4

ไม่เปลี่ยนใจ


4

ไม่เปลี่ยนใจ

 

เวลาสามวันนับเป็นระยะเวลาที่น้อยมากในการจะทำความรู้จักสนิทสนมกับใครสักคน

พิมพ์นารารู้ตัวดีว่าเธอเป็นคนไม่ค่อยมีมนุษยสัมพันธ์กับคนแปลกหน้าเท่าไรนัก ยิ่งให้สนิทสนมในเวลาสั้นๆ ด้วยแล้วก็เป็นไปได้ยาก แม้แต่พวกที่ทำงานในร้านอาหารของอรดีด้วยกัน ช่วงสัปดาห์แรกพิมพ์นาราแทบจะพูดคุยนับคำด้วยได้

แต่สิ่งที่เกิดขึ้นตอนนี้ต่างกันโดยสิ้นเชิง

กับใครบางคน ทำไมกันนะ ทั้งๆ ที่รู้จักกันมาแค่สามวัน แต่พิมพ์นารากลับรู้สึกเหมือนทั้งคู่รู้จักกันมาไม่ต่ำกว่าสามปี

ความทรงจำในช่วงสามวันที่ผ่านมามีมากมายเหลือเกินจนพิมพ์นาราแทบจะเลือกไม่ถูกเลยว่าอันไหนที่ควรค่าแก่การจำ เพราะทุกอย่างมันดีไปหมด เขาทำหน้าที่ในฐานะไกด์ได้ดีจริงๆ สมกับที่อวดอ้างเอาไว้ตั้งแต่แรก

การมีเพื่อนเป็นคนเจ้าถิ่นมันก็จะได้เปรียบอยู่เหมือนกันเวลามาเที่ยวแบบนี้ เพราะเขา พิมพ์นาราจึงได้มีโอกาสนั่งเรือยอช์ตส่วนตัวเป็นครั้งแรก เขารับหน้าที่ขับเรือพาเธอออกไปเก็บภาพความสวยงามรอบทะเลสาบวาคาติปู เธอได้ไปกินร้านอาหารเล็กๆ แต่มีวิวอลังการ ได้ไปดูจุดชมวิวที่ไม่ได้อยู่ในหนังสือนำเที่ยว ทำให้แต่ละวันของเธอเต็มไปด้วยความทรงจำที่มีค่า

สามวันที่ใช้เวลากับผู้ชายคนนี้ พิมพ์นารารู้สึกเหมือนเธอได้ค้นพบตัวเอง หลายอย่างที่เธอไม่คิดจะทำในชีวิต พอเขาเอ่ยชวนเธอกลับตอบตกลงไปง่ายๆ นอกจากการตัดสินใจกระโดดร่มด้วยตัวเองในครั้งแรกแล้ว ทั้งการเล่นเครื่องร่อน ทั้งการกระโดดบันจีจัมป์ ล้วนแต่เป็นเขาชวนเธอเล่นทั้งนั้น

ถึงจะเพลิดเพลินกับธรรมชาติที่สวยงามจนน่าตื่นตะลึงของเมืองควีนส์ทาวน์ แต่พิมพ์นาราก็ไม่ได้ลืมข้อตกลงระหว่างทั้งสองคนหรอกนะ

คิดมาถึงตรงนี้ พิมพ์นาราก็อดที่จะหน้าร้อนผ่าวไม่ได้ มือเรียวยกขึ้นแตะที่ริมฝีปากตัวเองโดยไม่รู้ตัว

เขาพูดชัดเจนตั้งแต่แรกอยู่แล้วว่าคาดหวังอะไร สามวันที่ผ่านมาเธอใช้เวลาอยู่กับเขาแทบจะทั้งวัน ทุกวันเขาจะมารับเธอที่โฮสเทลตอนเช้าและมาส่งเธอตอนดึก เขามีหยอดชวนเธอไปค้างที่บ้านเขาเหมือนกัน แต่เมื่อเธอไม่ตอบรับ เขาก็ไม่ตื๊อหรือถามย้ำ สามวันที่ผ่านมาหลายต่อหลายครั้งที่มีโอกาสอยู่ตามลำพังในที่ที่มีแค่เธอกับเขาแค่สองคน แต่เขาไม่เคยฉกฉวยล่อลวงเธอ ไม่มีอะไรเกินเลยเกิดขึ้นแม้แต่ครั้งเดียว จนกระทั่งเมื่อคืนนี้

เขามาส่งเธอที่โฮสเทลเหมือนสองคืนก่อนหน้านี้ ขณะที่ความคิดในใจเธอกำลังตีกันยุ่งเหยิงว่าจะกลับขึ้นไปนั่งในรถเขาดี หรือจะเดินกลับเข้าไปในโฮสเทลดี คนร่างสูงก็โน้มใบหน้าลงมาหาแล้ว

สัมผัสแผ่วเบาและสั้นมากจนเธอแทบไม่รู้ตัว กว่าสมองจะรับรู้คนร่างสูงก็ถอยกลับไปยืนยิ้มที่เดิมแล้ว

‘...อยากเปลี่ยนใจกลับขึ้นรถผมไหม’

ตอนนั้นพิมพ์นาราไม่ได้ตอบคำถามของเขา เพราะเธอยังตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นในเสี้ยววินาทีสั้นๆ นั้นอยู่เลย รู้ตัวอีกครั้งรถยนต์ของเขาก็ถอยออกจากบริเวณหน้าโฮสเทลไปแล้ว

