9

บทที่ 9


บทที่ 9

            เวียงดาวเอาความไว้ใจของเพื่อนรุ่นพี่ใส่หัวใจมาเต็มร้อย จัดกระเป๋าสำหรับออกเดินทางในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ แล้วไปรับปลายรุ้งที่บ้าน บอกว่าจะพาไปเที่ยวในช่วงหยุดปิดเทอม

                ใจจริงๆ เธอก็อยากพาชยาตามาด้วย แต่เพราะต้องหลบซ่อนให้พ้นจากคนที่ลอบทำร้าย แม่ของปลายรุ้งจึงทำอะไรไม่ได้นอกจากซ่อนตัวและคอยฟังข่าวจากเพื่อนที่เป็นตำรวจว่ามีความเคลื่อนไหวอะไรจากผู้ต้องสงสัยหรือไม่ หรือได้หลักฐานชี้ตัวคนบ่งการได้เมื่อไหร่ เรื่องวุ่นวายนี่จะได้จบลงเสียที

                “ก็พี่บอกแล้วไงว่าไม่ให้ไป”

                ทรงพิทักษ์ไม่ให้เธอเข้าบ้าน แต่มายืนหน้ายักษ์อยู่นอกรั้ว สงสัยที่ชยาตาโทรมาบอกนั่นแปลว่าไม่ได้ผล แต่มาถึงขั้นนี้แล้ว เธอคงไม่ปล่อยให้แผนล่มง่ายๆ

                “แต่พี่ติ๋วอนุญาตแล้วค่ะ” เวียงดาวบอกเบาๆ เพราะกลัวคนมาได้ยิน “อีกอย่างเวียงดาวโทรนัดกับปลายรุ้งไว้แล้วด้วย”

                “ก็ไปยกเลิกสิ” จอมเผด็จการของเธอบอกเสียงเย็น “พี่ก็บอกคุณติ๋วแล้วไงว่าตอนนี้ทำโทษกักบริเวณปลายรุ้งอยู่ ถ้าไม่ทำโทษเสียบ้าง คงทำผิดอย่างไม่กลัว ต่อไปคงได้เสียคน”

                “ก็เลยจะเอาตัวไปเข้าคุกว่าอย่างนั้นเถอะ”

                “คุกอะไร”

                “ก็ถ้าพี่แทนเอาตัวปลายรุ้งไปอยู่ในที่ที่ไม่อยากอยู่ แถมยังทำโทษกักบริเวณ ไม่ว่าจะที่ไหนก็เหมือนคุกทั้งนั้นแหละค่ะ”

                “เวียงดาว…”

                นี่เธอพูดแรงเกินไปไหม…

เวียงดาวเริ่มไม่แน่ใจเสียแล้ว เพราะทรงพิทักษ์ถึงกับพูดไม่ออกสักคำ ได้แต่ยืนมองหน้าเธออยู่อย่างนั้น เหมือนจะอ้าปากพูดอะไรสักอย่างแต่กลับทำได้เพียงเรียกชื่อ เอาแต่ยืนนิ่งและมองเธอด้วยสายตาแสนสับสน เหมือนความมั่นใจของเขาหายไป

แต่เพียงไม่นานนัยน์ตาดำสนิทก็ฉายแววขึ้นมาใหม่ สลับกันอยู่จนเธอดูออกว่าเขากำลังสับสน ในใจของทรงพิทักษ์ตอนนี้ คงโต้เถียงกันอย่างหนัก ไม่รู้จะเชื่อตัวเองต่อไป หรือเชื่อคนที่อยู่ตรงหน้านี้ดี

                “น้าเวียงดาว!”

                เสียงร้องเรียกจากในบ้านทำให้ทรงพิทักษ์เลิกมองหน้าเธอแล้วหันขวับไปด้านหลัง พบเด็กสาววิ่งเข้ามาหาเธอด้วยรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความหวัง แต่ดูจากเนื้อตัวของเด็กสาวแล้วก็ไม่มีรอยพกช้ำอะไร คนเป็นพ่อคงไม่ตีโทษฐานหนีเที่ยว

ทว่าสีหน้าของปลายรุ้งก็บอกชัดว่าอยากไปจากบ้านหลังนี้เต็มทน การอยู่กับพ่อทำให้อึดอัดมากเพียงนี้เชียวหรือ

                “มารับปลายรุ้งแล้วใช่ไหมคะ” ปลายรุ้งมองเธออย่างมีความหวังแล้วกระชับเป้ใบใหญ่บนบ่าเหมือนพร้อมจะออกไปเดินทางไปจากที่นี่อยู่ทุกเมื่อ “ไปกันเถอะ”

                “แต่พ่อกักบริเวณหนูอยู่นะปลายรุ้ง” คนไม่ยอมให้ลูกไปไหนบอกเสียงแข็ง “กลับเข้าบ้านไปเดี๋ยวนี้”

                “ไว้ให้ปลายรุ้งไปเที่ยวกับน้าเวียงดาวก่อนแล้วกันนะคะ แล้วจะกลับมาให้คุณพ่อทำโทษต่อ”

ปลายรุ้งบอกเสียงเย็นแล้ววิ่งผ่านประตูรั้วระแนงมากอดแขนเธอราวกับจะหาเกาะป้องกันภัย

“ไปกันเถอะค่ะน้าเวียงดาว”

                “พ่อบอกว่าไม่ให้ไป!”

