8

บทที่ 8


บทที่ 8

การเริ่มเรื่องของพลศรุตผ่านไปได้ด้วยดีอย่างที่มีนาคมรู้สึกสงสัยเพราะชายหนุ่มนั้นจะว่าง่ายมากเกินไปเมื่อเธอขออยากจะมีเวลาอยู่ด้วยกันหลังจากแกล้งเข้าใจเรื่องของผู้หญิงที่ดูสนิทสนมทั้งที่เขาน่าจะอยากใช้เวลาส่วนตัวพวกนั้นกับคนที่เขาบอกว่าเป็นปลื้มนักหนา

สายตาตอนมองเธอตอนแต่งตัวนั้นต่างไปจากทุกครั้ง ปกติกันต์จะชอบทำเป็นกรุ้มกริ่มหยอกล้อแต่วันนี้เขาดูต่างออกไป เมื่อเธอสังเกตเห็นเขากลับยิ้มกลบเกลื่อนแล้วแนะนำชุดที่อยากจะให้เธอสวมอย่างเจ้ากี้เจ้าการ

กันต์เลือกให้เธอสวมเดรสแขนยาวสีเลือดนกยาวระดับเข่าซึ่งไม่ได้สวมมานานแล้ว เพราะมันเป็นชุดเดียวซึ่งยาวแต่ไม่โป๊ผ่าหลังอย่างชุดอื่นที่ใช้ใส่ประจำ เขาแต่งเชิ้ตดูเป็นทางการกว่าปกติมากราวกับเป็นโอกาสพิเศษ ทั้งที่จริงมันก็อาจพิเศษสำหรับเขาที่จะได้ไปบ้านของดาราขวัญใจรุ่นเก่าของตัวเอง

ความรู้สึกเป็นมืออาชีพในการแสดงของมีนาคมเริ่มลดต่ำลงเมื่อเห็นรั้วหินซึ่งมีไม้เลื้อยปลูกพิงอยู่อย่างจงใจให้มันไต่ทอดตัวขึ้นไปสู่แสง ไล่สีเข้มไปอ่อนตามความหนาทึบซึ่งไม่สม่ำเสมอกัน กันต์จอดรถรอที่หน้าประตูซึ่งมีป้ายหน้าบ้านติดประดับชัดเจน เป็นนามสกุลของพลศรุตซึ่งเธอไม่มีโอกาสได้ใช้

เมื่อมีคนมาเปิดประตูให้มือของเธอก็เย็นลง นับเป็นครั้งแรกที่เธอเข้ามาพบเขาถึงที่บ้านเพราะก่อนหน้านี้การพบหน้ากันธรรมดายังเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ยากยิ่ง

เธออึดอัดทุกครั้งที่อยู่กับพลศรุต และหากเป็นไปได้ก็จะหลบเลี่ยงไม่ต้องพบกันโดยให้ทักษ์เป็นคนกลางแทน

“บ้านใหญ่จนน่ากลัวเลยเนอะ” กันต์หันมากระซิบแต่สายตาของเขากวาดมองไปทั่ว ทั้งตัวบ้านหลังใหญ่สีงาช้างแบบทันสมัย ไล่ไปยังเรือนไม้ยกพื้นแบบประยุกต์ที่อยู่ไกลออกไปราวกับต้องการแบ่งสัดส่วนของความเก่าและใหม่ด้วยต้นไม้รอบๆ

“ก็กว้างมากพอจะทำเป็นพิพิธภัณฑ์ของตัวเองไม่ใช่เหรอคะ”

“นั่นสิ เค้าต้องภูมิใจในตัวเองพอประมาณเลยแหละ ก็เคยมีชื่อเสียงขนาดนั้นนี่” ชายหนุ่มพูดติดตลกเหมือนไม่ได้ตั้งใจสื่อความหมายจริงจัง ใบหน้าของเขายังมีรอยยิ้มประดับอยู่ตอนที่หันมองเธอ “คุณก็อดทนหน่อยนะมาเป็นเพื่อนผมเนี่ย ถ้าเค้าจะโม้อะไรก็อย่าขัดนะ ผมนะคุยกับเค้าตั้งนานกว่าจะยอมให้มาบ้านแล้วก็ขอให้คุณมาอีกคนด้วย”

