1

โน้ตตัวที่ ๑

โน้ตตัวที่ ๑

 

หนัก...

นฎาอึดอัดจนหายใจไม่ออก เธอควานมือเปะปะขึ้นดัน ‘สิ่ง’ ที่ทาบประทับอยู่เหนือร่างให้ออกห่าง แต่ไม่เป็นผลสำเร็จ ยิ่งออกแรงดันก็ยิ่งกดน้ำหนักลงมามากขึ้น ไอร้อนแปลกๆ ที่เป่ารดลงมาบนผิวกายพร้อมสัมผัสอุ่นชื้นทำเอาขนอ่อนด้านหลังคอลุกชันไปหมด

หญิงสาวพยายามลืมตา แต่เปลือกตาถูกกดไว้ด้วยฤทธิ์แอลกอฮอล์จนเผยอเปลือกตาได้เพียงครึ่งเดียว อีกทั้งดวงตายังพร่ามัวอยู่หลังม่านหมอกของความง่วงงุน สิ่งที่เห็นจึงเป็นเพียงเงาวูบไหวเลือนรางท่ามกลางความมืดมิด

“อ๊ะ...”

นฎาสะท้านเยือกยามสัมผัสลึกลับนั้นเริ่มทวีความหนักหน่วงขึ้น มันลากไล้ไปทั่วร่างอย่างสำรวจตรวจตรา แตะต้องแม้แต่ซอกหลืบลึกลับที่ไม่เคยมีใครอื่นล่วงล้ำมาก่อน และดึงเธอลงสู่กองเพลิงร้อนระอุที่แทบเผาเนื้อตัวให้มอดไหม้เป็นจุณ

“อย่า...”

เธอครางประท้วงเสียงแผ่วก่อนจะถูกบางอย่างที่ร้อนผ่าวดูดซับประโยคที่เหลือไปอย่างดุดันและกร้าวกระด้าง มิไยที่เธอพยายามเบือนหน้าหลบ แต่กลับถูกรั้งปลายคางให้กลับมารับสัมผัสเรียกร้องและเอาแต่ใจนั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนตัวอ่อนปวกเปียกไปหมด เธอรวบรวมเรี่ยวแรงที่เหลือดันสิ่งหนาหนักที่กดทับอยู่บนตัวออกอีกครั้งแล้วพบว่ามือของตนเองอ่อนแอเกินกว่าจะทำให้แผงอกกว้างนั้นขยับออกห่างแม้แต่มิลลิเมตรเดียวด้วยซ้ำ

แผงอก?

สมองของนฎายังคงจมอยู่ในห้วงภวังค์ที่เต็มไปด้วยหมอกหนาทึบ เธอไม่รู้เลยสักนิดว่าตนเองอยู่ที่ใด แล้วไยจึงมาตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ได้ เธอพอเดาได้รางๆ ว่าสิ่งที่กักกันตนเองไว้ใต้อาณัติ ณ ขณะนี้เป็นเรือนกายของบุรุษเพศที่มีขนาดใหญ่โตกว่าเธอหลายเท่า ทั้งหนาหนั่น แกร่งกร้าวไปด้วยกล้ามเนื้อ และ...เปลือยเปล่า!

“ปล่อย...ปล่อยฉัน...อย่า...”

ความกลัวแล่นปราดเข้าจับขั้วหัวใจและนำพาสติที่หลุดลอยหายไปกลับคืนสู่ร่าง แต่ถึงกระนั้นเธอก็ยังไม่อาจสู้แรงคนที่ตรึงเธอไว้กับเตียงได้ ไม่ว่าจะดิ้นรนจิกข่วนอย่างไร เขาก็ไม่ยอมปล่อยเธอให้เป็นอิสระโดยง่าย มิหนำซ้ำยังส่งเสียงคำรามต่ำๆ อยู่ในลำคอก่อนจะกดข้อมือบอบบางทั้งสองข้างให้แนบลงบนฟูกหนานุ่มจนไม่อาจกระดิกกระเดี้ยได้อีก

“ได้โปรด...ปล่อยฉันไป จะเอาอะไรฉันให้หมดเลย แต่ปล่อยฉันไปเถอะ อย่าทำอะไรฉันเลย...”

นฎาเสียงสั่นพอๆ กับร่างกาย เธอสั่นจนทำให้คนที่อยู่เหนือร่างชะงักไปครู่หนึ่ง เขาเงยหน้าขึ้นจากเนื้อตัวนุ่มนิ่มแล้วมองกลับมาด้วยดวงตาที่เรืองแสงสีเขียวอมเทาวับวาวเหมือนดวงตาของสัตว์ที่หากินตอนกลางคืน

เดี๋ยวก่อน...คนปกติที่ไหนจะมีดวงตาเรืองแสงได้กันเล่า แถมยังอยู่ในห้องมืดสนิทไม่มีแสงไฟให้สะท้อนอีกด้วย นี่เขา...ไม่ใช่มนุษย์!

“กลัวเหรอ” เสียงพูดติดจะเยาะหยันนิดๆ มาพร้อมกลิ่นวอดคาแบบเดียวกับที่เขาทิ้งไว้ในปากของเธอเมื่อครู่ “อย่าเพิ่งรีบสิ ยังมีที่น่ากลัวกว่านี้ให้ดูอีก”

ไม่พูดเปล่า เขายังแสยะยิ้มอวดคมเขี้ยวยาวโง้งให้ดู นฎาตกใจแทบสิ้นสติ ยิ่งเห็นว่าเขาโน้มใบหน้าลงต่ำเพื่อประทับจุมพิตอีกคราทั้งที่ยังมีเขี้ยวอยู่เช่นนั้นก็กรีดร้องสุดเสียง

“ไม่!”

 

“น้ำ!”

เสียงเรียกที่มาพร้อมแรงเขย่าเสียจนหญิงสาวหัวสั่นหัวคลอนปลุกเธอจากห้วงภวังค์อันน่าสะพรึง ดวงตากลมโตเบิกโพลง ปล่อยหยาดน้ำตาเม็ดโตให้ร่วงเผาะลงอาบแก้ม 

“กิ่ง...” นฎากะพริบตาปริบๆ มองดวงหน้าสวยเด่นที่อยู่ตรงหน้าครู่หนึ่งก่อนจะขยับลุกขึ้นนั่งปาดน้ำตาป้อยๆ “นี่ฉัน...ฝัน...”

