4

หนทางสู่ข้อเสนอ

4

หนทางสู่ข้อเสนอ

 

เมฆานรีต้องใช้พลังมหาศาลเพื่อพาตัวเองมาให้ถึงโรงแรม แม้จะเข้ามาในบริเวณโรงแรมแล้ว เธอก็ยังไม่วางใจ ตอนนี้หญิงสาวใช้พลังเฮือกสุดท้ายพุ่งไปยังเคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์ที่เธอเห็นแล้วว่า มีคนที่ช่วยเธอได้ยืนอยู่

“น้องเมฆ!!” พิมฐาทักขึ้นอย่างตกใจ ทั้งยังเป็นห่วงสวัสดิภาพหญิงสาวตรงหน้า ยิ่งเธอหายใจแรงขนาดนั้น คนสูงวัยกว่ายิ่งเป็นห่วง

“พี่พิมช่วยเมฆด้วยนะคะ วันนี้เมฆต้องพบคุณพิธานให้ได้!” แววตาและน้ำเสียงร้อนรน รวมถึงพฤติกรรมแปลกๆ ของเมฆานรีที่หันรีหันขวางไปทางประตูโรงแรมทำให้พิมฐาตกใจ และหากเกิดปัญหาจริง คนเดียวที่จะช่วยเด็กคนนี้ให้พ้นภัยได้ คงมีคนเป็นลูกพี่ลูกน้องของเธอเท่านั้น

“พิศ พี่พิธานล่ะ” พิมฐาต่อสายถึงคนหน้าห้องท่านประธานใหญ่ทันที ซึ่งคำตอบที่ได้รับก็ทำให้เธอหน้าเสีย แต่ก็ยังมีความหวัง

“ได้ๆ ขอบคุณมาก” หัวหน้าประชาสัมพันธ์สาววางโทรศัพท์ แล้วหันมาทางเมฆานรีที่ยังคงหันรีหันขวางไปทางประตู

“คุณพิธานออกมาแล้วค่ะ น่าจะกำลังลงมา ลิฟต์ตัวนั้นค่ะ” พิมฐาเอ่ย

ทั้งสองสาวหันหน้าไปทางลิฟต์ตัวในสุดซึ่งมีไว้สำหรับผู้บริหารเท่านั้น ตัวเลขบอกชั้นกำลังลดลงมาเรื่อยๆ “ขอบคุณนะคะพี่พิม” เมฆานรีออกวิ่งไปยังประตูลิฟต์ ก่อนวิ่งย้อนกลับมาเหมือนนึกบางอย่างขึ้นได้

“ถ้ามีคนมาถามหาเมฆ ให้บอกว่าไม่เห็นไม่เคยเจอนะคะ” หญิงสาวยกมือไหว้อีกครั้ง เมื่อเห็นคนตรงหน้าพยักหน้า พิมฐาไม่ได้ถามอะไรมากกว่านี้ แม้ใบหน้าและแววตาจะแสดงถึงความสงสัยและเป็นห่วงอย่างชัดเจน

เมฆานรีวิ่งตรงไปหยุดตรงลิฟต์ตัวดังกล่าวที่ใกล้จะมาถึงเต็มที แต่ในความรู้สึกของคนร้อนรนนั้น เวลากลับเนิ่นนาน ที่เธอทำได้ดีที่สุดตอนนี้คือ พยายามหันไปมองที่ประตูโรงแรมเพื่อระวังตัวสลับกับประตูลิฟต์ที่ไม่ยอมเปิดออกเสียที เมื่อชายใส่ชุดสูทสีดำสองคนเดินเข้ามาในโรงแรม หญิงสาวถึงกับเบิกตากว้าง 

เสียงลิฟต์เป็นเหมือนระฆังช่วยชีวิต มันบ่งบอกว่าลิฟต์เดินทางมาถึงชั้นนี้แล้ว ทันทีที่ประตูลิฟต์เปิด ชายหนุ่มที่กำลังก้าวออกมาก็ผงะเล็กน้อย เมฆานรีคว้ามือเขาให้กลับเข้าไปในลิฟต์ 

ทันทีที่ประตูลิฟต์ปิดลง ก็มีชายสวมสูทก็เข้ามาถามหาเมฆานรีกับพิมฐาอย่างที่หญิงสาวคาดการณ์ไว้จริง ๆ

...

ในลิฟต์ไม่ได้ร้อนหรือน่าอึดอัดเลย หากเธอไม่ได้วิ่งมาด้วยความเร็วและระยะไกลขนาดนั้น เมฆานรีหอบเอาอากาศปอดให้ได้มากที่สุด ก่อนจะค่อยๆ ทรุดตัวนั่งลง มือข้างหนึ่งยังคงจับมือของคนตัวใหญ่ที่อยู่ข้างๆ ไว้ เหงื่อเม็ดโตค่อยๆ ซึมตามใบหน้าและตามตัว ดูราวกับหญิงสาวเพิ่งอาบน้ำใหม่มา 

ชายหนุ่มที่อยู่ด้านข้างเห็นเธอทรุดตัวลง ก็เรียกด้วยน้ำเสียงห่วงใย

“เมฆ เธอเป็นอะไรหรือเปล่า”

