เกือบสองเดือนแล้วที่ชลิตามาอยู่บ้านริมน้ำกับพิมพ์พรและจุ๋นเจี๋ย สองสามีภรรยามอบความรักให้เธอเหมือนลูกคนหนึ่ง เลือกหาสิ่งดีๆ ให้ ทั้งเสื้อผ้า ข้าวของเครื่องใช้ รวมถึงใส่ใจเรื่องอาการแพ้อาหาร พาไปดูที่เรียนใหม่ซึ่งไม่ไกลบ้าน เป็นโรงเรียนเอกชนที่เยี่ยม ทั้งบรรยากาศของโรงเรียนและชื่อเสียง แม้ชลิตาจะชอบ แต่เมื่อได้ยินเรื่องค่าเรียน เธอก็ขอปฏิเสธ แค่สิ่งที่พวกเขาทำให้ทุกวันนี้ก็มากพอแล้ว เธอรู้ว่าสองสามีภรรยาไม่ได้ร่ำรวยมาจากไหน พวกเขาต้องไปทำงานเป็นคนใช้ที่ต่างบ้านต่างเมืองกว่าจะได้เงินมา แถมจุ๋นเจี๋ยก็ยังป่วย ต้องใช้เงินในการดูแลไม่น้อย
“หนูไม่ต้องห่วงเรื่องนั้นหรอกลูก พวกเราบอกแล้วว่าจะดูแลหนูให้ดี ให้สิ่งดีๆ กับหนู” พิมพ์พรบอก
“ช่าย อาเบลล์ แค่ ตั้งใจ เรียง กะ พอ” ชายชราในรถเข็นสนับสนุนภรรยา “จุ๋นเจี๋ยดูแลหนูร่าย...”
“ขอบคุณนะคะ เบลล์รู้ว่าจุ๋นเจี๋ยกับป้าพิมพ์หวังดี แต่เบลล์คงไม่สบายใจ ลุงกับป้าทำงานหนักมามาก ควรได้เก็บเงินไว้ใช้ยามแก่เฒ่า แค่ที่ให้เบลล์ก็มากพอแล้ว เบลล์เรียนโรงเรียนรัฐได้จริงๆ ค่ะ”
พิมพ์พรมองสบตาเด็กสาวก็รู้ว่าเธอเป็นห่วงเรื่องอะไร จึงได้บอกความจริงว่าที่ป้าและลุงอยู่อย่างสุขสบายทุกวันนี้ก็เพราะ 'นายน้อย' ส่งเสียค่าเลี้ยงดู ท่านเป็นเจ้าของโรงแรมในเครือ 'มิราเคิล โอเอซีส แกรนด์' เป็นคนที่รวยมาก แถมเป็นคนใจบุญชอบให้ทุนกับเด็กยากไร้ โดยเฉพาะคนที่ทำงานรับใช้ในคฤหาสน์มานานอย่างจุ๋นเจี๋ย ท่านยิ่งใส่ใจเป็นพิเศษ
“อั้ว ทำ อา หาง ให้ นาย น้อย เจี๊ย ตั้ง แต่ ทั่ง ยัง เหล็ก ทั่งเลย เมก กา อั้ว เป็ง พิ เสก” จุ๋นเจี๋ยพูดสนับสนุนภรรยาสำเนียงแบบคนจีนพูดไทยฟังค่อนข้างยาก แต่ในช่วงสองเดือนที่ผ่านมาชลิตาเริ่มจะชิน ฟังจับใจความได้บ้างแล้ว “ทั่ง ใจ ลี แต่ ม่าย ชอบ พุด เท่า ไหร่ แต่ กะ ใจ ลี มาก”
เด็กสาวเห็นแววตาจุ๋นเจี๋ยเต็มไปด้วยความรัก ความเลื่อมใสเวลาที่เอ่ยถึง ‘นายน้อย’
“บ้านนี้ไม่ใช่บ้านของป้ากับจุ๋นเจี๋ยหรอกนะ เป็นบ้านของนายน้อย ตอนที่จุ๋นเจี๋ยประสบอุบัติเหตุ ทำงานต่อไม่ได้ ป้าไปลาจะพาจุ๋นเจี๋ยกลับมาอยู่เมืองไทย ป้าก็ว่าจะไปหาซื้อที่แถวต่างจังหวัดปลูกบ้านหลังเล็กๆ อยู่กันสองตายาย แต่นายน้อยทราบเรื่องเข้า ท่านก็เลยให้มาอยู่ที่บ้านนี้ จะได้อยู่ใกล้หมอ แล้วท่านก็ยังส่งเสียค่าใช้จ่ายมาให้เสมอ บอกว่าจะดูแลเราสองตายายตลอดไป แล้วท่านกลัวพวกเราจะเหงา ยังอนุญาตให้เรารับหนูมาอยู่ด้วย ท่านจะส่งเสียให้เรียน เท่าที่หนูต้องการเลย เพราะงั้นหนูไม่ต้องห่วงเรื่องค่าใช้จ่ายหรอก”
