7

ตอนที่ 6

6

 

มือของฉือซิ่นสั่นเทา

เขายังมีเยื่อใยให้แก่ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับเจี่ยงหยวนในกลุ่มเพื่อนสนิทของแอกเคานต์ในโซเชียลเน็ตเวิร์ก   รูปคู่ทุกรูปเป็นหลักฐานพิสูจน์ให้เห็นว่าพวกเขาเคยรักกันมากแค่ไหน ทว่าตอนนี้มันกลับเป็นสิ่งไร้ค่าจนถึงขนาดที่ว่ากลายเป็นภาระให้อีกฝ่ายไปแล้ว

ฉือซิ่นได้แต่คิดว่าบางทีตัวเขาก็อาจจะกลายเป็นสิ่งกวนใจเจี่ยงหยวนเหมือนกับรูปถ่ายเหล่านี้ถ้าไม่สามารถปกป้องดูแลและพาเธอไปสู่จุดมุ่งหมายในอนาคตได้ เช่นนั้นก็ทำตามความปรารถนาสุดท้ายแล้วเดินจากไปอย่างสงบจะดีกว่า

วันนี้ก่อนที่จะแยกย้ายกันไป เขาอดไม่ได้ที่จะพิสูจน์ให้เห็นกับตาว่าอีกฝ่ายไม่ได้รักตัวเองแล้วจริงๆ แต่ยังไม่ทันจะได้เอ่ยปากออกไป แววตาจริงจังของเธอก็ปรากฏออกมาให้เห็นซะก่อน 

‘อย่าบังคับให้ฉันต้องเกลียดนาย’

เพียงประโยคเดียวเท่านั้น ทุกอย่างดูย่ำแย่ไปหมด เขาจนปัญญาแล้ว

เสียงออดดังขึ้น ฉือซิ่นเดินไปส่องที่ประตู เห็นฉือซานยืนหน้าขาวปากแดงอยู่ด้านนอก เธอมีรูปร่างหน้าตาสะสวย ในมือถืออาหารห่อใหญ่อยู่สองห่อ

ฉือซิ่นรีบวิ่งกลับเข้ามาด้านใน เขารื้อของที่เจี่ยงหยวนทิ้งเอาไว้ออกมาจากในตู้เก็บของ จากนั้นจึงนำสิ่งเหล่านั้นไปวางตามห้องรับแขกและห้องน้ำอย่างคล่องแคล่วว่องไว

“เปิดประตูเดี๋ยวนี้ ไอ้เด็กบ้า!” ฉือซานเริ่มทุบประตู

“มาแล้วๆ” ฉือซิ่นตะโกนบอกก่อนจะเปิดประตู เขาแกล้งทำเป็นตกใจ “พี่กลับมาแล้วเหรอ”

ฉือซานยัดของที่ถืออยู่ใส่มือน้องชาย “ไม่ยอมมาเปิดประตูสักที ฉันเรียกตั้งนาน ทำอะไรอยู่น่ะ”

“เปล่านี่ ผมเพิ่งจะกลับถึงบ้านเลยงีบสักพักเพราะเหนื่อย คิดไม่ถึงว่าพี่จะมา” ฉือซิ่นบอก “พี่กลับมาทำไมไม่บอกผมล่ะ ผมจะได้ไปรับ”

ฉือซานทิ้งตัวนั่งลง “แกไม่ต้องมารับฉันหรอก เอาตัวเองให้รอดก็พอแล้ว”

ฉือซิ่นรู้สึกเหมือนตัวเองมีชนักติดหลังนิดหน่อย “คือ...เจี่ยงหยวนไปทำงานต่างจังหวัดน่ะ ไม่อยู่บ้าน”

ฉือซานตอบกลับเพียง “อือ”

