1

บทที่ 1

 



บทที่ ๑

 

            “แล้วไงต่อ แล้วหน่อยตอบอะไรออกไป”

ทั้งเป้ ฮาร์ท และไหม ต่างตั้งตารอให้อมราเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นต่อจากที่หญิงสาวเล่าค้างอยู่ด้วยความกระสันใคร่รู้

            “จะให้ทำไง ก็ช็อกไง ช็อกจนพูดไม่ออก อารมณ์นั้นพูดอะไรไม่ออกเลย” อมราเบ้ปาก รู้สึกผิดหวังจนอยากจะร้องไห้ออกมา “ที่เจ็บใจที่สุดคืออะไรรู้ไหม ทุกครั้งที่อยู่กับคุณชาญน่ะ หน่อยต้องเสแสร้งแกล้งทำขนาดไหน ต้องสำรวมกิริยามารยาท ทำตัวเป็นผ้ายับที่พับเอาไว้ เสียพลังลมปราณไปขนาดไหนกับการสร้างภาพ อยากจะให้เขาเห็นว่าเราเป็นผู้หญิงที่เรียบร้อยน่ารัก แล้วไง เขากลับบอกอยากได้เพื่อน ไม่อยากได้แฟน”

จบประโยคที่ระบายความอัดอั้นตันใจจบ หญิงสาวก็ร่ำไห้ออกมาเสียงดังราวกับเด็กเล็กๆ ที่ไม่ได้ของเล่นที่ถูกใจ

“โว้ย! นานๆ จะมีผู้ชายเข้ามาในชีวิตสักคน ทำไม...ทำไมต้องเป็นแบบนี้” อมรากำหมัดทุบไปที่หมอนดังปึกๆ

            “โอ๋ๆ ไม่ร้องๆ เงียบน้า”

เป้เข้าไปโอบบ่าเพื่อนรักเอาไว้ ในขณะที่ไหมก็ดึงกระดาษทิชชูส่งไปให้อมราเช็ดน้ำตาและสั่งน้ำมูก แต่อมรากลับสูดน้ำมูกเข้าจมูก พร้อมกับปาดน้ำตาด้วยหลังมือ กำกระดาษทิชชูที่รับมาไว้เฉยๆ จนคนส่งให้สงสัยแต่ไม่ได้ทักท้วง

“แบบนี้ถ้าใครรู้เรื่องนี้เข้าได้หัวเราะกันตาย หน่อยจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน พากันเดินไปเดินมา ควงไปทั่วทั้งตึก”

            “สนใจอะไรกับปากคน หน่อยไม่พูด พวกนั้นจะไปรู้ได้ยังไง” ฮาร์ทช่วยปลอบอีกแรง

            “มันเสียหน้าน่ะ ฮาร์ทเข้าใจไหม มันเสียหน้า คิดว่าจะได้มีแฟนแล้วแท้ๆ ดูสิ แล้วกลับกลายเป็นอะไรไปไม่รู้”

            “แต่คุณชาญเขาก็ดีนะคะที่บอกกับหน่อยตรงๆ ก่อนที่จะคิดไปไกลกว่านี้”

            “ยายหนอนไหม!” อมราหันมาเอ็ดไหมเสียงเขียว แม้จะรู้สึกเช่นเดียวกับคำพูดของไหม แต่นาทีนี้เธอรับไม่ได้และไม่อยากได้ยิน เธออยากได้คำปลอบประโลม คำพูดเห็นอกเห็นใจที่เข้าใจและเข้าข้างเธอ คล้อยตามไปกับเธอ ไม่ใช่ไปเห็นว่าการกระทำของชาญที่บอกกับเธอตรงๆ นั้นถูก

            “เอาน่า ไหมก็ หน่อยเสียใจอยู่น่า” เป้หันมายิ้มแหยๆ ให้อมรา ยิ่งเพื่อนสาวเบะปากพยักหน้าหงึกๆ ก็ทำเอาเกือบหลุดขำ แต่ก็ต้องเก๊กหน้าให้นิ่งไว้เพราะรู้จักนิสัยอมราดีว่าไม่ต่างจากเด็กเล็กๆ คนหนึ่ง ยิ่งเป็นลูกสาวคนเล็กของครอบครัวยิ่งแล้วใหญ่ ไม่ว่าจะทำอะไรพูดอะไรก็ไม่ค่อยมีใครปรามเพราะเห็นว่าเด็กที่สุดในครอบครัว หนนี้ก็คงไม่ได้เสียอกเสียใจอะไร อาจจะเพียงแค่ผิดหวังและเสียหน้าเท่านั้น