ตัวน่ะไปนานแล้ว แต่ความร้อนผ่าวบนริมฝีปากของเธอนี่สิ ยังติดทนนานข้ามคืนมาจนถึงตอนนี้

เพราะพิมพ์นาราคืนรถเช่าไปตั้งแต่สองวันที่แล้ว ดังนั้นวันนี้จึงเป็นหน้าที่ของเขาที่จะต้องมารับเธอไปส่งที่สนามบินเพื่อขึ้นเครื่องเที่ยวบินบ่ายสองโมงครึ่งกลับไปโอ๊กแลนด์

เมื่อเช้าเขาส่งข้อความมาบอกแล้วว่าจะมาช้ากว่าเวลาที่นัดเอาไว้เล็กน้อย ให้เธอจัดการเรื่องเช็กเอาต์และดื่มกาแฟรอก่อน เขาจะรีบมาทันทีที่เสร็จธุระ

มันช่วยไม่ได้เลยที่ตอนเห็นข้อความนี้ พิมพ์นาราจะรู้สึกใจหายอย่างบอกไม่ถูก อดคิดไม่ได้ว่าเขาทำแบบนี้เพราะเธอปฏิเสธเขาเมื่อวานหรือเปล่า

คิ้วเรียวขมวดแน่น ความรู้สึกหลากหลายตีกันยุ่งอยู่ในใจ สมองเองก็ใช่ว่าจะสบายไปกว่ากันความคิดสารพัดวนเวียนอยู่ในหัว แถมในนั้นยังมีความคิดบางส่วนที่น่าอายด้วย

พิมพ์นารากัดริมฝีปากล่างของตัวเองแน่นอย่างทำอะไรไม่ได้กับความร้อนที่กำลังผ่าวลวกบนแก้มทั้งสองข้าง

“คุณ!”

เสียงเรียกของใครบางคนที่มาพร้อมน้ำหนักสัมผัสบนไหล่ ทำให้คนที่กำลังจมอยู่กับความคิดตัวเองสะดุ้งเฮือกสุดตัว กาแฟกระฉอกออกจากปากแก้วที่ถืออยู่ โชคยังดีที่กาแฟชงทิ้งไว้นานจนเย็นแล้ว ไม่อย่างนั้นมือของพิมพ์นาราคงถูกลวกจนแดงแน่ๆ

“เป็นอะไรไหมคุณ” เสียงทุ้มถามทันทีพร้อมกับรีบเอื้อมมือไปหยิบกระดาษทิชชูมาเช็ดกาแฟให้ เมื่อเช้าธาวินได้รับสายด่วนจากออสเตรเลีย งานมีปัญหานิดหน่อยทำให้เขาต้องเสียเวลาเกือบชั่วโมงในการแก้ปัญหา เสร็จแล้วก็รีบคว้ากุญแจรถออกจากที่พักตรงมายังโฮสเทลที่หญิงสาวพักทันที เข้ามาถึงก็เห็นคนหน้าหวานนั่งเหม่ออยู่ ธาวินต้องเรียกถึงสามครั้งกว่าเธอจะรู้สึกตัว

พิมพ์นาราต้องใช้เวลาหลายวินาทีกว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจะซึมซับเข้าสู่การรับรู้ของสมอง

“นา คุณโอเคไหม”

“ค่ะ...กาแฟ...ไม่ได้ร้อน”

คิ้วหนาของธาวินเลิกสูง เขารู้ว่ากาแฟไม่ร้อนตั้งแต่ดึงแก้วกาแฟออกจากมือของหญิงสาวแล้ว และดูจากดวงตากลมโตที่กะพริบปริบมองเขาอยู่ตอนนี้เหมือนสติของเธอจะยังไม่กลับมาอย่างเต็มที่นัก สีหน้าบอกชัดว่ามีเรื่องกลัดกลุ้มอยู่

“คิดอะไรอยู่เหรอ หรือว่า...” คนพูดจงใจเว้นจังหวะการพูดเล็กน้อย กดเสียงต่ำลงอีก “...กำลังคิดถึงผม”

ไม่ใช่แค่แก้มทั้งสองข้างเท่านั้นที่แดงระเรื่อ แต่เป็นทั้งใบหน้าหวานไปจนถึงโคนหูเลยทีเดียว

“ฉันก็ต้องคิดถึงคุณอยู่แล้ว” หญิงสาวตอบกลับหลังจากปรับจังหวะลมหายใจตัวเองได้สำเร็จ “ก็ถ้าคุณเกิดเบี้ยวไม่มา ฉันก็ต้องวุ่นวายหารถไปส่งที่สนามบินน่ะสิ!”

