตัก มือเจ้ากรรมของเขาทำได้เพียงโอบผ่านเอวที่เว้าเข้าไป รู้สึกได้ว่าตัวของเธอกำลังอุ่นพอดี

แต่เดี๋ยวก่อน เขาตั้งใจว่าจะคุยกับเธอเรื่องครอบครัวไม่ใช่หรือไงแล้วทำไมมันกลับมาเป็นเรื่องเงินได้

"มี่" เขาเรียกอีกฝ่ายเบาๆ คนถูกเรียกนิ่งไปรับราวกับรับรู้ได้ว่าเขาตาสว่างจากการเบี่ยงเบนประเด็นด้วยร่างกายน่ากอดแล้ว เธอฝังใบหน้าลึกกับไหล่ของเขามากกว่าเดิม รับรู้ได้ทันทีถึงเสียงหัวใจเต้นจากอกที่เบียดอก

"อย่าพูดเรื่องพ่อของฉันอีกเลยนะ ไม่ว่ายังไงเขาจะไม่ได้อยู่ในอนาคตของเราอยู่แล้ว เราจะรู้จักกันมากขึ้นเรื่องไหนอีกก็ได้แต่ไม่ใช่เรื่องนี้ ฉันขอคุณเรื่องเดียวจะได้ไหม"

กันต์รู้สึกว่าตัวเองกำลังจะก่อปัญหาขึ้นมา ไม่กล้าดันตัวเธอออกเสียด้วยซ้ำเพราะหากเห็นสีหน้าไม่ดีแล้วเขาจะรู้สึกผิด

"ทำไมไม่ตอบ"

"มือไม่ว่าง" ชายหนุ่มล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกงหาโทรศัพท์มือถือ ในหัวคิดแต่เรื่องเบี่ยงเบนประเด็น

"มันเกี่ยวกันตรงไหน" เธอเป็นฝ่ายขยับตัวเอง ยังคงมุ่นคิ้วเมื่อเขาเปิดเพลงใหม่ของตัวเองที่ยังไม่มีคนนอกได้ฟังมาก่อน "เพลงใหม่เสร็จแล้วเหรอ"

"ใกล้เคียงแล้วล่ะ" เขาเพิ่มเสียงให้ดังขึ้น แนวเพลงคราวนี้เปลี่ยนเป็นป็อบมาขึ้นจากเพลงก่อนหน้านี้ซึ่งชื่อ 'march' มันเขียนขึ้นช่วงที่เขาเริ่มคบกับเธอแรกๆ แต่เพลงนี้เขียนหลังจากนั้นมาสักพักแล้ว

เนื้อเพลงพูดถึงผู้หญิงที่คิดตลอดเวลาว่าผู้ชายของตัวเองจะมองคนอื่น แต่ถึงอย่างนั้นเขากลับสนุกที่ได้เห็นเธองอนและหึงหวง

"ฉันว่าฉันรู้จักผู้หญิงคนนั้นนะ" มีนาคมหรี่ตาเมื่อเนื้อเพลงมาถึงท่อนฮุค ขมวดคิ้วเมื่อเขาอมยิ้มขึ้นมา "กล้าดียังจะมาเผาฉันออกอากาศอย่างนี้"

"คุณไม่ชอบเหรอ"

เธอยักไหล่ตอบอย่างเย็นชา แต่ก็สะดุ้งโผกลับมากอดเมื่อเขาชันขาขึ้นทันควัน กันต์หลุดหัวเราะออกมาตอนเธอหยิกเข้าที่ไหล่

"ถ้ามันทำให้คุณไม่สบายใจขนาดนั้น ผมก็จะไม่ถามอีก" คำตอบที่เดินทางมาถึงช้ากว่ากำหนดดูจะทำให้คนฟังดูมีชีวิตชีวาขึ้น "แต่ได้โปรดอนุญาตให้ผมเผยแพร่เพลงนี้ด้วยเถอะ"

"มีวันไหนที่เราพูดกันรู้เรื่องบ้างไหม" เธอกลอกตา

"ไม่มี" เขาทำตาลอยโต้ตอบ แต่แก้มถูกตีเบาๆ เพื่อเรียกให้ตาดำกลิ้งกลับมาทันที "เจ็บนะ"

