8
ลงเรือลำเดียวกัน
การตกลงจับมือกันในการแก้ปัญหาครั้งใหญ่ระหว่างธีราทรกับหยาดอรุณเริ่มขึ้นแล้ว หลังจากที่พวกเขาใช้เวลาตรึกตรองกันหนึ่งคืนหนึ่งวันเต็ม ทั้งสองก็นัดมาพูดคุยกันยังสวนสาธารณะที่พบเจอกันเมื่อวาน และพวกเขาเห็นว่าไม่มีอะไรจะเสียหายไปกว่านี้อีกแล้ว เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นกับชีวิตยามนี้ก็เรียกว่าแย่ที่สุดที่เคยเป็นมา
ด้านหยาดอรุณแม้จะเพิ่งเคยพบเจอธีราทร แต่แปลกที่เธอกลับไว้ใจเขาและเชื่อในสิ่งที่เขาอ้างมาทั้งหมด อาจเพราะเขาดูสุภาพทั้งคำพูดและกิริยา ไม่มีท่าทีคุกคามใดๆ ที่ทำให้เธอหวั่นกลัว นั่นทำให้หลังจากเธอกลับไปนอนคิดทบทวนแล้วจึงกลับมาให้คำตอบเขาตามสัญญา แต่จะพูดให้ถูก ในโลกความเป็นจริงสมัยนี้คนดูดีก็ไม่น่าไว้ใจสักเท่าไร เพราะสิบแปดมงกุฎก็เยอะพอสมควร แต่ที่หยาดอรุณเชื่อมั่นธีราทรนั้นคงเกิดจากความรู้สึกส่วนตัวด้วยส่วนหนึ่ง อีกส่วนเพราะเขาแสดงความจริงใจให้เธอเห็นว่าเขาเป็นทุกข์จริงๆ และต้องการช่วยเธอและตนเองออกจากทุกข์ครั้งนี้
หลังจากตัดสินใจลงเรือลำเดียวกันแล้ว ชายหนุ่มก็บอกกับหยาดอรุณว่าจะไปพบกับครอบครัวเธอพร้อมกับพานธูปเทียนดอกไม้สำหรับขอขมาและเงินสดจำนวนหนึ่งซึ่งก็ถือว่ามากพอสมควร ธีราทรบอกว่าเงินจำนวนนี้จะเอาไปให้แก่ครอบครัวของหญิงสาว ถือว่าเป็นค่าสินสอดสู่ขอเธอไปพร้อมกันด้วยเลย ทั้งๆ ที่หญิงสาวไม่ได้เรียกร้องด้วยซ้ำ
“อย่าคิดมากเลยนะครับน้ำค้าง ยังไงซะภาพพจน์ของผู้หญิงก็ต้องเสียหายมากกว่าผู้ชายอยู่แล้ว ยิ่งคุณลงมาเล่นเป็นภรรยาของผมแล้วด้วย ยังไงก็ต้องถูกคนอื่นมองเสียหายไปแล้วครึ่งหนึ่ง ถือว่าเงินจำนวนนี้เป็นค่าจ้างที่ผมจ้างคุณมาเล่นละครตบตาคู่หมั้นของผมก็แล้วกัน” เขาบอกอย่างใจกว้าง
หยาดอรุณพอรู้มาคร่าวๆ ว่าเขามีฐานะพอสมควร หลังจากเขาและเธอได้แลกเปลี่ยนเรื่องราวชีวิตส่วนตัวกันบางเรื่อง เพื่อทำความรู้จักกันให้มากขึ้น
“แต่...แต่ว่าฉันขอคิดดูอีกทีนะคะเรื่องที่จะพาคุณไปพบครอบครัว” หยาดอรุณยังไม่ได้ตัดสินใจเรื่องจะพาเขาไปพบพี่สาวและผู้เป็นป้า เพราะยังกลัวทั้งสองจะรับไม่ได้ที่เธอท้องก่อนแต่ง “แต่ฉันยอมรับค่ะว่าเงินที่คุณกำลังจะให้ พวกเราจำเป็นต้องใช้จริงๆ”
หยาดอรุณบอกอย่างยอมรับโดยไม่คิดอาย แม้อีกใจจะรู้สึกผิดที่ต้องเอาเรื่องภายในครอบครัวมาเล่าให้คนนอกที่เพิ่งรู้จักฟัง แต่ก็แปลกเหมือนกันที่เธอเชื่อใจเขา
“งั้นน้ำค้างก็ควรต้องรับเงินของผมไว้ ส่วนในระหว่างที่คุณอยู่กับผมก็ไม่ต้องห่วงนะครับ คุณไปช่วยงานอะไรนิดหน่อยที่บริษัทผม แล้วผมจะจ่ายเป็นเงินเดือนให้คุณ แบบนี้คุณจะได้สบายใจด้วย ดีไหมครับ”
