6
จิรฉัตรยืนต้อนรับแขกผู้ใหญ่เสียจนปวดเมื่อยตัวไปหมด ทั้งต้องฝืนปั้นยิ้ม แล้วยังต้องทำตัวนอบน้อมโค้งศีรษะให้เพื่อนพ่อทุกคนอีก สงสัยว่าคืนนี้เขาต้องใช้ให้ภรรยานวดให้เสียแล้ว
เพียงแค่นึกว่าจะได้แกล้งหญิงสาว ชายหนุ่มก็เผลออมยิ้มคนเดียว
วิทย์กับเป้ก็ได้แต่มองหน้ากันเพราะงุนงงอีกเช่นเคย
เจ้าภาพงานเลี้ยงมองนาฬิกาข้อมือ ก่อนกระดิกนิ้วเรียกพนักงานต้อนรับให้มาหา
“ไปบอกภรรยาของฉันว่าเหลืออีกสิบห้านาที ให้เตรียมตัวเลยนะ”
“ค่ะ นายท่าน”
รับคำเสร็จ พนักงานสาวก็สาวเท้ายาวๆ ตรงดิ่งไปยังห้องพักพนักงานที่แขวนป้าย ‘ห้ามเข้า’ ไว้ทันที ผลักประตูเข้ามาพบสาวงามไร้ที่ติกำลังนั่งอยู่หน้ากระจก ดวงตาดุดั่งแม่เสือสาวปรายตามองมาผ่านกระจกเบื้องหน้า มือทั้งสองข้างกำลังสวมต่างหูเพชรที่หูซ้าย
“นายท่านให้มาบอกว่าเหลืออีกสิบห้านาทีนะคะนายหญิง ให้เตรียมตัวได้เลยค่ะ”
นายหญิงคนสวยไม่ตอบ เพียงแค่ปรายตากลับมามองตัวเองในกระจกดังเดิม พนักงานสาวปิดประตูลงช้าๆ ด้วยความเกรงใจ นึกในใจว่าหญิงสาวช่างแตกต่างจากตอนที่เดินเข้างานมาเสียจนนึกว่าเป็นคนละคน ทั้งที่ตอนเข้างานยิ้มแย้มแจ่มใสขนาดนั้น แต่ตอนนี้กลับนิ่ง ดุ และลึกลับราวกับราชินีแม่มด
เมื่อแต่งตัวเสร็จเรียบร้อย ร่างระหงก็ลุกขึ้นจากหน้ากระจกแล้วนวยนาดมาหยุดยืนมองผ้าคลุมสีขาวซึ่งคลุม 'บางสิ่ง' บนโซฟาตัวยาวไว้
“นี่จะเป็นครั้งสุดท้ายที่ฉันเป็นตัวฉันเอง”
บรรยากาศภายในงาน
“ผมมีคอลเล็กชันเครื่องเพชรของบริษัท J JEW ชุดใหม่มาโชว์เปิดงานเลี้ยงในค่ำคืนนี้ และแน่นอนว่านางแบบกิตติมศักดิ์ที่มาร่วมเดินโชว์นั้นคือ รสา จินดามหาศักดิ์ ภรรยาของผมเอง หลายท่านอาจจะคุ้นหูชื่อนี้มาบ้าง และสำหรับท่านที่ไม่รู้จักก็จะได้เห็นความงามของเธอคนนี้ครับ”
เสียงปรบมือดังกึกก้องเมื่อประธานในงานเลี้ยงกล่าวเปิดงานเป็นทางการ มาเฟียหนุ่มหล่อก้าวลงจากเวทีอย่างสง่างามภายใต้แสงแฟลชของช่างภาพส่วนตัวที่มาเก็บภาพบรรยากาศภายในงาน
ดวงตาคมกริบจับจ้องไปที่เวทีด้วยใจจดจ่อ แขกเหรื่อคนอื่นในงานก็สนใจบนเวทีไม่แพ้กัน เสียงเพลงค่อยๆ ดังขึ้นต้อนรับบุคคลผู้เคยได้รับฉายาว่านางพญารันเวย์ ท่านเรืองศักดิ์เหลือบไปมองบนเวทีเพียงชั่วพริบตาโดยไม่ใส่ใจ แต่แล้วก็ต้องหยุดชะงักงันเมื่อลูกสะใภ้ที่เขาไม่ชอบหน้า บังคับให้สายตาของทุกคนในงานจับจ้องไปที่เธอ