ฉือซิ่นไม่ได้ตั้งใจจะโกหก แต่เขาไม่มีทางเลือก เขากับพี่สาวอายุห่างกันเจ็ดปี ตั้งแต่เล็กจนโต เขาถูกพี่สาวกลั่นแกล้งให้อับอายขายหน้ามาตลอด แม้ว่าเขาจะเรียนเก่ง หน้าตาดี ทว่าพี่สาวมักจะหาข้อเสียหรือข้อด้อยมาหัวเราะเยาะเขาได้เสมอ ยกตัวอย่างเช่น 

‘ขนขาของน้องชายฉันเยอะมาก เขามีวิวัฒนาการไม่ค่อยดีน่ะ’

หรือว่าจะเป็น 

‘ตอนเด็กน้องชายของฉันอ่อนแอมาก เขาโดนฉันซัดจนหมอบอยู่บ่อยๆ ฮ่าๆๆ’

ดังนั้นคนที่ฉือซิ่นกลัวที่สุดจึงเป็นพี่สาวของเขา ตอนเด็กจะมีคำถามให้เติมคำเติมลงในช่องว่างว่า 

____คือสัตว์ที่ฉันกลัวที่สุด 

เพื่อนบางคนเขียนคำตอบว่าเสือ บางคนเขียนว่าลิง ส่วนฉือซิ่นนั้นเขียนลงไปว่าพี่สาว

ถ้าพี่สาวรู้เรื่องที่เขาอกหักเข้าละก็ เธอจะต้องเทศนาเขาชุดใหญ่แน่ๆ ช่วงนี้เขาใช้ชีวิตอย่างสมบุกสมบันมามากพอแล้ว ไม่สามารถทนรับฟังคำบ่นด่าอะไรจากคนในครอบครัวได้อีกแล้ว

“พี่รอแป๊บนึงนะ เดี๋ยวผมไปหาอะไรมาให้ดื่ม”

“พวกแกเลิกกันแล้วเหรอ” ฉือซานเปิดปากถาม ฉือซิ่นยังไม่ทันตั้งตัว

“นานแค่ไหนแล้ว” ฉือซานถามอีก

“หนึ่งเดือน”

ฉือซานแกะถุงพลาสติกที่หิ้วมาออก “ในที่สุดก็ไม่ต้องทนกับยายผู้หญิงไม่กินเผ็ดคนนั้นแล้ว รอบนี้ฉันไปฉงชิ่งมา ตั้งใจเอาเครื่องปรุงรสหม้อไฟต้นตำรับฉงชิ่งแท้ๆ มาฝากแกด้วย”

ฉือซิ่นพลิกซองเครื่องปรุงดู ก็พบว่าส่วนผสมและน้ำจิ้มนั้นมีเพียงพอสำหรับคนสองคนพอดี ฉือซานหอบเตาไฟฟ้า ตะเกียบ และถ้วยชามออกมาจากห้องครัว

“พี่รู้ได้ยังไงว่าพวกผมเลิกกันแล้ว”

“ง่ายจะตายไป ข้อแรก แกไม่ได้โพสต์อะไรที่สื่อถึงความรักความพิเศษอะไรมานานแล้ว ข้อสอง ตอนที่แกคุยกับฉัน แกไม่เคยพูดถึงยายนั่นเลย ข้อสาม ถ้ายายนั่นไปทำงานต่างจังหวัดจริงคงจะไม่หอบของไปหมดหรอกมั้ง ขนาดรองเท้าแตะหน้าห้องยังไม่เหลือเลย”   ฉือซานบอก

ฉือซิ่นอึ้งไป เขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าในโลกของเขาล้วนมีเรื่องของเธอเขามาเกี่ยวข้องอยู่เสมอ ดังนั้นหลังจากที่เธอจากไป โลกของเขาจึงหม่นหมองลงอย่างรวดเร็ว

“ไม่ต้องชื่นชมฉันหรอกนะ ตอนนั้นฉันก็อาศัยความละเอียดรอบคอบของตัวเองจับได้ว่าสามีคนก่อนแอบออกนอกลู่นอกทาง” ฉือซานซักไซ้ต่อ “ทำไมแกไม่บอกเรื่องนี้กับฉัน”