                “ที่ไม่ให้ไป เพราะพี่แทนเป็นห่วงปลายรุ้งหรือแค่อยากทำโทษคะ”

เวียงดาวถามแทรกอย่างสุดจะทนแต่ก็ตะล่อมให้เข้าแผนที่วางมาด้วยเสียเลย

“ถ้าเพราะอยากเอาชนะ พี่แทนก็เอาตัวปลายรุ้งไปขังไว้ในบ้านให้สมใจเถอะค่ะ แต่เวียงดาวสัญญาเลยว่าจะแจ้งมูลนิธิคุ้มครองเด็กมาเอาเรื่องกับพี่… แต่ถ้าเพราะเป็นห่วง จะไปกับเราสองคนก็ได้นะคะ”

                “ไม่เอานะคะน้าเวียงดาว!” ไม่ทันที่ทรงพิทักษ์จะตอบเธอ เด็กสาวก็ร้องอย่างตระหนก “ปลายรุ้งไม่ให้คุณพ่อไปด้วยหรอก หมดสนุกกันพอดี”

                “แต่ถ้าคุณพ่อไปด้วย ก็เพราะเป็นห่วงปลายรุ้งนะจ๊ะ”

เวียงดาวกล่อมต่อแล้วปรายสายตาไปหาพ่อของเด็กสาวที่ยืนทำหน้าไม่ถูกอยู่ในตอนนี้ ซึ่งทำให้รู้ว่าเธอกำลังเป็นต่อ

“จริงไหมคะพี่แทน พี่แทนอยากไปเที่ยวกับเรา เพราะเป็นห่วงปลายรุ้ง ไม่ได้จะไปควบคุมความประพฤติจนปลายรุ้งเที่ยวไม่สนุกเสียหน่อย”

                “เวียงดาว…”

 

                เสียงเย็นๆ ของทรงพิทักษ์ทำให้เธอขนลุกอยู่เหมือนกัน แต่ก็ยิ้มออกอีกครั้งเมื่อพบว่าการเจรจาทำเสร็จ เธอสามารถพาสองพ่อลูกออกไปเที่ยวด้วยกันได้ แม้ปลายรุ้งจะไม่ยอมนั่งเบาะข้างคนขับรถก็ตาม

                ปลายรุ้งขึ้นรถก่อนเธอเสียอีก ขึ้นมาไปนั่งเบาะหลังของรถญี่ปุ่นสีตะกั่วของพ่อ แล้วกอดออกแน่น หน้าเชิดแล้วมองออกนอกกระจกดูข้างทาง ไม่ยอมสบตากับใครผ่านกระจกมองหลัง แต่อย่างน้อยเวียงดาวก็ใจชื้น หวังว่าการไปเที่ยวด้วยกันของสองพ่อลูก จะช่วยประสานรอยร้าวได้

                เธอไม่ได้ชวนทรงพิทักษ์ตั้งแต่แรกที่มั่นใจว่าเขาจะมาด้วยให้ได้และก็จริงดังที่คิด เวียงดาวรู้ว่าคนเป็นพ่อคงทั้งหวงและห่วงลูก ไม่กล้าปล่อยมากับเธอสองคนแน่ เพราะเขารู้ดีแก่ใจว่าน้าเวียงดาวคนนี้จะไม่ขัดใจปลายรุ้ง และไม่มีทางรับมือได้หากเด็กสาวมีอาการเอาแต่ใจ เขาไม่ปล่อยให้เธอมาเผชิญหน้ากับเรื่องนี้เพียงลำพังแน่

                “แล้วนี่จะไปไหน”

คนที่ขับรถออมากถึงถนนใหญ่หน้าหมู่บ้านเสียงเย็น หน้าตาดูบู้บี้ไม่เหมือนคนจะไปเที่ยวเลย แต่ก็ช่างเถอะ ไม่ว่าจะทำหน้าแบบไหน ทรงพิทักษ์ก็ตกหลุมพรางเธอมาแล้วนี่

“ใกล้ๆ นี่แหละค่ะ… ปากช่อง วังน้ำเขียว หรือไม่ก็เขาใหญ่มั้งคะ”

“มั้งคะ?” ทรงพิทักษ์ทวนคำตอบของเธอแล้วหน้ายุ่งเข้าไปใหญ่ “จะไปเที่ยว แต่ยังไม่ได้วางแผนเลยเหรอเวียงดาว”

“ไม่เลยค่ะ” เธอตอบหน้าตาย “เท่าที่รู้ว่าจะไปไหนก็เป็นการวางแผนที่มากพอแล้วสำหรับเวียงดาว แล้วที่เหลือก็จะปล่อยไปตามความรู้สึก ชอบที่ไหนก็จะแวะที่นั่นแหละ”

“เบื่อจริงๆ พวกอารมณ์ศิลปิน”

“เบื่อพวกผู้คุมกฎ เป้ะๆๆ ไปทุกเสียเรื่องเหมือนกันค่ะ”

ทรงพิทักษ์ถึงกับถอนหายใจแรงแต่เห็นได้ชัดว่ายอมแพ้ แล้วยิ่งหน้าบึ้งเข้าไปใหญ่จนจะกลายเป็น ‘พี่หน้ายักษ์’ จริงๆ เพราะคงรู้ว่าไม่มีทางต่อล้อต่อเถียงกับเธออีกกับเธอให้ชนะได้… แต่ในรอยยิ้มชอบใจก็เวียงดาว เธอได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆ ของคนที่นั่งอยู่เบาะหลัง

ปลายรุ้งคงอารมณ์ดีขึ้นมาแล้วเมื่อได้เห็นอีกมุมของพ่อ…

แต่หลังจากนั้นรถก็เงียบและแล่นลิ่วไปบนถนนมิตรภาพเข้าสู่ดินแดนภาคอีสานสาน ที่แรกที่ทรงพิทักษ์แวะจอดให้คือฟาร์มชื่อดังในอำเภอปากช่อง แต่เพราะนักท่องเที่ยวมากเหลือเกิน คนไม่ชอบความอึกทึกจึงไม่ยอมเข้าไปในฟาร์ม กินสเต็กในร้านของฟาร์มอิ่มแล้วก็ไล่ทุกคนขึ้นรถ แล้วพาไปกินน้ำข้าวโพดที่ไร่สุวรรณต่อ

“จะไปกันต่อหรือยัง ปลายรุ้ง”

อยู่ที่ไร่สุวรรณสักพักทรงพิทักษ์จะชักจะหน้าบูดอีกรอบ เพราะเห็นปลายรุ้งถ่ายรูปเซลฟี่กับแปลงเกษตรที่ทางไร่จัดไว้ให้นักท่องเที่ยวถ่ายภาพ มีทั้งดอกไม้พืชผักนานาพรรณ ฤดูฝนอย่างนี้ต้นไม้ใบไม้ยิ่งเขียวขจี และปลายรุ้งก็ดูจะชอบใจกับแปลงดอกทานตะวันมากที่สุด