คำตอบที่ได้คือ หญิงสาวโบกไม้โบกมือเหนือหัว ชายหนุ่มสังเกตเห็นเหงื่อตามใบหน้าเธอที่เยอะจนน่ากลัว เขาจึงรีบดึงผ้าเช็ดหน้าที่มักจะพกติดตัวออกมาส่งให้

“เช็ดเหงื่อเสียก่อน” ชายหนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน แต่หญิงสาวทำเพียงเงยหน้าเล็กน้อย ก่อนจะส่ายหน้าทั้งที่ยังหอบ

เมื่อเห็นว่าเธอไม่ยอมรับ เขาก็นั่งยองๆ ก่อนจะใช้ผ้าเช็ดหน้าในมือซับเหงื่อให้ ทีแรกเธอผงะออก แต่ด้วยสายตาดุๆ อีกทั้งมือของเขาที่ย้ายไปเกาะกุมต้นแขนของเธอและกระชับแน่นก่อนดึงเธอเข้ามาใกล้ๆ ชายหนุ่มจึงเช็ดเหงื่อได้อย่างที่ต้องการ แม้เธอจะยังตื่นๆ แต่ด้วยหอบอยู่ ทำให้เธอไม่มีแรงพอที่จะขืนตัวออกห่างเขา

ทันทีที่ลิฟต์ขึ้นมาถึงชั้นผู้บริหาร ประธานใหญ่ดึงมือเมฆานรีให้ลุกขึ้นยืน ก่อนจะจูงมือเธอตรงไปยังห้องทำงานของเขา ระหว่างทางชายหนุ่มได้รับโทรศัพท์จากพิมฐา แจ้งเรื่องชายชุดดำที่มาถามหาเมฆานรี ทำให้พิธานรู้แล้วว่าหญิงสาวเป็นแบบนี้เพราะอะไร ตอนนี้ชายชุดดำสองคนนั้นยังปักหลักอยู่ที่หน้าโรงแรม และที่พิมฐาโทร. มาแจ้งก็เพื่อให้ชายหนุ่มช่วยดูแลหญิงสาวที่อยู่กับเขาตอนนี้ด้วย และประธานหนุ่มก็รับปาก

เมฆานรีถูกพิธานจับจูงไปยังทางที่ชายหนุ่มต้องการ ระหว่างทางก็ผ่านโต๊ะทำงานของเลขาฯ สาวที่เมฆานรีรู้จักดี พิธานสั่งให้พิศพราวเอาน้ำเย็นและผ้าเย็นมาให้เมฆานรี ก่อนจะกึ่งลากกึ่งจูงหญิงสาวเข้าห้องทำงานไป ตอนนี้เมฆานรีไม่มีสติมากพอจะสังเกตการตกแต่งรอบตัว ลำพังแค่เธอพยุงตัวเองไม่ให้ทรุดลงตรงนี้ยังลำบากเลย 

ทันทีที่พ้นประตูเข้าไป พิธานก็พาเธอไปนั่งที่โซฟารับแขก ชายหนุ่มนั่งลงข้างๆ มือบางยังคงถูกฝ่ามือหนาเกาะกุม จนกระทั่งมีคนเข้ามาใหม่พร้อมกับน้ำและผ้าเย็น ชายหนุ่มรีบปล่อยมือเธอแล้วรับแก้วน้ำที่เลขาฯ นำมาให้เมฆานรีที่นั่งหอบอยู่

“ดื่มน้ำเสียก่อน เผื่อจะเย็นลง” ชายหนุ่มเอ่ยเสียงนุ่มทำให้หญิงสาวค่อยๆ ลืมตา ก่อนจะยื่นมือที่ยังคงสั่นเทารับน้ำแก้วนั้น ค่อยๆ ยกขึ้นดื่มจนหมดแก้ว 

เมฆานรีถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนจะส่งสายตาไปยังพิศพราวที่ยังคงยืนดูเธอด้วยความเป็นห่วง

“พี่พิศคะ เมฆขออีกได้มั้ยคะ” เมฆาเอ่ยด้วยน้ำเสียงแหบพร่าจนคนฟังอดสงสารไม่ได้ 

พิศพราวรีบหมุนตัวออกไปจากห้องอีกครั้ง ในขณะที่เมฆานรีหยิบผ้าเย็นมาโปะหน้าไว้แล้วหลับตาลง เอนตัวอิงพนักโซฟา 

ทุกอย่างอยู่ในความเงียบสงบ แต่ไม่ได้น่าอึดอัดมากนักสำหรับคนที่เพิ่งเจอกันครั้งแรก พิธานยังคงนั่งมองหญิงสาวที่วันนี้มาในชุดแปลกตา แต่ก็เหมาะสมกับวัยของเธอ เขามองหญิงสาวที่เอนหลังพิงโซฟา เธอหอบน้อยลงและเหงื่อก็ลดลง จนเขาลอบถอนหายใจอย่างผ่อนคลายกว่าครั้งแรกที่เจอกันตรงหน้าลิฟต์ 