“แหม...” ไหมทำหน้างอ ร้องประท้วง

            “แต่ฮาร์ทก็เห็นด้วยกับไหมนะ อย่างน้อยฝ่ายนั้นก็ทำถูกที่บอกกันตรงๆ ว่าคบกันในสถานะไหน หรือตัวตนเขาเป็นแบบไหน ไม่ปล่อยให้หน่อยคิดไปไกล เตลิดไปไกลกว่านี้”

            “ไม่มีใครเข้าข้างเราสักคนเลย เป้...” อมราโวยวายหาพวกขึ้นมาทันที พร้อมกับร่ำไห้เสียงดัง โผเข้าไปกอดเป้เอาไว้แน่น “ฮือๆ ไม่มีใครรักเราเลย พวกตัวเองต้องเข้าข้างเราสิ”

            “ฮาร์ทก็เข้าข้างหน่อยนะ แล้วก็เข้าใจอีกฝ่ายด้วย คุณชาญเขาคงชอบอัธยาศัยของหน่อยจริงๆ ฮาร์ทจะพูดอย่างไรดีล่ะ” ฮาร์ททำท่าคิดอยู่อึดใจก่อนจะพูดต่อ “หน่อยไม่ค่อยมีจริตเหมือนผู้หญิงทั่วๆ ไป ดูเหมือนผู้ชายเสียด้วยซ้ำ ไม่เสแสร้งแกล้งทำ ดูสบายๆ เป็นกันเอง ใครอยู่ใกล้ก็ยิ้มได้ คุณชาญเขาก็คงรู้สึกเหมือนไม่ต้องระวังตัว ปล่อยตัวสบายๆ เป็นตัวของตัวเองได้ อย่างที่หน่อยเล่าให้พวกเราฟังไง”

            “คุณชาญอาจจะผิดที่ไม่ได้บอกหน่อยแต่แรกแค่นั้นเองว่าแกชอบอะไรแบบนั้น แต่ไหมก็เข้าใจแกนะคะ เกิดในตระกูลเก่า นามสกุลดัง เป็นลูกชายคนเดียว ใครๆ ก็คงคาดหวังกับแกทั้งนั้น ไหมออกจะเห็นใจแกด้วยซ้ำไปที่ไม่สามารถเป็นตัวของตัวเองได้”

            อมราผละออกมาจากเป้ ถอนใจดังเฮือก เริ่มเห็นคล้อยตามไปกับคำพูดของไหมและฮาร์ท ยอมรับแม้จะไม่อยากเห็นด้วยก็ตามที “ก็ไม่ได้ว่าว่าผิดไง คนมันเสียความรู้สึก ก็มโนไปไกลแล้ว คิดว่าได้แน่ๆ แต่สุดท้ายก็แห้วอีกหน คราวพี่นุก็ทีละ ไม่คิดว่าจะมีใคร เตรียมเป็นคุณนายเต็มที่ ที่ไหนได้ เผลอแป๊บเดียวชวนคุณพี่หมอน้ำไปอยู่เมืองนอกกันเฉยเลย”

            “นอกเรื่องละ” เป้ปราม ลองอมราพูดเล่นได้แบบนี้ก็ไม่ต้องวิตกกังวลอะไรให้มากมาย

            หญิงสาวสูดน้ำมูกอีกหน ส่งสายตาออดอ้อนไปให้เพื่อนๆ ที่แม้จะอายุไล่เลี่ยกัน แต่พอมีลูกมีครอบครัวก็ดูเป็นผู้ใหญ่มีความคิดความอ่านกันทุกคน ผิดกับเธอที่ยังหลักลอยไม่เป็นโล้เป็นพายอะไรกับใครเขาเลย

            “มันยังทำใจไม่ได้นี่ จิตใจมันหดหู่พิกล ไม่อยากไปพบใคร ไม่อยากเจอหน้าใครด้วย”