“ขอบคุณคุณธีร์มากเลยนะคะที่ช่วยหาทางออกให้ เงินก้อนนี้คงพอให้ป้าใช้หนี้ได้ ไม่ต้องลำบากหนีเจ้าหนี้แบบที่เป็นอยู่อีก” ปัญหาข้อนี้ทำให้เธอเบาใจลงได้มาก และต่อไปถ้าไปอยู่กับธีราทร เธอจะได้ไม่ต้องห่วงพี่สาวกับป้าทิพย์มากนัก เพราะถึงตอนนั้นเธอยังมีลูกน้อยที่ต้องดูแลอีกคน
“ถ้าอย่างนั้นจะพาผมไปพบครอบครัวคุณวันไหนดีครับ เอาที่คุณสะดวกก็ได้ครับ” ชายหนุ่มบอก ซึ่งคำตอบที่ธีราทรได้กลับมาทำให้เขาอึ้งไป
“ฉันมาคิดๆ ดูแล้วนะคะคุณธีร์ ฉันยังห่วงความรู้สึกของพี่สาว ยิ่งตอนนี้เธอไม่สบายด้วย ถ้ามารู้ว่าฉันท้อง แถมต้องไปอยู่ที่อื่นอีก พี่สาวฉันจะพลอยเป็นห่วงมากกว่าเดิม” เธอกลืนน้ำลายเหนียวหนืดลงคอเมื่อตัดสินใจที่จะบอกกับครองขวัญว่า “ฉันว่าจะบอกพี่สาวว่าฉันได้งานทำที่ต่างจังหวัดแทนค่ะ”
เป็นไปอย่างที่หยาดอรุณบอกไว้กับธีราทร เมื่อหญิงสาวกลับเข้ามาบ้านได้ เธอก็หาจังหวะเหมาะๆ ในการเอ่ยถึงเรื่องงานใหม่ที่เพิ่งหาได้
“อะไรนะ! น้ำจะไปทำงานที่ภูเก็ตงั้นเหรอ” ครองขวัญทวนสิ่งที่ได้ยินจากปากน้องสาว
“ใช่ค่ะ พอดีเพื่อนน้ำอยู่ที่นั่น เขาแนะนำงานที่นั่นให้ เงินเดือนดีมาก เจ้านายก็ใจดีมากด้วยค่ะ” บอกไปโดยไม่กล้าสบตากับอีกฝ่ายมากนัก เพราะเกรงว่าคนเป็นพี่จะจับพิรุธได้ “ที่สำคัญน้ำขอเบิกเงินล่วงหน้าจากเขามาแล้วด้วย”
“เป็นไปได้ยังไง แล้วน้ำไปมีเวลาตอนไหนไปภูเก็ต”
“น้ำไปทิ้งวุฒิ ปวส. ไว้พักหนึ่งแล้วค่ะ แล้วก็บอกเขาว่าถ้าสอบเสร็จได้วุฒิปริญญาตรีแล้วจะเอาไปยื่นอีกที ทางนั้นเขาก็โอเคนะคะ บอกแล้วไงคะว่าเจ้านายน้ำใจดีมาก”
“แล้วคุณวูล์ฟล่ะ เขาก็ใจดีมากเหมือนกัน เขามีบุญคุณกับพี่และพวกเรามากเลยนะ ที่สำคัญก็ให้น้ำเข้าไปทำงานแทนพี่ด้วยนี่นา”
หยาดอรุณอึกอัก รู้อยู่แล้วว่าครองขวัญต้องถามเช่นนี้ พี่สาวเธอเกรงใจโลเวลมากๆ เพราะเขาแสดงความใจดีมีเมตตาให้พี่สาวเธอเห็นมาตลอด ครองขวัญถึงไม่รู้ว่าอีกด้านของเขาช่างมืดบอดยิ่งนัก
“จริงๆ คุณวูล์ฟเขาไม่ได้ให้น้ำไปช่วยทำงานอะไรเลยค่ะ เขาคงอยากให้พี่ขวัญเบาใจเรื่องเงินที่เราจะหามาจ่ายค่าเช่าบ้าน เขาเลยอ้างว่าจะให้น้ำไปทำงาน แต่จริงๆ น้ำไม่เคยได้แตะต้องงานเขาเลย คงเพราะคุณวูล์ฟยังเห็นว่าน้ำเด็กไป เลยไม่กล้าเสี่ยงให้ทำงานของเขา กลัวจะเสียหาย แบบนี้น้ำก็จะรับเงินเดือนของเขาทุกเดือนๆ โดยทำแค่เดินตามเขาต้อยๆ แบบนี้นะเหรอคะพี่ขวัญ น้ำว่าน่าเกรงใจเขายิ่งกว่าอีกค่ะ” เธอชักแม่น้ำทั้งห้ามาเป็นข้ออ้าง ซึ่งก็ทำให้คนฟังนิ่งไปและพยักหน้าอย่างคล้อยตาม
“ถ้าเป็นอย่างที่น้ำบอกพี่จริงๆ ก็เกรงใจคุณวูล์ฟ เขาคงกลัวเรากังวลเรื่องเงินจริงๆ จึงยื่นข้อเสนอมาแบบนั้น แต่ถ้าน้ำไม่ได้ช่วยคุณวูล์ฟทำงานเลยจริงๆ เราก็เหมือนใช้เงินของเขาฟรีๆ” คนเป็นพี่กล่าวพลางถอนหายใจ “เฮ้อ! พี่ยิ่งลำบากใจเข้าไปใหญ่”