“ก็ไม่อยากให้พี่รู้แล้วไม่สบายใจมั้ยล่ะ” ฉือซิ่นตอบ

“เหลวไหลน่า” ฉือซานไม่เชื่อ “แกกลัวว่าถ้าฉันรู้แล้วจะเอาแต่ล้อแกมากกว่าใช่มั้ยล่ะ”

พอเห็นว่าฉือซิ่นไม่เถียง ฉือซานก็พูดต่อ “ฉันรู้อยู่แล้วละว่าแกจะต้องคิดแบบนี้ หลายปีมานี้แกชอบจำแต่ตอนที่ฉันแกล้งแก แต่มีแค่ฉันคนเดียวเท่านั้นแหละที่แกล้งแกได้ ตั้งแต่เล็กจนโต เวลามีใครมาแกล้งแก มีครั้งไหนที่ฉันไม่พยายามปกป้องแกอย่างสุดความสามารถบ้าง”

“พี่” ฉือซิ่นรู้สึกเหมือนถูกกลั่นแกล้ง

“ความจริงเหลืออีกตั้งครึ่งเดือนกว่าฉันจะกลับปักกิ่ง แต่ว่าดันมาเกิดเรื่องกับไอ้เด็กบ้าของฉันเข้าซะก่อน ฉันรู้สึกว่าเขาต้องการฉัน ฉันถึงต้องกลับมาอยู่ข้างๆ เขานี่ไง” ฉือซานพูดพร้อมกับฉีกซองเครื่องปรุงไปด้วย

ฉือซิ่นนั่งกอดเธอเอาไว้ไม่ต่างกับเด็กน้อยคนหนึ่ง

“ตลอดเวลาที่พวกแกคบกันมา ฉันไม่เคยพูดเลยว่าเธอมีข้อเสียตรงไหนบ้าง ฉันรู้สึกว่าในเมื่อเธอเป็นคนที่น้องชายฉันชอบ ฉันก็ควรจะชอบเธอด้วย ทุกครั้งที่เจอกัน เรายอมที่จะกินอาหารกวางตุ้งรสชาติหวานจัดเพื่อเธอ แต่เธอกลับไม่เคยยอมลองชิมอาหารเสฉวนรสชาติจัดจ้านเพื่อเราบ้างเลย พอเวลาผ่านไปนานเข้าฉันก็ดูออกแล้วละว่าไม่ใช่เธอไม่รักแก แต่เธอแค่ไม่ได้รักแกมากเท่าที่แกรักเธอ... 

“รู้มั้ยว่าฉันกลัวอะไรที่สุด สิ่งที่ฉันกลัวที่สุดคือ ฉันกลัวว่าน้องชายที่กำลังอยู่ในวัยลุ่มหลงกับความรักจะพบเจอคนที่ไม่เหมาะสมกับเขา ช่องว่างระหว่างพวกแกสองคนมันไม่เท่ากันมาตั้งแต่แรกแล้ว ความรักที่มีให้กันก็ไม่เท่ากัน พอเลิกกัน ระดับของความเจ็บปวดก็ยังไม่เท่ากันเลย คนที่รักมากกว่าก็ย่อมเจ็บปวดมากกว่าเสมอ” คนเป็นพี่บอก

ฉือซิ่นขยับศีรษะไปซบลงตรงกลุ่มผมของพี่สาว

ฉือซานตบแก้มเขาเบาๆ “อย่าร้องสิ ไม่แมนเลย”

น้ำตาของฉือซิ่นไหลทะลักออกมาอย่างกับเขื่อนแตก “เพราะพี่นั่นแหละ ทำให้ผมร้องไห้”

ฉือซานผลักเขาออก “ฉันปลอบสองสามคำแกก็ผยองแล้วเหรอ เดี๋ยวแม่ก็ซัดให้!”