“เดี๋ยวสิคะ ยังถ่ายไม่พอเลย” ปลายรุ้งแย่หน้านิ่ว “ขอถ่ายเก็บไว้เยอะๆ หน่อยเถอะ นานๆ จะได้ออกมาต่างจังหวัดสักที”

“อย่านานนักนะ เดี๋ยวจะค่ำมืดไปเสียก่อน”

“เจ้าข้า”

ปลายรุ้งรับคำส่งๆ แล้ววิ่งลึกเข้าไปในแปลงดอกไม้ ทิ้งให้เธอยิ้มแห้งๆ ให้พ่อของเด็กสาวที่ยืนทำหน้าหงิกอยู่ข้างรถยนต์ของตัวเอง เห็นแล้วก็ส่ายหน้าให้ขำๆ แต่เข้าใจเขา คนที่ทำงานแข่งกับเวลาเพราะมีชีวิตของคนไข้เป็นเดิมพัน ซ้ำยังตีตัวเองอยู่ในกรอบระเบียบวินัยอยู่เสมอ ทำอะไรอยู่บนการวางแผนตลอดเวลา จะให้มาเอ้อระเหยลอยชายอย่างนี้ก็คงหงุดหงิดไม่เบา

“พี่แทนกินไอศกรีมไหมคะ” เวียงดาวถามอย่างเอาใจเผื่อบรรเทาอาการหน้าหงิกของคนที่ต้องมารอลูกสาวถ่ายได้ “เขาว่าไอศกรีมรสข้าวโพดอร่อยนะ”

“ไปซื้อมาสิ”

ทรงพิทักษ์ตกลงง่ายดายจนเธอยังประหลาดใจ แต่เพราะเขาตกลงหญิงสาวจึงไม่ต่อปากต่อคำอะไรอีก เดินเข้าไปในร้านขายของฝากแล้วหยิบไอศกรีมรสข้าวโพดมาถ้วยหนึ่งพร้อมน้ำเปล่าเผื่อว่าเขากินของหวานแล้วจะแสบคอ จ่ายเงินแล้วก็รีบกลับออกมาเพราะกลัวคนรอจะอารมณ์เสีย

“มาแล้วค่ะ กินรอปลายรุ้งไปพลางๆ ก่อนนะ”

หญิงสาวยื่นถ้วยไอศกรีมให้แต่เขาไม่รับ ชายหนุ่มทำเพียงเงยหน้าจากหน้าจอโทรศัพท์ที่กำลังดูอยู่ แล้วขึ้นมามองหน้าเธอ ถือเครื่องมือสื่อสารไว้ทั้งสองมือแล้วมองหน้าเธอเหมือนว่าเวียงดาวคนนี้ทำอะไรผิดไป

“มือไม่ว่างนี่ แกะให้กินหน่อยสิ”

“ก็วางโทรศัพท์ก่อนสิคะ” เวียงดาวไม่เข้าใจว่าทำไมเรื่องแค่นี้ต้องให้บอก “หรือค่อยกินก็ได้”

“ก็อยากกินไปดูโทรศัพท์ไป” คนหน้าตายเถียงแบบไม่มีสีหน้าใดๆ แต่ทำเอาเธอมองตาค้างไปเลย “แต่ถ้าไม่อยากป้อนก็ไม่เป็นไร ไว้พี่ดูโทรศัพท์เสร็จแล้วจะกิน แต่ป่านนั้นไอศกรีมคงละลายหมดแล้วมั้ง”

“หื้อ!?!”

เวียงดาวได้แต่ครางอยู่ในลำคอเพราะดูทีแล้วว่าคนที่บอกอยากกินไอศกรีมจนเธอยอมเดินไปซื้อให้จะปล่อยให้มันละลายจริงๆ เขาแต่ก้มหน้ากดสมาร์ตโฟนหน้าเคร่งไปหมด ไม่เห็นจะสนใจกินอะไรเลย แล้วนี่จะปล่อยให้ของกินละลายเสียทิ้งเปล่าไปจริงๆ น่ะหรือ

“พี่แทน ไอศกรีมค่ะ”

พอเวียงดาวยอมป้อนเขาก็ยอมเงยหน้าจากหน้าจอขึ้น อ้าปากคาบช้อน รูดเอาไอศกรีมข้าวโพดคำโตเข้าไปจนหมด รสชาติคงถูกใจ ทรงพิทักษ์ถึงได้ยิ้มหวานเชียว

“ขอบคุณครับ” คนกินไอศกรีมบอกอย่างอารมณ์ดีแล้วชวนเธอคุยอีกต่างหาก “แล้วนี่เราจองที่พักหรือยัง”

“ยังเลยค่ะ”

“หา!” ทรงพิทักษ์ถึงกับตาเหลือกขึ้นมาอีกรอบ “นี่คงไม่คิดว่าจะค่ำไหนนอนนั่นหรอกนะ แล้วถามจริงๆ ถ้าพี่ไม่มาด้วย จะเดินทางกันยังไง”

“โบกรถไปเรื่อยๆ มั้งคะ” เห็นเขาโวยเวียงดาวก็ยิ่งอยากกระตุกหนวดเสือเล่นพลางตักไอศกรีมคำที่สองให้อย่างหยอกเหย้า “ค่ำไหนนอนนั่น เป็นทัวร์นกขมิ้นไงคะ”

“ไม่ตลกนะเวียงดาว เป็นผู้หญิงสองคน คิดจะพากันมาเที่ยวแต่ไม่ห่วงเรื่องความปลอดภัยอย่างนี้ได้ยังไง” พ่อเสือยังบ่นไม่หยุดแล้วทำหน้าตึงมากขึ้นทุกทีจนไม่ยอมกินไอศกรีมจากมือเธออีก “โทรจองรีสอร์ทเส้นขึ้นเขาใหญ่เลยไป เราจะไปนอนที่นั่น”