“อีกแล้ว” กิ่งกาญจน์ต่อประโยคให้เสร็จสรรพแล้วระบายลมหายใจยาว “พักนี้แกเป็นอะไรของแกนะน้ำ ฝันร้ายตลอดเลย”

“ฉัน...ก็ไม่รู้...” นฎาหลุบตามองที่นอน...รู้สิ ทำไมจะไม่รู้ เธอรู้ดีแก่ใจทีเดียวว่าทั้งหมดเป็นเพราะ ‘ไอ้ปีศาจร้าย’ นั่น! “แล้วนี่...แกแต่งหน้าแต่งตัวเสียสวยเช้ง จะไปไหน ยังไม่ถึงเวลาทำงานไม่ใช่เหรอกิ่ง”

หญิงสาวเงยหน้าขึ้นมองนาฬิกาติดฝาผนังห้องพักเล็กๆ ของตนเอง แล้วหันกลับมามองเพื่อนสนิทที่สวมเดรสแนบเนื้อสีดำและแต่งแต้มใบหน้าด้วยเครื่องสำอางอย่างประณีต 

แต่ไหนแต่ไรมา กิ่งกาญจน์เป็นคนสวยโดดเด่น เธอสูงเพรียวทว่ามีรูปร่างแบบนาฬิกาทราย อกเป็นอก เอวเป็นเอว แถมยังมีขายาวรับกับสะโพกผาย อีกทั้งมีเรือนผมดำขลับยาวสยายถึงบั้นเอวช่วยขับให้ดวงหน้าโดดเด่น

ผิดกับนฎาชนิดลิบโลก...

จริงอยู่ว่านฎาก็สูงเพรียว ทว่าผอมบางเกินไปสักหน่อยจึงทำให้แขนขาดูยาวเก้งก้าง แม้ใบหน้าจะน่ารักจิ้มลิ้ม ปากนิด จมูกหน่อย แต่ส่วนเดียวที่โดดเด่นก็มีเพียงดวงตากลมโตกับแพขนตางอนหนาเหมือนตุ๊กตาเท่านั้น เมื่อประกอบเข้ากับเครื่องหน้าส่วนอื่นๆ และทรงผมซอยสั้นกุดกลับทำให้เธอดูเหมือนทอมบอยเสียมากกว่า

“อ๋อ...” กิ่งกาญจน์ลากเสียงยาวนิดหนึ่ง “ฉันมีเดตกับหนุ่ม”

“หือ? มีเดต?” นฎาตลบผ้าห่มออกไปให้พ้นกายแล้วเหวี่ยงขาทั้งสองข้างลงจากเตียง เธอพยายามสลัดภาพความฝันอันน่าสะพรึงทิ้งไปแล้วตีสีหน้าให้เป็นปกติที่สุด “สงสัยวันนี้พายุจะเข้าซะละมั้งเนี่ย”

กิ่งกาญจน์เป็นสาวเจ้าเสน่ห์ มีหนุ่มๆ มาติดพันมากมาย ทว่าเจ้าตัวไม่เคยตกลงปลงใจเป็นคู่รักกับใคร และแทบไม่เคยออกเดตเป็นเรื่องเป็นราวเลย แม้จะมีอายุย่างเข้า ๒๔ ปีในปีนี้แล้วก็ตาม

“เออ ก็คงงั้น” แทนที่จะหงุดหงิดจนแยกเขี้ยวใส่เหมือนทุกที กิ่งกาญจน์กลับหัวเราะอย่างอารมณ์ดี “แต่พายุจะเข้ายังไง ฉันก็ไม่ลืมนะว่าวันนี้เป็นวันเกิดของแก”

หญิงสาวหยิบกล่องของขวัญเล็กๆ ออกมาจากกระเป๋าสะพาย แล้วส่งให้นฎาที่ทำตาโตอย่างตื่นเต้น

“เฮ้ย! ไม่ต้องก็ได้ ฉันเกรงใจ” เธอส่ายหน้าปฏิเสธเป็นพัลวัน 

“เปลี่ยนจากเกรงใจเป็นขอบใจแทนได้ไหม” กิ่งกาญจน์ส่ายหน้าอย่างอ่อนใจ จากนั้นจึงยัดกล่องของขวัญใส่มือเพื่อน “วันนี้เป็นวันเกิดแกทั้งทีนะ ฉันเป็นเพื่อนรักของแกก็ควรมีของขวัญเล็กๆ น้อยๆ ให้บ้างไม่ใช่หรือไง รับไปเหอะน่า มันไม่ใช่ของแพงอะไรหรอก”

“ขอบใจนะ” นฎาพูดเสียงเบา ปลายนิ้วลากไปบนโบสีชมพูอ่อนบนกระดาษห่อของขวัญเบาๆ อย่างทะนุถนอม เธอไม่ชินกับการรับของขวัญจากคนอื่นสักเท่าใดนัก ส่วนใหญ่แล้วไม่ค่อยมีใครจดจำวันเกิดของเธอได้หรอก นอกจากแม่กับกิ่งกาญจน์ “แกอวยพรฉันเป็นคนแรกทุกปี แล้วปีนี้ยังซื้อของให้อีก”

“มีเพื่อนดีขนาดนี้ ไม่ต้องมีแฟนห่วยๆ อย่างอีตาพี่เอกก็ได้”

กิ่งกาญจน์ดึงกล่องของขวัญกลับมาแกะเสียเอง เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเอาแต่ถือไว้ไม่ยอมเปิดดูเสียที

“แกก็พูดไปเรื่อยเปื่อย พี่เอกไม่ใช่แฟนฉันเสียหน่อย”

นฎาหัวเราะกลบเกลื่อนในขณะที่คนฟังแบะปากใส่อย่างที่ทำทุกครั้งที่พูดถึงเอกภพ 

“ไม่ใช่แฟนแล้วหล่อนเก็บปิ๊กกีตาร์ของเขาไว้ทำไมตั้งสองปียะ”

กิ่งกาญจน์ดึงปิ๊กกีตาร์สีดำที่นฎาร้อยเชือกไว้รอบคอออกมา เจ้าตัวรีบตะครุบคืนทันควัน 

“ก็...พี่เอกเป็นไอดอลของฉัน” หญิงสาวพูดไม่เต็มเสียง มือกำปิ๊กไว้แน่น “ฉันชื่นชมพี่เขามาก แกก็รู้...”