“อ้าวแหม ผมก็ดันเข้าข้างตัวเอง คิดว่าคุณเกิดเสียดายที่ไม่ได้กลับขึ้นรถผมเมื่อคืนนี้เสียอีก”

คนถูกจี้ใจดำหน้าร้อนผ่าว ลมหายใจสะดุดไปอีกระลอก

ส่วนอีกคนน่ะเหรอ ยิ้มกริ่มจนแทบจะตาหยีเลยทีเดียว

“คุณเช็กเอาต์เรียบร้อยหรือยัง” เขาถามและได้คำตอบเป็นการพยักหน้ารับจึงเอ่ยต่อ “ถ้าอย่างนั้นก็ไปกันเถอะ ตอนนี้เรายังพอมีเวลาแวะไปกินมื้อเช้าก่อนไปสนามบิน”

มือข้างที่วางบนตักของพิมพ์นารากำแน่นขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะเธอพยักหน้ารับอีกครั้ง

หัวคิ้วของธาวินเลิกสูงขึ้นเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าวันนี้หญิงสาวตรงหน้ามีท่าทางเหมือนคนที่ใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเท่าไรนัก เขาไม่แน่ใจว่าสาเหตุมาจากการที่เขาเผลอตัวจูบเธอเมื่อคืนหรือเปล่า

สิ่งที่เกิดขึ้นเขาไม่ได้ตั้งใจเลยจริงๆ แต่สีหน้ากับแววตาที่เหมือนจะบอกเขาว่า ‘อย่าเพิ่งไป’ นั่นทำให้เขาอดใจไม่ไหวจริงๆ ธาวินอาจไม่ได้เติบโตหรือใช้ชีวิตอยู่ในสังคมของคนไทยหัวโบราณ แต่เขาก็พอจะคาดเดาได้ว่าทำไมหญิงสาวตรงหน้าถึงลังเลที่จะมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับเขา

ธาวินถึงขั้นสงสัยด้วยซ้ำว่าเจ้าตัวอาจจะยังเป็นสาวบริสุทธิ์อยู่

ถ้าแค่ในฐานะเพื่อน เขาก็อยากคบหากับเธอต่อ แต่เขากังวลว่าการล่อลวงสาวบริสุทธิ์อาจนำมาซึ่งปัญหายุ่งยากตามมาภายหลังได้เหมือนกัน คิดมาถึงตรงนี้ธาวินก็ได้แต่ลอบถอนหายใจกับตัวเอง

“มาเถอะครับ ผมหิวจะแย่แล้ว” ธาวินพูดพร้อมก้มลงหยิบกระเป๋าเป้สำหรับติดตัวขึ้นเครื่องของหญิงสาวมาถือเอาไว้เอง พอกวาดสายตามองไปรอบๆ ก็พบว่าไม่มีกระเป๋าใบอื่นแล้วนอกจากใบนี้ “คุณมีของแค่นี้เหรอ”

“ฉันรู้อยู่แล้วว่าต้องขึ้นเครื่องกลับ ก็เลยเอาแต่ของที่จำเป็นมาเท่านั้น”

ชายหนุ่มไม่พูดอะไร เขายักไหล่แทนคำตอบว่ารับรู้ ก่อนจะขยับเท้าไปด้านข้าง เปิดทางให้หญิงสาวเดินนำออกไปก่อน

พิมพ์นาราลอบกัดริมฝีปากด้านในของตัวเองเล็กน้อยก่อนจะออกเดิน

 

ธาวินจ้องมองแผ่นหลังคนร่างบางที่กำลังยื่นเอกสารหน้าเคาน์เตอร์ของสายการบินอย่างอดเป็นห่วงไม่ได้ เพราะรู้สึกได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ ตั้งแต่เขารับเธอที่โฮสเทล พาไปกินมื้อเช้า จนกระทั่งขับรถมาถึงสนามบิน เวลาเกือบสามชั่วโมงที่ผ่านมาคิ้วเรียวของเธอแทบไม่คลายออกจากกันเลย เธอกัดริมฝีปากล่างตัวเองเป็นพักๆ และที่สำคัญคือเธอเงียบผิดปกติ ไม่ว่าเขาจะชวนคุยอะไร หญิงสาวก็มักจะตอบเพียงสั้นๆ เท่านั้น

เห็นได้ชัดว่าหญิงสาวมีบางอย่างในใจ และธาวินมั่นใจว่าตัวเขาคือหนึ่งในสาเหตุนั้น

“เรียบร้อยแล้วค่ะ” เธอเอ่ยเมื่อเดินกลับมาหาเขาพร้อมกับบอร์ดดิงพาสในมือ แม้เธอจะยิ้ม แต่รอยยิ้มนั้นกลับไปไม่ถึงดวงตาคู่สวยของเธอ

คิ้วหนาของชายหนุ่มขมวดเข้าหากัน ก่อนที่มือหนาจะยกขึ้นแตะที่แก้มเนียนเบาๆ “คุณไม่เป็นอะไรนะ”

หญิงสาวเงยหน้ามองสบตาเขา ดวงตาฉายแววสับสนว้าวุ่นอย่างชัดเจน “เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่า หรือมีเรื่องอะไรเกินขึ้นที่เมืองไทย”

“เปล่าค่ะ” เสียงที่ตอบกลับมานั้นแผ่วเบาราวกับเสียงกระซิบ หญิงสาวกัดริมฝีปากตัวเองอีกครั้งก่อนจะก้มหน้าเบือนหลบสายตาเขา

ธาวินไม่ยอมให้เธอหันหน้าหนี มือหนาของเขาจับที่ปลายคางมน ดันใบหน้าหญิงสาวให้มองเขาอีกครั้ง “นา เกิดอะไรขึ้น”

พิมพ์นารายืนมองเขานิ่ง ไม่ใช่ว่าเธอไม่อยากตอบคำถามเขาหรอกนะ แต่เป็นเพราะเธอเองก็ยังหาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้เหมือนกัน เสียงในหัวเธอตอนนี้แบ่งเป็นสองฝั่งอย่างชัดเจน ส่วนหนึ่งเป็นเสียงเรียกร้องในหัวใจ ส่วนอีกเสียงจากจิตสำนึกที่ถูกหล่อหลอมมาตลอดสามสิบสองปี

“นา?”