“อ้าว…” ได้ยินอย่างนั้นนกขมิ้นก็ถือช้อนไอศกรีมค้างกลางอากาศอย่างงุนงง “เราจะไปเขาใหญ่เลยเหรอคะ ก็จะถึงแล้วนี่ ได้เที่ยวไม่กี่ที่เองนะ”

“พี่จะพาไปวังน้ำเขียว”

“คะ?” ยิ่งฟังเวียงดาวก็ยิ่งงง “พี่แทนไปวางแผนเที่ยวมาตั้งแต่เมื่อไหร่ แล้วรู้ด้วยเหรอว่ามีที่ไหนให้เที่ยว”

“ก็นั่งดูรีวิวท่องเที่ยวในอินเทอร์เน็ตอยู่นี่ไง”

ทรงพิทักษ์ตอบเสียงเรียบแต่ทำให้เธอรู้แล้วว่าเขานั่งเลื่อนหน้าจอสมาร์ตโฟนอยู่ทำไมตั้งนาน แล้วได้สติอีกคนที่ชายหนุ่มก้มลงมากินไอศกรีมจากมือเธออีกคำ

“จะพาไปตามที่เขาแนะนำไว้นั่นแหละ แต่ไปตามปลายรุ้งเถอะไป ขืนมัวแต่ถ่ายรูปจะไม่ทันได้เที่ยวไหนกันพอดี ยังไงคืนนี้พี่ก็จะกลับมานอนปากช่องนะ”

“ทำไมต้องนอนปากช่องด้วยคะ” เวียงดาวอยากรู้จนคิ้วขมวด “เรานอนวังน้ำเขียวเลยไม่ได้เลยเหรอ”

“ปากช่องก็ปากช่องเถอะน่า”

จอมเผด็จการของเวียงดาวไม่อธิบายเหตุผลสักนิด สั่งงานเสร็จแล้วเขาก็วางสมาร์ตโฟน แล้วคว้าไอศกรีมในมือเธอที่ไปกินต่อเอง แต่นี่เป็นครั้งแรกที่หญิงสาวไม่นึกจะแย้งอะไรกับทรงพิทักษ์ นึกชื่นชมเสียด้วยซ้ำเพราะเห็นแล้วว่าเขาคงอยากพาลูกสาวไปเที่ยวจริงๆ พาไปให้ครบทุกทีที่เห็นว่าดี

ถึงจะเพิ่มความโหดขึ้นมาแค่ไหน แต่ยังเป็นผู้ชายอบอุ่นอยู่เหมือนเดิมล่ะสินะพี่แทน…

 

ทรงพิทักษ์พาเธอกับปลายรุ้งขับผ่านตัวอำเภอปากช่องไปทางเขาแผงม้า มุ่งหน้าสู่อำเภอวังน้ำเขียว ที่ได้ฉายาว่าเป็นสวิสเซอร์แลนด์แดนอีสาน

                ตั้งแต่เลี้ยวซ้ายเข้าเส้นทางมา ปลายรุ้งก็ดูหน้ามุ่ยๆ เพราะสองข้าทางมีไร่สวนและบ้านคนที่ดูไม่น่าสนใจนัก แต่พอขับลึกเข้าไปเรื่อยๆ เด็กสาวก็เลิกทำหน้าเซ็งเพราะเห็นอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ กว้างจนสุดลูกหูลูกตาที่ข้างทางจนออกปากบอกให้พ่อแวะจอดถ่ายรูป และทรงพิทักษ์ก็ไม่บ่นอะไรมากนักเพราะตรงนี้ลมโกรกเย็นสบายดี ดอกหญ้าคอมมิวนิสต์ชูช่อสีขาวนวลลู่ไปตามลมไสว เป็นทิวทัศน์ที่เวียงดาวก็อดที่จะหยิบสมาร์ตโฟนขึ้นมาถ่ายรูปไม่ได้เหมือนกัน

                ทรงพิทักษ์เป็นนักวางแผนที่ดี แม้จะมาเที่ยวก็ยังรักษาเวลาเพื่อให้ไปได้ครบทุกที่ จอดแวะระหว่างทางอีกครั้งเมื่อผ่านบริเวณที่มีสวนสตรอเบอร์รี่เล็กๆ ข้างทาง ให้เธอกับปลายรุ้งลงเก็บผลไม้ได้เต็มที่ จะถ่ายรูปเล่นก็ไม่ว่า แต่อย่านานนักเพราะมีคนยืนกอดอกปั้นหน้าเป็นยักษ์วัดโพธิ์รออยู่ เพื่อจะมุ่งไปให้ครบตามที่วางแผนไว้

                “คุณพ่อจอดร้านนี้หน่อยสิคะ”

ตั้งแต่นั่งรถกันมานี่นับว่าเป็นครั้งแรกที่ปลายรุ้งพูดกับพ่อก่อน แล้วเอื้อมตัวจากเบาะหลังเพื่อให้พ่อดูหน้าจอสมาร์ตโฟนที่ตัวเองเอาแหล่งท่องเที่ยวมาเสนอ

“ร้านกาแฟ?” คนที่ขับรถอยู่เอี้ยวตัวมอง “ตอนนี้มันบ่ายแล้วนะปลายรุ้ง ยังจะดื่มกาแฟอีกเหรอ เป็นเด็กเป็นเล็ก อย่าดื่มให้มันมากนักสิ”

“ไม่ดื่มก็ได้ค่ะ” ปลายรุ้งชักสีหน้าใส่จนเธอลุ้นตามเพราะกลัวสองพ่อลูกจะทะเลาะกันอีก “แต่จะแวะถ่ายรูปกับแกะที่ร้านนี้ จอดให้หน่อยได้ไหมคะ”

“ถ่ายรูปกับแกะเนี่ยนะ”

“พี่แทน… ถ่ายอะไรก็ถ่ายเถอะค่ะ” เห็นทรงพิทักษ์แย้งไปหมดเธอก็รีบเข้าข้างปลายรุ้ง “แวะหน่อยนะคะ เวียงดาวก็อยากเล่นกับแกะเหมือนกัน”