ฉือซิ่นร้องโวยวายด้วยความเจ็บปวด “มือพี่มีแต่พริกแล้วเอามาลูบหน้าลูบตาผม จะไม่ให้ผมร้องไห้ได้ยังไง!”

เย็นวันนั้นฉือซิ่นฝันว่าเจี่ยงหยวนกลับมาหาพร้อมทั้งพูดกับเขาว่าให้เดินต่อไปด้วยกัน ฉือซิ่นดีใจมาก ก่อนที่เขาจะตื่นขึ้นมา ความง่วงหายเป็นปลิดทิ้ง เขาตาสว่างยันเช้า

 

คนที่นอนไม่หลับเหมือนกันคือติงเสี่ยวโหรว นอกจากจะยังไม่ได้เงินมาแล้วยังต้องซื้อไอโฟนมาชดใช้ให้อีกฝ่ายอีก เจ็บหัวใจไปหมด น้าชายที่อยู่ห้องข้างๆ ก็ยังไม่นอน เสียงเพลงประกอบละครโปเยโปโลเยที่ชื่อว่า “รุ่งสางได้โปรดอย่าเพิ่งเดินทางมาถึง” ดังแว่วเข้ามา ทั้งเศร้าโศกทั้งเจ็บแค้น เรื่องราวของผีสาวเนี่ยเสี่ยวเชี่ยนที่เข้าไปซ่อนตัวอยู่ในเจดีย์สีทอง หนิงฉ่ายเฉินกับเธอไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกันอีกต่อไป ก่อนรุ่งสางจะมาถึงเขาก็ได้ขี่ม้าจากไป 

ตู้ลี่หมิงมองดูหน้าจอคอมพิวเตอร์ น้ำตาเอ่อคลอเต็มขอบตา

วันต่อมา ติงเสี่ยวโหรวพาขอบตาดำเป็นหมีแพนด้าทั้งสองข้างไปดูร้านทางแถบซีตัน

คนบางประเภทเกิดมาไม่เหมือนคนอื่น อย่างเช่นตอนที่คุณไม่ได้สระผม หน้าม้าของคุณจะมันเยิ้มเหมือนกับมีขนคิ้วแข็งๆ มาแปะอยู่บนหน้าผาก และเมื่อคุณออกไปข้างนอกจะต้องมีเหตุให้คุณได้พบเจอกับเหตุการณ์สำคัญต่างๆ เสมอ หรือยกตัวอย่างเช่น คุณกำลังรอรถอยู่ข้างถนนและเพิ่งจะจุดบุหรี่ขึ้นมา รถที่คุณเรียกไว้ก็มาถึงพอดี

ติงเสี่ยวโหรวจัดอยู่ในคนประเภทนี้ เวลาไหนที่เธอกำลังรีบ ลิฟต์มักจะเต็มทุกรอบ เธอมองหาเจิ้งเจ๋อพบอย่างรวดเร็วท่ามกลางฝูงชนมากมาย เขาเป็นผู้ชายรูปร่างสูงใหญ่ เข้ามาทำงานที่บริษัทในเวลาไล่เลี่ยกับเธอ อยู่แผนกจัดจำหน่ายสินค้า ที่เขาโผล่มาในวันนี้น่าจะเป็นเพราะมาตรวจสต๊อกสินค้า

ติงเสี่ยวโหรวรีบโบกมือให้อีกฝ่าย เจิ้งเจ๋อเองก็ยิ้มและโบกมือตอบกลับเธอเช่นกัน

ติงเสี่ยวโหรวรีบร้องเตือน “ปุ่มกด!”