ไม่นานพิศพราวก็เดินเข้ามาพร้อมน้ำอีกหนึ่งแก้วและขวดน้ำอีกหนึ่งขวด ก่อนวางให้ตรงหน้าเมฆานรี ทันทีที่ได้ยินเสียงถาดกระทบกับโต๊ะกระจก หญิงสาวก็ลืมตาโพลง หยิบผ้าเย็นออกจากหน้า แล้วคว้าน้ำแก้วใหม่จะกระดก แต่คนตัวใหญ่ที่นั่งข้างๆ ทาบมือบนหลังมือเธอพร้อมกับปรามว่า

“ค่อยๆ ดื่มก็ได้ เดี๋ยวก็จุกหรอก” 

หญิงสาวจึงเปลี่ยนเป็นค่อยๆ จิบน้ำแล้ววางแก้วลง ก่อนจะหันไปหาคนที่เอาน้ำมาให้ ซึ่งยังคงยืนดูด้วยความเป็นห่วง

“ขอบคุณพี่พิศมากนะคะ เมฆมารบกวนอีกแล้ว” หญิงสาวยกมือไหว้ ส่งยิ้มที่พยายามจะสดใสให้เลขาฯ สาว และก็ได้รับคำตอบกลับมาอย่างใจดีเช่นทุกครั้ง

“ไม่เป็นไรค่ะ พี่ยินดี ถ้าน้องเมฆดีขึ้นแล้ว งั้นเดี๋ยวพิศขอตัวนะคะ” หญิงสาวพูดอย่างอ่อนโยนให้คนอายุน้อยกว่า ก่อนจะหันไปเจอแววตาแปลกๆ ของชายหนุ่มซึ่งเป็นนาย จึงรีบขอตัว

ภายในห้องทำงานใหญ่ของท่านประธานเงียบลงอีกครั้งเมื่อกลับมาอยู่กันสองคน เมฆานรีสูดหายใจลึกๆ อีกครั้ง ก่อนจะหันไปหาชายหนุ่มที่นั่งอยู่ข้างเธอ เมื่อเห็นว่าเขามองเธออยู่ก่อนแล้ว หญิงสาวก็ทำได้เพียงยิ้มหวานที่สุดเท่าที่จะทำได้ ก่อนจะพาตัวเองห่างจากเขาเล็กน้อย แล้วยกมือไหว้อย่างสุภาพ

“สวัสดีค่ะ ได้คุยกันครั้งแรก ก็มีเหตุเลยนะคะ” หญิงสาวทักทายด้วยรอยยิ้มแห้งๆ ก่อนจะแนะนำตัว “เมฆานรี ท่องวัจนะ ค่ะ...” 

“มันเกิดอะไรขึ้น” ชายหนุ่มถามแทรกขึ้นด้วยเสียงเรียบนิ่งแต่ทรงพลังราวกับประกาศว่า ไม่ว่าอย่างไรเธอก็ต้องตอบเขา พิธานสงสัยและเป็นห่วงเด็กคนนี้ไม่น้อย ไม่รู้ว่าที่บ้านเธอไปทำอะไรไว้ เธอถึงโดนชายชุดดำตามติดมาถึงถิ่นของเขา

เมฆานรีเงียบลงเพียงอึดใจ ก่อนเธอจะตอบกลับด้วยน้ำเสียงและแววตาจริงจังจนคนมองรู้สึกได้

“หนูจะตอบคุณก็ต่อเมื่อคุณยอมรับในสิ่งที่หนูจะขอคุณสองข้อนี้” หญิงสาวเงียบลงเพื่อดูปฏิกิริยาของคนที่โตกว่า แม้เธอจะเป็นฝ่ายที่มาขอร้องเขา แต่ก็ต้องมั่นใจว่าเขาจะยอมรับข้อเสนอครั้งนี้

“เธอคิดว่าฉันอยากรู้เรื่องเธอขนาดนั้นหรือ แต่เอาเถอะ ถ้าฉันให้ได้ ฉันก็จะยอมรับ” ชายหนุ่มว่าเสียงเนิบ ก่อนจะกอดอกพิงพนักโซฟามองเธออย่างนึกขำ ทั้งๆ ที่เธอตั้งใจจะมายื่นข้อเสนอให้เขาแท้ๆ ยังคิดที่จะมาต่อรองกับเขาอีก ประหลาดคนจริงๆ

“ได้ค่ะ ข้อแรกคือ หนูอยากให้คุณพิธานทราบว่า ตลอดหนึ่งอาทิตย์ที่ผ่านมาหนูไม่ได้อยากจะผิดคำพูดกับคุณหรอกนะคะ เรื่องที่หนูสัญญาว่าจะมารอคุณทุกวันจนกว่าคุณจะให้เข้าพบ แต่มันก็ดันเกิดเรื่องเสียก่อน” หญิงสาวยอมบอกข้อแรก ตอนแรกก็นึกใจเสียที่เขาไม่อยากรู้ แต่ก็ใจชื้นที่เขายอมฟังคำขอของเธอ 

ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมเธอถึงอยากจะเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นตลอดทั้งสัปดาห์ให้เขาฟัง อาจจะเป็นเพียงเพราะเธอกลัวว่าเขาจะเข้าใจผิด ว่าเธอเป็นคนไม่รักษาคำพูด แต่ก่อนจะเล่าเหตุผลให้เขาฟัง เธอก็เอ่ยข้อที่สอง โดยไม่รอให้เขาตอบรับหรือปฏิเสธ