“เข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ยเลยนะ”

ในคำเหน็บแนมนั่นมีรอยยิ้มซ่อนอยู่…

หญิงสาวไม่รู้ว่าปลายรุ้งจะสังเกตเห็นเหมือนเธอบ้างไหม แต่ก็อดไม่ได้ที่จะมองไปยังคนที่นั่งอยู่เบาะหลังรถ แม้จะไม่เห็นว่าเด็กสาวมองกลับมาที่พ่อ แต่ก็เห็นว่ายิ้มอย่างอารมณ์ดี บางทีการที่ทรงพิทักษ์พาลูกมาเที่ยวแบบตามใจอย่างนี้ คงทำให้ความรู้สึกของทั้งคู่ดีขึ้นมาก็ได้ ถึงจะทะเลาะขัดแย้งกันมาตลอดทาง แต่ผิดใจกันเสียที่ไหน

“พ่อนั่งดื่มกาแฟรออยู่ในร้านนะปลายรุ้ง”

เมื่อถึงร้านกาแฟที่เปิดพื้นที่ด้านหลังเป็นฟาร์มแกะขนาดใหญ่ ทรงพิทักษ์ก็บอกไว้ตั้งแต่ยังไม่ก้าวขาเข้าร้าน เป็นอันว่าให้รู้ว่าเขาจะไม่เข้าไปวิ่งเล่นในทุ่งหญ้ากว้างๆ นั่นกับพวกเธอแน่

“ไหนคุณพ่อว่าบ่ายแล้วยังจะดื่มกาแฟยังเหรอยังไงล่ะคะ” ปลายรุ้งย้อนคำถามพ่อแต่ทำเอาคนที่พูดคำนี้ไว้เบิกตาโตอย่างพูดไม่ออก “ทำไมบอกปลายรุ้งแล้วตัวเองกลับทำเสียเอง”

“คุณพ่อต้องขับรถไงคะ ก็เลยต้องดื่มกาแฟไว้” เห็นท่าไม่ดีเวียงดาวก็ห้ามไว้ “ไม่อย่างนั้นจะง่วงนะ พาเราลงวัดถนนข้างทางขึ้นมาละแย่เลยนะ”

“เด็กทำไม่ได้แต่ผู้ใหญ่ทำได้ล่ะสินะ”

“ปลายรุ้ง!”

“หยุดค่ะ! พอๆ อย่าทะเลาะกัน”

เวียงดาวเข้าห้ามศึกไว้ทันทีเห็นอารมณ์กรุ่นๆ จะปะทุของทั้งคู่อีกรอบ ปวดหัวกับพ่อลูกคู่นี้เหลือเกิน ทำไมไม่มีใครยอมใครเลยหนอ นี่ถ้าไม่มีกันชนมาด้วยเป็นอย่างไร เธอไม่อยากนึกเลย

“เราเข้าไปข้างในฟาร์มกันเถอะปลายรุ้ง” เวียงดาวหากิจกรรมใหม่มาหลอกล่อ “นะจ๊ะ ไปถ่ายรูปให้น้าที น้ายังไม่ได้ถ่ายรูปเลย”

“ให้อาหารแกะกันด้วยเนอะ”

จะว่าไปปลายรุ้งก็หลอกกง่ายเหมือนกัน พอเธอชวนออกมาเที่ยวเด็กสาวก็เดินตาม ซื้อตั๋วเข้าในสนามหญ้ากว้างขวางที่อยู่หลังร้านกาแฟที่จัดสถานที่ไว้ให้นักท่องเที่ยวได้ถ่ายรูป นอกจากนั้นยังมีปลาและแกะไว้ให้อาหารอีกด้วย

“อ้าว…”

ไม่ทันที่เวียงดาวจะซื้อตั๋วเสร็จ หญิงสาวก็เผลอครางเพราะได้กลิ่นตัวของคนคุ้นๆ จากด้านหลังจนต้องหันมอง

“ไหนว่าจะดื่มกาแฟรอไงคะพี่แทน”

“ก็ปลายรุ้งไม่ให้ดื่ม” ทรงพิทักษ์รวนแต่ยังทำหน้าตาย “ซื้อตั๋วสิ อาหารปลาอาหารแกะก็ซื้อเสีย จะได้เข้าไปข้างใน”

“คุณพ่อจะเข้าไปแน่เหรอคะ” คนเป็นลูกก็ดูงงพอๆ กับเธอ “กลับไปรอที่ร้านกาแฟก็ได้นะ”

“เข้าไปสิ ใจคอจะทิ้งพ่อไว้ข้างนอกคนเดียวเลยเหรอ”

เวียงดาวไม่รู้จะดีใจหรือใจที่มีคนตามพวกเธอมา รู้สึกแค่ว่าเหมือนมีเมฆทึมๆ ลอยอยู่เหนือศีรษะ ขมุกขมัวอย่างบอกไม่ถูก ไม่รู้ว่าทรงพิทักษ์เต็มใจเข้ามาในฟาร์มจริงๆ หรือเปล่า หรือแค่จะตามลูกสาวมาเพราะไปห้ามลูกไม่ให้ดื่มกาแฟแล้วโดนย้อน ก็เลยตามเข้ามาก็เท่านั้น

แต่ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรเธอก็ยังพาปลายรุ้งเข้าไปเที่ยวต่อ เวียงดาวซื้อตั๋วเสร็จก็ซื้ออาหารสัตว์ด้วย จากนั้นปลายรุ้งก็ถือเอาอาหารปลาไปโปรยลงน้ำทำให้ทรงพิทักษ์เดินตามไป พอเห็นอย่างนั้นเวียงดาวก็ปล่อยโอกาสให้สองพ่อลูกได้อยู่ด้วยกัน ส่วนคนนอกอย่างเธอถอยออกมาบ้างคงจะดีกว่า เผื่อว่าไปให้อาหารปลากันแล้วสองคนนั้นจะพูดกันดีๆ บ้าง หรือถ้าทะเลาะขึ้นมาค่อยไปห้ามก็คงทัน ส่วนตัวเธอไปแอบซุ่มดูอยู่ห่างกับฝูงแกะคงดีกว่า