“เออ รู้ว่าแกชื่นชมเขามากขนาดที่ยอมให้เขาหลอกใช้แกมาตั้งสองปีเต็มๆ”

กิ่งกาญจน์หยิบสร้อยสีเงินที่ส่วนปลายมีรูปกุญแจซอลสีเดียวกันออกมา แล้วสวมรอบลำคอผอมบาง

“เขาไม่ได้หลอกอะไรฉัน เขาจ้างฉันทำงานนะแก ฉันได้เงิน เขาได้งาน วิน-วินกันทั้งสองฝ่าย”

“ยังจะแก้ตัวแทนเขาอีก!” กิ่งกาญจน์ตีต้นแขนนฎาเต็มแรงจนเธอสะดุ้งโหยง “วิน-วิน กันสองฝ่ายที่ไหน เขาได้เงินตั้งไม่รู้เท่าไหร่ แต่แกได้ไม่ถึงเศษเสี้ยวที่สองคนนั้นได้ด้วยซ้ำ!”

“เขาก็ควรได้แล้วนี่ มันเป็นเพลงของเขา ฉันก็แค่ร้องเป็นไกด์ไลน์ให้ แล้วก็ร้องคอรัสนิดๆ หน่อยๆ”

หญิงสาวหลุบตาลงเพื่อซ่อนความรู้สึกยามเอ่ยถึง ‘สองคนนั้น’ ที่ว่า เธอรู้ว่ากิ่งกาญจน์เกลียดพวกเขาเข้าไส้จึงเลี่ยงไม่พูดถึงอยู่เสมอมา

“นิดๆ หน่อยๆ? โอ๊ย ทั้งเพลงละไม่ว่า ตอนที่ได้ยินเพลงนั้นครั้งแรก ฉันได้ยินแต่เสียงแกล้วนๆ เลยไอ้น้ำ ส่วนยายลูกไฮโซนั่น ฉันได้ยินมันร้องอยู่ไม่กี่ประโยคเอง ฉันต้องบอกลุงแท็กซี่ให้ช่วยเพิ่มเสียงหน่อย ก็ยังได้ยินแต่เสียงแกอยู่ดี”

กิ่งกาญจน์พูดด้วยสีหน้าอึดอัดคับข้องใจแทนเพื่อนรัก ทำไมเธอจะไม่รู้ว่าตลอดระยะเวลาสามสี่ปีที่ผ่านมา นฎาถูกคนพวกนั้นเอาเปรียบอย่างไรบ้าง ที่น่าโมโหที่สุดคือแม่เพื่อนตัวดีของเธอยอมผู้ชายเส็งเคร็งคนนั้นแทบทุกอย่าง เตือนก็ไม่ฟัง! เอกภพแค่หลอกใช้นฎาเพื่อชื่อเสียงเงินทองของตนเองก็เท่านั้นละ!

“ลูกนัทเขาก็เสียงเพราะ” นฎาพูดอ้อมแอ้มไม่เต็มเสียง ภาพของสาวสวยผู้เพียบพร้อมไปทุกอย่างผุดขึ้นมาในห้วงความคิด สวย...และเหมาะสมกับเอกภพมากกว่าเธอไม่รู้กี่ร้อยกี่พันเท่า 

“แต่ก็ไม่เพราะเท่าแก แกน่ะ...”

“ไหนว่าจะไปเดตไง รีบไปเถอะ” หญิงสาวรีบตัดบทก่อนที่กิ่งกาญจน์จะเริ่มร่ายยาวต่อไปไม่รู้จักจบจักสิ้น “ขอบใจสำหรับสร้อยนะ ฉันชอบมากเลย”

มือเรียวลูบไปบนจี้เบาๆ เธอไม่ชอบสวมเครื่องประดับนัก เพราะรู้สึกว่าตนเองไม่เหมาะกับอะไรที่ดูหวานแหววเป็นผู้หญิงนัก แต่สร้อยเส้นนี้มีขนาดเล็กและมีรูปแบบเรียบง่าย เธอจึงชอบเป็นพิเศษ

“ชอบก็ดีแล้ว เก็บให้ดีๆ ด้วยล่ะ นั่นน่ะทองคำขาวนะยะ” กิ่งกาญจน์ทำหน้าเมื่อย รู้ในทันทีว่านฎาพยายามตัดบทไม่ให้เธอต่อว่าต่อขานสองคนนั้นอีก

“หา!” นฎาหน้าตื่น “ทองคำขาว? ราคาเท่าไหร่เนี่ย แกเอาเงินจากไหนมาซื้อ โอย ไม่เอาละ แพงไป ฉันรับไว้ไม่ได้หรอก เอาไปคืนร้านเถอะ”

“ห้ามถอดนะ ถอดฉันโกรธจริงๆ ด้วย” กิ่งกาญจน์คว้ามือที่กำลังปลดตะขอสร้อยคอไว้ทันควัน “ฉันทำงานเก็บเงินซื้อมาให้แกโดยเฉพาะ ถ้าแกไม่รับไว้ ฉันจะเสียใจมาก”

“แต่มันแพง...” นฎาพูดเสียงอ่อย “เอาเงินไปกินชาบูหมูกระทะฉลองวันเกิดกันเฉยๆ ก็ได้ ประหยัดดี”

“นังขี้งก!” กิ่งกาญจน์ใช้นิ้วชี้จิ้มหน้าผากคนตรงหน้าจนหน้าหงาย “แกไม่ซื้อเครื่องประดับหรือเครื่องสำอางมาใช้ก็เรื่องของแก แต่ชิ้นนี้ฉันซื้อให้ แกต้องใส่ แล้วก็ห้ามเอาไปขายคืนร้านด้วย”

พูดจบก็ลุกขึ้นยืนโดยไม่รอฟังคำปฏิเสธ 

“กิ่ง...”