“ส่วนคำขอข้อที่สอง หนูอยากขอให้คุณรับฟังข้อเสนอเรื่องแต่งงาน หนูจะไม่บังคับให้คุณยอมรับข้อเสนอนี้ แต่อยากจะขอร้องให้รับไว้พิจารณา อย่างน้อยๆ ก็เพื่อให้หนูมั่นใจว่าหนูทำทุกอย่างเต็มความสามารถแล้ว” หญิงสาวขอร้องด้วยสายตาแน่วแน่ แม้จะหวั่นใจว่าคนตรงหน้าจะปฏิเสธ แต่เธอก็ขอเสี่ยงทำในสิ่งที่ทุกคนมองว่า เด็กอย่างเธอไม่ควรทำ

พิธานมองใบหน้าอ่อนวัยที่จริงจังและเคร่งเครียดของคนตรงหน้า มันทำให้เขารู้สึกว่าเธอไม่ใช่เด็กอย่างภายนอก หรืออย่างที่เธอควรจะเป็น แต่ราวกับนักธุรกิจที่เจรจาธุรกิจกันอยู่ จนเขาเผลอไผลพยักหน้าตอบรับออกไปราวต้องมนตร์ เพราะอยากจะรู้ว่าข้อเสนอที่เด็กคนนี้จะมาเสนอเขาถึงที่คืออะไร จนเมื่อเห็นรอยยิ้มที่สดใสนั่นแหละ ชายหนุ่มถึงได้สติ

“แล้วตกลงจะบอกได้หรือยังว่ามันเกิดอะไรขึ้น ทำไมชายใส่สูทสองคนนั้นถึงตามเธอมา” ชายหนุ่มถามด้วยน้ำเสียงอยากรู้อย่างไม่ปิดบัง

“คือ พี่สองคนนั้นเขาเป็น…คนของคุณแม่ค่ะ” เมฆานรีสูดหายใจลึกๆ ก่อนจะตอบอ้อมแอ้มแล้วเล่าเรื่องทั้งหมดให้เขาฟัง

 

หลังจากเธอแยกกับคมกฤตตรงหน้าคณะ เธอก็รีบกลับบ้านเพื่อให้ทันเวลาเคอร์ฟิวของมารดา ใครจะไปคิดว่าจะมีอุบัติเหตุเกิดขึ้นระหว่างทางกลับบ้าน ทำให้เธอต้องใช้เวลาเพิ่มขึ้น กว่าจะถึงบ้านก็ดึกมากจนเข็มนาฬิกาล่วงเข้าวันใหม่แล้ว โชคดีที่รถเมล์ยอมมาส่งหน้าหมู่บ้าน ไม่อย่างนั้นเธอจะต้องปวดประสาทกับการหารถมาที่บ้านอีกแน่ ๆ

เมฆานรีเดินตัวลีบๆ เข้าบ้าน แม้จะมั่นใจว่าคนในบ้านหลับกันหมดแล้ว แต่เพื่อความปลอดภัย เธอพยายามส่งเสียงดังให้น้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่ใครจะไปคาดคิดว่า ทันทีที่เธอเข้าสู่ตัวบ้าน ไฟห้องโถงของบ้านก็สว่างพึ่บ! ที่สำคัญ คนที่เป็นใหญ่ที่สุดในบ้านและใหญ่กว่าประมุขของบ้านจะยังนั่งอยู่บนเก้าอี้ จ้องมาที่เธออย่างเอาเป็นเอาตาย และพ่อยังยืนอยู่ตรงสวิตช์ไฟ ทำสีหน้าและแววตาคาดโทษอย่างที่เธอไม่เคยเห็นมาก่อน

“สวัสดีค่ะแม่ สวัสดีค่ะพ่อ ทำไรกันอยู่คะเนี่ย ทำไมยังไม่นอน” เมฆานรียิ้มหวาน รีบเดินเลี่ยงๆ ไปทางบันได ตั้งใจจะทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ แต่ก่อนจะก้าวขึ้นบันไดก็ต้องสะดุ้งสุดตัวเมื่อมีเสียงคล้ายฟ้าผ่าลงกลางบ้าน 

“นี่มันกี่โมงกี่ยามแล้ว!!!” คนเป็นแม่เสียงดังอย่างไม่พอใจ 

นี่เป็นครั้งที่เท่าไรแล้วที่คนเป็นแม่อย่างเธอต้องมานั่งรอ นั่งเป็นห่วงลูกสาวคนเล็กที่เอาแต่กลับบ้านดึกตลอดเดือนกว่าๆ เธอทั้งบอก ทั้งดุ ขู่ก็แล้ว แต่ก็ไม่ดีขึ้น มีแต่จะดึกขึ้นทุกวัน วันนี้เธอจะไม่ทนกับพฤติกรรมนี้อีกต่อไป