            “ไปเที่ยวบ้านไหมไหมคะ ตอนนี้แถวๆ เพชรบูรณ์อากาศดีเชียว” ไหมชวน

อมราส่ายหน้าดิก เพราะยังไม่สนิทใจกับอติยุทธสามีของเพื่อนรัก แม้อีกฝ่ายจะยังทำตัวดีไม่ออกนอกลู่นอกทางอย่างที่เธอกลัวก็เถอะ เจอกันแป๊บๆ ยังพอทำใจ แต่ให้ไปอาศัยอยู่ด้วยกัน เจอหน้ากันเช้าค่ำก็ยังทำใจไม่ได้

“งั้นไปพักที่สัตหีบกับฮาร์ท”

อมราส่ายหน้าอีกหน ครอบครัวของฮาร์ทกับครูน่านอยู่กันแบบครอบครัวขยาย อยู่ร่วมกันตั้งแต่รุ่นพ่อแม่ไปจนถึงหลานๆ ลูกเล็กเด็กแดง แม้บรรยากาศจะอบอุ่นแต่ก็วุ่นวาย น่าจะไม่เหมาะกับคนที่ต้องการหาที่สงบใจแบบเธอ

“ไปเยี่ยมพี่นุไหมคะ” ไหมเสนอ

“ไปให้ช้ำใจเหรอ ส่งข่าวมาทีไร ลูกเพิ่มขึ้นทีละคนสองคนทุกที” อมราสวนกลับไว “ถึงจะไปอยู่ฟรีกินฟรีก็ไม่สน แถมไกลจะตาย นั่งเครื่องตูดบานแน่ๆ กว่าจะถึง”

“งั้นหน่อยอยากไปไหน ไหนลองบอกเราซิ” เป้ถามอย่างอ่อนใจ แนะนำที่ไหนให้ก็ไม่ไป

อมราสูดน้ำมูก ทำหน้ายุ่ง คิดอยู่พักหนึ่ง

“ไปเที่ยวเมืองนอกได้ไหม ไปใกล้ๆ อย่างเกาหลี ญี่ปุ่น สิงคโปร์ไรงี้ ไปกันเอง” พอพูดจบและเห็นหน้าเพื่อนๆ อมราก็ทำหน้าเง้างอทันที “ทำไมล่ะ ก็หน่อยยังไม่เคยไปต่างประเทศนี่ อย่างมากก็ได้ไปแค่ลาว พม่า แค่นี้เอง อยากไปไกลออกไปอีกนิดบ้างไม่ได้หรือ จริงๆ อยากไปไกลกว่านี้นะ แต่เงินมีน้อย”

“เราเข้าใจ เราก็อยากไปด้วย แต่...” ฮาร์ทสบตากับไหมและเป้อย่างลำบากใจ เนื่องจากทุกคนมีภาระทางครอบครัวกันหมด จะทิ้งลูกและสามีไปเที่ยวคนเดียวคงเป็นไปได้ยาก แถมสามีของเธอก็คงไม่มีวันยอมด้วยเพราะตอนนี้เธอก็ตั้งครรภ์อ่อนๆ อยู่

“เราไปกับหน่อยเอง เพราะฮาร์ทเพิ่งท้องอ่อนๆ คงไปไม่ได้ ส่วนไหม...คุณยุทธก็หวงอย่างกับอะไรดี คงไม่สะดวกไปกับหน่อยแน่ๆ” เป้อาสาอย่างเต็มใจ เพราะดูแล้วเธอน่าจะมีเวลาและคล่องตัวมากกว่าไหมกับฮาร์ท “ไปสิงคโปร์นะ ใกล้หน่อย ไปศุกร์เย็น กลับเย็นวันอาทิตย์อะไรแบบนี้”

“จริงนะ” อมราออกอาการดีใจอย่างเห็นได้ชัด “ไปๆๆ”

“ไม่ว่าไหมกับฮาร์ทนะคะที่ไปด้วยไม่ได้”

“อืม ไม่ว่าๆ หน่อยไปกับเป้ก็ได้” อมราพูดอย่างยินดี ขอแค่ได้ไป จะไปกับใครเธอก็ไป อย่างน้อยก็ได้ไปเที่ยวเปิดหูเปิดตาให้ใจสบายขึ้นกว่านี้สักนิด อมรามองใบหน้าเพื่อนสาวทีละคน “ขอโทษนะที่ทำให้การนัดรวมตัวเจอกันหนนี้ไม่สนุกเหมือนเคย”