โชคดีด้วยว่าวันนี้คนน้อย ทั้งฟาร์มดูๆ แล้วมีนักท่องเที่ยวไม่ถึงยี่สิบคน แต่คอกแกะก็ไม่มีคนเลย เปิดโล่งเหมือนจะต้อนรับเธอ เห็นอย่างนั้นเวียงดาวซื้อหญ้าไปสองกำ แล้วเดินเข้าไปหาฝูงแกะอย่างอารมณ์ดี ตั้งใจว่าจะไปให้อาหารพวกมันแล้วเล่นหยอกล้อกันอยู่กลางทุ่งหญ้า

“กรี๊ด!!”

การให้อาหารแกะมันไม่ได้สวยงามอย่างที่เธอคิด!

เวียงดาวร้องจนคอแทบแตกเพราะฝูงแกะที่ไม่รู้ว่าโมโมหิวมาจากไหนพากันกระโดดข้ามรั้วคอกต่ำๆ ที่ขังไว้แล้ววิ่งตัววิ่งเข้าจู่โจมเธอ หัวใจของหญิงสาวเต้นแรงระรัวราวกลองรบ แต่แข็งไปทั้งตัว ปากก็อ้าค้าง ลูกตาเหลือถลน แต่ทำอะไรไม่ได้เลยจนจากยืนเป็นเป้านิ่งให้แกะเป็นสิบๆ ตัววิ่งเขาหา แล้วพวกนี้มันจะขวิดเธอไหม!

“เอาหญ้าลงต่ำๆ ครับ เอาหญ้าลง!”

เจ้าหน้าที่ของฟาร์มตะโกนบอกและวิ่งเข้ามาหา แต่ตอนนั้นเวียงดาวไม่มีสติจะฟังแล้ว บอกให้เอาหญ้าลงเธอก็เอาลงอยู่หรอก แต่กำมันไว้แน่นเหมือนกัน แล้ววิ่งหนีสุดชีวิต แต่ไม่รู้จะพ้นฝูงแกะหิวโหยพวกนั้นไปได้อย่างไร รู้แต่ว่าเจ้าหน้าที่ของฟาร์มก็วิ่งมาช่วย ทว่าไม่มีใครห้ามแกะได้เลยสักตัว

“เวียงดาว!”

เธอไม่รู้ว่าใครเรียก ตอนนี้รู้แค่ว่าต้องวิ่งไปให้เร็วที่สุดไม่อย่างนั้นโดนแกะรุมกระทืบตายแน่!

เวียงดาวกลัวจนน้ำตาไหล จะร้องไห้ก็ร้องไม่ออก ทั้งกลัวหายใจหอบไปหมด สองขาก็ยังกระเสือกกระสนวิ่งไปข้างหน้าอย่างไม่รู้ทิศทาง แต่ให้ไปทางไหนก็ได้ทั้งนั้น ขอแค่ไปให้พ้นๆ แกะพวกนี้

“ตัวเล็ก! มาหาพี่”

เวียงดาวงงไปหมด ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง เอาแต่วิ่งหน้าตั้งหนีอย่างเดียว แล้วแกะฝูงนั้นก็เหมือนจะไม่ปราณีเธอเลยสักนิด ยังคงวิ่งไล่ไม่ลดล่ะ ราวกับจะวิ่งเข้าชนเธอให้ได้ ไม่รู้เลยว่าพวกมันต้องการอะไร

“ทิ้งหญ้าไป!”

คำสั่งดังก้องนั้นยิ่งทำให้เวียงดาวตกใจแล้วขาแข็งจนวิ่งไม่ออก หัวใจเต้นดังตุบๆ จนเหมือนจะหายใจไม่ออก แต่เพียงเสี้ยววินาทีเดียว ร่างของเธอก็เหมือนถูกแรงมหาศาลฉุดกระชากไป มือถูกบิดจนหญ้ากำนั้นหลุดจากมือ แกะพวกนั้นมันเลิกวิ่งไล่แต่พุ่งเข้าหาหญ้าที่พื้นดินแทน แต่ตัวเธอกลับถูกดึงให้ปลิวหวือจากที่ที่เคยยืน หมุนแรงจนร่างน้อยกระแทกเข้ากับแผงออกกว้างของใครสักคน

กลิ่นกายนี้ช่างคุ้นจมูก ใบหน้าของเวียงดาวซุกอยู่เสื้อโปโลสีน้ำเงินเข้มแสนคุ้นตา อ้อมแขนที่โอบกอดเธอไว้ให้อยู่ในความปลอดภัยกลับทำให้หญิงสาวหัวใจเต้นแรงระรัวมากกว่าเดิม และแทบหยุดหายใจด้วยซ้ำเมื่อเงยหน้าขึ้นมองคนที่กอดเธออยู่ หญิงสาวขยับใบหน้าเพียงนิดปลายจมูกชนก็เข้าปลายคางของเขาตอนที่เงยหน้าขึ้นหา สัมผัสเพียงเบาๆ แต่มีผลต่อหัวใจของเวียงดาวอย่างหนักหน่วงเหลือเกิน

สายตาเอื้ออาทรปนห่วงใยที่ก้มมองลงมา ทำให้เวียงดาวเหมือนตกอยู่ห่วงภวังค์…

เธอทำได้เพียงมองหน้าเขา ปล่อยร่างกายให้อยู่ในอ้อนกอดแห่งการคุ้มครองของทรงพิทักษ์ สองแขนของชายหนุ่มยังกอดประครองราวกับรู้ว่าตอนนี้เธอช่างอ่อนปวกเปียกไปทั้งตัวจนแทบจะยืนไม่อยู่ ยิ่งมองหน้า ความรู้สึกมากมายที่กลั้นเก็บไว้ในใจมันทะลักออกมาเมื่อเผลอสบตาเขา