“แม่บอกแล้วใช่มั้ย ว่าถ้ายังกลับดึกอยู่ แม่จะกักบริเวณ” คนเป็นแม่ว่าอย่างเหลืออด 

คนเป็นลูกถึงกับหน้าซีด รีบเข้าไปออดอ้อน

“แม่จ๋า เมฆขอโทษ แต่วันนี้มันมีเหตุสุดวิสัยจริงๆ มันเกิดอุบัติเหตุ นี่เมฆกลับมาจาก ม. ตั้งแต่ฟ้ายังไม่มืดเลย ไม่ได้แวะไปไหนเลยนะคะ” แต่ครั้งนี้คงไม่ได้ผล เพราะแววตาแข็งกร้าวของผู้เป็นแม่ยังคงฉายชัดจนเมฆานรีใจไม่ดี

“ถ้างั้นเอาแบบนี้ แม่จะให้เมฆเอารถไปใช้ ไปกลับมหา’ลัย จะได้ไม่ต้องรอรถเมล์จนดึก” คนเป็นแม่ว่าเสียงเรียบ แต่ไม่รู้ทำไมถึงเย็นจนจับขั้วหัวใจคนฟังขนาดนี้

“แต่...เมฆจะต้องกลับบ้านทันทีที่ทำกิจกรรมที่มหา’ลัยเสร็จ แม่จะให้ปีกับผลไปเป็นเพื่อน คอยรอรับส่งหนูดีมั้ยจ๊ะ” 

ทันทีที่แม่พูดถึงชายสองคน พวกเขาก็มาแสดงตัวรับคำสั่งนายหญิงของบ้าน 

หลังจากมองหน้าสองคนที่มาใหม่ เมฆานรีก็หันมาหาผู้เป็นแม่ รอยยิ้มพิมพ์ใจของแม่ที่เธอเคยหลงใหล วันนี้มันเย็นเยียบจนน่าหวั่นใจ ก่อนจะหน้าถอดสีเมื่อได้ยินประโยคถัดมา

“และลูกจะต้องถูกกักบริเวณอยู่แต่ในห้อง และไม่ต้องคิดจะหนี เพราะแม่ให้พวกพี่ๆ เขาเฝ้าไว้แล้ว ทั้งหน้าห้องและนอกหน้าต่าง ในเมื่อแม่ขู่แล้วยังไม่ฟัง ก็ต้องเอาจริงแบบนี้แหละ” คนเป็นแม่ว่าจบก็ลุกขึ้นยืน เดินตรงไปยังบันไดพร้อมคนเป็นพ่อ 

คนเป็นลูกก็เตรียมจะเดินเข้าไปหาผู้เป็นแม่ แต่โดนปีกับผลเข้ามาขวางไว้ก่อน

“เดี๋ยวค่ะแม่ แม่ทำแบบนี้ไม่ได้น้า พี่ผล พี่ปี ถอย นานแค่ไหน แม่จะกักบริเวณหนูนานแค่ไหน!” คนเป็นลูกส่งเสียง ก่อนจะช็อกกับคำพูดของแม่

“จนกว่าหนูจะเรียนจบ” คนเป็นแม่ส่งยิ้มพิฆาตแล้วเดินขึ้นบ้านหายลับไป ทั้งที่ลูกยังยืนอึ้งอยู่ข้างล่าง

“เรียนจบ ไม่ได้นะ แม่ ทำแบบนั้นไม่ได้นะ!” เมฆานรีโอดครวญ

“พี่ปี พี่ผล ปล่อยเมฆ” หญิงสาวยังคงดิ้นรนจนกระทั่งได้ยินเสียงปิดประตูห้องของบุพการีทั้งสอง เธอจึงถูกปล่อยตัว และทิ้งตัวลงกับพื้นทันที

“โอ๊ย แล้วจะทำไงล่ะเนี่ย” หญิงสาวหันไปพาลใส่คนทั้งสองที่ยังอยู่กับเธอที่ชั้นล่าง “พี่สองคนไม่ไปนอนหรือไง มายืนเฝ้าเมฆทำไม” 

“ผมสองคนนอนหน้าห้องคุณเมฆครับ” ชายหนุ่มบอก ก่อนทั้งปีและผลจะช่วยกันพยุงคนเป็นนายน้อยลุกขึ้น

“ไม่ต้องเลย เราเป็นศัตรูกัน จนกว่าเมฆจะหลุดพ้นการลงโทษครั้งนี้” หญิงสาวฮึดฮัดไม่จริงจังนัก เพราะเข้าใจว่าพวกเขาก็ต้องทำตามหน้าที่ แต่ก็อดไม่ได้ที่จะโมโห แต่เธอก็โทษใครไม่ได้นอกจากตัวเอง

ตลอดหนึ่งสัปดาห์ ทุกครั้งที่เธอไปมหา’ลัย ปีกับผลก็จะตามไปด้วยเสมอ เรียกได้ว่าไม่ให้คลาดสายตา ขนาดไปเรียนยังไปนั่งเฝ้าหน้าห้องเรียน ไปกินข้าวกลางวันก็ไปนั่งเฝ้าที่โรงอาหาร เข้าห้องน้ำก็ต้องไปเฝ้า ตอนเย็นกลับบ้านก็ลากตัวเธอกลับบ้านทันที เป็นแบบนี้ทุกวันจนเธอประสาทจะกินตาย แถมยังต้องมานั่งฟังเพื่อนล้ออีกว่าเป็นลูกคุณหนู ลูกเจ้าพ่อที่มีบอดีการ์ดมานั่งเฝ้า 

พวกเขาไม่เบื่อบ้างหรือไง เพราะเธอน่ะประสาทจะกินแล้ว!