“นายน้อยใจดีมากเลยนะคะ ป้ามีรูปมั้ยคะ เคยได้ถ่ายรูปท่านมั้ย เบลล์อยากเห็นท่านจัง”
“เราไม่มีของพวกนั้นหรอก ต่อให้ท่านใจดี แต่ยังไงเราก็เป็นแค่คนใช้ ไม่ใช่ว่าจะเข้าถึงตัวท่านได้ง่ายๆ นะ ต่อให้อยู่ในบ้าน ก็มีพวกบอดี้การ์ดตัวใหญ่ๆ เป็นสิบคอยกัน ในบ้านจะทำอะไรก็ต้องระวัง ใครจะไปไหน ก็ต้องรายงาน ขออนุญาตผู้ดูแล เพราะมีการวางระบบรักษาความปลอดภัย หนูเคยดูหนังพวกมาเฟีย เจ้าพ่อมั้ยลูก นั่นแหล่ะ คฤหาสน์ของนายน้อยเป็นแบบนั้นเลย”
“เบลล์นึกว่านั่นมีแค่ในหนังซะอีกค่ะ” ชลิตารู้สึกทึ่งกับสิ่งที่ป้าพิมพ์เล่า “งั้นนายน้อยกับเราก็เหมือนอยู่คนละโลกสินะคะ แต่เพราะผูกพันกับลุงจุ๋นเจี๋ย เราถึงเหมือนยังสัมผัสความใจดีท่านได้บ้าง”
พิมพ์พรพยักหน้า “จุ๋นเจี๋ยเองก็รักท่านมาก ถึงขนาดบอกว่าจะทำงานรับใช้นายน้อยไปจนตายเลย ถ้าไม่ประสบอุบัติเหตุเสียก่อน คงยังอยู่กับนายน้อยนั่นล่ะ”
จุ๋นเจี๋ยพยักหน้าสนับสนุนคำพูดของภรรยา คำบอกเล่าที่รู้มาทำให้ชลิตารู้สึกชื่นชมนายน้อยไปด้วย เธอมีภาพในหัวจากคำบอกเล่าของจุ๋นเจี๋ย ว่านายน้อยเป็นฝรั่งท่าทางใจดี อายุราวๆ สี่สิบหรือห้าสิบ รอบตัวนายน้อยมีบอดี้การ์ดล้อมหน้าล้อมหลัง เธอคงไม่มีวันจะเข้าถึงตัวได้ แต่จะมีอะไรที่เธอพอจะทำเพื่อตอบแทนความเมตตาของนายน้อยได้อีก หญิงสาวเริ่มคิด และหาข้อมูลเกี่ยวกับ มิราเคิลฯ แล้วเธอก็คิดได้
“เบลล์รู้แล้วล่ะค่ะ ว่าเบลล์จะเรียนอะไร เบลล์จะเรียนการโรงแรมค่ะ”
พิมพ์พรประหลาดใจที่อยู่ๆ เด็กสาวก็พูดขึ้นระหว่างรับประทานอาหาร
“เบลล์จะไปทำงานที่โรงแรมของนายน้อยไงล่ะคะ เบลล์พยายามหาข้อมูลในอินเตอร์เนตเกี่ยวกับโรงแรมที่นี่ ประหลาดใจมาก ไม่คิดว่าที่นี่จะเป็นโรงแรมควบกาสิโน มิน่าถึงต้องมีบอดี้การ์ดรักษาความปลอดภัยอย่างที่ป้าพิมพ์เคยเล่า แต่เห็นว่าหลังๆ มิราเคิลฯ มีโรงแรมที่ไม่มีกาสิโนด้วยนะคะ”