“คุณพูดถูก” พิมพ์นาราเอ่ยขึ้นหลังจากเงียบอยู่นาน “การมีคุณอยู่ด้วยทำให้สนุกกว่าการเที่ยวคนเดียวมากจริงๆ ขอบคุณมากนะคะ”

ธาวินไม่ตอบอะไร เขาเพียงแค่จ้องมองในดวงตากลมโตของเธอเท่านั้น

หญิงสาวเม้มริมฝีปากเล็กน้อย ก่อนเธอจะทำให้เขาต้องแปลกใจด้วยการขยับเข้ามาด้านหน้าหนึ่งก้าว เขย่งปลายเท้าขึ้น แตะริมฝีปากนุ่มของเธอบนริมฝีปากเขา

“ขอบคุณนะคะทิม” เสียงกระซิบแนบแก้มเขาก่อนเธอจะถอยกลับไปยืนที่เดิม “ช่วงเวลาที่อยู่กับคุณเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดของฉันในทริปนี้จริงๆ”

“เบอร์ที่ผมโทร. หาคุณเป็นเบอร์ที่ผมใช้ประจำ”

ดวงตากลมเบิกกว้างเพราะสิ่งที่ได้ยิน จังหวะหัวใจถูกทำให้หวั่นไหวอีกครั้ง แต่เสียงกระซิบของจิตสำนึกก็ทำให้ริมฝีปากที่เกือบจะแยกออกจากกันกลับมาเม้มแน่น พิมพ์นาราไม่กล้ามองสบตาเขา เธอจึงแสร้งทำเป็นเหลือบไปมองตัวเลขบนนาฬิกาดิจิทัลใกล้ๆ

“ใกล้เวลาบอร์ดดิงแล้ว ฉันไปก่อนนะคะ” พูดจบหญิงสาวก็ไม่รอช้า ก้มลงคว้ากระเป๋าเป้บนพื้นแล้วหมุนตัวออกเดินตรงไปยังจุดตรวจผู้โดยสารขาออกทันที

มือหนึ่งของพิมพ์นารากำหูหิ้วกระเป๋าเป้กับโทรศัพท์มือถือ อีกมือถือหนังสือเดินทางกับบอร์ดดิงพาสเตรียมให้เจ้าหน้าที่สนามบินตรวจ ในแถวมีผู้โดยสารหกคนก่อนหน้าเธอ การตรวจเอกสารใช้เวลาไม่นานนัก ต่อคนไม่ถึงสิบวินาที เพียงแค่ดูชื่อบนบัตรโดยสารว่าตรงกับหนังสือเดินทางหรือบัตรประจำตัวประชาชนหรือไม่เท่านั้น แถวจึงขยับค่อนข้างเร็ว

ก้าวต่อก้าว เดินหน้าไปเรื่อยๆ จนกระทั่งเหลือเพียงหนึ่งคนก่อนหน้าเธอ

เพราะอะไรพิมพ์นาราก็ไม่สามารถบอกได้ แต่มันทำให้เธอหันกลับไปมองด้านหลัง เธอไม่รู้ว่าตัวเองคาดหวังจะได้เห็นอะไร แต่การเห็นคนร่างสูงนั้นยังยืนอยู่ที่เดิมมันส่งผลต่อหัวใจและความรู้สึกของเธอมาก

มือข้างที่ถือหนังสือเดินทางกำแน่นขึ้นอีก พลันคำถามหนึ่งก็ดังขึ้นในใจ

จะเสียใจไหม ถ้าเดินต่อไป ทุกอย่างก็จะจบลงแล้ว เธอจะเสียใจไหมที่ก้าวออกไป

“มิส?” เสียงเรียกของเจ้าหน้าที่ดังขึ้นเมื่อเห็นว่าหญิงสาวไม่เดินเข้ามาหา

พิมพ์นาราหันกลับมามองเจ้าหน้าที่ เอ่ยขอโทษเบาๆ แล้วยื่นของในมือส่งไปให้ ก่อนจะหันกลับไปมองด้านหลังอีกครั้ง

เขายังคงยืนอยู่ที่เดิม

วินาทีนั้น พิมพ์นาราปัดเสียงของจิตสำนึกทิ้งไปทันที หญิงสาวหันหน้ากลับมาแล้วเอื้อมมือไปดึงหนังสือเดินทางกับบอร์ดดิงพาสคืนจากเจ้าหน้าที่

“ขอโทษค่ะ” พิมพ์นาราพูดพลางขยับเท้าถอยหลังมาหนึ่งก้าว และพูดต่ออีกประโยคขณะที่หมุนตัวออกจากแถว “ฉันไม่ไปแล้ว”