แน่นอนว่าเธอทำทีให้สองคนนั้นติดตามและยังไปรายงานผู้เป็นมารดาถึงพฤติกรรมของเธออย่างสบายใจตลอดทั้งสัปดาห์ ถึงอย่างนั้นในหัวเธอก็มีแต่คิดหาทางหนีจากการติดตามอยู่ตลอดเวลา แต่สองคนนั้นก็รู้นิสัยของเธอดีจริงๆ เพราะเขาปรามเธอเสมอเวลาที่เธอนั่งเหม่อลอยมองไปนอกหน้าต่าง ว่าอย่าคิดหาหนทางหนีให้พวกเขาต้องเดือดร้อนเลย เพราะอย่างไรพวกเขาก็ไม่มีทางที่จะปล่อยให้เธอหนีอย่างแน่นอน 

แต่มีหรือที่คนอย่างเมฆานรีจะยอมอยู่เฉย เพราะหากเทียบการโดนลงโทษครั้งนี้กับภาระหน้าที่ที่เธอต้องทำเพื่อคนที่เธอรักนั้น อย่างหลังย่อมเป็นสิ่งสำคัญมากกว่า เมฆานรีใช้เวลาตลอดคืนวันพฤหัสบดีนอนคิดแผนการที่จะหนีจากสองคนนั้น แล้วเธอก็คิดออก เช้าวันถัดมาเธอจึงเริ่มเดินแผนการ

วิธีการก็ง่ายๆ เธอแค่แสร้งว่าหงุดหงิดที่โดนตามมาตลอดสัปดาห์ แล้วทำเป็นเสียใจ ไม่ยอมออกไปเรียน ประท้วงแบบเด็กๆ โดยล็อกห้อง ไม่ยอมกินข้าว ในช่วงครึ่งวันเช้าวันศุกร์ไม่มีใครสนใจเธอ เพราะเข้าใจว่าเดี๋ยวเธอหิวก็คงออกมาเอง และแม่ก็รู้ว่าที่เธอทำอยู่คือการประท้วง ซึ่งก็เข้าทางเธอ 

แต่เมื่อเวลาผ่านไปจนตกค่ำ เริ่มมีเสียงคนมากมายมาร้องเรียกเธอ ตั้งแต่พี่ปี พี่ผล ที่มีหน้าที่เฝ้าเธอ สองคนนั้นเป็นห่วงเธอไม่น้อยกว่าคนอื่นๆ เพราะเลี้ยงเธอมา จากนั้นมีเสียงของป้านวล ตามด้วยเสียงของใส มาจนถึงพี่สาว คนเป็นพ่อเรียกนานหน่อยก่อนล่าถอยไป 

จนกระทั่งตกดึกเสียงของผู้เป็นแม่ที่เธอรอคอยมาทั้งวันก็ดังขึ้น แต่เธอก็ยังคงปฏิเสธ จนกระทั่งเวลาล่วงเลยมาจนบ่ายคล้อยวันเสาร์ เธอก็ทำตามแผน เพราะรู้ว่าคุณพ่อคุณแม่ไม่อยู่บ้าน โดยเปิดประตูออกไปแล้วกุมท้องตัวงอ ปีกับผลมองเธอด้วยสีหน้าตกใจ แต่เมฆานรีก็ไม่ตอบอะไร นอกจากเดินตรงดิ่งลงไปข้างล่าง ไม่สนใจคนที่เดินตามอย่างเป็นห่วง จนกระทั่งถึงห้องครัวที่มีป้านวลกับใสยืนอยู่ 

สองคนหันหน้ามาพร้อมกันเมื่อได้ยินเสียงเธอ

“ป้านวลจ๋า ใสจ๋า เมฆปวดท้องจังเลย” เสียงที่เปล่งออกไปนั้นแหบพร่าจนคนฟังใจหาย ปีกับผลมองหน้ากันเลิ่กลั่ก 

“คุณหนู เป็นอย่างไรคะ” ป้านวลถลามาหาเมื่อเมฆานรีจะทรุดตัวลง

“เมฆปวดท้อง ไม่ไหวแล้วป้า” หญิงสาวยังคงโอดครวญ

“ตายแล้ว คุณหนู!” คนสูงวัยร้อนรนอย่างเป็นห่วง จนเธอรู้สึกผิดกับป้านวลอย่างมาก

‘ป้าจ๋าเมฆขอโทษ’

หญิงสาวยังคงแสร้งทำว่าไม่มีแรงลุกขึ้นตามที่คนแก่และสาวน้อยพยุงเธอ

“ปี ผล เอารถออก พาคุณเมฆไปหาหมอ” คนสูงวัยที่สุดสั่งเสียงดัง แต่คนหนุ่มสองคนไม่กล้าขยับ เพราะกลัวว่าจะเป็นแผนของคนตัวเล็กแต่พิษสงรอบตัว