ร่างระหงของรสาในชุดราตรีเกาะอกสีดำปักเลื่อมวิบวับอวดเนินอกสวยได้รูป หัวไหล่โค้งมน และไหปลาร้าเฉียงขึ้นทรงเสน่ห์ ผิวพรรณขาวนวลเนียนตัดกับสีชุด ช่วงเอวพอดีตัวเผยเอวเอสบางคอดกิ่ว ช่วงลำคอระหงประดับด้วยสร้อยเพชรเส้นใหญ่ ยามแสงสปอตไลต์สาดส่องไปที่เธอ ต่างหูและแหวนก็สะท้อนความวิบวับคล้ายดวงดารายามราตรี
เสียงฮือฮาดังขึ้นทันทีเมื่อนางแบบสาวสับขาเดินด้วยความมั่นใจ นัยน์ตาคู่สวยมองเพียงเบื้องหน้า ไม่มีสติหลุดหรือฉายแววตื่นเต้น ยามก้าวขาแขนเล็กเรียวก็จะแกว่งไกวไปมา ช่างดูเหมือนศิลปะที่จับต้องไม่ได้ เมื่อหญิงสาวหยุดยืนโพสท่าเผยให้เห็นเครื่องเพชรชัดๆ ตรงด้านหน้าเวที ก็ยิ่งทำให้หนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่แทบคลั่งเพราะความสวย
“ภรรยาคุณฉัตรสวยชะมัด สวยกว่าดาราหลายๆ คนอีก”
เสียงชื่นชมจากผู้คนในงานดังขึ้นไม่ขาดสาย ความโดดเด่นที่ขับให้เครื่องเพชรดูมีราคาสูงขึ้นกว่าเดิมสร้างความตกตะลึงและพึงพอใจให้แก่มาเฟียหลายสิบตระกูลเป็นอย่างมาก
ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะตระกูลอื่นไม่เคยจัดงานเลี้ยงสมาคมโดยมีการเดินแบบเปิดงานมาก่อน และที่สำคัญที่สุดคือจิรฉัตรไม่เคยพาภรรยาของเขามาเปิดตัวอย่างเป็นทางการเลยสักครั้ง ความตื่นเต้นจึงเพิ่มขึ้นทวีคูณ
จิรฉัตรเริ่มรู้สึกไม่สบอารมณ์นักเมื่อเห็นผู้ชายคนอื่นชื่นชมความงามผู้หญิงของเขาอย่างออกนอกหน้า คิ้วสีดำเข้มขมวดเข้าหากันจนแทบจะผูกเป็นปม แววตาขุ่นเคืองปรากฏชัด แต่พอหันกลับไปมองใบหน้างดงามของรสาบนเวที ความขุ่นเคืองก็มลายหายไป มีเพียงความพึงพอใจเกิดขึ้นมาแทน
นี่สิรสาที่เขารู้จัก
ทั้งมั่นใจเต็มเปี่ยม สง่างาม และเข้าถึงยาก
หญิงสาวโพสท่าอยู่บนเวทีสักพักก่อนจะหมุนกายเดินกลับเข้าไปยังด้านหลัง จิรฉัตรรีบเดินขึ้นเวทีเพื่อกล่าวจบพิธีเปิดงาน พนักงานในบริษัทจิวเอลรีของเขาหลายสิบคนเดินพูดคุยและให้คำแนะนำบรรดาแขกที่สนใจเครื่องเพชรที่เพิ่งได้ยลโฉมไปเมื่อครู่ทั่วทั้งงาน ชายหนุ่มปล่อยให้บรรยากาศในงานครึกครื้นแบบนี้ไปเรื่อยๆ ส่วนตัวเขารีบตามไปหาภรรยาที่ด้านหลังเวที
ทางด้านรสา หลังลงจากเวทีหญิงสาวก็รีบถอดรองเท้าแล้ววิ่งไปตามทางเดินเพื่อกลับไปยังห้องพักพนักงานทันที เป้าหมายคือเอาชุดไปคืนให้น้องสาวฝาแฝดที่สลบไสลไปก่อนหน้า แล้วกลับไปยังเพนต์เฮาส์เพื่อขนของกลับเชียงใหม่
เธอออกจากโรงพยาบาลเมื่อหลายวันก่อน ร่างกายของเธอยังไม่ฟื้นตัวดี แต่เพราะเห็นข้อความที่ริศาส่งไปหาแม่โดยบังเอิญ เธอจึงรีบเดินทางมาช่วย เธอไม่เข้าใจว่าทำไมพ่อกับแม่จึงต้องคิดแผนสวมรอยไร้สาระนี่ขึ้นมาด้วย
คิดว่าจิรฉัตรโง่มากหรือไง!