ธาวินเริ่มขยับตั้งแต่เห็นเธอหันกลับมาหาเขาเป็นครั้งที่สองแล้ว ดังนั้นเมื่อคนร่างเล็กดึงเอกสารคืนจากเจ้าหน้าที่แล้วหันกลับมา แขนทั้งสองข้างอ้าออกรับตัวคนที่โถมทั้งตัวเข้ามาหา และตกใจต่ออีกนิดกับจูบร้อนแรงอย่างไม่ทันตั้งตัว

แต่ก็แค่เสี้ยววินาทีเท่านั้น สิ่งที่หญิงสาวทำคือเอาปากชนปากเขา ส่วนสิ่งที่ธาวินทำคือใช้ริมฝีปากแย้มเปิดปากของเธอเพื่อที่เขาจะสามารถจูบเธอได้อย่างลึกซึ้ง สัมผัสแรกของความหอมหวานที่ปลายลิ้นเรียกเสียงครางกระหึ่ม

ชายหญิงโผกอดจูบกันค่อนข้างเป็นเรื่องปกติที่สามารถเห็นได้อยู่บ่อยๆ ในสายตาของผู้ที่มาใช้บริการที่สนามบินต่างคิดว่าทั้งสองเป็นคู่รักที่ต้องแยกจากกัน ทั้งสองคนตกเป็นเป้าสายตาไม่นานนัก ทุกคนก็หันกลับไปสนใจเรื่องของตัวเองต่อ

ธาวินเรียกสติตัวเองกลับมาเช่นกัน แม้จะไม่เต็มใจแต่เขาก็จำต้องผละจากริมฝีปากหอมหวานของคนในอ้อมแขน ใบหน้าหวานของเธอแดงก่ำอย่างน่ารัก ดวงตากลมโตช้อนมองเขาอย่างเขินอาย

“ฉันเปลี่ยนใจอยากอยู่ต่ออีกนิด ฉันอยากได้ไกด์พาเที่ยว คุณพอจะรู้จักใครที่ทำหน้าที่นี้บ้างไหมคะ”

ดวงตาคมฉายประกายร้อนแรงอย่างไม่คิดจะปิดบัง “ผมรู้จักอยู่คนหนึ่ง”

พิมพ์นารากัดริมฝีปากที่กำลังจะเผยรอยยิ้มออกมาก่อนจะเอ่ยอีกครั้ง “แล้วคิดค่าจ้างยังไงคะ ถ้าแพงมากฉันไม่มีเงินจ่ายหรอกนะ”

“เรื่องค่าจ้างต่อรองกันได้ และผมรับรองว่าคุ้มค่ากับทุกดอลลาร์ที่คุณต้องจ่ายอย่างแน่นอน”

“ถ้าอย่างนั้นก็ตกลงค่ะ”

ธาวินอยากจะจูบเธออีกรอบ แต่จำต้องห้ามตัวเองเอาไว้ เขาสูดลมหายใจเข้าลึก ปล่อยคนร่างนุ่มออกจากอ้อมแขน แต่มือหนาของเขากุมรวบมือเล็กของเธอเอาไว้แน่น ก่อนจะย่อตัวลง ใช้มืออีกข้างคว้าหูหิ้วกระเป๋าเป้ของหญิงสาวขึ้นมา

“มาเถอะ” เสียงของเขาทุ้มและแหบพร่ากว่าปกติเล็กน้อย แต่เขาต้องชะงักค้างเมื่อรู้สึกถึงแรงขืนของคนด้านหลัง “คุณคงไม่ได้จะเปลี่ยนใจใช่ไหม”

“ฉันควรไปแจ้งเจ้าหน้าที่ก่อนว่าฉันจะไม่ขึ้นเครื่องแล้ว”

ธาวินผ่อนลมหายใจโล่งอกอย่างไม่ปิดบัง ทำเอาใบหน้าหวานร้อนผ่าวยิ่งกว่าเดิม เขาพยักหน้ารับแล้วพาเธอเดินตรงเข้าไปหาเจ้าหน้าที่ของสายการบินที่ยืนบริการอยู่บริเวณเคาน์เตอร์เช็กอิน เขายื่นบอร์ดดิงพาสของพิมพ์นาราให้เจ้าหน้าที่สาว ซึ่งอีกฝ่ายก็แจ้งทันทีว่าการยกเลิกจะไม่ได้รับการคืนเงิน

“ไม่เป็นไร ผมแค่มาแจ้งให้คุณรู้ว่าเธอจะไม่ขึ้นเครื่องเท่านั้น” ธาวินตอบกลับทันทีอย่างไม่ใส่ใจ

พนักงานของสายการบินมองทั้งคู่แล้วอมยิ้ม ก่อนรับปากจะจัดการเรื่องนี้ให้ ธาวินไม่พูดอะไรอีก แต่รีบดึงตัวหญิงสาวให้ออกเดินจากอาคารสนามบิน ราวกับเขากลัวว่าเธอจะเปลี่ยนใจแล้วหนีขึ้นเครื่องอีก

 

ทั้งคู่เดินกลับมาที่รถ กระเป๋าเป้ของพิมพ์นาราถูกโยนเข้าไปที่เบาะหลัง ธาวินเดินมาเปิดประตูให้หญิงสาวแล้วหลบไปยืนด้านข้าง

“ไม่เปลี่ยนใจใช่ไหม”