“เหรอจ๊ะ เรื่องนี้ป้ากับจุ๋นเจี๋ยไม่ค่อยรู้หรอก รู้แค่ว่าตระกูลรีฟส์ทำธุรกิจเกี่ยวกับโรงแรม มีคฤหาสน์อยู่หลายที่นะ แต่ที่ป้ากับจุ๋นเจี๋ยทำงาน เป็นบ้านใหญ่อยู่ที่ ลาสเวกัส ประเทศอเมริกา” ป้าพิมพ์บอก
“ส่วง อั้วเกยอยู่ที่มาเก๋า แล้วย้ายไปอยู่เวกั๊ก แล้วได้เจอกะอาปิมที่นั่ง...อั้ว ปู้ด ปาสา ฝรั่ง ไม่ ร่าย ปู้ด ทาย ร่าย มาก กว่า วังๆ กะ อยู่ แต่ ใน บ้าง”
“ใช่ ทำให้เราสองคนไม่ค่อยได้ไปไหน อยู่เมืองนอกเกือบครึ่งชีวิตก็จริง แต่ก็เป็นคนเรียนน้อย รู้น้อยกันทั้งคู่”
“แล้วเวลาคุยกับนายน้อย คุยภาษาอะไรกันคะ”
“นายน้อยท่านพูดไทยได้ จีนก็ได้” ป้าพิมพ์บอก “ท่านพูดได้หลายภาษานะ”
นั่นทำให้ชลิตาประหลาดใจ “มิน่า ถึงได้คุยกับจุ๋นเจี๋ยและป้าพิมพ์ได้ นี่เบลล์พยายามหาข้อมูลเกี่ยวกับนายน้อยนะคะ แต่ก็ไม่ค่อยมีข่าวเกี่ยวกับเจ้าของมิราเคิลฯ มาก รู้แค่ว่าเป็นของคนตระกูลรีฟส์”
“อย่าว่าแต่คนภายนอกจะรู้เรื่องท่านได้เลย คนในบ้านยังไม่ค่อยรู้เท่าไหร่เลย”
“ดูลึกลับนะคะ แต่ก็พอเข้าใจได้...”
“แล้วที่หนูบอกว่าจะเรียนการโรงแรมฯ ก็เพราะอยากทำงานที่มิราเคิลฯ เหรอจ๊ะ” ชลิตาตอบรับพร้อมรอยยิ้ม “หนูอยากไปทำงานที่ต่างประเทศเหรอ”
เธอส่ายหน้า “เบลล์ไม่ไปไหนหรอกค่ะ เบลล์จะอยู่กับป้าพิมพ์และลุงจุ๋นเจี๋ยที่นี่แหล่ะ นายน้อยให้รับเบลล์มาอยู่ที่นี่ก็เพื่อให้เบลล์ดูแลลุงกับป้า เบลล์ไม่ไปไหนหรอกค่ะ แต่ที่เบลล์บอกจะเรียนไว้ ก็เพราะว่ามีข่าวหนึ่งบอกว่า ผู้บริหารมิราเคิลฯ วางแผนจะร่วมทุนกับนักธุรกิจจีน แล้วมีเป้าหมายจะขยายสาขามาที่ไทยเราด้วยนะคะ”
พิมพ์พรกับจุ๋นเจี๋ยมองสบตากัน เห็นความพยายามของเด็กหญิง
“ลุงกับป้าเห็นว่าไงคะ เบลล์จะได้ตอบแทนบุญคุณของลุงกับป้าแล้วยังได้มีโอกาสเป็นส่วนเล็กๆ ที่จะได้ทำงานรับใช้นายน้อยด้วย”
“ลี แล้ว คง กะ ตัง ยู ไม่ มีวัง ตก อับ นะ อา เบลล์” จุ๋นเจี๋ยบอกอย่างชื่นชม
“ดีแล้วล่ะจ้ะ” พิมพ์พรมองอย่างเมตตา “ไว้ถ้านายน้อยหรือคนของท่านติดต่อมา ป้าจะบอกเรื่องนี้กับทางนั้น ส่วนหนูก็หาข้อมูลเกี่ยวกับสิ่งที่จะเรียนไว้นะ ดูว่าชอบและอยากทำจริงๆ มั้ย”
“ค่ะ...” เด็กสาวแววตาเป็นประกายมุ่งมั่น
ลาสเวกัส คลาร์กเคาน์ตี้ รัฐเนวาดา สหรัฐอเมริกา