“รสา!”
เจ้าของชื่อสะดุ้งเฮือก เมื่อได้ยินเสียงของคนที่เธอเพิ่งนึกถึงเมื่อครู่ ชายหนุ่มวิ่งตามเธอมาจนผมที่เซตไว้ปรกหน้าผาก ดูจากที่วิ่งหน้าตั้งมาขนาดนี้แสดงว่าความสัมพันธ์ของเขากับริศาคงจะดีอยู่ไม่น้อยสินะ
“มีอะไร”
จิรฉัตรมองหน้าภรรยานิ่ง มือหนายกขึ้นปาดเหงื่อเม็ดเล็กๆ ที่ผุดขึ้นตรงขมับของเธออย่างเบามือ
“ทำไมถึงวิ่งมาล่ะ คุณเจ็บเท้าอยู่นะ”
รสาอึ้งไปเล็กน้อย นี่เขากล้าแตะเนื้อต้องตัวเธอหรือ
หรือว่ายัยริศาทำอะไรพิเรนทร์ๆ อีก...
“ฉันรีบ ขอตัวนะ”
ร่างบางหมุนกายหันหลังให้ ตั้งใจจะเดินออกจากตรงนี้ แต่ร่างสูงช้อนตัวเธอลอยขึ้นเสียก่อน
“คุณกำลังจะไปไหนกันแน่”
“ห้องแต่งตัวไง!”
รสาโวยลั่น ดิ้นไปมาจนอีกฝ่ายแกล้งจะปล่อยเธอหล่น เธอจึงโอบรอบคอเขาไว้แน่นจนเขาหายใจไม่ออก ไอแค็กๆ ออกมาสองสามที
“จะฆาตกรรมผมหรือไง”
“ฉันฆ่าคุณจริงแน่ ถ้ายังไม่ปล่อยฉันลง”
มือบางกำปกคอเสื้อเขาแน่น น้ำเสียงเข้มยืนยันว่าเธอไม่ได้พูดเล่น จิรฉัตรหรี่ตามองอย่างจับผิด สงสัยว่าอยู่ๆ แม่ตัวดีเกิดคลั่งอะไรขึ้นมาอีก หรือว่านึกอยากหย่าขึ้นมาเสียดื้อๆ
“เป็นอะไร”
เขาถาม พร้อมกระชับร่างบางให้แนบกับแผงอกแกร่งมากขึ้น หากเป็นก่อนหน้านี้รสาคงบีบคอเขาตายคามือไปแล้ว ทว่าตอนนี้ร่างกายเธอยังไม่ฟื้นตัวดี เรี่ยวแรงยังมีอยู่น้อยนิด หากสู้กับเขาก็คงมีแต่จะแพ้ ดังนั้นเธอจึงนึกแผนใหม่ขึ้นมา
“งั้นไปส่งที่ห้องพักหน่อย ฉันจะไปเข้าห้องน้ำ”
รสาคลายคอเสื้อของอีกคนออก ก่อนใช้มือกดๆ มันให้เข้าที่เพื่อให้ดูไม่ยับจนเกินไป ในเมื่อเขาอยากอุ้มเธอดีนัก เธอก็จะใช้เขาเป็นแกร็บพลังงานคนรวยไปส่งเสียเลย
จิรฉัตรสังเกตเห็นต่างหูของหญิงสาวกำลังจะหลุดออกจากหู เขาแปลกใจที่คนเนี้ยบตั้งแต่หัวจดเท้าแบบรสา รีบร้อนจนจัดการตัวเองไม่เรียบร้อยเช่นนี้
“วิ่งขนาดนั้นเพชรผมหลุดไปกี่กะรัตแล้วเนี่ย”
เขากระซิบเสียงพร่า ก่อนใช้ปากงับต่างหูออกจากติ่งหูเธอเบาๆ ปลายจมูกโด่งฝังลงที่หลังหูของคนในอ้อมแขน
ผึง!
เหมือนมีเสียงเส้นความรู้สึกขาดออก รสาออกแรงทั้งหมดดิ้นจนจิรฉัตรปล่อยเธอร่วงลงพื้น พอพยุงตัวลุกขึ้นยืนได้ หญิงสาวก็ขว้างรองเท้าใส่คนตัวสูงทันที โชคดีที่เขาหลบทันไม่อย่างนั้นคงเข้าหน้าเต็มๆ
“รสา เราตกลงกันแล้วนะ!”