“ไม่เลยๆ” ฮาร์ทส่ายหน้า รีบบอกปัดไว “มันก็เหมือนทุกครั้งที่เรานัดเจอกัน เพียงแต่หนนี้หน่อยมีปัญหา และพวกเราดีใจนะที่ได้มาช่วยหน่อยแก้ปัญหา พวกเรามีอะไรก็ช่วยกันเสมอ และมันจะเป็นอย่างนั้นตลอดไป”

อมราอ้าแขนออกกว้าง สามสาวก็ขยับตัวเข้าสู่อ้อมแขนของหญิงสาวทันที จากคนที่ไม่มีอะไรเหมือนกันแต่ต้องมาอยู่ร่วมกันในเวลาไม่กี่เดือน ตอนนี้กลับกลายเป็นเพื่อนกันตลอดชีวิต

ในเวลาสามปีกว่าๆ หลังจากได้มาฝึกหลักสูตรข้าราชการกลาโหมชั้นสัญญาบัตรร่วมกัน ณ โรงเรียนนายเรือ ฮาร์ทก็ได้แต่งงานกับครูฝึกสุดหล่ออย่างน่านเวหาหลังฝึกจบมาไม่นาน จนมีลูกชายด้วยกันหนึ่งคน และกำลังมีในครรภ์อีกคน เป้ก็ได้แต่งงานกับผู้บังคับบัญชาสุดหล่อของตนเองอย่างผู้การราชหลังจากกลับไปทำงานได้ไม่นาน มีลูกชายน่ารักๆ เพิ่มขึ้นอีกหนึ่งคนหลังจากที่เป้มีบุตรสาวของตนเองแล้ว ส่วนไหมนั้นโชคชะตาก็ขีดเส้นสายให้เดินมาบรรจบกับอติยุทธ คนพาลที่เคยมีกรณีพิพาทกับฮาร์ทจนได้แต่งงานกัน มีลูกสาวที่หน้าตาเหมือนบิดาราวกับโขกออกมาจากพิมพ์เดียวกันหนึ่งคน

ส่วนเธอนั้น...พูดแล้วให้สงสารตนเองนัก เธอยังคงเป็นสาวโสดที่อายุเลยวัยเบญจเพสไปแล้ว และยังไม่เคยแม้แต่สักครั้งที่จะได้เรียกชายใดว่าแฟน ร่างกายยังบริสุทธ์ผุดผ่อง แล้วเมื่อไรกันที่เธอจะมีใครสักคนที่จะอยู่เคียงข้างกันเฉกเช่นที่เพื่อนสาวของเธอมี

 

“ผมไปทำงานก่อนนะครับ”

ชายหนุ่มผิวขาว หน้าตาผิวพรรณผ่องใส ริมฝีปากแดงระเรื่ออย่างคนสุขภาพดี รูปร่างสูงใหญ่ ไหล่กว้างลู่เข้าหาเอวสอบรับกับสะโพกแกร่งและต้นขาแข็งแรงดังคนที่ดูแลตัวเองและออกกำลังเป็นประจำลุกขึ้นจากโต๊ะอาหารตัวใหญ่ประจำครอบครัว

สามสาวต่างวัยที่นั่งอยู่ที่โต๊ะบ้างก็พยักหน้ารับ บ้างก็ส่งเสียงรับ และมองตามชายหนุ่มคนดังกล่าวไปจนลับตา

“แม่ละหวั่นใจจริงๆ อายุอานามก็ไม่ใช่น้อยๆ แล้ว จนป่านนี้ตาเล็กยังไม่มีวี่แววจะลงเอยกับใครเลย” ดรุณีปรารภพร้อมถอนใจด้วยความกังวล หลังจากที่บุตรชายเดินลับออกจากห้องกินข้าวไป

“ผู้ชายอายุสามสิบเก้า ฝรั่งเขาว่าชีวิตเพิ่งเริ่มต้นนะคะแม่” จงกล พี่สาวคนโตของครอบครัวที่ยังโสดสนิทเอ่ยแย้ง

“พี่ใหญ่เอามาจากไหน ไม่เคยได้ยิน เคยเห็นแต่ฝรั่งพออายุสี่สิบก็เริ่มเกษียณกินเงินบำนาญกันแล้ว” หญิงสาวอีกคนเงยหน้าขึ้นมาจากหนังสือพิมพ์ที่กำลังอ่านอยู่