เจิ้งเจ๋อพยักหน้า ยื่นแขนออกมาจากทางด้านหลังของฝูงชนพร้อมกับบอกด้วยท่าทีสุภาพ “ช่วยหลบด้วยครับ” จากนั้นจึงกดปุ่มปิดลิฟต์

ประตูลิฟต์ปิดลงช้าๆ เจิ้งเจ๋อตะเบ๊ะมือให้เธอหนึ่งทีพร้อมกับยิ้มร้ายกาจ

ติงเสี่ยวโหรวโกรธจนกัดฟันกรอด

หลังจากนั้นครึ่งชั่วโมง ติงเสี่ยวโหรวก็มานั่งทำงานอยู่ในอาคาร เธอพบว่าขนาดของเสื้อผ้าบนหุ่นตัวหนึ่งไม่ถูกต้องจึงตัดสินใจไปที่ห้องเก็บของเพื่อเปลี่ยนขนาด ห้องเก็บของค่อนข้างแคบและยาว ตอนที่ติงเสี่ยวโหรวเตรียมตัวจะเริ่มลงมือค้นหาก็ได้ยินเสียงประตูถูกเปิดออก เจิ้งเจ๋อกับพนักงานสาวอีกสองคนเดินเข้ามาด้านใน

ติงเสี่ยวโหรวกำลังจะส่งเสียงทักทาย ทว่าได้ยินหนึ่งในเพื่อนร่วมงานสาวพูดขึ้นมาก่อนว่า “ได้ยินเรื่องที่ติงเสี่ยวโหรวเหยียบโทรศัพท์ลูซี่จนพังเมื่อวานหรือยัง”

อีกคนตอบ “รู้แล้ว ติงเสี่ยวโหรวอยากจะแย่งหวังเท่อกลับไปน่ะสิ ถึงได้ส่งข้อความไปหาโดยไม่ทันได้คิดว่าโทรศัพท์จะอยู่ในมือของลูซี่”

คนเปิดประเด็นพูดต่อ “หลังจากนั้นเพื่อที่จะเอาใจลูซี่ หวังเท่อถึงกับลบเบอร์โทรศัพท์และวีแชตของติงเสี่ยวโหรวตรงนั้นเลยละ”

พอเห็นว่าเจิ้งเจ๋อเงียบ อีกคนจึงเอ่ยถาม “เจิ้งเจ๋อ นายก็รู้ไม่ใช่หรือไง”

เจิ้งเจ๋อมองหญิงสาวทั้งสองคน “ฉันมีเพื่อนอยู่คนหนึ่ง แม่เขามีชีวิตอยู่ได้แค่สามสิบปี”

“เกิดอะไรขึ้นเหรอ” ทั้งคู่แปลกใจ

เจิ้งเจ๋อมีสีหน้าจริงจัง “เพราะแม่ของเขาชอบสอดรู้สอดเห็นเรื่องชาวบ้าน”

หญิงสาวสองคนเข้าใจแจ่มแจ้ง พวกเธอทำเพียงแค่ส่งเสียง ‘ชิ’ ออกมา และเหลือกตามองบนใส่เจิ้งเจ๋อ

ติงเสี่ยวโหรวแอบอยู่หลังกองเสื้อผ้า เธอได้ยินทุกบทสนทนาของทั้งสามคน เจิ้งเจ๋อบังเอิญสบตากับติงเสี่ยวโหรวอย่างไม่ได้ตั้งใจ หญิงสาวจึงรีบก้มหน้างุดหลบตาพนักงานสาวผู้ที่เป็นคนเปิดประเด็นสนทนาซึ่งเดินตรงมายังกองผ้าเหล่านั้น 

เจิ้งเจ๋อรีบเสนอตัวและแย่งตารางสถิติมาจากมือของเธอ “หมายเลขสินค้าด้านนี้ซับซ้อน เดี๋ยวฉันเช็กให้เอง”

“เอางั้นก็ได้ งั้นฝากด้วยนะ” เพื่อนร่วมงานสาวเดินไปอีกทางหนึ่ง

เจิ้งเจ๋อเดินมาแขวนเสื้อผ้าสองตัวตรงหน้าตู้เสื้อผ้าที่ติงเสี่ยวโหรวหลบอยู่ เพื่อให้ปราการในการซ่อนตัวของเธอแน่นหนามากขึ้น 