จิรฉัตรโวยวายบ้าง เขาผิดตรงไหนกันในเมื่อเธอยอมยกเลิกสัญญาบ้าบอนั่นเป็นการชั่วคราวแล้ว
รองเท้าข้างที่เหลือถูกปามาลงที่ลูกกระเดือกเขาเต็มแรง ทำเอามาเฟียหนุ่มจุกจนพูดไม่ออก มองตามหลังแม่ม้าพยศที่วิ่งแจ้นหายเข้าไปในห้องพักพนักงานแบบไม่หันกลับมามองผลงานของตัวเองด้วยซ้ำ
กลับบ้านไปเจอดีแน่!
รสาลงกลอนประตูแน่นหนา แนบหูฟังจนแน่ใจว่าจิรฉัตรไม่ได้ตามเธอมา ใบหน้าจองหองพ่นลมหายใจเหนื่อยหน่ายปนรำคาญออกมาเบาๆ ครั้นพอหมุนตัวกลับมาก็พบน้องสาวฝาแฝดยืนมองอยู่ด้วยสายตาตะลึงงงงัน เธอใช้ผ้าคลุมสีขาวห่อร่างเกือบเปลือยไว้ หลังจากโดนขโมยชุดไปตอนหมดสติ
“รสา”
ริศารีบปรี่เข้ามาจับมือพี่สาวทันที กลัวว่าภาพตรงหน้านี้จะเป็นเพียงความฝัน
“มาอยู่ที่นี่ได้ยังไง ฟื้นขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไหร่ แล้วกลับมาจากอเมริกานานหรือยัง”
คำถามยาวเหยียดถาโถมใส่รสาจนเลือกตอบไม่ถูก หญิงสาวดึงมือออกจากการเกาะกุมของคนน้อง ก่อนแกะมวยผมออก ผมยาวเหยียดตรงร่วงลงสัมผัสแผ่นหลังเนียน ต่างหูข้างที่เหลือถูกถอดออกแล้วยัดใส่มือริศา ตามด้วยสร้อยเพชรเส้นหนา นางแบบสาวรูดซิปชุดราตรีข้างหลังลงแล้วถอดออกโดยไม่มีเคอะเขิน กลายเป็นว่าคนมองต้องเป็นฝ่ายยกมือขึ้นปิดตาเสียเอง
“ใส่ซะ”
รสาว่า ก่อนเดินเข้าห้องน้ำไปสวมเสื้อผ้าที่เธอใส่เข้ามาในโรงแรมตอนแรก เธอซ่อนมันเอาไว้หลังชักโครก ใช้เวลาเพียงไม่นานนางแบบสาวก็ออกมาในชุดเสื้อสีดำเข้ารูปแมตช์กับกางเกงยีนขายาวสีเข้ม เผยหุ่นเพรียวบางแม้ว่าจะใส่รองเท้าผ้าใบธรรมดา
ริศายกมือขึ้นปิดปาก
นี่มันเสื้อผ้าของเธอนี่!
แล้วมันก็อยู่ที่บ้านที่เชียงใหม่ด้วย
“รสา เธอกลับไปที่บ้านมาแล้วเหรอ”
รสาครางรับในลำคอ ก่อนหยิบมาสก์ขึ้นมาสวมปกปิดใบหน้า ไม่สนใจน้องสาว ตั้งท่าจะเดินออกจากห้องลูกเดียว ทว่าริศาไม่ยอม เข้ามาขวางประตูไว้ กางแขนกันไม่ให้เธอออก
“หลีกไป”
รสากดเสียงต่ำ
“ไม่ เธอต้องกลับมาใส่ชุดนี้ กลับมาเป็นภรรยาของคุณฉัตร”
ริศาว่า เธอยังไม่กล้าใส่เครื่องเพชรดังเดิม เพราะต้องการให้พี่สาวเปลี่ยนตัวกลับไปเป็นเหมือนก่อน
รสาไล่มองน้องสาวตั้งแต่หัวจดเท้า กอดอกกระตุกยิ้มมุมปาก “พอจับแต่งหน้าแต่งตัวแล้ว เธอก็ดูใช้ได้อยู่นะ”
“ฉันไม่ได้อยากให้เธอชม ฉันอยากให้เธอกลับมา”
“จริงเหรอ” รสาหรี่ตามองอีกคน ราวกับกำลังจับผิด “ทั้งๆ ที่เธอชอบคุณฉัตรน่ะเหรอ”
“รสา...ไม่ใช่นะ”
ริศาน้ำตาคลอ
“พ่อกับแม่ไม่อยากให้ฉันหย่า แต่ฉันอยาก เพราะฉะนั้นคนที่จะทำตามความปรารถนาของสองคนนั้นได้ก็มีแค่เธอเท่านั้นริศา”
ปลายนิ้วกลางจิ้มลงที่กลางอกของน้องสาวเบาๆ “อย่าคิดว่าเป็นเงาของฉันเลย ยังไงเธอก็คือเธอ ฉันก็คือฉัน เราสองคนไม่มีอะไรเหมือนกันอยู่แล้ว แค่สลับชื่อกันนิดหน่อยจะเป็นไรไป”
คนพี่ดันคนน้องออกจากประตู มือเรียวจับลูกบิดแน่นคล้ายกำลังกำหมัด เสียงกลอนบิดดังแกร๊ก! เป็นจังหวะเดียวกันกับที่น้ำตาของริศาร่วงลงพื้น รสาผลักประตูออกและก้าวออกจากห้องไปโดยไม่เอ่ยคำลา
ริศาทิ้งตัวลงบนโซฟา กลั้นสะอื้น เธอเกลียดตัวเองที่ไม่กล้าปฏิเสธกับพี่สาวด้วยความหนักแน่นว่าไม่ได้ชอบจิรฉัตร การอยู่ร่วมกันกับเขาทุกวันตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา ทำให้หัวใจของเธอพองโตเหลือเกิน แต่...เขาไม่ใช่คนของเธอ
ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก!