“พี่สองคนเขาไม่กล้าพาไปหรอกค่ะป้านวล เขาคิดว่าเมฆแกล้ง” เธอพูดเสียงแหบแห้งก่อนจะงอตัวลงไปอีก

“โอ๊ย! ห่วงอะไรไม่เข้าเรื่อง ดูสิ ทรมานขนาดนี้ ยังจะมามองหน้ากันอีก เร็ว พาคุณหนูไปหาหมอ” ป้านวลเริ่มเสียงดังจนนายปีที่มองมาอย่างจับผิดสะดุ้งแล้วรีบเข้ามาพยุงหญิงสาว เมฆานรีก็แกล้งบิดตัวเล็กน้อยไม่ให้ชายหนุ่มทั้งสองพยุง

“ไม่ต้องหรอกค่ะ เมฆไม่ไป” พูดแค่นั้นเธอก็ทรุดลงไปอีกรอบ 

งานนี้เป็นผลที่รีบเข้ามาอุ้มเธอออกไป เพราะทนเห็นคนที่เป็นทั้งน้องสาวและนายน้อยทรมานไม่ได้แล้ว แม้จะโดนหลอกเขาก็ยอม เพราะถ้าเกิดเป็นจริงขึ้นมา คนที่แย่คือคนในอ้อมแขนของเขาตอนนี้ 

เมื่อเห็นผลทำดังนั้น ปีเองก็รีบไปที่รถเพื่อเปิดประตูให้ผลวางนายน้อยลงตรงเบาะหลัง ก่อนจะนั่งประจำที่ ปีเป็นคนขับ 

เมื่อรถเคลื่อนตัวออกไปสักพัก ปีก็พูดขึ้น “แกไม่คิดว่า คุณหนูจะโกหกเราเหรอวะ” 

ผลมีท่าทีไม่ไว้ใจ แต่ก็อดห่วงไม่ได้ พวกเขาเป็นเหมือนพี่ชายของเธอ ทั้งรู้ใจและรู้นิสัยของเธอดี แต่คนหนึ่งเป็นไม้อ่อนที่รักน้องอย่างตามใจ อีกคนเป็นไม้แข็งที่ไม่เคยคิดจะตามใจและรู้ทันน้องเสมอ

“ถ้าคุณหนูโกหก แสดงว่าคุณหนูต้องแสดงเก่งมากเลยนะ ถึงได้ปวดตัวงอขนาดนั้น” ผลพูดขึ้นอย่างเป็นห่วง แต่ก็ไม่ได้ไว้ใจอย่างที่เพื่อนบอก

หญิงสาวที่รู้ว่าตัวเองเป็นประเด็นก็เลือกที่จะเงียบ นอนตัวงอ ไม่ส่งเสียงใดๆ เพราะอีกไม่นานแผนการที่เธอวางไว้ก็จะบรรลุ และก็ไม่นานจริงๆ เมื่อรถสีดำคันใหญ่มาจอดสนิทที่หน้าโรงพยาบาล หญิงสาวถูกพาตัวขึ้นรถเข็นในสภาพตัวงอ ตอนนี้ลูกน้องของแม่แยกออกเป็นสองส่วน คนหนึ่งเอารถไปจอด อีกคนกำลังดำเนินการเรื่องเอกสาร ซึ่งจังหวะนี้แหละที่เธอรออยู่ หญิงสาวลุกขึ้นจากรถเข็นทันทีที่ผลไปยื่นเอกสาร พาตัวเองไปยังประตูทางออกของโรงพยาบาล แต่ก็ไม่ได้เป็นไปตามที่คิดง่ายๆ เมื่อ...

“คุณหนู!” เสียงผลดังขึ้นตอนเธอจะพ้นประตูโรงพยาบาล ทำให้หญิงสาวหันกลับไปมอง

“พี่ผล เมฆขอโทษ แต่เมฆจำเป็นต้องไปจริง ๆ” เมฆานรีว่าพร้อมยกมือไหว้ ก่อนจะพุ่งไปหารถแท็กซี่ 

“ลุงๆ ขอแบบซิ่งเลยนะ เดี๋ยวสองคนนั้นตามหนูทัน หนูไม่อยากโดนจับตัวไปอีก” หญิงสาวโป้ปดคำโตอีกครั้ง ซึ่งลุงแท็กซี่ก็ใจดีเหลือเกิน พาเธอซิ่งออกจากโรงพยาบาล และตรงดิ่งมายังที่ที่อยู่ในขณะนี้ 

ไม่ใช่เรื่องง่ายที่เธอจะสลัดคนของแม่หลุด กระทั่งรถติดไฟแดงแยกใกล้กับโรงแรมนั่นแหละ เธอถึงลงจากแท็กซี่ แล้วรีบวิ่งมายังโรงแรมอย่างที่เขาเห็น

 

“เรื่องมันก็เป็นแบบนี้แหละค่ะ คุณพิธาน” หญิงสาวก้มหน้างุดอย่างสำนึกผิด 

พิธานลอบถอนหายใจโล่งอกที่เหตุการณ์ทั้งหมดไม่ใช่เรื่องร้ายแรงอย่างที่เขาคิด ก่อนจะปรับสีหน้าให้เข้มขึ้นอย่างต้องการจะดุคนตรงหน้า