ความรู้สึกที่เวียงดาวกดเก็บไว้กว่าสิบห้าปี มันงอยกเงยราวเมล็ดพันธุ์ได้รับน้ำฝน ผลิดอกออกใบกลางหัวใจ หลงรักได้ครั้งแล้วครั้งเล่ากับผู้ชายคนเดิม

“เวียงดาว เจ็บหรือเปล่า”

น้ำเสียงนุ่มสุขุมของชายหนุ่มยิ่งเหมือนบีบหัวใจเธอ ยิ่งเขาปาดนิ้วชี้ลงบนแก้มเพื่อเช็ดน้ำตาให้ หัวใจของหญิงสาวยิ่งหวีดหวิว รู้สึกเหมือนตัวเองอ่อนแอลงมากไปทุกทีๆ จนอยากล้มลงอยู่ในอ้อมอกนี้ไม่ไหนเหลือเกิน

“ไม่เป็นไรแล้วนะ มันไปหมดแล้ว” ทรงพิทักษ์ยังปลอบเธออย่างอ่อนโยน “ไหน… เจ็บตรงไหน บอกพี่มาสิ”

“มะ… ไม่เจ็บค่ะ” คนที่หัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะบอกตะกุกตะกัก “แค่… แค่เหนื่อยน่ะ”

“ถ้าไม่เป็นอะไรก็ออกไปกันเถอะ”

ทรงพิทักษ์สั่งเบาๆ แล้วคลายอ้อมแขนออก โอบประคองร่างน้อยให้เดินออกจากตรงนั้นไป ทิ้งเพียงความขวยเขินไว้ให้หญิงสาว และเพียงไม่นานเขาก็พาเธอออกจากบริเวณฟาร์ม ส่งให้มานั่งถึงเบาะรถ ก่อนจะปล่อยออกหลังจากปลายรุ้งขึ้นรถแล้ว

เขาก็ยังเป็นเขา แม้หลายอย่างที่เปลี่ยนไป แต่ทรงพิทักษ์ก็ยังเป็นเจ้าชายขี้ม้าขาวของเธอเหมือนเดิม เขายังอยู่ในความทรงจำเสมอแม้เวลาจะผ่านมานานเท่าใด

แผ่นหลังที่เวียงดาวมองอยู่ตอนี้ ก็ยังเป็นปราการคอยคุ้มกันจากใจทุกภัยพาล ไม่ต่างจากวันแรกที่ได้พบกันเลย

 

“ฟาร์มนี่ก็ไม่ได้เรื่องเลยนะ ปล่อยให้แกะมันวิ่งไล่นักท่องเที่ยวอย่างนี้ได้ยังไง”

ปลายรุ้งบ่นขึ้นมาระหว่างรออาหารอิตาเลี่ยนในร้านที่บิดาพามารับประทานมื้อค่ำ เพราะหลังกลับจากวังน้ำเขียวทรงพิทักษ์ก็พาเธอกับลูกสาวมาถึงปากช่องตอนบ่ายแก่ๆ เข้าที่พักที่จองไว้เสร็จก็ออกมาอะไรกินกัน

นี่เหมือนเป็นการเตือนเวียงดาวอ้อมๆ ว่าตอนนี้เธอต้องกลับจากภวังค์ฝัน มายอมรับกับความจริงที่ว่าเธอจะแอบรักพี่แทนเหมือนตอนเป็นเด็กสาวไม่ได้อีก ทรงพิทักษ์มีครอบครัวแล้ว และการที่เธอต้องมาอยู่ที่นี่ก็เพราะอยากช่วยเหลือเพื่อนรุ่นพี่ดูแลลูกสาว ห้ามคิดอะไรเกินเลยมากกว่านี้เด็ดขาด

“อย่าว่าเขาเลยปลายรุ้ง เขาก็ดูแลดีที่สุดแล้วล่ะ”

เวียงดาวดึงตัวเองกลับมาจากห่วงความคิดมากมายแล้วกล่อมเด็กสาวให้ใจเย็นลง

“ตอนนั้นถ้าจำไม่ผิด เจ้าหน้าที่ของฟาร์มก็เข้ามาช่วยด้วยนี่น่า”

“แต่ก็ช้ากว่าคุณพ่ออยู่ดี ถ้าคุณพ่อมาช่วยไม่ทัน น้าเวียงดาวจะเป็นยังไงบ้างก็ไม่รู้”

ปลายรุ้งยังบ่นกระปอดกระแปดแล้วทำหน้าย่น แต่ก็เพราะเป็นห่วงเธอ

“แต่เสียดายจริงๆ ที่ถ่ายคลิปไม่ทัน ไม่อย่างนั้นลงอัปฯ ลงเฟซบุ๊คให้คนเห็นกันทั้งประเทศเลย”

“พ่อไม่อยากให้ใครเห็นหรอกนะปลายรุ้ง” คนเป็นพ่อขัดเสียงเย็นๆ “แล้วถ้าคนที่อยู่ในภาพยังไม่อนุญาต ลูกก็ไม่ควรเอาภาพของเขาไปลงอินเทอร์เน็ตด้วย มันไม่ดีนะ”

“คุณพ่อน่ะหัวโบราณ ไม่เห็นจะเป็นอะไรเลย เดี๋ยวนี้ใครๆ เขาก็ทำกัน”

“พ่อพูดถึงสิทธิ์ส่วนบุคคลอยู่นะปลายรุ้ง”

“อาหารมาแล้วค่ะ!”