เสียงเคาะประตูเรียกสติหญิงสาว ริศาปาดน้ำตา สูดน้ำมูก รีบลุกไปเปิดประตูเพราะคิดว่าพี่สาวของเธออาจวกกลับมา แต่คนที่ยืนทำหน้าบึ้งตึงอยู่หน้าประตูนั้น ทำให้อารมณ์เศร้าของเธอแปรเปลี่ยนเป็นเสียวสันหลังวาบ
“คุณฉัตร...”
จิรฉัตรโยนรองเท้าส้นสูงของภรรยาลงบนพื้นข้างหนึ่ง...ก็ไอ้ข้างที่กระแทกคอของเขานั่นแหละ
“กลับบ้าน”
เขาพูดเสียงเย็นชา ฟังดูทรงอำนาจแปลกๆ
“อีกข้างหนึ่งล่ะคะ”
“ทิ้งไปแล้ว ใส่ข้างเดียวกลับนี่แหละตลกดี”
ริศากะพริบตาปริบๆ อยากจะต่อล้อต่อเถียงด้วยใจจะขาด แต่สายตาแข็งกร้าวของชายหนุ่มทำให้เธอไม่กล้าปริปากพูดอะไรแม้แต่คำเดียว หายใจแรงยังไม่กล้า จึงได้แต่เดินกะเผลก เพราะสวมรองเท้าข้างเดียวเดินออกจากงาน ดีที่ชุดราตรีของเธอยาวลากพื้นจนมองไม่เห็นว่าสวมรองเท้าไม่ครบคู่
จิรฉัตรเองเดินห่างจากเธอเป็นเมตร ทำให้เธอไม่มีที่เกาะเกี่ยวช่วยพยุงเวลาเดิน เดิมทีใส่ส้นสูงธรรมดาก็ลำบากจะแย่แล้ว แล้วยิ่งเดินพื้นข้างหนึ่งสูงข้างหนึ่งเตี้ยอย่างนี้ยิ่งลำบากเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัว
เธอไปทำอะไรให้เขากัน
หรือว่าเป็นรสาตัวจริงที่ทำ...
พอเดินมาถึงรถที่จอดอยู่หน้าโรงแรม จิรฉัตรก็ไม่ยอมเปิดประตูให้หญิงสาว เขาตรงไปนั่งที่คนขับเลย พอเธอจะเปิดประตูเขาก็ออกรถแกล้งให้อีกคนวิ่งตามอยู่สี่ห้ารอบ จนเห็นว่าเธอเบะหน้าเหมือนจะร้องไห้นั่นแหละ ถึงได้ยอมจอดให้ขึ้นดีๆ
ก็แม่ตัวดีเล่นอารมณ์สวิงปั่นหัวเขาวุ่นอย่างนั้น จะไม่ให้โกรธได้ยังไงล่ะ
รถหรูสีดำเคลื่อนออกจากประตูโรงแรมไปแล้ว รสาลอบมองเหตุการณ์ทุกอย่างเมื่อครู่ตั้งแต่ต้นจนจบ ช่างน่าแปลกเมื่อดวงตาคู่สวยที่เคยแข็งกร้าว บัดนี้ดูเศร้าเสียจนสามารถทำให้คนมองหดหู่ตามไปด้วย
ความคิดเห็น |
---|