“ฉันรู้แล้วน่า” หญิงสาวย่นจมูก ไม่ได้ยิ้มออกมาแม้ใจจะชื้นขึ้นที่เห็นว่ากันต์ยังเป็นปกติของเขาอยู่ ตรงที่ไม่ได้พูดชมพลศรุตไปเสียทุกอย่างจนทำให้ความรู้สึกภายในของเธอแย่ลงกว่านี้

เธอคิดมาแล้วว่าจะวางตัวอย่างไรตอนที่พบกับอีกฝ่าย เวลานี้ก็แค่ตั้งสติแล้วดำเนินมันไปให้ตลอดรอดฝั่งเท่านั้น

กันต์จับมือเธอให้เดินไปด้วยกันตามทางที่คนของบ้านนำไป ก้าวของชายหนุ่มกำลังพอดี ไม่ช้าหรือเร็วไป รองเท้าส้นสูงของเธอกระทบพื้นบล็อคตัวหนอนแปดเหลี่ยมเป็นจังหวะสม่ำเสมอพ้องกันกับเสียงหัวใจที่เธอรู้ตัวว่ามันดังขึ้น หรือไม่เธอก็เริ่มจะไม่ได้ยินเสียงรอบตัวไปเสียแล้ว

เกือบปีที่ไม่ได้เจอกันเลยไม่ได้ทำให้เธอตื่นเต้นกับพลศรุตขนาดนั้น แต่การเจอกันโดยที่มีชายหนุ่มอยู่ด้วยต่างหากที่ทำให้เธอรู้สึกเหมือนยืนอยู่ปากเหว

ชายสูงอายุคนนั้นยืนรอที่หน้าประตูทางเข้าของตัวบ้าน เก็บมือทั้งสองข้างไว้ในกระเป๋าข้างกางเกงสีดำทรงโบราณ ใส่เข็มขัดหนังสีดำคาดทับเสื้อโปโลสีฟ้าอ่อนที่ซ่อนชายเอาไว้เรียบร้อย ดวงตาของเขาจ้องเธอไม่กะพริบและคงมองอีกนานเพราะเธอเองเป็นฝ่ายหมดความอดทนหลบตาไปเสียก่อน

“สวัสดีครับ ขอโทษที่มาก่อนเวลาพอดีกว่ากลัวจะหลงทางน่ะครับ” กันต์ไหว้พลศรุตทำให้หญิงสาวต้องทำตามไปด้วย คราวนี้เธอเห็นรอยยิ้มของอีกฝ่ายค่อยๆ แย้มออกมาเป็นสัญญาณนับถอยหลังในใจ

สาม...

“นี่มีมี่ครับ แฟนผมที่บอกว่าเธออยากจะมาด้วย”

สอง...

มีนาคมยิ้มกว้างออกมา

“หนูเองก็เป็นแฟนคนคลับนึงของคุณพลศรุตก็เลยขอกันต์ให้พามาด้วย ดีใจมากเลยนะคะที่จะได้เห็นพิพิธภัณฑ์รวมผลงานของคุณดูหนังดูละครมาตั้งแต่เป็นเด็กเลยค่ะ คุณแม่ก็ชื่นชอบมากท่านคงอิจฉาแน่ถ้ารู้ว่าหนูได้มาที่นี่วันนี้”

“อย่างนั้นเหรอ” รอยยิ้มที่แย้มออกของพลศรุตหุบลงไม่เหลือต่างกับเธอที่ทำการสับสวิตช์ตัวเองเรียบร้อยแล้ว

“ตื่นเต้นกว่าที่คิดไว้นะเนี่ย” ชายหนุ่มยิ้มอยู่แต่เลิกคิ้วมองเธอไปด้วย ส่งสายตาเป็นเชิงถามถึงพฤติกรรมที่เป็นมิตรออกนอกหน้า

“ฉันก็ต้องตื่นเต้นสิ เพิ่งเคยพบกันครั้งแรกนี่คะแล้วคุณก็ดูไม่เปลี่ยนไปจากที่เคยจำได้ในจอเท่าไหร่เลย”