เวียงดาวทำตัวเป็นระฆังส่งสัญญาณหมดยก แล้วชี้ไปทางบริกรที่ยกอาหารมาให้ แบนความสนใจไปที่พิซซ่าและสปาเก็ตตี้ อีกทั้งไส้กรอกรมควัน ไก่ทอดหอมฉุยและสลัดผัดสดชามโตที่ถูกยกมาเสิร์ฟ แต่สองพ่อลูกไม่รู้จะหยุดทะเลาะกันจริงๆ หรือเปล่า เพราะยังจ้องกันอย่างไม่มีใครยอมใครอยู่เลย ต่างคนต่างเชื่อมั่นความคิดของตัวเองสูงลิบลิ่ว สมกับพ่อลูกกันจริงๆ

แต่พออาหารเข้าปาก บรรยากาศตึงเครียดก็ดูจะผ่อนคลายลงจนเวียงดาวอดคิดไม่ได้ว่าที่สองพ่อลูกถกกันอยู่เมื่อครู่นั่นเพราะมีอารมณ์โมโหหิวเข้ามาปนหรือเปล่า แต่สิ่งเดียวที่เธอรู้คือหากไม่มีคนคอยห้ามคงได้ทะเลาะกันใหญ่โตแบบไม่เว้นพักหายใจแน่ จะว่าไปก็นึกสงสารชยาตา ไม่รู้ว่าทำหน้าที่กันชนอยู่อย่างนี้มาได้อย่างไรตั้งหลายปี

“อ้ะตัวเล็ก กินเยอะๆ”

เวียงดาวเหมือนหยุดหายใจไปชั่วขณะเพราะเสียงเรียกอันคุ้นเคย ทั้งร่างกายของเธอหยุดเคลื่อนไหวแต่หัวใจยังเต้นแรง มองคนที่ตักไก่ทอดให้เธออย่างไม่เข้าใจ ไม่รู้ว่านี่มันเรื่องตั้งใจหรือบังเอิญ

ทำไมแววตาที่ทรงพิทักษ์มองมามันช่างคุ้นเคยเหลือเกิน เหมือนอย่างที่เขาเคยมองมาเมื่อสิบกว่าปีก่อน มองน้องเล็กของสายรหัสด้วยความเอ็นดู ตักขนมให้อย่างนี้ ยิ้มให้เพียงบางเบา แต่มันช่างอิ่มเอมไปทั้งหัวใจของคนที่เฝ้ามองเขาด้วยความรักและชื่นชม

มันผ่านมานานเหลือเกินแล้ว แต่ทำไมแววตาคู่นั้นจึงยังแจ่มชัดอยู่ในความทรงจำของเธอไม่เคยเลื่อนหาย และยิ่งชัดเจนมากทุกทีราวกับมีใครมาหมุนย้อนเวลา ให้ทรงพิทักษ์มองเธอเหมือนเดิม… แต่เขารู้สึกอย่างไรยามที่มองเธอ มันเป็นสิ่งที่เวียงดาวอยากรู้เหลือเกิน

“ทำไมคุณพ่อเรียกน้าเวียงดาวว่าตัวเล็กคะ”

อีกคนที่นั่งร่วมโต๊ะอาหารทำให้เวียงดาวดึงสติกลับมาและรู้แล้วว่าไม่ได้อยู่กันแค่สองคน และเช่นกัน ทรงพิทักษ์ถือวิสาสะวางไก่ทอดที่เขาตักให้ลงจานของเธอ แต่พอลูกถาม ใบหน้าของชายหนุ่มก็ขรึมลงอีกครั้ง

“ปลายรุ้งว่าได้ยินสองทีแล้วนะ” ปลายรุ้งยังจ้องจะเอาคำตอบให้ได้ แต่เธอเองก็อยากรู้เหมือนกัน “ตอนอยู่ที่ฟาร์มแกะก็ทีหนึ่งแล้ว”

“ก็สูงน่าจะไม่ถึงร้อยหกสิบเซ็นฯ เสียด้วยซ้ำ ไม่เรียกตัวเล็กแล้วจะเรียกว่าอะไร”

“ร้อยหกสิบพอดีค่ะ”

คนตัวเล็กเถียงทันควันแต่ก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมต้องหน้ามุ่ย แต่มองคนที่หาว่าเธอเตี้ยแล้วก็ยิ่งค้อนเพราะเห็นว่าเขาแอบอมยิ้มอยู่ แต่ไม่รู้ว่าทำไมทรงพิทักษ์ยิ่งยิ้มเธอยิ่งเคืองจนเผลอมุ่ยหน้าใส่ ทว่ายิ่งทำให้ชายหนุ่มยิ้มกว้างมากกว่าเดิม ยิ้มอย่างที่เคยยิ้มให้เมื่อเจอกันทุกครั้งในตอนที่ยังเป็นนักเรียนอยู่ เป็นรอยยิ้มที่ส่งผลรุนแรงต่อหัวใจของเวียงดาวเหลือเกิน

แต่เธอรู้สึกอะไรกับผู้ชายคนนี้ไม่ได้อีกแล้ว!

เวียงดาวแทบจะตะโกนใส่ตัวเองแต่สุดท้ายเสียงนั้นก็ก้องอยู่ในใจ แต่ถึงไม่ได้เปล่งออกมาก็ยังเตือนสติของเธอให้กลับมาอีกครั้ง บอกตัวเองซ้ำๆ ว่าเธอไม่ได้ตั้งใจมาเที่ยวหาความสุขกับสามีชาวบ้าน แต่เมื่อเรื่องสำคัญต้องทำ เรื่องที่อุตส่าห์ตั้งใจรับปากชยาตาไว้ วางแผนพาปลายรุ้งกับทรงพิทักษ์ออกมา ทำงานให้สำเร็จเสียเผื่อว่าสองพ่อลูกจะเข้าใจกัน

ถ้าสองพ่อลูกเข้าใจกันได้เมื่อไหร่คงเลิกทะเลาะผิดใจกันแทบทุกวันอย่างที่เป็นอยู่ ซึ่งนั่นแปลว่าเธอจะได้ไม่ต้องมาเจอทรงพิทักษ์ให้หัวใจอ่อนไหวบ่อยๆ เพราะหากเมื่อไหร่ที่พลั่งเผลอควบคุมความรู้สึกของตัวเองไม่ได้ วันนั้นอาจจะทำต้องน้ำตาเช็ดหัวเข่าเสียเอง

ตัดใจให้ขาดและทำงานให้สำเร็จ ก่อนที่หัวใจมันจะถลำลึกมากไปกว่านี้!

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น