“ใช่ไงคะ แบบนี้พอทางภูเก็ตติดต่องานมา น้ำก็เลยตกลงไป แล้วก็ขออนุญาตเบิกเงินล่วงหน้ามาแล้วด้วย เงินส่วนนี้พี่ขวัญเก็บไว้ใช้หนี้ให้ป้าทิพย์ครึ่งหนึ่ง อีกครึ่งพี่ขวัญก็เก็บไว้ใช้จ่ายนะคะ แล้วน้ำจะพยายามหาเงินส่งมาให้เรื่อยๆ” ไม่ว่าเปล่าน้องสาวยังล้วงเงินสดในซองสีขาวมาวางบนมือเรียวของพี่สาว
ครองขวัญเบิกตาโตเมื่อเห็นว่าเป็นเงินจำนวนถึงครึ่งล้านบาท “เงินเยอะขนาดนี้ เจ้านายที่ไหนใจดีให้เบิกมาก่อนงั้นเหรอ พี่ไม่อยากจะเชื่อ”
“จริงๆ นะคะ ก็น้ำบอกแล้วไงว่าเขาใจดี ที่สำคัญเขาจ้างน้ำทำงานเดือนละตั้งห้าหมื่น น้ำเบิกมาล่วงหน้าแบบนี้ก็ขอให้เขาหักครึ่งหนึ่งของเงินเดือน”
“เด็กไม่มีประสบการณ์ทำงาน ทำไมเขาจ้างแพงจัง” คนเป็นพี่หรี่ตาอย่างฉงนใจ แต่ร่างกายที่ไม่ค่อยสู้ดีนักจึงดูเหนื่อยล้า จนเจ้าตัวไม่อยากคิดวิตกอะไรในทางไม่ดีเกินไป
“เอ่อ...เขาคงสงสารน้ำน่ะค่ะ อีกอย่างน้ำก็บอกว่าเคยทำงานพิเศษมาหลายที่ เรียกว่าประสบการณ์พอได้น่ะค่ะ”
“แน่ใจนะว่างานบริษัทจริงๆ พี่ห่วงน้ำจัง” ครองขวัญมีสีหน้าเป็นกังวล แต่น้องสาวก็เข้ามาโอบกอดและย้ำให้ความมั่นใจ
“ค่ะงานบริษัท เอ่อ...เจ้านายเป็นผู้หญิงค่ะ พี่ขวัญไม่ต้องห่วงไปนะคะ เขา...เอ่อ...เธอไม่มีลูกมีสามีค่ะ เขาบอกว่าเอ็นดูน้ำตั้งแต่เห็นใบสมัครและประวัติส่วนตัวย่อๆ ที่น้ำเขียนไปแล้ว ก็เลยรับน้ำเข้าทำงาน” เธอโกหกคนเป็นพี่ต่อไป ขณะที่ภายในใจก็ขอโทษขอโพยครองขวัญยกใหญ่ที่จำเป็นต้องกุเรื่องทั้งหมดขึ้น
“ถ้าเธอคนนั้นเป็นคนดีอย่างที่น้ำบอกจริงๆ พี่ก็คงเบาใจ”
“แต่น้ำจะต้องเริ่มทำงานวันจันทร์ที่จะถึงนี้แล้วนะคะ น้ำคงต้องเดินทางพรุ่งนี้เลย”
“ไวจัง” พี่สาวลูบเรือนผมสลวยของคนเป็นน้องอย่างนึกสงสาร “พี่ช่วยอะไรน้ำไม่ได้เลยจริงๆ ตอนนี้ก็กลายมาเป็นภาระน้องเสียอีก”
“ไม่เลยค่ะ พี่ขวัญไม่ใช่ภาระของน้ำ ขอแค่พี่ขวัญดูแลตัวเองดีๆ หายเร็วๆ แค่นี้น้ำก็ดีใจแล้วนะคะ” ใจจริงเธอห่วงครองขวัญเหลือเกิน ไม่รู้ว่าหลังจากเธอไปแล้ว พี่สาวจะเป็นอย่างไรบ้าง “น้ำจะโทร. ติดต่อพี่ขวัญบ่อยๆ นะคะ แต่ว่าน้ำคงต้องเปลี่ยนเบอร์โทร. ยังไงพรุ่งนี้ถ้าน้ำไปถึงจะโทร. ติดต่อมาหาพี่ขวัญเองนะคะ ไม่ต้องห่วงน้ำนะ” เธอรีบบอก เพราะคิดไว้ตั้งแต่แรกแล้วว่าเบอร์โทร. ปัจจุบันนี้ของเธอจะไม่ปลอดภัยนักถ้าอยากจะหนีหายไปจากผู้ชายอย่างโลเวล เธอจำต้องเปลี่ยนเบอร์ เปลี่ยนที่อยู่หนีเขา ทำตัวหายสาบสูญไปจากชีวิตเขาเลยได้ยิ่งดี
“ทำไมต้องเปลี่ยนเบอร์ล่ะ เบอร์ที่ใช้อยู่นี่ก็เพิ่งเปลี่ยนไม่ใช่เหรอ”
“ค่ะ แต่...เอ่อ...เพื่อนน้ำแนะนำเบอร์ดีๆ มาค่ะ เขาบอกถ้าใช้เบอร์ดี ชีวิตเราอาจจะดีขึ้น” ปกติเธอไม่เคยเชื่อเรื่องพวกนี้นัก แต่ก็ใช้เป็นข้ออ้างได้พอสมควร ครองขวัญไม่เอะใจสงสัยอะไร