เธอมองพลศรุตอีกครั้งหลังจากพูดจบ คราวนี้เขาดูจะเข้าใจความหมายที่เธออยากจะสื่อแล้ว ว่าไม่ต้องการให้พูดเรื่องความสัมพันธ์ของทั้งคู่กับชายหนุ่มเด็ดขาด เธอไม่ได้มาที่นี่เพราะอยากเจอเขาแต่มาเพื่อกันไม่ให้เขาได้อยู่กับแฟนหนุ่มของเธอตามลำพัง

“ขอบใจนะ แต่ฉันก็เคยดูละครของหนูอยู่หลายเรื่อง หนูเก่งขึ้นมากเลย” คนพูดเอ่ยก่อนจะหมุนตัวแล้วกวักมือเรียกให้ตามเข้ามา “เข้าก่อนมาสิ”

กันต์กลับมาจับมือเธออีกหลังจากปล่อยไปเมื่อครู่ กลับมาสบตาเธอแบบคุณครูอีกครั้ง

‘อะไรยะ’ เธอขยับปากแต่ไม่ออกเสียง

‘เล่นอะไรน่ะ’ เขาตอบกลับแบบเดียวกัน

‘ช่วยคุณตีสนิทเค้าไง’

ชายหนุ่มขมวดคิ้ว แต่ยังไม่ทันจะขยับปากต่อพลศรุตก็หันมาเสียก่อนทำให้บทสนทนาลับหลังนั้นปิดฉากลง กันต์ทำหน้าไร้เดียงสามองอีกฝ่ายกลับ ส่วนเธอก็จ้องอีกฝ่ายจนเขาเผลอเม้มปากออกมา

“มี่เค้าอยากเข้าห้องน้ำน่ะครับ”

“เดินตรงไปทางซ้าย สุดทางน่ะ” พลศรุตมองไปตามทางนั้น ทำให้เธอต้องเล่นไปตามน้ำที่กันต์พูดออกมาแก้เก้อเมื่อครู่

“ค่ะ ขอตัวสักครู่นะคะ” เธอยิ้มหน้าตึง หันเดินออกไปอย่างจำใจเมื่อต้องทิ้งชายหนุ่มเอาไว้กับอีกฝ่าย

หญิงสาวไม่เสียมารยาทมองสอดส่องรอบตัว เธอเดินไปกลับเป็นเส้นตรงดิ่งแต่คนสองคนที่ควรจะยืนรออยู่ที่เดิมกลับไม่อยู่ หากมีเสียงดังมาจากอีกทางจนสามารถจับทิศตามไปได้

บานประตูคู่ที่มาของเสียงนั้นเปิดอ้าเอาไว้ ผู้ชายต่างวัยสองคนกำลังยืนหันหลังคุยอะไรบางอย่างเสียงเบากว่าเพลงย้อนยุคซึ่งเปิดคลอไว้ ในมือของกันต์กำลังถืออัลบั้มภาพถ่ายขนาดเล็ก พลิกมันไปทีละหน้าเหมือนดูฆ่าเวลา มีนาคมเพิ่งจะสังเกตก็ตอนนี้ว่าทั้งคู่นั้นมีสัดส่วนของช่วงไหล่ใกล้เคียงกัน ผมยาวเหมือนกัน พลศรุตมัดผมเป็นก้อนเล็กๆ ที่ท้ายทอยแต่กันต์มัดสูงระดับเดียวกับใบหู

ทั้งที่ปกติแล้วเขามักจะมัดผมแค่ครึ่งศีรษะหรือไม่ก็ปล่อยมันให้ยุ่งเหยิง วันนี้จึงดูเรียบร้อยผิดปกติ

พลศรุตเป็นฝ่ายสังเกตเห็นว่าเธอยืนมองอยู่จึงหยุดพูดไปเฉยๆ ชายหนุ่มจึงเลิกพลิกภาพถ่ายหันมองเธอแล้วยิ้มอัตโนมัติ