นฎาทำหน้าไม่ถูก พักหลังมานี้กิ่งกาญจน์ใช้เงินมือเติบมากขึ้นทั้งที่รับงานพริตตีและงานเดินแบบน้อยลงมาก เธอประหลาดใจที่เห็นข้าวของแบรนด์เนมเพิ่มขึ้นมาในห้องพักแคบๆ ที่อาศัยอยู่ร่วมกัน ทั้งเครื่องสำอางและกระเป๋าถือรวมไปถึงเสื้อผ้าจากดีไซเนอร์ทั้งไทยและเทศ แม้เจ้าตัวจะพูดว่าได้งานที่รายได้งาม แต่ก็ไม่น่ามากมายถึงขนาดที่จะซื้อข้าวของราคาแพงระยับได้พร้อมๆ กันทีละหลายชิ้นแบบนี้ แถมยังพูดเปรยๆ ว่ากำลังหาห้องพักใหม่ที่ใหญ่กว่าและอยู่ในย่านที่ดีกว่านี้อยู่โดยจะเป็นคนออกค่ามัดจำรวมไปถึงค่าเช่าเดือนแรกให้เธอก่อนเสียด้วย

แปลก...

กิ่งกาญจน์กับเธอไม่ต่างกันนัก พวกเธอมาจากครอบครัวที่มีฐานะยากจน ต้องสู้ปากกัดตีนถีบมาตั้งแต่ยังเด็ก โชคยังดีที่เติบโตขึ้นมาได้เพราะแม่ของพวกเธอทั้งคู่สู้ยิบตาเพื่อให้ลูกๆ ได้รับการศึกษาในระดับสูงที่สุดเท่าที่จะให้ได้ และพวกเธอก็เริ่มทำงานเก็บหอมรอมริบส่งเสียตนเองจนเรียนจบระดับมหาวิทยาลัยมาได้ น่าเสียดายที่มารดาของกิ่งกาญจน์เสียชีวิตไปก่อนที่จะมีโอกาสได้เห็นลูกสาวรับปริญญา อีกทั้งเธอยังไม่มีญาติพี่น้องที่ไหนจึงมาอาศัยอยู่กับครอบครัวของนฎาตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัย จนเรียนจบแล้วก็ยังตามมาอยู่ในห้องพักโกโรโกโสแห่งนี้ด้วยกัน มีกินบ้างไม่มีกินบ้าง แต่ก็ยังมีกันและกัน การได้กอดคอร่วมฟันฝ่าอุปสรรคต่างๆ ในชีวิตมายาวนานทำให้พวกเธอผูกพันกันมากประหนึ่งเป็นพี่น้องแท้ๆ 

“ฉันสายแล้ว ไปก่อนนะ” กิ่งกาญจน์หันมาโบกมือให้นฎา “แกก็รีบอาบน้ำอาบท่าหาอะไรกินก่อนไปใช้แรงงานทาสกับไอ้พี่เอกมันด้วยก็แล้วกัน”

“ยังไม่เลิกอีก” นฎาหัวเราะเสียงแห้ง 

“ฉันมันพวกแค้นฝังหุ่นย่ะ” กิ่งกาญจน์ย่นจมูกอย่างน่ารัก “เออ คืนนี้ฉันกลับดึกนะ แกนอนก่อนได้เลย”

“คืนนี้ฉันไปร้องเพลงที่ร้านพี่สา คงดึกเหมือนกัน” นฎาพยายามบังคับร่างกายที่ยังถูกความง่วงครอบงำอยู่นิดๆ ให้ลุกขึ้นจากเตียง แล้วเดินโผเผตรงไปยังห้องน้ำ “ถ้าเบื่อๆ ก็ไปรอที่ร้านได้นะ พาหนุ่มของแกไปด้วยก็ได้ เดี๋ยวฉันเลี้ยงเหล้า”

“เขาไม่ชอบไปที่ที่คนเยอะๆ น่ะ” กิ่งกาญจน์ยักไหล่ “เอาไว้ฉันค่อยนัดเขาไปกินข้าวพร้อมๆ กันวันหลังละกัน ถึงตอนนั้นเชิญแกซักประวัติเขาได้ตามสบาย”

“ฉันจะไปซักประวัติเขาทำไมเล่า” นฎาหัวเราะ รู้สึกสดชื่นขึ้นมาหน่อยเมื่อได้ต่อล้อต่อเถียงกับเพื่อน “แกเลือกมาแล้วก็ต้องดีแน่ละ แกมันช่างเลือกจะตาย”

“ฉันไม่ได้เลือกเขาหรอก เขาเลือกฉันต่างหาก”

ประกายระยิบระยับในดวงตาของหญิงสาวบ่งชัดถึงความสุขล้นปรี่จนนฎาพลอยอมยิ้มตามไปด้วย อย่างน้อย...หนึ่งในพวกเธอก็ยังได้พบเจอเรื่องดีๆ กับเขาบ้าง

“อื้อหือ พูดจาเป็นนิยายน้ำเน่าขนาดนี้ แสดงว่าต้องอินเลิฟมากจริงๆ นะเนี่ย”

“ไม่ต้องมาล้อฉัน รีบไปอาบน้ำเลยไป” กิ่งกาญจน์รุนหลังนฎาให้เข้าไปในห้องน้ำ “ฉันไปก่อนละ เจอกันคืนนี้นะน้ำ”

 

“แกว่าได้กันหรือยังวะ”

ศุภฤกษ์ใช้ศอกกระทุ้งเอวคมสันต์ที่ยืนชงกาแฟอยู่ในห้องแพนทรีด้วยกัน เขาเป็นคนอ้วนเตี้ยในขณะที่คู่หูเป็นคนผอมสูง เมื่อยืนอยู่เคียงข้างกันเช่นนี้จึงเหมือนเลขหนึ่งกับเลขศูนย์ตั้งเรียงกันอย่างน่าขัน

“ใครได้กันวะ” คมสันต์คนกาแฟแบบทรีอินวันในแก้ว แล้วยกขึ้นจิบชิมรสก่อนจะส่ายหน้า “บอสนี่งกฉิบ ซื้อแต่กาแฟถูกๆ ใกล้หมดอายุมาให้พวกเราเรื่อย รสชาติห่วยบรม กระเดือกไม่ลง”