พิมพ์นาราก้าวเข้าไปนั่งในรถแทนการให้คำตอบ

ธาวินปิดประตูให้แล้วก้าวอ้อมด้านหน้ารถเพื่อเข้าประจำที่นั่งคนขับ พิมพ์นารารู้สึกถึงแรงกระชากนิดๆ เมื่อรถออกตัวจากซองจอดด้วยความเร็วที่ถูกเร่งโดยคนที่นั่งอยู่ด้านหลังพวงมาลัย

หญิงสาวเหลือบตามองเขาอย่างห้ามตัวเองไม่ได้

“อย่ามองผมแบบนั้น”

“ทำไม”

“เพราะมันอาจทำให้เราไปไม่ถึงบ้านผม และเชื่อผมเถอะ ผมรู้จักจุดจอดข้างทางที่ดีมาก วิวสวยและเงียบสงบ”

พิมพ์นาราอ้าปากค้าง ก่อนหน้านี้เธอคิดว่าหน้าเธอคงไม่มีทางร้อนไปมากกว่านี้อีกแล้ว แต่ตอนนี้เธอรู้แล้วว่าตัวเองคิดผิด!

“คุณมีคนที่จะมารอรับที่สนามบินหรือเปล่า”

“มีค่ะ” เธอตอบและรีบเอ่ยต่อเมื่อคนขับรถถึงกับละสายตาจากถนนมามองเธอ “พี่ออดี้ เจ้าของร้านอาหารไทยที่ฉันทำงานด้วย”

“โทร. บอกเธอว่าคุณเลื่อนตั๋วกลับ”

พิมพ์นาราพยักหน้ารับและทำตามที่ชายหนุ่มบอกทันที

“วันนี้พี่ออดี้ไม่ต้องมารับนาที่สนามบินแล้วนะคะ...นาจะอยู่ที่ควีนส์ทาวน์ต่ออีกสักพักค่ะ...ที่นี่สวยมากค่ะ นาติดใจเลยอยากอยู่ต่ออีกสักสองสามวัน...พอค่ะ เพราะพี่ออดี้บอกว่าไม่ต้องซื้อของฝาก นาก็เลยเหลือเงินเยอะพอเที่ยวต่ออีกหลายวัน...ขอโทษพี่ออดี้ด้วยนะคะ เดี๋ยววันที่นากลับ พี่ออดี้ไม่ต้องมารับที่สนามบินก็ได้ นามีกระเป๋าเป้แค่ใบเดียว...ค่ะ ขอบคุณนะคะพี่ออดี้ สวัสดีค่ะ”

พวกเขานั่งอยู่ในรถ ถึงจะไม่ได้ยินทั้งหมดที่คนปลายสายพูด แต่จากคำตอบของคนข้างกาย ธาวินก็พอจะเดาบทสนทนาของทั้งคู่ได้ไม่ยากนัก เขาไม่ถามอะไรมาก พยายามเพ่งสมาธิทั้งหมดไปบนถนน แม้ว่ากลิ่นหอมจากตัวคนที่นั่งข้างๆ จะเย้ายวนใจมากก็ตาม

“คุณขับรถเร็ว”

“ยังไม่เร็วพอหรอกในความคิดผม”

คนฟังทั้งอายทั้งขำ แต่อย่างน้อยตอนนี้จังหวะการเต้นของหัวใจก็ลดอัตราความเร็วลงมาบ้างเล็กน้อย

“คุณขับเร็วกว่าที่ป้ายกำหนด”

ธาวินชะงักแล้วก้มลงมองแผงบอกความเร็วด้านหลังพวงมาลัย “บ้าฉิบ!” เสียงสบถดังขึ้นพร้อมกับที่รถชะลอความเร็วลงทันที

ระยะทางสิบกิโลเมตรกว่าจากสนามบินถึงบ้านพักของเขาเป็นเส้นทางที่เขาขับจนคุ้นเคย มันไม่ใช่ระยะทางที่ยาวไกลนัก ขับรถแค่ยี่สิบนาทีก็ถึงแล้ว แต่ตอนนี้เขากลับรู้สึกว่ามันไกลมาก!

ก่อนหน้านี้ทำไมเขาถึงไม่คิดว่ามันไม่สะดวกขนาดนี้กันนะ เขาน่าจะเลือกซื้อบ้านสักหลังที่ใกล้สนามบินแค่ห้านาที!

พิมพ์นารามองมือหนาที่กำพวงมาลัยแน่น ก่อนจะไล่มองขึ้นมาตามลำแขนจนถึงช่วงลำคอที่กล้ามเนื้อเกร็งเขม็งไม่แพ้กัน กรามคมสันเห็นได้ชัดกว่าปกติเมื่อเจ้าตัวกัดฟันกรอดเหมือนพยายามควบคุมอารมณ์ สิ่งที่เห็นทำให้พิมพ์นาราอดใจไม่ไหว ไม่รู้อะไรดลใจด้วยซ้ำ พิมพ์นาราถึงกล้าทำในสิ่งที่เธอไม่เคยคิดจะทำมาก่อนในชีวิต...อาจจะเป็นเพราะเธอเลือกที่จะปัดจิตสำนึกเอาไว้ด้านหลังตั้งแต่หมุนตัวกลับมาหาเขาที่สนามบินแล้วก็ได้