“รูปพวกนี้น่าจะสี่สิบกว่าปีเชียวนะ” กันต์พูดราวกับประทับใจมันมาก ทำให้เธอต้องเดินเข้าไปยืนซ้อนด้านข้างใช้เขาเป็นรั้วคั่นกลางจากบิดา แล้วทำหน้าสนใจภาพถ่ายจากฟิล์มซึ่งขอบของกระดาษอัดภาพเริ่มเหลือง

พลศรุตสมัยยังหนุ่มในกองถ่ายภาพยนตร์กำลังยิ้ม บริเวณนั้นเป็นหน้าเซ็ตในป่าที่จะถ่ายทำโดยมีนักแสดงอีกหลายคนซึ่งแต่งกายแฟชั่นยุคนั้นร่วมด้วย ถัดไปเป็นบรรยากาศในกองถ่ายซึ่งดูออกว่าตากล้องคงตั้งใจเก็บภาพทุกคนที่มีส่วนร่วมในภาพยนตร์เรื่องนี้ให้มากที่สุดจนเกือบจะเรียกว่าเป็นชุดเบื้องหลังเสียมากกว่า

“เรื่องนี้ได้รางวัลด้วยใช่ไหมครับ” ชายหนุ่มหันไปถามนักแสดงหลักของเรื่อง ได้คำตอบเป็นรอยยิ้มก่อนจะอธิบายรางวัลที่ได้เป็นฉากๆ

มีนาคมทำเป็นสบตากับทั้งสองคนตามจังหวะโต้ตอบโดยเสมือนมีกล้องถ่ายทำอยู่ตลอดเวลา เธอพูดบ้างเมื่อคิดว่าควรจะพูด ถามเพิ่มเติมรายละเอียดทั้งที่ไม่ได้อยากจะรู้ ทำเสียงตื่นเต้นเมื่อกันต์สนใจกับของชิ้นอื่น อย่างเสื้อผ้าสำคัญที่ใส่เข้าฉาก นาฬิการุ่นโบราณที่เจ้าของยังต้องใส่อยู่บ้างเพราะเป็นระบบไขลานซึ่งหมุนตามการขยับข้อมือ

“ไม่อยากจะคิดถึงราคาเลย รุ่นนี้ตั้งสามสิบกว่าปีแล้วด้วย” ตาของกันต์พราวขึ้นเหมือนเด็กเห็นของเล่นที่ถูกใจ

“เรือนนี้คุณก็ลองเก็บไว้สักสามสิบปีบ้างสิคะ” หญิงสาวยกนิ้วเคาะข้อมือของคนพูดที่สวมนาฬิกาข้อมือสายหนังสีดำซึ่งเธอซื้อให้เพราะคิดว่ามันเหมาะกับเขา มันเป็นแบรนด์เนมแต่ชายหนุ่มดูจะไม่เคยระลึกเลยว่ามีราคามากเท่าไหร่เพิ่งให้ไปไม่นานแต่หน้าปัดกลับมีรอยขนแมวเต็มไปหมด“ถ้าคุณใส่นะให้ไม่เกินสามปีหรอก”

“ดูถูก” เขาหรี่ตาใส่ก่อนจะยกข้อมือแล้วชี้นาฬิกาของตัวเองประกอบการพูด “นี่เพราะชอบถึงใส่บ่อยต่างหาก พอใส่บ่อยก็มีโอกาสที่มันจะถลอกบ้าง ถ้าจะให้ถนอมใส่กล่องเก็บไว้เฉยๆ ก็เหมือนไม่มีสู้เอามาใส่ดีกว่ามีรอยนิดหน่อยผมหลับตาข้างนึงก็ไม่เห็นแล้ว”

พูดไปชายหนุ่มก็หลับตาไปหนึ่งข้าง

“ไม่เห็นจะมีรอยเลย จริงมั้ยครับ”

“นั่นสิ” พลศรุตรับมุกของกันต์ด้วยการหลับตาข้างหนึ่งบ้าง ทำให้มีนาคมรู้สึกขนลุกประหลาดเมื่อเห็นว่าทั้งสองคนสนิทกันกว่าที่เธอคาดคิดจนเข้าข่ายเป็นภัยต่อความมั่นคงเป็นอย่างมาก