“ก็น้องน้ำกับพี่เอกไง แกไม่เห็นตอนอยู่ในห้องอัดเมื่อกี้หรือไง มองตากันหวานเชื่อม คุณลูกนัทมาเห็นเข้าได้อกแตกตายแน่”

“เฮ้ย! เบาได้เบาไอ้ฤกษ์ พูดอะไรหัดคิดหน้าคิดหลังหน่อย เดี๋ยวพี่เอกได้ตามมาเหยียบหน้าแกเอาหรอก เห็นเกือกพี่เอกบ้างไหม ใหญ่อย่างกับเรือโยง” คมสันต์ทำหน้าเมื่อย เขามีใบหน้าเสี้ยมตอบ ยิ่งมัดผมยาวระบ่าขึ้นเป็นมวยตึงเปรี๊ยะเหมือนพราหมณ์ตอนทำพิธีแบบนี้ด้วยแล้ว ยิ่งเน้นโครงหน้าเล็กเหมือนหนูหริ่งของเขาให้เด่นชัดมากขึ้นไปอีก “ฉันไม่เห็นว่าน้องน้ำกับพี่เอกจะมองตากันหวานเชื่อมตรงไหนเลย ก็เห็นคุยกันตามปกติเหมือนทุกที”

“ก็แกมัวแต่นั่งหลับตาพริ้มฟังเสียงน้องน้ำร้องเพลงนี่หว่าเลยไม่เห็น ฉันนั่งดูอยู่เห็นเต็มสองตา โคตรคันปากยิบๆ เลย เนื้อเพลงก็ส่อขนาดนั้น ‘ขอเพียงได้แค่สบตา แม้ว่าเธอจะเป็นของใครคนอื่น’ โอ๊ย! ถ้าสองคนนี้ยังไม่ได้กัน ฉันให้แกยันหน้าเลย”

“หันหน้ามาสิ จะได้ยันให้ติดกำแพงเลย”

เสียงห้าวที่ดังมาจากด้านหลังทำเอาสองหนุ่มสะดุ้งสุดตัว เมื่อหันกลับมามองที่ประตูแล้วเห็นร่างสูงใหญ่ของชายหนุ่มเจ้าของใบหน้าคมหวานแบบไทยแท้เดินสาวเท้าเข้ามาด้านใน ใบหน้ากลมแป้นของศุภฤกษ์ก็เริ่มซีดขาวจนมองดูคล้ายก้อนแป้งต้ม

“พะ...พี่เอก...” ศุภฤกษ์ปากคอสั่น นึกอยากตบปากของตนเองสักร้อยรอบก็ไม่ทันเสียแล้ว

“ฉันบอกพวกแกหลายทีแล้วใช่ไหมว่าอย่าพูดถึงน้ำแบบนั้น ถึงไม่เห็นเขาเป็นน้องเป็นนุ่ง แต่พวกแกก็ทำงานกับน้องเขามาตั้งหลายปี น่าจะให้เกียรติกันบ้าง”

ดวงตาของเอกภพวับวาวดุดันยามกวาดมองชายหนุ่มทั้งสองคนตั้งแต่ศีรษะจดปลายเท้า ปกติแล้วเขาเป็นคนใจเย็น ยิ้มง่าย แต่โกรธขึ้นมาเมื่อใด บรรลัยเมื่อนั้น!

“ผมไม่เกี่ยวนะพี่เอก ไอ้ฤกษ์พูดอยู่คนเดียวเลย ห้ามก็ไม่ฟัง” คมสันต์รีบชิ่งเอาตัวรอด เห็นยิ้มหวานแบบนี้ก็เถอะ พี่เอกของพวกเขาตีนหนักอย่าบอกใคร!

“อ้าว...ไอ้คม เอาตัวรอดคนเดียวเลยนะ” ศุภฤกษ์หน้าจ๋อย รีบหันไปยกมือไหว้ลูกพี่ท่วมหัว “พี่เอก ผมปากไวไปหน่อย ขอโทษนะพี่”

“คนที่แกต้องขอโทษไม่ใช่ฉัน แต่เป็นน้ำต่างหาก” เอกภพมองลูกน้องด้วยสีหน้าบึ้งตึง แล้วเดินตรงไปที่เคาน์เตอร์หยิบน้ำเปล่าแบบไม่เย็นออกจากแพ็กเกจพลาสติกมาหนึ่งขวด “โตกันจนหมาเลียก้นไม่ถึงแล้วยังทำตัวแบบนี้อีกเหรอวะ นี่มันยุคไหนแล้ว ความคิดคุกคามทางเพศทุเรศๆ แบบนี้ควรจะหมดไปได้แล้วมั้ง”

“ผมขอโทษจริงๆ พี่” ศุภฤกษ์พูดซ้ำด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก

“ครั้งหน้าอย่าพูดอีกก็แล้วกัน”

เอกภพเปิดตู้เย็นหยิบโคคาโคลาเย็นเฉียบมาหนึ่งกระป๋อง แล้วเดินลงส้นเท้าหนักๆ ออกจากห้องไปโดยไม่รอฟังว่าคนที่ยังอยู่ในนั้นจะพูดแก้ตัวว่าอะไรอีก เมื่อเดินมาได้สองสามก้าวก็ต้องชะงักทันทีที่เห็นแผ่นหลังคุ้นตาวิ่งผลุบหายไปทางมุมทางเดิน ทิ้งไว้เพียงกลิ่นสบู่หอมอ่อนๆ ผสมกลิ่นแป้งเด็กอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว...กลิ่นของนฎา

น้ำคงได้ยินเรื่องที่ศุภฤกษ์พูดเมื่อครู่แล้ว...