ด้านธีราทรหลังกลับมาจากอเมริกาก็ไม่ได้กลับเข้าบ้านตนเอง แต่ไปขออาศัยนอนอยู่ที่คอนโดมิเนียมของพี่หมอเจตน์ของเขา และขอร้องให้เจตน์เก็บความลับทุกอย่างเกี่ยวกับเขาไว้ รวมถึงเรื่องมาอาศัยหลับนอนในคอนโดของคุณหมอหนุ่มด้วย ธีราทรบอกว่าจะโทร. บอกพี่ชายเรื่องที่เขาหนีกลับเมืองไทยด้วยตัวเอง แต่นั่นต้องหลังจากที่เขาได้เดินทางไปพักผ่อนที่ไหนสักแห่งจนพร้อมทั้งกาย ใจ และความรู้สึกเสียก่อน
เมื่อปล่อยให้หยาดอรุณเคลียร์ปัญหาของเธอตามที่หญิงสาวต้องการเรียบร้อยแล้ว ทั้งสองก็นัดเจอกันที่สนามบินดอนเมือง เพื่อบินขึ้นเชียงใหม่ไปพร้อมกัน ที่พวกเขาต้องทำเช่นนี้ เพราะธีราทรเห็นว่าถ้าจะพาหญิงสาวเข้าไปประกาศกับใครๆ ว่าเธอคือภรรยาของเขาและท้องลูกของเขาอยู่ ก็จำเป็นต้องหายหน้าไปจากคนอื่นๆ สักพักหนึ่ง แล้วค่อยพาหยาดอรุณกลับมากรุงเทพฯ และช่วงเวลาที่พวกเขาหายไปด้วยกันนั้นก็จะได้เรียนรู้อุปนิสัย รวมถึงทำความรู้จักกันมากขึ้นด้วย เพื่อว่าเวลากลับมาบอกใครๆ ว่าพวกเขาคือสามีภรรยากันจะได้ดูแนบเนียนและน่าเชื่อถือ
ช่วงเวลาร่วมๆ สองเดือนในการใช้ชีวิตอยู่ที่เชียงใหม่ ครรภ์ของหยาดอรุณก็นับได้สิบเอ็ดสัปดาห์แล้ว เธอมีธีราทรคอยดูแลอย่างดี เขาเป็นสุภาพบุรุษ ใจเย็น เรียกได้ว่าถ้าเขากลับไปใช้ชีวิตอย่างลูกผู้ชายสมบูรณ์แบบได้อีกครั้งและมีครอบครัว ภรรยาและลูกในอนาคตของเขาจะต้องน่าอิจฉามากๆ ที่มีธีราทรเป็นสามีและพ่อ
และถึงแม้ว่าเขาจะมีปัญหาเรื่องส่วนตัวอยู่บ้าง เพราะคงคิดถึงคู่หมั้นสาวไม่หาย ยิ่งเขาติดต่อกับพี่ชายบ่อยๆ เพราะไม่อยากให้อีกฝ่ายไม่สบายใจ ก็พลอยได้ยินเรื่องของปัญชิกากรอกเข้าหูซ้ำๆ ว่าเธอกำลังกลับมาตามหาชายหนุ่มที่เมืองไทย ยอมทิ้งการเรียนและทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อชายที่รักอย่างเขา ซึ่งในเวลาเดียวกันนั้น ผู้ชายอีกคนก็กำลังวิ่งตามหาภรรยาทางพฤตินัยของเขาที่หายไปจนแทบเป็นบ้าเช่นกัน
“พอเถอะไอ้วูล์ฟ จะดื่มอะไรหนักหนาวะ ช่วงนี้มีเรื่องเครียดอะไร ดื่มทุกวันเลย อย่าบอกนะว่าเครียดเรื่องของนายธีร์” จิรายุคว้าแก้ววิสกี้ในมือเพื่อนหนุ่มลูกครึ่งไว้ หลังจากโลเวลนั่งดื่มหนักมากมาตั้งแต่หัวค่ำจนตอนนี้เกือบจะสี่ทุ่มแล้ว และแม้จิรายุจะรู้ว่าเพื่อนสนิทคนนี้คอแข็งมากแค่ไหนในเรื่องดื่ม แต่การดื่มวิสกี้คนเดียวทั้งขวดจะไม่มีมึนเมาเลยก็คงแปลก
คนตั้งหน้าตั้งตาดื่มจนคอตกนิ่งงันไปอึดใจใหญ่ เขาไม่รู้จะบอกจิรายุว่าอย่างไรดีว่าเรื่องที่เขาเครียดจนต้องชวนมันออกมานั่งดื่มเป็นเพื่อนที่คอนโดของเขาเกือบทุกคืนเช่นนี้ไม่ใช่แค่เรื่องของธีราทรคนเดียว แต่เพราะเขาเครียดที่เมียตัวเองหนีหายไปด้วยต่างหาก ที่สำคัญเมียของเขาคนนี้จิรายุก็รู้จักในระดับหนึ่ง แต่เขาไม่เคยเล่าเรื่องของหยาดอรุณให้เพื่อนฟังเลยว่าเขากับเธอลึกซึ้งเกินเลยไปถึงขั้นไหนแล้ว ที่สำคัญเธอกำลังทำให้เขาจะบ้าตาย