“แต่ถึงจะดูแลดียังไงนาฬิกามันก็มีปัจจัยเรื่องอายุอยู่ เดี๋ยวนี้มันก็เดินไม่ค่อยตรงต้องคอยตั้งเพราะเฟืองข้างในมันสึกไปเยอะแล้ว จะหาอะไหล่เปลี่ยนก็ยาก แต่จะหาเรือนอื่นมาแทนมันก็ไม่เหมือนกัน”

พลศรุตดูเกร็งน้อยลงจากก่อนหน้านี้ที่เธอถามคำตอบคำกับเขา คราวนี้เหมือนกับผู้ใหญ่ที่พยายามจะอธิบายไม่ให้เด็กๆ ตีกันอย่างไรอย่างนั้น

“คุณพลศรุตดูแลของมีราคาดีนะคะ เพราะเท่าที่เห็นของที่เก็บอยู่ส่วนใหญ่เป็นของมีมูลค่าหายากทั้งนั้น” เธออนุมานตามที่เห็น ข้าวของภายในห้องถ้าไม่ใช่ภาพถ่ายหรือฟิล์มหนังที่ก็อปปี้มาก็ไม่มีของที่ไร้ราคาหรือเห็นได้ทั่วไปเลยสักชิ้น แม้แต่ของที่บอกว่าได้มาจากแฟนๆ ก็ตาม

“เราอาจวัดค่าของสิ่งของต่างกันก็ได้ ของที่เอามาไว้ในนี้ส่วนใหญ่เป็นของที่ตั้งใจไว้ว่าจะส่งต่อให้มูลนิธิหรือพิพิธภัณฑ์ที่ต้องการหากวันนึงผมไม่อยู่แล้ว แต่ของที่มีค่าสำคัญกว่านั้นจะถูกเก็บไว้เป็นส่วนตัว ไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าถูกหรือแพงแต่ได้รับการที่ดูแลเป็นอย่างดีเหมือนกัน...ถ้าสามารถดูแลได้”

มีนาคมมองคนพูดนิ่ง แม้พลศรุตจะพูดเรื่องสิ่งของแต่ลึกๆ แล้วเธอรู้ว่าเขาพูดเรื่องอื่น คงมีแค่กันต์ที่มองเธอสลับกับอีกฝ่ายอย่างไม่เข้าใจนัก

“นั่นสิคะ คุณจะทิ้งขว้างของสำคัญได้ยังไง” เธอยิ้มเพื่อจบเรื่อง แต่กันต์กลับชวนพลศรุตคุยเรื่องอื่นต่อโดยที่ไม่รู้บรรยากาศ

สำหรับเธอความรู้สึกตอนนี้กร่อยสนิทจนไม่อยากแม้กระทั่งจะทำสีหน้าให้ดูสนใจอะไรอีก เวลาคล้ายจะผ่านไปช้าลงเมื่อคนอายุมากกว่าเอาแต่เล่าถึงความหลังในช่วงที่เขามีชื่อเสียงมากๆ จนถึงจุดอิ่มตัวที่ทำให้จากวงการไปโดยไม่ต้องการให้เสียภาพจำในช่วงรุ่งโรจน์ไป

เขายอมรับความแก่ชราของตนเองไม่ได้ ไม่ยินดีหากจะต้องรับบทของพ่อหรือตัวประกอบอื่น

“อาชีพแบบนี้มันก็ไม่แน่ไม่นอน อย่างไรเสียวันหนึ่งก็ต้องมีคนมาแทนที่เรา พอเริ่มอยู่ตัวก็ต้องหยุดหาอะไรที่มั่นคง อย่างขอบเขตของงานมันก็ไม่ได้กว้างขวางเท่าวันนี้ ยุคนั้นยังไม่มีพวกเอเจนซีหรือโมเดลลิงก็เลยคิดว่ามาทำธุรกิจด้านนี้ก็น่าจะดี” คนพูดเล่าราวกับจะจงใจสอนเธอไปด้วย “เพราะถ้ายังเป็นนักแสดงอยู่พออายุมากขึ้นก็จะยิ่งลำบากขึ้น เงินก็ไม่ได้มากเท่าตอนหนุ่มๆ เพราะอย่างนั้นก็อย่าลืมหาทางเลือกอื่นสำรองให้ตัวเองไว้ด้วย”