“ก็ฟังๆ เขามา แม่คงกลัวว่าตาเล็กจะขึ้นคานเหมือนพี่กระมัง หรือไม่ก็...” จงกลพูดไม่จบประโยค

“หันไปชอบผู้ชายด้วยกันอย่างนั้นหรือ” จิดาภาเอ่ยถามพร้อมๆ กับเหลือบมองมารดาที่ยังนั่งอยู่ที่หัวโต๊ะ

“ก็น่าคิดไม่ใช่หรือ ดูการแต่งเนื้อแต่งตัวสะอาดเอี่ยมเรี่ยมเร้เรไรขนาดนั้น”

“น้องเป็นหมอ ก็ไม่น่าแปลก”

“หล่อนก็เป็นหมอไม่ใช่หรือ ไม่เห็นจะเรี่ยมเร้ได้สักครึ่งของตาเล็ก อีกอย่างตาเล็กก็ไม่เห็นจะเคยคบหากับผู้หญิงคนไหน หรือพาใครเข้ามาในบ้านเลย”

“พอๆๆ จะมาทะเลาะอะไรกันแต่เช้า ว่าแต่เราเถอะยายกลาง จะย้ายกลับมาอยู่บ้านจริงๆ น่ะหรือ”

จิดาภามองมารดาและพี่สาวเพียงนิด ก่อนจะก้มหน้ามองหนังสือพิมพ์ในมือและพยักหน้ารับ

“ไม่คุยกันอีกสักหนหรือยายกลาง” ดรุณีเอ่ยถาม

“เราคุยกันมาเยอะแล้วค่ะ อีกอย่าง...จบกันตอนนี้เรายังเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันได้”

“ผัวเมียเลิกกันยังเป็นเพื่อนกันได้ด้วยรึ ฉันเพิ่งรู้”

“ยุคสมัยมันเปลี่ยนไปแล้วค่ะพี่ใหญ่ อยู่ด้วยกันไม่ได้ก็เลิกไปกันมันก็เท่านั้น ไม่เห็นต้องโกรธต้องแค้นอะไรกัน ดีกว่าทนอยู่กันไปเรื่อยๆ จนพูดกันไม่รู้เรื่อง แม้แต่หน้าก็ไม่อยากจะมองกัน อีกอย่างเราก็มีลูกด้วยกัน เป็นไปไม่ได้หรอกนะคะที่จะไม่พูดกัน”

“ป่านนี้ผู้การไม่ตีปีกแล้วรึไง”

“พอแล้วแม่ใหญ่ เรานี่มองอะไรในแง่ร้ายไปหมด ถ้าตกลงเลิกรากันแม่ก็อยากให้จากกันดีๆ แบบที่ยายกลางว่า” ดรุณีปรามลูกสาวคนโต

“สายแล้ว กลางไปทำงานก่อนนะคะ” จิดาภาตัดบท วางหนังสือพิมพ์พร้อมลุกจากโต๊ะอาหารตามน้องชายไปอีกคน

“จะพูดอะไรก็นึกถึงใจน้องมันบ้าง”

“แล้วสิ่งที่ใหญ่พูดมันไม่จริงตรงไหนคะ ผัวมีคนอื่นแทนที่ยายกลางจะไปสู้รบตบมือแย่งผัวคืนมากลับล่าถอยออกมาง่ายๆ ส่วนตาเล็ก...คุณแม่ก็กลัวไม่ใช่หรือคะ ว่าน้องจะไม่ชอบผู้หญิงแล้วหันไปชอบผู้ชายด้วยกัน”

“แม่รักลูกทุกคนเท่ากันนะใหญ่ ไม่ว่าลูกจะเป็นอย่างไรแม่ก็รับได้”

“ก็ดีค่ะ ใหญ่รู้แบบนี้จะได้สบายใจว่าในอนาคตหากตาเล็กมีแฟนเป็นผู้ชาย คุณแม่ก็สามารถรับได้”

“เอ๊ะ...แม่ใหญ่”

จงกลขยับลุกจากเก้าอี้บ้างเมื่อเห็นว่าจะถูกมารดาเอ็ดเอา “ไปละค่ะ จะไปเดินเก็บค่าเช่าที่ตลาด”