“หลายเรื่อง เรื่องนายธีร์ก็ส่วนหนึ่ง เรื่องงานก็ด้วย” ที่สุดโลเวลก็บอกอย่างแบ่งรับแบ่งสู้ “ฉันไม่รู้ว่าจริงๆ แล้วนายธีร์มีปัญหาอะไรถึงได้หายหน้าหายตาไปแบบนี้ โทร. มาก็บอกว่าขอเวลาพักผ่อนสักพัก ขอเที่ยวเล่น ตามหาฝันบ้าบออะไรของมันก็ไม่รู้”
“ใจเย็นๆ บางทีน้องชายนายอาจกำลังค้นหาตัวเองอยู่”
“มาค้นหาอะไรตอนนี้ อายุยี่สิบแปดแล้วนะ มีหว่าหวาที่น่ารักแสนดีทุกอย่างรอเป็นครอบครัวอยู่ แต่จู่ๆ ก็มาขอเลิกกับผู้หญิงไปเสียงั้น” หนุ่มลูกครึ่งบ่นพลางคว้าแก้วที่จิรายุเผลอวางไว้บนโต๊ะขึ้นมากระดกพรวด แล้วรินวิสกี้ในขวดลงแก้วอีกครั้งก่อนจะดื่มอย่างไม่สนใจสายตาเหนื่อยใจของเพื่อน
จิรายุคร้านจะห้ามโลเวลเสียแล้ว เขาได้แต่มองคนที่กระดกดื่มแอลกอฮอล์แก้วแล้วแก้วเล่า และสงสัยว่าอาการเช่นนี้ของเพื่อนที่ไม่ได้เป็นให้เห็นบ่อยนักกำลังบ่งบอกว่าเพื่อนของเขามีปัญหาคิดไม่ตกครั้งใหญ่แน่ๆ แต่ว่ามันคือปัญหาอะไรกันแน่ ไม่น่าจะใช่แค่เรื่องของธีราทรและเรื่องงานอย่างที่โลเวลกล่าวอ้างเมื่อครู่เสียแล้วกระมัง
โลเวลถูกจิรายุลากมาโยนลงบนที่นอห้องนอนอย่างทุลักทุเลพอสมควร คนที่เมาแบบสติหลุดหมดสภาพชนิดที่ว่าเพื่อนสนิทอย่างจิรายุยังไม่เคยเจอมาก่อนนอนกระสับกระส่ายกลางเตียงกว้าง พลางพร่ำเพ้อ
“นะ...น้ำค้าง...คุณหายไปไหน คุณ...คุณขวัญบอกว่าคุณไปทำงานภูเก็ต ผมตามหาคุณจนจะพลิกเกาะภูเก็ตอยู่แล้ว ทำไมไม่เจอ...” เขาคร่ำครวญฟังแทบไม่ได้ศัพท์ จนจิรายุต้องเอียงหูมาฟังใกล้ๆ “น้ำค้าง...คุณมันผู้หญิงใจร้าย กล้าดียังไงมาทิ้งผัวตัวเองได้ลงคอ...ใจร้าย...”
“น้ำค้าง ใครวะ” เพื่อนหนุ่มหน้าตี๋ขมวดคิ้วแน่น “หรือแม่น้ำค้างอะไรนี่จะเป็นอีกสาเหตุที่ทำให้ไอ้หมาป่ากลายเป็นหมาบ้านเมาแอ๋แบบนี้”
จิรายุวิเคราะห์ แม้จะยังไม่รู้ว่าเจ้าของชื่อเป็นใครมาจากไหน แต่ดูจากสภาพโลเวลที่เป็นอยู่ตอนนี้ก็ทำให้เห็นได้อยู่แล้วว่าผู้หญิงที่ชื่อน้ำค้างคงจะไม่ธรรมดา ก็ถึงขนาดทำให้ วูล์ฟ โลเวล เพ้อหา มิหนำซ้ำยังแทนตัวเองว่า ‘ผัว’ แสดงความเป็นเจ้าข้าวเจ้าของเต็มปาก...ดูท่าแล้วเจ้าหล่อนไม่สวยหยาดฟ้ามาดินขั้นนางฟ้า ก็คงมีลีลาท่าเด็ดมัดใจ
คีรีลอบมองหน้าเจ้านายของตนเองที่ก้มหน้าก้มตาทำงานอย่างบ้าคลั่งมาตั้งแต่เช้า จนเลยเวลาพักเที่ยงแล้วโลเวลก็ไม่กินอะไรสักนิด เป็นอย่างนี้มาร่วมสองเดือนแล้วก็ว่าได้ที่ผู้เป็นนายของเขากินไม่ค่อยได้ นอนไม่ค่อยหลับ ถ้าจะหลับได้ก็ต้องใช้แอลกอฮอล์เข้าช่วย แถมในบางครั้งแม้โลเวลจะทำทีทุ่มเทเวลาให้แก่งาน แต่มือขวาคนสนิทที่ติดสอยห้อยตามรับใช้มาหลายปีก็พอเห็นอาการน่าเป็นห่วงของหนุ่มลูกครึ่งอยู่ดี