ชายหนุ่มถอนใจ คิ้วเข้มขมวดมุ่นในขณะที่ดวงตาฉายแววหนักใจ นฎาเป็นคนไม่ค่อยพูดมาแต่ไหนแต่ไร ต่อให้มีเรื่องเครียดหรือไม่สบายใจมากมายเพียงไหนก็มักเก็บไว้คนเดียว ไม่ยอมปริปาก ขนาดเค้นเป็นวันก็ยังไม่ยอมพูดเลย เธอมักเก็บซ่อนทุกอย่างไว้ใต้รอยยิ้มสดใสเพื่อให้คนรอบข้างสบายใจจนน่าโมโห

เอกภพจงใจชะลอฝีเท้าให้ช้าลง เพื่อทิ้งช่วงให้หญิงสาวได้กลับไปนั่งที่เดิมก่อนที่เขาจะอาสาไปหยิบน้ำดื่มให้เธอจากห้องแพนทรี เมื่อได้ยินเสียงคนทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาหนังเรียบร้อยแล้ว เขาก็รีบปั้นหน้าให้ฉาบไปด้วยรอยยิ้มแล้วเดินเลี้ยวผ่านหัวมุมออกไป

“พยากรณ์อากาศบอกว่าบ่ายนี้ฝนคงจะตกหนัก”

เอกภพยื่นขวดน้ำดื่มแบบไม่แช่เย็นให้นฎาที่นั่งบนโซฟาเดี่ยวชิดริมหน้าต่างกระจกบานใหญ่ ท้องฟ้าด้านนอกดูขมุกขมัวมืดครึ้มไปด้วยเมฆฝนอย่างที่เขาพูดจริงๆ 

“ให้ตกลงมาบ้างเถอะค่ะ อากาศร้อนจะแย่”

นฎาพนมมือไหว้ชายหนุ่มก่อนจะรับขวดน้ำมาจากเขาเช่นทุกครั้งที่เขาส่งอะไรให้ เธอไหว้เขาเสมอจนติดเป็นนิสัยไปเสียแล้ว 

“ถ้าตกหนักก็รถติดแย่น่ะสิ แล้วเรานั่นละจะไปทำงานที่ร้านไม่ทันเอา”

เอกภพยิ้มตอบ พลางทิ้งตัวลงนั่งที่ชุดโซฟารับแขกของสตูดิโอที่เขามักมานั่งดื่มกาแฟหรือระดมความคิดกับทีมงานอยู่บ่อยๆ จนทุกคนในค่ายเพลงเฮฟเวนรู้กันทั่วว่าเป็นมุมโปรดของโพรดิวเซอร์มือทอง

“โอ๊ย ทันอยู่แล้ว น้ำขึ้นร้องเพลงตอนเกือบๆ สี่ทุ่มโน่นละค่ะ” นฎายิ้มเนือยๆ เธอลอบมองผมทรงใหม่ของเอกภพแล้วอดเสียดายผมยาวระบ่าของคนเคยมาดเซอร์ไม่ได้ 

เมื่อสองเดือนก่อน หนุ่มรุ่นพี่ลงทุนหั่นผมเสียเหี้ยนเพื่อเอาใจแฟนสาว ถึงจะตัดออกมาแล้วดูหล่อเนี้ยบ แต่หญิงสาวก็รู้สึกว่ามันไม่ใช่ตัวตนของเขาเอาเสียเลย ภาพของเอกภพในความทรงจำของเธอ คือนักดนตรีรูปหล่อประจำมหาวิทยาลัยที่ขึ้นเวทีกิจกรรมเพื่อเล่นกีตาร์ร้องเพลงทีไร สาวๆ เป็นได้กรี๊ดกันสลบเพราะน้ำเสียงไพเราะและมาดเท่ๆ ของเขา 

ตอนที่เขาเป็นนิสิตปีสี่ เธอเพิ่งเป็นเฟรชชีปีหนึ่ง แม้จะสนิทสนมกันเพราะอยู่ร่วมชมรมดนตรีและร่วมก่อตั้งวงด้วยกันมา แต่ก็เป็นช่วงเวลาสั้นๆ ก่อนที่เขาจะเรียนจบไป เขาขาดการติดต่อกับเธอไปนานเกือบปี ก่อนที่เขาจะติดต่อขอให้เธอมาร้องเดโมเพลงที่เขาแต่งและเรียบเรียงเอง จากนั้นจึงได้ร่วมงานกันมาเรื่อยๆ ในรูปแบบที่...แปลกประหลาดอยู่สักหน่อย แต่ก็เอาเถอะ ถึงอย่างไรก็ยังดีที่ได้ทำงานกับไอดอลในดวงใจของตนเองละน่า

“เอาอย่างนี้ไหม ถ้าอัดเสียงเสร็จแล้ว พี่จะขับรถไปส่ง น้ำจะได้ไม่ต้องเสียเงินค่าแท็กซี่”

เอกภพเปิดกระป๋องน้ำอัดลมแล้วยกขึ้นดื่มดับกระหาย พักนี้อากาศร้อนจัด คนที่ไม่ค่อยแตะน้ำอัดลมเช่นเขาจึงหันมาดื่มของไร้ประโยชน์พวกนี้มากเป็นพิเศษ

“ไม่เป็นไรหรอกค่ะพี่เอก น้ำไปเองได้ รบกวนเปล่าๆ ถ้ารถติดพี่เอกจะเหนื่อยนะคะ ช่วงนี้พี่ทำงานเยอะแล้ว พักผ่อนเถอะค่ะ”

ครึ่งหนึ่งนฎาอยากให้เขาพักผ่อนตามที่พูดจริงๆ แต่อีกครึ่งเธอไม่อยากให้เขาต้องลำบากใจเสียมากกว่า การที่เขามาใกล้ชิดสนิทสนมกับเธอก่อให้เกิดข่าวลือในทางที่ไม่ดีถึงความสัมพันธ์ระหว่างกันลอยลมมาให้ได้ยินประปราย อย่างที่ศุภฤกษ์เพิ่งพูดไปนั่นก็ใช่ ถามว่าโกรธหรือไม่พอใจสิ่งที่ได้ยินไหม คำตอบก็คือโกรธอยู่แล้ว ถึงจะเป็นเรื่องไม่จริง แต่จะให้ทนฟังคำนินทาทำนองนี้บ่อยๆ ก็ไม่ดีต่อสุขภาพจิตเท่าไหร่นักหรอก

“เอาน่า พี่ไม่ได้ไปร้านพี่สานานแล้ว วันนี้อยากแวะไปเยี่ยมแกเสียหน่อย แล้วก็จะได้ฟังน้ำร้องเพลงด้วยไง”