มือของเธอยื่นออกไป ปลายนิ้วแตะที่ขอบใบหูของเขาเบาๆ

มันเป็นสัมผัสแผ่วเบา แต่ในสถานการณ์ที่คับขันแบบนี้ก็ทำเอาลมหายใจของธาวินถึงกับสะดุด ร่างหนาแทบจะกระตุกไปทั้งร่าง กำพวงมาลัยกำแน่นขึ้นอีก สมาธิเกือบหลุดจากถนนเบื้องหน้า โชคดีที่ประสบการณ์ในกีฬาเอกซ์ตรีมหลายปีที่สั่งสมมาทำให้เขาสามารถควบคุมวิกฤติได้อย่างทันท่วงที

“มันอันตรายนะ” เขาดุเจ้าของปลายนิ้วที่ยังเขี่ยไล้ใบหูเขาอยู่

การรู้สึกว่าตัวเองมีอำนาจอยู่ในมือเป็นความรู้สึกที่พิมพ์นาราไม่คุ้นเคย แต่ทำไมไม่รู้ มันกลับยิ่งเพิ่มความกล้าให้เธอมากขึ้นอีก

“ใจร้อนเหรอคะ” เสียงคนข้างกายเอ่ยถามอย่างเย้ายวน

มุมปากของธาวินกระตุกยกสูง ก่อนเขาจะตอบกลับด้วยน้ำเสียงแหบพร่า “ไม่ใช่แค่ใจ อย่างอื่นก็ร้อนด้วย”

พิมพ์นาราไม่ใช่เด็กไม่ประสา เข้าใจดีว่าเขาหมายถึงอะไร หญิงสาวกัดริมฝีปากล่างของตัวเองอีกครั้งก่อนจะตอบกลับ

“ถ้าอย่างนั้นก็หวังว่าบ้านคุณจะอยู่ไม่ไกล”

“ฮึ่ม!”

เสียงคำรามที่ดังตอบกลับมาทำให้ริมฝีปากของพิมพ์นาราฉีกยิ้มกว้างขึ้นอีก

ประโยคที่เธอพูดเมื่อครู่นี้ถ้าแม่เธอได้ยินละก็คงจะวิ่งไปหาก้านมะยมมาเตรียมฟาดน่องเธอแน่ แต่เพราะแม่ไม่ได้ยินดังนั้นพิมพ์นาราจึงไม่กลัว

ทั้งชีวิตเธอเดินอยู่ในกรอบที่คนอื่นขีดให้ ทำอย่างที่คนอื่นแนะนำว่าดีมาตลอด แต่ตอนนี้เธอจะก้าวออกจากกรอบนั้น แค่ตอนนี้เท่านั้น หลังจากนี้เธอจะกลับไปเป็นพิมพ์นาราคนเดิม

ส่วนตอนนี้เธอจะสนุกอย่างเต็มที่กับการเป็นมิสซิสนา สมิธ

 

ทิวทัศน์ที่ด้านหนึ่งเป็นเชิงเขา อีกด้านคือผืนน้ำสีน้ำเงินทอประกายของทะเลสาบวาคาติปูคงจะชวนตื่นตะลึงกว่านี้ หากไม่ใช่เพราะจิตใจของทั้งสองคนที่อยู่ในรถกำลังหมกมุ่นในเรื่องอื่น ธาวินนั้นไม่ต้องสงสัยเลย เขาเพ่งสมาธิทั้งหมด

ไปบนถนน อย่างไรความปลอดภัยก็ต้องมาก่อน ส่วนพิมพ์นาราก็มัวแต่ตื่นเต้นกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นหลังจากนี้เสียจนภาพธรรมชาติที่สวยงามเหล่านั้นไม่สามารถผ่านเข้าสู่การรับรู้ได้เลย

หญิงสาวไม่รู้ด้วยซ้ำว่ารถที่นั่งมาเลี้ยวเข้ามาจอดภายในโรงจอดรถของบ้านหลังหนึ่งแล้ว รู้ตัวอีกครั้งก็ตอนที่ประตูด้านที่ตัวเองนั่งถูกใครบางคนเปิดออก

ธาวินไม่พูดอะไรมาก เขาเพียงแค่โน้มตัวเข้าไปช่วยปลดเข็มขัดนิรภัยให้ คว้ามือน้อยเอาไว้มั่นแล้วดึงคนร่างบางให้ตามออกมาจากรถ

“กระเป๋าเป้ของฉัน” พิมพ์นาราร้องเตือนเมื่อคนร่างสูงลากเธอก้าวดุ่มๆ ไปทางประตูที่เชื่อมกับโรงจอดรถ

“เอาไว้ก่อน” เสียงทุ้มตอบกลับมา เขาไม่ปล่อยมือเธอด้วยซ้ำขณะที่เสียบลูกกุญแจเข้าไปแล้วบิดเบาๆ

กริ๊ก!