เมื่อเห็นว่าเจิ้งเจ๋อและเหล่าเพื่อนร่วมงานเดินจากไปแล้ว ติงเสี่ยวโหรวจึงทรุดตัวลงนั่งที่พื้นอย่างไร้เรี่ยวแรง เธออยากรู้ว่าสิ่งที่เพื่อนร่วมงานสาวคนนั้นพูดเป็นเรื่องจริงหรือไม่ ทว่าคิดอีกมุมหนึ่ง จะมีหรือไม่มีช่องทางการติดต่อมันต่างกันยังไงล่ะ

ภายใต้แสงไฟสลัว ติงเสี่ยวโหรวไม่สามารถทนได้อีกต่อไป เธอคัดลอกข้อความที่น้าชายส่งมาให้ก่อนหน้านี้ในวีแชต 

วิธีการทดสอบจากกลุ่ม ส่งข้อความนี้ให้อีกฝ่าย จะทดสอบได้ว่าใครบ้างที่แอบลบคุณออกจากบัญชี หากข้อความนี้รบกวนคุณ ต้องขออภัยด้วย

ติงเสี่ยวโหรวตัดสินใจคัดลอกแล้วส่งมันไปให้หวังเท่อ หากอีกฝ่ายได้เห็นข้อความจริงๆ หรืออาจจะเป็นลูซี่ที่มาเห็นก็ว่าอะไรไม่ได้ เพราะมันคือข้อความจากกลุ่ม ไม่ได้เจาะจงส่งให้เฉพาะบางคน

ติงเสี่ยวโหรวกดส่ง

การส่งข้อความล้มเหลว

วีแชตขึ้นแจ้งเตือน คุณไม่ได้เป็นเพื่อนกับอีกฝ่าย

หญิงสาวรู้เพียงเธอเจ็บหนึบไปทั้งหัวใจ

‘ช่วยทำเรื่องแบบนี้กับฉันอีกสิหวังเท่อ ทำให้ฉันเจ็บจนเกินพอ ฉันจะได้ไม่ต้องเจ็บปวดอย่างนี้อีก แล้วฉันจะดีขึ้นเอง’

 

ฉือซิ่นเจอสมุดเล่มนั้นที่ร้านคาร์แคร์ล้างรถ

ตอนที่เขาเปิดกระโปรงหลังรถ หยิบผ้าสำหรับเช็ดรถออกมา ก็เห็นไดอะรีปกผ้าสักหลาดนอนแอ้งแม้งอยู่ด้านใน

สิ่งแรกที่ฉือซิ่นนึกขึ้นมาได้คือ มันเป็นของเจี่ยงหยวน เขาหยิบมันขึ้นมาดูพร้อมกับพลิกไปพลิกมา

เจ้าของไดอะรีเขียนเรียงลำดับบรรดาแฟนหนุ่มของตัวเองไว้และจดบันทึกชื่อ สถานที่เกิด รวมถึงช่องทางการติดต่อของทุกคนเอาไว้อย่างชัดเจน สิ่งที่น่าสนใจคือ เนื้อหาส่วนมากยังเขียนช่วงเวลาตอนที่รักกันและสาเหตุที่เลิกกันไว้อีกด้วย แต่ละคนมีระยะเวลาช่วงที่รักกันไม่เหมือนกัน ทว่าสาเหตุที่เลิกกันกลับคล้ายกันเสียส่วนใหญ่ จะมีที่ต่างกันบ้างเล็กน้อย บรรดาแฟนหนุ่มเป็นฝ่ายบอกเลิกก่อนด้วยเหตุผลต่างๆ นานา และการพูดถึงแฟนหนุ่มทุกคนในวรรคสุดท้ายล้วนแต่เขียนเอาไว้เหมือนกันหมดว่า พบเจอกับคู่ชีวิต มีความสุข