เอกภพยิ้มกว้างทำเอาดวงตาของนฎาพร่าพราย เขาเป็นคนที่ยิ้มสวยมาก และดูเหมือนเขาจะรู้จักจุดเด่นข้อนี้ของตนเองเป็นอย่างดี จึงใช้เป็นเครื่องมือในการเข้าถึงผู้คนอย่างง่ายดาย หญิงสาวประหลาดใจอยู่เหมือนกันที่เขาเลือกเส้นทางเป็นโพรดิวเซอร์แทนที่จะเป็นนักร้องทั้งที่มีคุณสมบัติเต็มเหยียด ทั้งรูปหล่อ ร้องเพลงเพราะ แต่งเพลงเล่นดนตรีก็เก่งมาก 

“ฟังน้ำร้องบ่อยขนาดนี้น่าจะเบื่อได้แล้วนะคะ วันนี้ก็ฟังมาแต่เช้าแล้วเป็นสิบรอบ”

วันนี้เธอไม่ค่อยมีสมาธิเอาเสียเลย การอัดเสียงจึงดำเนินไปช้ากว่าปกติอยู่สักหน่อย ซึ่งเอกภพก็รู้ดีถึงได้สั่งให้เธอออกมานั่งพักสักสิบห้านาทีเพื่อปรับอารมณ์

“เบื่ออะไรกัน พี่ชอบเสียงร้องของน้ำมากนะ ถ้าเป็นไปได้ พี่อยากจะเป็นคนแรกที่ได้ทำเพลงให้น้ำด้วยซ้ำ”

“พี่เอกก็พูดไป” นฎาหัวเราะแกนๆ เมื่อได้ยินเขาพูดถึงสิ่งที่ไม่มีวันเป็นไปได้ “น้ำน่ะ...”

 

“พี่เอกทำเพลงให้ลูกนัทแล้ว ยังจะมีเวลาไปทำเพลงให้คนอื่นด้วยเหรอคะ ลูกนัทไม่ยอมนะ”

เสียงดุดันเฉียบขาดดังขึ้นพร้อมกับที่ร่างในชุดเสื้อยืดพอดีตัวกับกางเกงยีนยางยืดสีน้ำเงินเข้มเดินก้าวฉับๆ ตรงมายังสองหนุ่มสาว

“ลูกนัท...” เอกภพยิ้มเนือยๆ “มาถึงก่อนเวลานัดตั้งเกือบชั่วโมงได้แบบนี้ มิน่าเล่า พายุถึงเข้ากรุงเทพฯ ใหญ่โตเชียว”

“แหม...พูดจาน่าน้อยใจจัง ลูกนัทมาก่อนเวลาเข้าห้องอัดออกบ่อยไป” คุลิกาหย่อนตัวลงนั่งเบียดโพรดิวเซอร์หนุ่ม ดวงหน้าของเธอสวยหวานเหมือนตุ๊กตา ยิ่งแต่งหน้าอ่อนๆ และดัดผมยาวประบ่าเป็นลอนสวยเช่นนี้ เธอยิ่งดูโดดเด่นสะดุดตามากขึ้นไปอีก “แล้วนี่อัดท่อนคอรัสเสร็จกันแล้วเหรอน้ำ”

“เหลืออีกนิดหน่อยค่ะ”

นฎาฝืนยิ้ม เธอชินเสียแล้วกับการที่อีกฝ่ายไม่เคยเอ่ยคำทักทายยามพบหน้ากัน คุลิกาเป็นคนชัดเจนเสมอ ชอบก็บอกว่าชอบ ไม่ชอบก็บอกว่าไม่ชอบ แรงชัดจัดเต็มชนิดไม่ต้องเดาอารมณ์ความรู้สึกกันให้เหนื่อย อย่างสีหน้าและแววตาของคุลิกาในยามนี้ฟ้องชัดว่าไม่ชอบให้เธอพูดคุยกับ ‘คนรัก’ ของตนเองตามลำพังเอาเสียเลย

ใช่...เอกภพเป็นคนรักของคุลิกา แม้ทั้งคู่จะไม่เคยปริปากพูดเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างกันออกมาตรงๆ ทว่าความใกล้ชิดสนิทสนมและความหวานที่มีให้กันเป็นระยะก็บ่งบอกทุกอย่างได้เป็นอย่างดี ที่สองหนุ่มสาวคนดังเก็บงำเรื่องการคบหากันเป็นเรื่องส่วนตัว อาจเป็นเพราะทางค่ายเฮฟเวนขอร้องด้วยส่วนหนึ่ง คุลิกากำลังเป็นนักร้องดาวรุ่งพุ่งแรงคนหนึ่งของปีนี้ หากมีข่าวฉาวเรื่องรักๆ ใคร่ๆ ในค่ายออกมาคงไม่ค่อยดีนัก

นฎาพอเข้าใจกรอบของวงการบันเทิงยุคนี้อยู่บ้าง จริงอยู่ว่าคนรุ่นใหม่เปิดใจรับได้กันแล้วหากศิลปินที่ชื่นชอบจะเปิดเผยเรื่องการมีคนรักหรือคบหาดูใจกับใคร แต่การนำเรื่องส่วนตัวออกสู่สาธารณะมากเกินไปก็มีผลเสียไม่ใช่น้อย นอกจากจะถูกจับตามองเรื่องรักๆ เลิกๆ แทนที่จะสนใจผลงานแล้ว หากวันหนึ่งเลิกคบหากันขึ้นมาแล้วต่างแยกย้ายไปมีคนรักใหม่ก็จะถูกสื่อต่างๆ ตามสัมภาษณ์เรื่องรักครั้งเก่าไม่เลิกราอย่างน่ารำคาญที่สุด 

เวลาดูข่าวบันเทิง นฎาไม่เคยเข้าใจเลยว่าทุกครั้งที่ดาราสักคนแต่งงานหรือหย่าขาดจากคู่สมรส นักข่าวจะต้องไปสัมภาษณ์คนรักเก่าว่ารู้สึกอย่างไรกับข่าวนี้บ้าง หรือได้พูดคุยให้กำลังใจกันบ้างหรือไม่ จะไปงานแต่งงานไหม คนเลิกรากันไปแล้ว ไม่ว่าจะจบด้วยดีหรือทะเลาะกันจนแทบจะฆ่ากันตาย ตามมารยาทแล้วก็ไม่ควรไปสะกิดแผลเก่าของพวกเขาอยู่ดี