เสียงล็อกถูกดีดกังวานใสอย่างน่าประหลาด แต่พิมพ์นาราไม่มีเวลาได้คิดอะไรมากนัก ทันทีที่ประตูเปิดออก ตัวเธอก็ถูกดึงให้ก้าวผ่านกรอบประตูเข้าไปด้านใน หญิงสาวทันได้เห็นประกายแดดยามบ่ายที่สะท้อนบนผิวน้ำสีน้ำเงินแวบเดียวเท่านั้น ร่างเธอก็ถูกรวบเข้าไปอยู่ในอ้อมแขนของคนร่างสูงแล้ว พร้อมกับริมฝีปากหนาที่ทาบทับลงมา

ธาวินไม่ให้เวลาเธอตั้งตัว ไม่เปิดโอกาสให้เธอคิดเปลี่ยนใจ

จูบร้อนแรงดุดันของเขาทำเอาในหัวของพิมพ์นาราขาวโพลน ความคิดทุกอย่างคล้ายจะถูกริมฝีปากของเขาแผดเผาจนไม่มีเหลือ หากเธอเคยมีความลังเลใดๆ ก่อนหน้านี้ ตอนนี้มันก็หายไปหมดแล้ว ลิ้นร้อนของทั้งสองเกี่ยวกระหวัด ริมฝีปากบดเบียดกันอย่างร้อนแรง แขนทั้งสองข้างของเขารวบรัดเอวบางเอาไว้แน่น

เสียงครางอย่างพึงพอใจดังขึ้นในลำคอแกร่ง เขาผละริมฝีปากออกแค่พอให้เอ่ยประโยคสั้นๆ เท่านั้น

“เอาขาเกี่ยวเอวผม” เขาพูดโดยไม่สนว่าอีกฝ่ายได้ยินหรือไม่ มือหนาข้างหนึ่งเลื่อนลงไปใต้สะโพกกลมกลึง ใช้ลำแขนเพียงข้างเดียวก็สามารถยกคนร่างเล็กกว่าขึ้นจากพื้นได้

สัญชาตญาณทำให้พิมพ์นาราใช้ขาทั้งสองข้างเกี่ยวเอวเขาเอาไว้แน่น ดวงตากลมโตเบิกกว้างเพราะความตกใจ ท่วงท่าที่เป็นอยู่ตอนนี้ใช่ว่าไม่เคยเห็นใครทำ เพียงแต่ตัวเธอไม่เคยทำมาก่อนเท่านั้นเองจึงรู้สึกขัดเขินอยู่ไม่น้อย แต่เมื่อเห็นความร้อนรนบนใบหน้าคนที่กำลังอุ้มเธอก้าวดุ่มๆ ไปตามทางเดินแล้ว พิมพ์นาราก็รู้สึกเหมือนหัวใจจะพองโตขึ้นมาอีก มือน้อยที่เกี่ยวลำคอแกร่งสอดเข้าไปในกลุ่มผมสีดำของเขา ลูบไล้เบาๆ ไม่ได้รู้ตัวเลยสักนิดว่าตัวเองกำลังเผยรอยยิ้มยั่วยวนต่อหน้าอีกฝ่าย

ดวงตาคมสีดำเข้มขึ้นอีกนิดเพราะแรงอารมณ์ที่อัดแน่นอยู่ในอก น้ำหนักของคนในอ้อมแขนไม่ได้มากมายอะไรนัก แต่กลับทำให้แต่ละก้าวของเขาไม่ค่อยมั่นคงนัก เพราะทุกก้าวที่ขยับทำให้ส่วนที่ถูกปลุกเร้าของเขาถูกเสียดสีจนแทบจะทนไม่ไหว

โชคดีที่บ้านนี้ไม่ได้ใหญ่โตอะไรนัก เดินแค่ไม่กี่ก้าวธาวินก็พาทั้งคู่มาถึงห้องนอนของเขาแล้ว

ภายในห้องดูโล่งโปร่งสบาย เฟอร์นิเจอร์ที่โดดเด่นที่สุดคือเตียงนอนหลังใหญ่ที่วางตำแหน่งให้คนนอนได้เห็นวิวของทะเลสาบและขุนเขาอันสวยงามผ่านประตูระเบียงกระจกใสด้านหน้า เพราะตอนนี้เพิ่งจะเป็นเวลาบ่ายกว่าๆ เท่านั้น แม้จะมีม่านลูกไม้สีขาวปิดเอาไว้ แต่ภายในห้องก็ยังสว่างโร่จนสามารถเห็นรายละเอียดทุกอย่างได้อย่างชัดเจน

หญิงสาวกะพริบตาปริบ แก้มเนียนแดงก่ำขณะที่เธอก้มลงมองเขา ก่อนที่ภาพทุกอย่างจะกลับกัน เมื่อเธอถูกวางลงบนที่นอนโดยมีร่างหนาของเขาคร่อมอยู่ด้านบน

“โอกาสสุดท้ายที่คุณจะเปลี่ยนใจ” เขาถามทั้งๆ ที่เสียงแหบพร่าเต็มไปด้วยแรงอารมณ์

“คุณอยากให้ฉันเปลี่ยนใจหรือเปล่า”

“ไม่” คำตอบของเขาสั้นกระชับแต่จริงจังอย่างมาก

พิมพ์นารายกมือขึ้นลูบใบหน้าคมสัน แต่มือของเธอถูกมือหนาของเขายึดกุมเอาไว้ ดวงตาคมทอประกายร้อนแรงยิ่งกว่าเดิม ขณะที่เขาค่อยๆ จูบลงกลางฝ่ามือนุ่มของเธอ การขบเม้มเบาๆ นั้นทำให้ลมหายใจของหญิงสาวสะดุดไปเล็กน้อย เธอกลืนน้ำลายอึกหนึ่งแล้วจึงเอ่ยตอบ

“ฉันไม่เปลี่ยนใจ”

คำตอบของเธอเรียกเสียงคำรามในอกแกร่งได้อย่างดี


รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น