“ที่จริงผมไม่ได้คิดว่าจะสามารถอยู่ในวงการไปได้นานจนแก่ขนาดนั้นหรอกครับ บางทีอาจจะไปทำเบื้องหลัง หรือไม่ก็ไปเปิดโรงเรียนสอนดนตรีก็น่าจะดี”

คำพูดของกันต์ทำให้เธอสนใจจากที่กำลังเบื่อหน่าย เรื่องพวกนั้นเขาไม่เคยบอกเธอมาก่อน แต่กลับพูดออกมาง่ายๆ กับพลศรุตหน้าตาเฉย

“โรงเรียนสอนดนตรี คุณเนี่ยนะ”

“ผมเล่นได้หลายอย่าง สอนได้สบายแน่ๆ” ชายหนุ่มตอบกลับมาคนละเรื่อง ยืดอกขึ้นอวดเมื่อพลศรุตพยักหน้าตาม

“แล้วหนูล่ะ จะเป็นนักแสดงไปตลอดเลยรึเปล่า”

“ค่ะ” เธอตวัดสายตามองเขาแล้วตั้งใจจะตอบแค่นั้น แต่สีหน้าของกันต์ดูคะยั้นคะยอขอเหตุผลเพิ่มสักหน่อย “ก็มันเป็นงานที่ชอบ ถึงจะไม่มีอะไรรับประกันว่ามันจะดีไปตลอดรึเปล่า แต่ถ้าเต็มที่แล้วก็คงไม่มีอะไรที่ไม่ดีหรอกค่ะ”

“ตอบซะสวยเลย” ชายหนุ่มแซวขณะที่เธอยิ้มตอบแล้วขยับไปเกาะแขนโดยไม่ได้สนใจบุคคลที่สาม เธอรู้สึกเขินสายตาชื่นชมของเขาก็เท่านั้นถึงพิงศีรษะกับไหล่ แต่ไม่ถึงสิบวินาทีก็ถูกเจ้าตัวปลดออกราวกับถือของร้อนเธอจึงเพิ่งสังเกตสีหน้าของพลศรุตว่าดูกระด้างขึ้น

“ห้องนี้ก็ดูจนทั่วแล้ว เราไปดูห้องอื่นกันต่อไหมครับ”

กันต์เสนอ และเจ้าบ้านก็นำทางด้วยสีหน้าขาดแคลนรอยยิ้ม หากยังไม่ทันได้ชมอะไรชายหนุ่มกลับขอตัวไปเข้าห้องน้ำบ้างเสียอย่างนั้น ถ้าไม่แน่ใจว่าเขาไม่รู้เรื่องอะไรเธอคงคิดว่าถูกจับคู่ให้อยู่กับพลศรุตแน่

“ลูกผอมลงรึเปล่า” เสียงของคนพูดทำให้เธอยกแขนกอดอก มองไปทางที่ชายหนุ่มเดินไปว่าเมื่อไหร่จะกลับมา “พักนี้งานหนักรึเปล่า ลดละครมาเหลือปีละเรื่องก็พอแล้ว”

เธอชะโงกหน้าหากันต์ เริ่มคิดถึงสีหน้ามวนท้องก่อนหน้านี้ของเขา

“พ่อดีใจที่ลูกมาวันนี้ด้วย ครั้งหน้าจะมาใหม่ก็ได้นะ มาค้างที่นี่วันที่ไม่ติดงานก็ได้”

มีนาคมมองคนพูดโดยไม่ยิ้ม “ไม่มีครั้งหน้าหรอกค่ะ ฉันจะขอเขาว่าอย่ามาอีก เราจะได้ไม่จำเป็นต้องเล่นละครแบบนี้กันให้อึดอัดดีไหมคะ”

“มี่” พลศรุตเรียกเธอเบาลง แต่หญิงสาวหยักยิ้มมุมปากขึ้น

“มาตอนนี้พอจะเข้าใจความรู้สึกของคนที่ไม่ถูกยอมรับแล้วรึยังคะ”

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น