 

ดินสอที่ริมฝีปากบางซึ่งไม่มีแม้แต่ลิปกลอสคาบอยู่ขยับไปมาตามอารมณ์ของคนคาบ มือก็ขยับเมาส์บังคับภาพที่เห็นในหน้าจอคอมพิวเตอร์ให้เคลื่อนไป นี่เรียกได้ว่าเป็นการเดินทางไปต่างประเทศครั้งแรกของเธอก็ว่าได้ ไม่นับกัมพูชา ลาว พม่า เพื่อนบ้านใกล้เคียงที่มักจะข้ามแดนไปเที่ยวแบบเช้าไปเย็นกลับ ใจจริงชอบนักกับการแบกเป้ใบเดียวแล้วเที่ยวท่องไป แต่ถึงแม้จะอยากทำมากแค่ไหนก็คงทำไม่ได้ เพราะภาษาอังกฤษของเธอนั้นเรียกได้ว่าเรียนผ่านมาแบบปากไม่ว่างเพราะคาบเส้นยาแดงกันมาเลยทีเดียว แบบที่อาจารย์ช่วยดันทุกทางถึงได้จบออกมา แถมทุกครั้งที่ได้พูดก็ยังรู้สึกขัดเขิน ลิ้นแข็งยามที่ต้องเอ่ยภาษาอังกฤษออกไป กลัวว่าสำเนียงจะไม่เหมือนกับต้นฉบับเขา

แต่สมัยนี้อมราก็เบาใจไปได้มากเพราะมีอุปกรณ์มากมายช่วยแปล ช่วยอ่าน ประเภทเอาปากจ่อแล้วพูดใส่ก็สามารถแปลออกมาได้ หรือจะเป็นการเอาโทรศัพท์มือถือราคาแพงแสนแพงที่ผ่อนศูนย์เปอร์เซ็นต์สิบเดือนอยู่ในตอนนี้ดาวน์โหลดโปรแกรมหรือแอปพลิเคชันต่างๆ ที่แค่เอาไปส่องตัวหนังสือก็สามารถแปลออกมาได้ทุกภาษา

อมราหาข้อมูลเตรียมไว้ทุกอย่าง เรียกได้ว่าจบทริปนี้เธอคงสามารถเขียนคู่มือนำเที่ยวสำหรับการเที่ยวเมืองนอกหนแรกออกมาได้เป็นเล่มเลยทีเดียว

“พร้อม!” มือเรียวปิดสมุดบันทึกขนาดเหมาะมือลงจนเกิดเสียงดัง...มันน่าตื่นเต้นจะตาย พรุ่งนี้แล้วที่เธอจะได้ไปเปิดโลก ปลดปล่อยความโศกาให้ออกไปจากจิตใจ เป้กับเธอตกลงกันว่าจะเดินทางไปเย็นวันพฤหัสบดี ไปถึงก็เข้าโรงแรมพักผ่อน แล้วค่อยไปตะลุยเที่ยวกันในวันถัดไป

อมราหันไปหาเสื้อผ้าที่วางอยู่บนเตียง จากข้อมูลที่เพิ่งดูมา ตอนนี้ที่นั่นอุณหภูมิอยู่ที่ยี่สิบห้าองศา ก็ถือว่าชิลชิลมากสำหรับคนไทย แต่เพื่อเป็นการรอบคอบไว้ก่อน หญิงสาวเลยฉวยแจ็กเกตยีนติดมือไปด้วยหนึ่งตัว ก่อนจะพับเสื้อเชิ้ตพอดีตัวแบบที่ชอบกับกางเกงสามส่วนเนื้อผ้าสบายๆ ใส่กระเป๋าตามลงไป

“หนังสือเดินทางพร้อม เสื้อผ้าพร้อม เงินไปแลกที่สนามบิน วายฟายไปเช่าเอาที่สนามบิน...”