แม้โลเวลจะกำลังจดจ้อง ดูคล้ายสนใจงาน แต่แววตาครุ่นคิด เคร่งเครียด เหม่อลอยเป็นระยะๆ แถมยังหงุดหงิดง่าย อารมณ์ร้ายกว่าที่เคยเป็น ปกติลูกน้อง พนักงาน และคนใกล้ชิดไม่ว่าจะที่ทำงานหรือที่บ้านซึ่งเกรงกลัวชายหนุ่มเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว พอเจอสถานการณ์ช่วงนี้เข้าไปก็ไม่ค่อยมีใครอยากเข้าใกล้หรือเผชิญหน้ากับโลเวลตรงๆ สักเท่าไร
“คุณวูล์ฟครับ ตอนนี้บ่ายโมงครึ่งแล้วนะครับ ไม่พักทานข้าวเที่ยงสักหน่อยหรือครับ ทำงานหักโหมเกินไปเกรงสุขภาพจะไม่ไหวนะครับ” เพราะเขาเป็นลูกน้องคนสนิทและห่วงใยเจ้านายอย่างจริงใจ จึงยอมเป็นหน่วยกล้าตายเสมอที่จะทักให้โลเวลรู้สึกตัวบ้าง ซึ่งก็ได้ผลเมื่ออีกฝ่ายเงยหน้าจากเอกสารกองโตจ้องเขม็งมาที่เขา
“เมื่อเช้าดื่มกาแฟมาแล้ว”
“แค่กาแฟแก้วเดียวเองนะครับ แต่ข้าวยังไม่ตกถึงท้องสักเม็ด แบบนี้คุณวูล์ฟจะแย่เอาได้นะครับ” พอเห็นตาคมกริบที่มองมาอย่างแข็งกร้าว คีรีจึงก้มหน้าน้อยๆ อย่างขออภัย แต่ก็พูดเพราะความห่วงที่มีมากกว่าความเกรงกลัวผู้เป็นนาย “ขอโทษนะครับ อย่าหาว่าผมวุ่นวายหรือก้าวก่ายกับชีวิตของคุณวูล์ฟเลย แต่ผมห่วงคุณวูล์ฟจริงๆ ไม่ว่าจะมีปัญหาอะไร คนเราก็ควรจะรักและห่วงสุขภาพตัวเองสักนิดนะครับ”
“เออ...รู้แล้วน่า กินก็กินวะ ออกไปหาไรกินข้างนอกละกัน” โลเวลตอบเสียงห้วนจัด สีหน้าเหมือนไม่เต็มใจนัก แต่ก็ยอมลุกจากเก้าอี้ประจำตำแหน่งแล้วเดินออกจากห้องทำงาน
คีรีอมยิ้มขื่นๆ มองตามแผ่นหลังของผู้เป็นนายที่เดินจ้ำอ้าวนำหน้าไป ก่อนจะถอนหายใจด้วยความสงสารและเห็นใจอีกฝ่าย เขารู้เหตุผลแท้จริงที่ทำให้โลเวลมีอาการเช่นนี้ดีว่าแท้จริงไม่ได้เกิดขึ้นเพียงแค่ปัญหาของคนรอบข้างหรือเรื่องงาน แต่เกิดจากปัญหาหัวใจของผู้เป็นนายนั่นเอง และแม้คีรีอยากจะช่วยโลเวลให้พ้นจากความทุกข์ครั้งนี้สักเท่าไร เขาก็คงช่วยอะไรไม่ได้เลย ในเมื่อการตามหาหยาดอรุณที่ภูเก็ตหลายครั้งในระยะเวลาราวๆ สองเดือนมานี้ไม่พบเจอวี่แววของหญิงสาวแม้แต่น้อย
ณ ร้านอาหารอิตาลี ใกล้โรงพยาบาลเอกชนชื่อดังที่นายแพทย์เจตน์ทำงานอยู่ เมื่อโลเวลก้าวเข้าในร้านก็พบกับคุณหมอหนุ่มเพื่อนรุ่นพี่ที่เคารพ ซึ่งนั่งจับจองโต๊ะหนึ่งอยู่เรียบร้อยแล้ว เจตน์กวักมือไหวๆ ส่งสัญญาณให้แก่หนุ่มลูกครึ่ง ที่โทร. ไปนัดแกมบังคับให้เขาออกมานั่งกินข้าวเป็นเพื่อน ทั้งๆ ที่เจตน์ก็เพิ่งจะกินข้าวกลางวันไปไม่นาน แต่ก็ยอมรับปากออกมากินข้าวกับโลเวล เพราะได้ข่าวจากคีรีที่โทร. มาปรึกษาเป็นระยะๆ ว่าอีกฝ่ายอาการน่าเป็นห่วง เขาไม่อยากปฏิเสธให้โลเวลน้อยใจ และอีกนัยหนึ่งก็อยากจะมาสังเกตอาการของอีกฝ่ายด้วย
โลเวลเห็นคนมาก่อนกวักมือเรียก และขณะที่หนุ่มลูกครึ่งกำลังเดินตรงไปหาเจตน์กลับมีผู้หญิงคนหนึ่งเดินเข้าไปทักทายคุณหมอหนุ่มก่อนเขาจะถึงตัวอีกฝ่าย ท่าทางดูสนิทสนมกันของผู้หญิงคนนั้นกับเจตน์คงไม่ทำให้โลเวลแปลกใจมากนัก หากผู้หญิงคนดังกล่าวไม่ใช่ยัยผู้หญิงบ้าที่เขาเคยเจอที่โรงพยาบาลเมื่อวันก่อน