เมื่อฉือซิ่นพลิกหน้ากระดาษอ่านมาถึงรายละเอียดที่เกี่ยวข้องกับหวังเท่อ แฟนหนุ่มคนที่สามสิบเอ็ด ก็ยิ้มออกมาอย่างไม่อาจกลั้นได้ เขามั่นใจร้อยเปอร์เซ็นต์แล้วละว่าเจ้าของไดอะรีเล่มนี้คือติงเสี่ยวโหรว

ตอนฉือซิ่นเข้าไปรับข้อมูลช่องทางการติดต่อที่ศูนย์รถยนต์ อีกฝ่ายบอกเขาว่าไดอะรีเล่มนี้อยู่บนรถอยู่แล้วตอนที่รถชน พนักงานคิดว่าเป็นของฉือซิ่นจึงนำไปวางไว้ที่กระโปรงหลังรถให้

ฉือซิ่นครุ่นคิดและเดาว่าหลังจากเกิดเหตุการณ์รถชน ของที่ติดตัวมากับติงเสี่ยวโหรวคงจะหล่นกระจัดกระจายอยู่ที่พื้น ไดอะรีเล่มนี้อาจจะถูกโยนเข้ามาไว้ในรถของเขาช่วงชุลมุนวุ่นวาย...ทั้งบุคคล ทั้งเรื่องราว ดูเหมือนว่าจะเป็นเรื่องจริงทั้งหมด ขนาดช่องทางการติดต่อยังมี 

ฉือซิ่นนึกถึงคำพูดของติงเสี่ยวโหรวในร้านกาแฟวันนั้นแล้วเต็มไปด้วยความสงสัย ดูยังไงก็ไม่เหมือนว่าเธอกำลังพูดโกหกเลย สุดท้ายฉือซิ่นสุ่มเปิดไปที่หน้าที่มีเบอร์โทรศัพท์ของแฟนเก่าคนหนึ่งและตัดสินใจโทร. ไปหา แน่นอนว่าเขาปิดบังตัวตนที่แท้จริงของตัวเอง ใช้วิธีการโทร. สอบถามผู้บริโภคในการพูดสาย ซึ่งจากการสนทนาทำให้ฉือซิ่นรู้ว่าตอนนี้ความรู้สึกของอีกฝ่ายมั่นคงและมีคนที่ตัวเองรักมากๆ อยู่แล้ว

ฉือซิ่นพลิกหน้ากระดาษไปที่เบอร์โทรศัพท์อีกเบอร์หนึ่ง คำตอบที่ได้รับจากอีกฝ่ายยังคงเหมือนเดิม ตอนนี้เขากำลังใช้ชีวิตอยู่กับคนที่รักที่สุด เขามีความสุขมาก ฉือซิ่นยังคงต่อสายหาคนอีกสองสามคน ทว่าไม่มีใครที่แตกต่างเลย ทุกคนล้วนมีคนที่ตัวเองรักมากกันหมดแล้วทั้งนั้น

ฉือซิ่นตัดสินใจต่อสายหาเบอร์โทร. สุดท้าย คนรับสายเป็นหญิงสาวคนหนึ่ง ปลายสายตอบกลับมาว่า ‘สวัสดีค่ะ ฉันเป็นคนรักของเขา’ เสียงเด็กพูดอ้อแอ้ดังเข้ามาในสาย คำพูดง่ายๆ เพียงประโยคเดียวก็สามารถทำให้รับรู้ได้ว่าอีกฝ่ายนั้นมีครอบครัวแสนอบอุ่นแล้ว

บนโลกนี้มีเรื่องที่บังเอิญอะไรขนาดนี้อยู่ด้วยเหรอ มีเพียงแค่คนที่คบกับเธอเท่านั้นที่พบเจอกับรักแท้ได้อย่างรวดเร็วหลังจากที่เลิกกันไปเช่นนั้นหรือ

ฉือซิ่นตัดสินใจแล้วว่าเขาจะคุยกับติงเสี่ยวโหรวให้รู้เรื่อง

 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น