แต่ก่อนที่หญิงสาวจะเอ่ยขานไล่รายการสิ่งของต่อไป โทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้นมาขัดจังหวะเสียก่อน

“ฮัลโล่ววว ว่าอย่างไรจ๊ะเพื่อนสาว นี่เราเตรียมของพร้อมแล้ว...นะ” ปากบางอ้าค้างอยู่แบบนั้นเมื่อได้ยินสิ่งที่อีกฝ่ายพูดโต้ตอบกลับมา ใบหน้าน่ารักและสดใสอย่างคนสุขภาพดีเริ่มซีดลง และซีดลง “เป้จะบอกว่า...ไอ้ตัวเล็กเข้าโรงพยาบาล เป้ไปกับเราไม่ได้อย่างนั้นหรือ” อมราทวนสิ่งที่ได้ยินเสียงดัง

เหมือนสวรรค์ที่เห็นรำไรอยู่ตรงหน้าพังครืนลงมาแตกสลาย ราวกับกระจกกระจายตกไม่มีชิ้นดีอยู่ตรงหน้า

ตั๋วเครื่องบินก็จองแล้ว โรงแรมก็จ่ายเงินแล้ว...

 

“เราขอโทษจริงๆ นะหน่อย”

“อืม เราเข้าใจ” อมราฝืนยิ้ม แต่จะให้เธอทิ้งทุกอย่างที่เตรียมการไว้แล้วคงทำไม่ได้ เงินที่จ่ายไปแล้วไม่ใช่บาทสองบาทเสียหน่อย แถมยังไม่มีสามีมารองรับแบบเป้อีกถึงจะได้ไม่เสียดายเงินหมื่นที่จ่ายไปแล้ว “มันสุดวิสัยจริงๆ เราไม่โกรธเป้หรอก แล้วหมอว่าอย่างไรบ้างล่ะ”

หญิงสาวลากกระเป๋าเดินทางขนาดสิบหกนิ้วไปตามทาง

“หมอกลัวว่าจะเป็นไข้เลือดออก เลยต้องนอนดูอาการอยู่ที่โรงพยาบาล ไข้ไม่ลดมาสองวันแล้ว”

“เป้ไม่ต้องกังวลเลยนะ เราไปคนเดียวได้ แค่นี้จิ๊บๆ อีกอย่างเราก็เตรียมการทุกอย่างเอาไว้หมดแล้ว”

เป้ทำหน้าลำบากใจ “เลื่อนไปก่อนเถอะ เราอดห่วงหน่อยไม่ได้ ไว้ตัวเล็กหายแล้วเราค่อยไปด้วยกัน”

“เฮ้ย เราไม่ใช่เด็กเล็กๆ นะ แค่นี้จิ๊บจ๊อยมาก ลาว พม่าไปมาเป็นสิบหน สิงคโปร์ใกล้ๆ แค่นี้เอง เป้อย่าห่วงเราเลย ไปดูแลลูกเถอะ อีกอย่าง...จริงๆ การไปเที่ยวหนนี้มันก็ไม่เกี่ยวกับเป้เสียหน่อย เราอยากไปเอง เป้เสียอีกใจดีอาสาไปเป็นเพื่อนเรา”

“หน่อย...”

เป้ง้องอนทั้งน้ำเสียงและหน้าตา แต่อมราจะไม่แสดงความอ่อนแอหรือความกังวลใจออกไปให้อีกฝ่ายไม่สบายใจแน่ๆ

“เราต้องไปเช็กอินแล้ว เดี๋ยวไม่ทัน เป้กลับไปเถอะ”

“หน่อย...”

“เราไปได้จริงๆ แล้วจะถ่ายรูปส่งไปให้ดูในกลุ่มไลน์นะ รับรองพวกตัวเองต้องอิจฉาเราแน่ๆ”

“หน่อย...” เป้ได้แต่ร้องเรียกเพื่อนรักอย่างไม่สบายใจ รู้สึกผิดเต็มหัวใจที่ผิดสัญญาทั้งๆ ที่ตกลงกับเพื่อนไว้แล้ว

“ไปละๆ”

หญิงสาวตบลงไปที่ต้นแขนของเพื่อนรักเบาๆ ก่อนจะลากกระเป๋าเข้าไปยังส่วนที่จัดไว้สำหรับการเช็กอิน แม้จะไม่รู้อะไรเลยแต่ก็ทำตามคนที่อยู่เบื้องหน้าไป...ก็ไม่ได้ยากเย็นอะไรเลยสักนิด อมราหันหลังไปส่งยิ้มให้เป้อีกหน พร้อมกับโบกมือไล่ให้เพื่อนสาวกลับไปได้แล้ว ก่อนจะเดินไปต่อคิวเคาน์เตอร์ที่ขึ้นภาพสายการบินและจุดหมายที่เธอซื้อตั๋วเอาไว้