“แล้วที่เธอทำแบบนี้ เขาไม่วุ่นวายกันใหญ่หรือ สองคนนั้นเขาอาจจะกำลังเป็นห่วงเธอมาก หรือที่ร้ายกว่านั้น เขาอาจจะโดนแม่เธอลงโทษก็ได้” คนเป็นผู้ใหญ่กว่าถามเสียงเข้ม ทำให้เด็กน้อยก็พยักหน้ารับก่อนจะเอื้อนเอ่ยสิ่งที่คิดอยู่

“หนูรู้ค่ะ วันนี้หนูถึงต้องมาพบคุณให้ได้ไงคะ เพื่อบอกเงื่อนไขที่หนูจะเสนอ จะได้ไม่ต้องหนีพวกเขามาอีก” เมฆานรีพูดด้วยท่าทีแน่วแน่ แม้ในดวงตาจะสั่นไหวอย่างคนไม่มั่นใจ

“เงื่อนไขที่ว่าเกี่ยวกับเรื่องการแต่งงานหรือ” ชายหนุ่มขมวดคิ้วถาม 

เมื่อเห็นหญิงสาวพยักหน้ารับ เขาก็ถามต่อเสียงเข้ม ก่อนจะตกใจเมื่อรู้คำตอบ

“พ่อแม่เธอรู้เรื่องนี้มั้ย” 

“ไม่ค่ะ พ่อ แม่ พี่ฟ้า ไม่มีใครรู้เรื่องที่หนูทำ เรื่องนี้จะมีแค่คุณกับหนูเท่านั้นที่รู้” หญิงสาวเสียงเข้มบ้าง 

“งั้นลองบอกข้อเสนอของเธอมาก่อน แล้วฉันจะรับไว้พิจารณาอีกทีตามที่สัญญาไว้” ชายหนุ่มเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนลง โดยที่ตัวเขาไม่ทันได้สังเกตตัวเองด้วยซ้ำ

“จริงหรือคะ ขอบคุณ คุณพิธานมากนะคะที่รับฟังหนู” หญิงสาวว่าน้ำเสียงสดใสราวกับเด็กน้อยได้ขนมหรือของเล่นที่ถูกใจ

“เงื่อนไขที่หนูจะเสนอคือ...”

โครก!

เสียงท้องร้องที่น่าอับอายทำให้เมฆานรีเบิกตากว้าง มองท้องตัวเองอย่างคาดโทษ ใบหน้าเธอแดงระเรื่ออย่างเขินอาย แต่ก็ปรับสีหน้าทำเป็นไม่สนใจ แล้วเดินหน้าพูดถึงเรื่องเงื่อนไขต่อ ไม่ทันได้สังเกตรอยยิ้มที่ระบายบนใบหน้าคนอายุมากกว่า

“เงื่อนไขคือ...”

โครก!

เสียงประท้วงรอบที่สองทำให้เจ้าของท้องถึงกับถอนหายใจเฮือกใหญ่อย่างขัดใจ ส่วนคนตัวใหญ่ต้องใช้ความพยายามอย่างหนักเพื่อกลั้นหัวเราะ เขาทั้งเอ็นดูระคนสงสารคนตรงหน้าที่เมื่อพยายามจะพูดเรื่องเป็นงาน ก็ดันแพ้ภัยตัวเอง

“คือเรื่องเงื่อน...” เธอยังไม่ทันที่จะพูดจบ ชายหนุ่มตรงหน้าก็ขัดขึ้นเสียก่อน

“ไปหาอะไรกินกันก่อนเถอะ ฉันหิวแล้ว” ชายหนุ่มเลือกจะบอกว่าตัวเองเป็นคนต้องการอาหารมากกว่าจะทำให้คนตัวเล็กอับอายไปมากกว่านี้

“ไม่ค่ะ หนูอยากคุยกับคุณให้จบตอนนี้ หนูจะได้ไม่ต้องกวนเวลาคุณมากไปกว่านี้” หญิงสาวรู้ดีว่านักธุรกิจอย่างเขา เวลาเป็นเงินเป็นทองมากแค่ไหน แค่ยอมให้เธอเข้าพบก็เสียเวลาเขามากแล้ว ยังจะให้เธอไปนั่งกินข้าวกับเขา เพราะเสียงท้องร้องน่าอับอายของเธอน่ะหรือ ไม่มีทางเสียหรอก

“นี่มันเวลาเลิกงานแล้ว และฉันไม่อยากเป็นโรคกระเพาะ” ชายหนุ่มว่า ก่อนจะลุกขึ้นยืนหลังตรง แล้วเดินไปยังประตูห้องทำงาน เขาหันมาเรียกหญิงสาวที่ยังคงทำหน้าสงสัยอยู่

“เอ้า ลุกสิ ทำแบบนี้ เธอทำฉันเสียเวลามากกว่าอีก” ชายหนุ่มพยักหน้าเรียกซ้ำ ทำให้เมฆานรียอมลุกไปหาเขาอย่างว่าง่าย

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น