“สวัสดีค่ะคุณหมอ บังเอิญจังเลยนะคะ” รุ่งรุจีจีบปากจีบคอในแบบฉบับที่หล่อนคิดว่าสวยที่สุดขณะคุยกับคุณหมอรูปงามที่ทั้งเก่งแถมโสด
เจตน์ยิ้มรับและทักทายตอบอย่างคนมีมนุษยสัมพันธ์ดี
“อ้าว...สวัสดีครับคุณจี ก็นึกว่าใคร มาทานข้าวเหมือนกันเหรอครับ”
“ค่ะ เรียบร้อยแล้วค่ะ ฉันกำลังจะกลับพอดี ว่าแต่คุณหมอมาทานคนเดียวเหรอคะ”
“เปล่าครับ ผมนัดเพื่อนไว้ครับ คนนั้นไง” เจตน์ชี้มือไปยังโลเวล
หญิงสาวหันมองตาม และพบว่าเพื่อนของคุณหมอหนุ่มคือผู้ชายที่ทำให้เธอเพ้อหา และอยากจะจับเขามาทำสามีถาวรนั่นเอง เหตุนี้เลยทำให้ใบหน้าเคลือบรอยยิ้มก่อนหน้านี้ของรุ่งรุจียิ่งฉีกยิ้มสวยกว้างมากกว่าเดิม
ตรงข้ามกับคนที่เพิ่งเดินมาถึง โลเวลหน้าบึ้งตึงเสียจนแม้แต่เจตน์ยังไม่กล้าเย้าแหย่ ยิ่งพ่อหนุ่มลูกครึ่งตัวโตเดินมาถึงก็กระแทกก้นนั่งกับเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม โดยไม่สนใจว่าเจตน์คุยกับใครแล้วด้วยยิ่งทำให้คุณหมอหนุ่มยิ้มแทบไม่ออก
“เอ่อ...นี่เพื่อนผม...”
“สวัสดีค่ะคุณวูล์ฟ วันนี้ต้องเป็นวันโชคดีของจีแน่ๆ ที่ได้เจอคุณ” หญิงสาวรีบทักทาย โดยไม่รอให้คุณหมอหนุ่มแนะนำจนจบ
“อ้าว! รู้จักกันหรือครับนี่”
“ค่ะ รู้จะ...”
“ไม่” โลเวลตอบแทรกขึ้น ไม่ไว้หน้าสาวเจ้าแม้แต่น้อย “ไม่รู้จัก”
รุ่งรุจีกัดริมฝีปากแน่น สะบัดหน้าค้อนคนที่ชอบเย็นชาใส่เธอ ทั้งๆ ที่เธอก็ทั้งสวยและเคยเป็นคู่นอนเขามาก่อน ถึงจะแค่ครั้งเดียวก็ตามเถอะ
เจตน์วางสีหน้าไม่ถูก ไม่แน่ใจว่าทั้งสองรู้จักกันหรือไม่รู้จักกันแน่ แต่เพื่อไม่ให้สถานการณ์อึมครึมมากกว่านี้ เขาจึงแนะนำหญิงสาวให้เพื่อนได้รู้จักเสีย
“นี่คุณรุ่งรุจี เธอเป็นคนไข้ ไม่ใช่สิ น่าจะเรียกว่าลูกค้ามากกว่า เพราะปกติคุณจีไปตรวจสุขภาพที่โรงพยาบาลประจำ เลยได้เจอกันบ่อย”
โลเวลไม่ได้ยินดียินร้ายกับสิ่งที่เพื่อนแนะนำ ไม่สนใจหันมองหน้ารุ่งรุจีด้วยซ้ำ จนหญิงสาวเริ่มกระอักกระอ่วนและหน้าแตกหมอไม่รับเย็บ ก็อุตส่าห์ดีใจยิ้มให้ชายหนุ่มจนปากแทบฉีก แต่เขากลับบอกไม่เคยรู้จักเธอ แถมตอนนี้ยังทำเหมือนเธอเป็นอากาศธาตุก็ไม่ปาน
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่โลเวลทำให้เธอหน้าแตก แต่คราวนั้นก็ไม่น่าอายเท่ากับคราวนี้ ที่ต้องมาเสียหน้าต่อหน้าคุณหมอรูปหล่อ
“จีขอตัวก่อนดีกว่านะคะคุณหมอเจตน์ คุณวูล์ฟ”
เมื่อเห็นว่าโลเวลหน้าบึ้งขึ้นกว่าเดิม รุ่งรุจีจึงไม่อยู่ให้เขาพาลพาโลใส่ แม้ใจลึกๆ เธออยากจะได้คนหล่อ รวย ครบพร้อมอย่างเขาสักเท่าไร แต่ก็ไม่ควรวู่วาม คนอย่างรุ่งรุจีต้องรู้จักใช้สมองให้เกิดผลประโยชน์แก่ตัวเองมากที่สุด
หลังจากไม่มีบุคคลที่สามแล้ว เจตน์ก็หันมาสังเกตท่าทีของโลเวลอย่างจริงจังอีกครั้งพร้อมกับชวนคุย