ยากตรงไหน ไม่เห็นยากเลย สบายๆ

แถมคนที่เข้าแถวเดียวกับเธอก็น่าจะเป็นคนไทยทั้งนั้น หญิงสาวยักไหล่เบาๆ ไม่ได้วิตกกังวลใดๆ

ทุกอย่างดูราบรื่นเรียบร้อยดี แม้แต่ขั้นตอนการตรวจสัมภาระที่จะพกพาขึ้นเครื่องไป หญิงสาวมองนาฬิกาข้อมือ อีกตั้งชั่วโมงกว่าจะถึงเวลาขึ้นเครื่อง ระหว่างนี้อมราก็มองหาร้านกาแฟทันที

ตรงนั้นไง...หญิงสาวยิ้ม

            “รับอะไรดีคะ”

พนักงานสาวหน้าตายิ้มแย้มเอ่ยถามทันทีที่เห็นหน้าลูกค้า

“ขอคาปูฯ เย็น หวานน้อยค่ะ แก้วใหญ่เลยนะคะ”

อมราตอบกลับไปพร้อมกับรอยยิ้มที่มักจะหยิบยื่นให้คนรอบข้างเสมอๆ ก่อนที่คิ้วได้รูปเรียงตัวสวยจะขมวดเข้าหากันเมื่อได้กลิ่นน้ำหอมผู้ชายที่เธอชื่นชอบเป็นพิเศษ

Bvlgari Extreme Pour Homme น้ำหอมชนิดเดียวกันกับที่ชาญใช้ ขนาดกลิ่นของเมล็ดกาแฟคั่วที่หอมกรุ่นอบอวลในร้านยังกลบไม่อยู่...หญิงสาวทำจมูกฟุดฟิด อยากจะมองหา แต่กาแฟของเธอกำลังถูกผสมอยู่เบื้องหน้า และเธอก็ต้องหยิบธนบัตรขึ้นมาชำระค่ากาแฟตอนนี้

เงินบาทไม่มี! เธอแลกธนบัตรทั้งหมดที่มีติดกระเป๋าไปจนหมด ตอนนี้เหลือธนบัตรไทยติดกระเป๋าอยู่เพียงยี่สิบบาท อมรายิ้มแห้งๆ ขณะที่เปิดกระเป๋ามาพลิกซ้ายพลิกขวา สงสัยว่างานนี้ต้องจ่ายเป็นเหรียญทั้งหมด เชื่อเถอะว่าพนักงานคิดเงินจะต้องตวัดตามาที่เธอด้วยความไม่พอใจแน่นอน

“สักครู่นะคะ พอดีแลกเงินไปหมดแล้ว ขอจ่ายเป็นเหรียญนะคะ” หญิงสาวบอกอ้อมแอ้มเสียงเบาอย่างสำนึกผิด

“ได้ค่ะ” พนักงานทำสีหน้าหนักใจแกมเหนื่อยใจ ระหว่างที่ลูกค้าก้มหากระเป๋าใบเล็กใส่เหรียญในกระเป๋าเป้ใบใหญ่

อมราส่งยิ้มแห้งๆ ให้พนักงาน อับอายเกินจะกล่าว แถมตอนนี้กาแฟแก้วโตที่เธอสั่งก็ดูเหมือนจะปรุงเสร็จเรียบร้อยแล้ว ในขณะที่พนักงานส่งยิ้มข้ามหัวเธอไปยังลูกค้าที่ยืนรออยู่เบื้องหลัง

อมราเริ่มร้อนรนก้มหากระเป๋าใส่เหรียญไปด้วย มองแก้วกาแฟสลับกับหน้าของพนักงานขายไปด้วย

“สวัสดีค่ะ รับอะไรดีคะ”

พนักงานขายต้อนรับลูกค้าคนถัดไปในขณะที่อมรารู้ตัว ถอยออกไปยืนอยู่ด้านข้างแทบจะทันที นาทีนี้อยากจะเอากระเป๋าที่ถืออยู่ออกมาเทเมื่อเธอหาอะไรก็ไม่เจอสักอย่าง น่าขายหน้าเหลือเกิน

 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น