บนถนนย่านกลางเมืองที่คลาคล่ำไปด้วยกาสิโนและโรงแรมแบบครบวงจรอันขึ้นชื่อของนครที่ไม่เคยหลับใหลแห่งนี้ โรลส์รอยซ์สุดหรูเลี้ยวเข้ามาจอดตรงทางเข้าด้านข้างอาคารสูงเสียดฟ้า ตามมาด้วยรถอารักขาติดฟิล์มดำอีกสองคันเข้ามาจอดเทียบ ไม่นานนักกลุ่มบอดี้การ์ดในชุดสูทดำเกือบสิบคนก้าวฉับๆ ออกมาจากตึก สัญลักษณ์บนที่หนีบเนคไทรูป ‘มังกรเหยียบเมฆ’ บ่งบอกว่าพวกเขาคือหน่วยรักษาความปลอดภัยของตึกสูงตระหง่านที่ชื่อ ‘มิราเคิล โอเอซีส แกรนด์’
“เชิญครับ...” ประตูรถโรลส์รอยซ์ถูกเปิดรอรับเจ้านาย ซึ่งเป็นชายหนุ่มตัวสูงผิวขาววัยยี่สิบกลางๆ บอดี้การ์ดส่วนหนึ่งยังคงยืนล้อมรอบรักษาความปลอดภัย อีกส่วนตรงไปขึ้นรถคันหน้า เพื่อพร้อมออกรถ
“หวัดดีเควิน” ยังไม่ทันที่ผู้เป็นนายจะได้ก้าวขึ้นรถ ใครคนหนึ่งก็โผล่หน้าออกมายิ้มทักทาย
การมาของอีกฝ่ายสร้างความประหลาดใจให้เควินไม่น้อย “ชาคริต?”
คนที่ถูกเรียกว่า ‘ชาคริต’ เป็นชายหนุ่มผิวขาวเหลือง ใบหน้าคมเข้ม “ฉันมารับนายไปสนามบิน คุณพ่อให้ฉันเป็นตัวแทนท่านไปดูงานที่ฮ่องกง”
“แล้วทำไมผมต้องไปด้วย” ถามเพราะงานในส่วนที่จะขยายสาขาใหม่ไม่เกี่ยวข้องกับความรับผิดชอบของเขา นิครับผิดชอบดูแลเอง โดยมีชาคริตเป็นมือขวา
“เป็นคำสั่งของคุณพ่อ” น้ำเสียงพูดพยายามเน้นย้ำประโยคสุดท้าย “หรือนายจะขัดคำสั่ง”
ไม่มีปฏิกิริยาทางกายหรือวาจาใดๆ ตอบกลับมาจากอีกฝ่ายนอกจากการก้าวขึ้นรถไปนั่งข้างๆ แต่นั่นก็คือการยอมรับคำสั่งในแบบของผู้ชายแววตาอวดดีอย่างเควิน ชาคริตเรียนรู้ได้จากประสบการณ์หลายปี ที่คอยมาเป็นพี่เลี้ยงให้ ‘เควิน รีฟส์’
ณ คฤหาสน์ตระกูลรีฟส์ เมื่อสิบกว่าปีก่อน...
วันนั้นชาคริตเพิ่งกลับมาจากโรงเรียน คนในบ้านมารวมตัวกันที่โถงใหญ่หน้าบ้าน ทุกคนดูตื่นเต้น ต่างพูดคุยกันเสียงดัง จับความได้ว่า ‘นายใหญ่’ กำลังจะกลับมาพร้อมกับพาใครสักคนมาด้วย
‘คุณชาคริตกลับมาแล้วเหรอครับ’ เทียนคงเห็นเขาก่อนเป็นคนแรก รีบตรงเข้ามาหา ‘เป็นไงบ้างครับวันนี้ หิวมั้ยครับ เดี๋ยวผมจะให้คนเตรียมอาหารว่างมาให้’
‘คุณพ่อจะพาใครมาด้วยเหรอเทียนคง’ ชาคริตไม่สนใจสิ่งที่อีกฝ่ายบอก เพราะจดจ่ออยู่แต่กับสิ่งที่คนงานพูด เขารู้สึกใจไม่ดี มันเหมือนมีลางบางอย่างบอกเหตุ ทั้งที่เมื่อก่อนเวลาที่นายต้องเดินทางไปต่างประเทศแล้วกลับมาเขาจะดีใจมาก แต่คราวนี้ใจกับหวั่นๆ พิกล ‘ว่าไง ฉันถามว่าคุณพ่อพาใครมาด้วย’
‘เรื่องนั้นผมว่าไว้ให้นายบอก...’