“สั่งอะไรกินก่อนดีกว่าไหม” คุณหมอหนุ่มเลื่อนเมนูอาหารที่พนักงานเอามาวางไว้ให้เขาก่อนหน้านี้พักหนึ่งแล้วให้แก่เพื่อนรุ่นน้อง โลเวลรับไปเปิดๆ ดูอย่างคนไร้อารมณ์ ขณะเดียวกันนั้นเจตน์ก็เรียกพนักงานมารอรับออร์เดอร์พร้อมกับลอบมองหน้าหนุ่มลูกครึ่งเป็นระยะๆ
แววตาสีหน้าของโลเวลไม่สดชื่น มีความหม่นหมองเจือความหงุดหงิด ปกติเขาก็มักมีร่องรอยแบบนี้บ้างอยู่แล้ว แต่นั่นตอนเจอปัญหาเรื่องงาน ทว่าครั้งนี้เหมือนสีหน้าที่ไม่สดชื่นนั้นเกิดจากมีเรื่องอื่นผสมปนเปเข้าไปด้วย
“น้องชายนายโทร. มาบ้างไหม”
“อืม...ก็โทร. มาเรื่อยๆ”
“แล้วนายได้ถามนายธีร์ไหมว่าจะเอาไงกับเรื่องหว่าหวา นี่ตั้งแต่กลับมาจากนิวยอร์กก็โทร. มาตามหานายธีร์กับฉันหลายรอบละนะ บอกตรงๆ สงสารว่ะ” คุณหมอหนุ่มแสร้งถามทั้งๆ ที่เขาคิดว่าพอจะรู้การตัดสินใจของธีราทรบ้างแล้ว หลังจากอีกฝ่ายได้แวะไปปรึกษากับตนเองเมื่อสองเดือนก่อน แต่เพราะเขาก็รู้จักธีราทรและปัญชิกาทั้งคู่ เรื่องของทั้งสองจึงทำให้สงสารและเห็นใจน้องๆ มากเอาการ
“บอกจะขอถอนหมั้น แต่ป่านนี้ก็ยังไม่กลับมาเลย” โลเวลตอบตามที่รู้
เจตน์คิดว่าเรื่องของธีราทรและปัญชิกางมีส่วนทำให้โลเวลดูไร้ความสุข และขณะที่กำลังจะชวนอีกฝ่ายคุยเรื่องอื่นเพื่อผ่อนคลาย โทรศัพท์มือถือของหนุ่มลูกครึ่งก็ดังขึ้นเสียก่อน
โลเวลล้วงโทรศัพท์จากกระเป๋าเสื้อสูท “พูดถึงก็โทร. มาพอดี นายธีร์”
คุณหมอหนุ่มพยักหน้าให้อีกฝ่ายรีบๆ รับสาย วางท่าเหมือนไม่ได้ใส่ใจมากนัก แต่กลับนิ่งฟังบทสนทนาของสองพี่น้องอย่างตั้งใจ
“ว่าไงธีร์”
“พี่วูล์ฟครับ คือ...คือว่าผมมีเรื่องสำคัญจะคุยกับพี่ แต่ว่าคงจะไปคุยด้วยตัวเอง”
“เรื่องสำคัญอย่างนั้นเหรอ?”
“ใช่ครับ” คนในสายฟังอึกอัก “เอ่อ...พรุ่งนี้ผมจะกลับกรุงเทพฯ ครับ ผมจะพาคนคนหนึ่งไปพบพี่ แล้วก็...คุยเรื่องสำคัญกับพี่ด้วยครับ”
“พรุ่งนี้นายจะกลับ?”
“ครับ ผมจะเดินทางกลับพรุ่งนี้ ถ้ายังไงผมรบกวนขอเวลาพี่สักชั่วโมงเพื่อคุยเรื่องสำคัญของผมกับเธอ”
“เธอ นายกำลังจะบอกว่านายจะพาผู้หญิงคนอื่นมาพบพี่งั้นเหรอ นี่อะไรกัน นายนอกใจหว่าหวางั้นเหรอนายธีร์” คิ้วหนาพาดเหนือดวงตาคมกริบขมวดเข้าหากันแน่น
“ผมขอโทษครับ แต่ผมไม่อาจปฏิเสธความรับผิดชอบครั้งนี้ได้ เอาไว้พรุ่งนี้ผมจะอธิบายทุกอย่างให้ฟังครับ ผมขอโทษด้วยจริงๆ ที่อาจทำให้พี่วูล์ฟเสียใจและเสียความรู้สึก” ธีราทรเว้นจังหวะไปอึดใจหนึ่ง รอว่าโลเวลจะตัดพ้ออะไรอีกไหม แต่พี่ชายกลับเงียบ “ถ้ายังไงพบกันพรุ่งนี้นะครับ ผมจะพาภรรยาของผมไปกราบพี่วูล์ฟที่บ้าน”
โลเวลมองหน้าจอโทรศัพท์ที่ไฟดับลงด้วยความงุ่นง่าน พรุ่งนี้น้องชายเขาจะพาภรรยามาพบอย่างนั้นเหรอ ธีราทรพูดและยอมรับเต็มปากเสียด้วยว่าผู้หญิงคนที่จะพามาคือภรรยา...แต่ทำไมเขาถึงได้ใจแกว่งอย่างประหลาดแบบนี้นะ
ความคิดเห็น |
---|