นิสัยไม่ดีของมีนาคมคือการทำให้เขาเจ็บตัวบ่อยๆ แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ให้ค่าทำขวัญเป็นจุมพิตแสนหวานที่ไม่จำเป็นต้องมีที่มาที่ไป ความเคอะเขินระหว่างกันหายไปนานแล้วจนเขาไม่แน่ใจว่าเคยมีด้วยหรือไม่ จังหวะเพลงกลับมาสู่ท่อนฮุคอีกรอบแต่หญิงสาวกลับหัวเราะออกมาเสียก่อนเมื่อตอนเขาจูบต่ำลงมาจนถึงคอของเธอ

"จบเลย" เขาไม่ยอมคลายวงแขนออกแต่อีกฝ่ายกลับย่นคอไม่ต่างกับแมวเวลาถูกแกล้งแล้วพยายามเดินถอยหลัง "เมื่อไหร่จะหายบ้าจี้สักทีนะ รึหนามยอกต้องเอาหนามบ่ง"

"ม่ายย" เธอเอามือดันคางของเขาขึ้น ทำหน้าขยะแขยงเมื่อหนวดถูกับอุ้งมือ "อย่างอื่นก็ด้วย ห้ามทั้งหมดวันนี้ เพราะฉันเพิ่งทำบิกินี่แวกซ์มา”

มีนาคมหน้าแดงขึ้นเมื่อเขาอ้าปากค้างเพราะเริ่มคิดอะไรไปไกล

“ขอร้องหยุดทำหน้าอย่างนั้นได้แล้ว คุณไม่รู้หรอกว่ามัน...” เธอเม้มปากแล้วกำมือสื่ออารมณ์ “เจ็บขนาดไหน”

"อูวว์" แค่จินตนาการเขาก็รู้สึกเจ็บแล้ว

"ฉันเหมือนไก่ที่กำลังจะถูกต้มไม่เห็นเหรอ" คนพูดยกแขนให้ดูใกล้ๆ นอกจากความนวลเนียนที่เขาสัมผัสทีแรกนั้น ขนแขนของเธอยังหายไปอีกด้วย "ถูกถอนหมดทั้งตัวเลยไม่เห็นเหรอ"

"บิกีนี่แวกซ์...หมายถึงจะถ่ายบิกีนี่ปีนี้น่ะเหรอ"

“ใช่ เรื่องนั้นแหละที่ฉันยังไม่ได้บอกเพราะก่อนหน้านี้เราทะเลาะกันจริงไหม” เธอตอบโดยเท้าความหลัง อาจเพื่อเป็นเหตุผลไม่ให้เขาห้ามปรามได้ “จำเรื่องสัญญาชุดชั้นในได้ไหม งานนี้มันถือเป็นกิจกรรมหนึ่งในการโฆษณา อีกอย่างปีนี้เค้าจะแตกแบรนด์มาจับตลาดชุดว่ายน้ำอย่างจริงจังแล้วด้วย”

หญิงสาวเอ่ยชื่อของช่างภาพคนดังในวงการขึ้นมาพร้อมชื่อของนิตยสารที่เขาเองก็รู้จัก แต่กันต์ยังทำหน้านิ่งมองคนพูดซึ่งพยายามอธิบายยืดยาวทั้งที่เขาก็สงสัยว่าทำไมพักหลังนี้เธอถึงเข้าฟิตเนสบ่อยขึ้น กินอาหารควบคุมน้ำหนักรวมทั้งออกกำลังกายเองในตอนเช้า

"คุณบอกว่าขอหนึ่งเรื่องกับผมไปแล้ว ดังนั้น..."

"ไม่ได้ค่ะ คุณห้ามฉันไม่ได้"

"เพราะผมมาทีหลังบริษัทชุดชั้นในของคุณสินะ

"ที่จริงคุณมาทีหลังโฆษณาเกือบทุกอย่างของฉันเลย แต่ถ้าให้เรียงลำดับตามผลตอบแทนด้านการเงินคุณคงอยู่อันดับสุดท้าย แต่ถ้าให้เรียงตามใจแล้วล่ะก็..."

กันต์เริ่มมีความหวังขึ้นมาเล็กน้อยเมื่อเธอยิ้ม

"คุณแค่อยู่หลังบริษัทชุดชั้นในเฉยๆ น่ะค่ะ"

ชายหนุ่มตัดสินใจแล้วว่าจะไม่สนใจเรื่องพ่อของเธออีก ตอนนี้เขาเคืองบริษัทชุดชั้นในนั่นมากกว่า

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น