“อ้อ นั่นสินะ คนเก่งของพี่เอกทำงานเร็วอยู่แล้ว ถ้าเป็นฉันละก็ไม่รู้กี่ร้อยเทก”

“ลูกนัท...” เอกภพส่งเสียงปรามหญิงสาวอยู่ในที เขาเห็นสีหน้าอึดอัดใจที่นฎาพยายามเก็บงำอย่างสุดความสามารถแล้วได้แต่ลอบถอนใจ “รู้ตัวเหมือนกันเหรอว่าเป็นนักร้องร้อยเทก แล้วนี่ได้ซ้อมท่อนที่พี่บอกให้เน้นเยอะๆ มาหรือเปล่าฮึ”

ชายหนุ่มวางฝ่ามือใหญ่โตบนศีรษะของคนรักแล้วโยกไปมาเบาๆ เป็นภาพที่ดูอบอุ่นน่ารักมากเสียจนผู้ชมคนเดียวที่เห็นรู้สึกเจ็บแปลบอยู่ลึกๆ ในอก 

ทั้งคู่ดูเหมาะสมกันราวภาพวาดจริงๆ...   

คุลิกาอายุเท่ากับเธอแท้ๆ แต่กลับแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง คุลิกาเหนือกว่าเธอแทบทุกด้าน ทั้งรูปร่างหน้าตาโดดเด่นงดงาม เป็นสาวไฮโซจากตระกูลดังอันดับต้นๆ ของประเทศไทย อีกทั้งยังจบการศึกษามาจากมหาวิทยาลัยดังในอังกฤษ เรียกได้ว่าเพียบพร้อมในทุกๆ ด้าน หากเปรียบคุลิกาเป็นดวงอาทิตย์เฉิดฉายบนท้องฟ้า นฎาก็เป็นได้เพียงคนในเงามืดที่แสงไม่มีวันส่องถึง

“เอ่อ...เดี๋ยวน้ำขอกลับไปที่ห้องอัดก่อนนะคะ จะได้ซ้อมท่อนที่ร้องไม่ได้เมื่อกี้ด้วย”

นฎาสลัดความรู้สึกริษยาที่เกิดขึ้นจากการเห็นภาพบาดตาตรงหน้าทิ้งไปแล้วรีบลุกขึ้นเดินกลับไปยังห้องอัดด้วยสีหน้าที่พยายามตีให้เป็นปกติที่สุด 

เอกภพมองตามแผ่นหลังบอบบางใต้เสื้อผ้าตัวโคร่งของหญิงสาวไปจนลับตา แล้วจึงหันกลับมาหาคนข้างกาย

“เลิกพูดจาประชดประชันน้ำเขาเสียทีได้ไหม เขายังต้องทำงานกับเราอีกหลายเพลงนะ”

“ที่พูดนี่เป็นห่วงงานหรือเป็นห่วงคนมากกว่ากันคะ” คุลิกาทำเสียงกระเง้ากระงอด เธอยกสองมือขึ้นกอดอกอย่างไม่สบอารมณ์นัก “ปกป้องกันตลอดแบบนี้ ลูกนัทเริ่มหึงแล้วนะคะพี่เอก”

“จะหึงทำไม น้ำเป็นแค่รุ่นน้องของพี่ แล้วตอนนี้ก็เป็นเพื่อนร่วมงานของพวกเรา ไม่มีอะไรมากไปกว่านั้น” เอกภพถอนใจ “จะยังไงก็เถอะ ทำตัวกับน้ำให้ดีๆ หน่อยก็ดีนะลูกนัท เกิดน้ำถอนตัวไปก่อนเพลงจะอัดเสร็จ คนที่เดือดร้อนจริงๆ ก็คือลูกนัทเองนั่นละ”

ฟังถึงตรงนี้ใบหน้าสวยหวานของนักร้องสาวก็บึ้งตึงขึ้นทันตา เธอเม้มริมฝีปากแน่นอย่างขุ่นเคืองใจ

“ขอโทษด้วยก็แล้วกันที่ลูกนัทมันห่วย ร้องเพลงได้ไม่ถึงมาตรฐานของพี่เอก”

“มันไม่ใช่อย่างนั้น”

“ไม่ใช่อย่างนั้นแล้วยังไงคะ พี่เอกยอมรับออกมาตรงๆ ก็ได้ว่าชอบเสียงยายน้ำนั่นมากกว่าเสียงของลูกนัท ไม่อย่างนั้นคงไม่ใช้ยายนั่นมาร้องแทนลูกนัทแทบจะทั้งอัลบัมแบบนี้หรอก”

“ร้องไกด์ไลน์ ไม่ใช่ร้องแทน ใช้คำให้ถูกด้วยลูกนัท คนอื่นมาได้ยินจะเข้าใจผิดได้” เอกภพพูดเสียงเข้ม เขาพยายามข่มกลั้นอารมณ์โกรธอยู่ครู่หนึ่งแล้วหยัดกายขึ้นยืน “พี่จะกลับไปที่ห้องอัดก่อนนะ จะได้อัดท่อนคอรัสให้เสร็จ ถ้าลูกนัทพร้อมเมื่อไหร่ก็ตามพี่ไปแล้วกัน”

พูดจบชายหนุ่มก็ก้าวยาวๆ กลับไปที่ห้องอัดเสียง ทิ้งให้คุลิกากำหมัดแน่นอย่างอัดอั้นตันใจ 

มองจากภายนอกแล้ว เธออาจเหนือกว่านฎาในทุกด้าน แต่มีแค่เรื่องเดียวที่เธอไม่อาจก้าวข้ามแม่เด็กคนนั้นไปได้ก็คือเรื่อง ‘เสียง’ ขนาดเอกภพที่ขึ้นชื่อเรื่องช่างเลือกและจู้จี้จุกจิกที่สุดในวงการยังยอมรับว่านฎาร้องเพลงได้ไพเราะจับใจที่สุด 

เธอรู้ว่าเขาหลงใหลเสียงของนฎามาก...มากขนาดที่ให้มาเป็นโกสต์ซิงเกอร์ ร้องเพลงแทนเธอทั้งอัลบัม

ถูกแล้ว...เพลงในอัลบัมของเธอตั้งแต่เริ่มเดบิวต์เป็นนักร้องมา ร้องโดยนฎาทั้งหมด!

 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น