‘หูหนวกรึไง!’ เสียงตวาดดัง เรียกสายตาทุกคนในบริเวณนั้นให้หันมามอง ‘ฉันถามว่าคุณพ่อพาใครมาด้วย’
รอยยิ้มบนใบหน้าของเทียนคงเลือนหายไป แต่เขายังคงแสดงท่าทางนอบน้อมให้กับเด็กหนุ่มที่จ้องหน้าเขาด้วยความโกรธ เร่งรัดจะเอาคำตอบที่ต้องการ แต่ยังไม่ทันเขาจะได้พูดอะไร ‘นายใหญ่’ ที่ทุกคนรอก็มาถึง ชาคริตรีบวิ่งเข้าไปรับ แต่แล้วเขาก็ต้องชะงักไป เมื่อเห็นเด็กชายวัยสิบขวบที่เดินตามนายใหญ่เข้ามา
‘ว่าไงไอ้หนู’
ชาคริตภูมิใจนักว่า พ่อบุญธรรมอาจร้ายใส่ทุกคน แต่จะใจดีกับเขาที่สุด นั่นคือความจริง ที่ทำให้เขารู้สึกเป็นคนสำคัญ คงเพราะเขาเป็นเด็กคนเดียวในบ้าน แต่ตอนนี้อาจไม่ใช่...
‘สวัสดีครับคุณพ่อ’ ชาคริตเน้นย้ำคำว่า ‘คุณพ่อ’ เพราะอยากแสดงความเป็นเจ้าของในตัวนายใหญ่ของบ้าน นั่นคือสิ่งที่เขาภูมิใจเสมอมา เขาคือลูกบุญธรรมของนายใหญ่ตระกูลรีฟส์ เขาคือคนเดียวกับผู้ชายที่ผู้ทรงอำนาจคนนี้ยอมให้เรียกพ่อ ‘ผมไม่ทราบมาก่อนเลยว่าคุณพ่อจะกลับมาวันนี้ ไม่งั้นผมคงจะรอต้อนรับ ว่าแต่คุณพ่อพาใครมาด้วยครับ’
‘นี่คือเควิน’ นิคบอกพลางโอบไหล่เด็กคนนั้น สีหน้ามีรอยยิ้มภูมิใจ ซึ่งเป็นแววตาที่ชาคริตรวมถึงคนในคฤหาสน์ไม่ได้เห็นบ่อยนัก ‘เขาเป็นลูกชายคนเดียวของฉัน นับจากวันนี้เควินคือนายน้อยของตระกูลรีฟส์ ทุกคนในบ้านจงให้เกียรติลูกชายของฉัน อย่างที่เคยให้กับฉัน...’
คำพูดนั้นแม้จะบอกกับทุกคนในบ้าน แต่ชาคริตกลับรู้สึกว่าตัวเองถูกตบหน้าอย่างแรง จนเหมือนหูอื้อไปชั่วขณะ ทั้งที่มองเห็นว่านิคพูดอะไรต่อจากนั้นอีกมากมาย แต่เขากลับไม่ได้ยิน ร่างกายเหมือนเบาหวิว หัวใจวูบคล้ายถูกผลักตกจากที่สูง
‘ชาคริต...ได้ยินที่ฉันบอกมั้ย’
‘เอ่อ...เมื่อกี้คุณพ่อพูดอะไรนะครับ’
‘ฉันบอกว่าฝากให้ช่วยสอนอะไรๆ กับเควินด้วย...ฉันมีลูกชายสองคน ลูกชายคนโตเก่งแล้ว ก็อยากให้คนเล็กได้เดินตามรอยพี่ชายบ้าง เอ็นดูน้องมันหน่อยก็แล้วกัน’
‘ครับ ผมจะเป็นพี่ชายที่ดี ยินดีต้อนรับนะเควิน’
‘ขอบคุณครับ...พี่’
“พี่..ชาคริต” เสียงเรียกที่ดังอยู่ข้างตัว ดึงชาคริตออกมาจากภวังค์ จึงเพิ่งรู้ตัวว่าตั้งแต่เควินขึ้นมาบนรถ เขาก็เอาแต่เงียบไป เพราะมัวแต่คิดถึงเรื่องอดีต “หน้าผมมีอะไรติดอยู่เหรอ ถึงได้เอาแต่จ้อง”
“เปล่า ฉันมีเรื่องต้องคิดนิดหน่อย เมื่อกี้นายว่าอะไรนะ”
“พักผ่อนบ้างนะ อย่าโหมงานให้หนักนัก...ผมถามว่าพี่กลับจากดูไบตั้งแต่เมื่อไหร่”
“เมื่อวาน มาถึงคุณพ่อก็เรียกฉันไปพบทันที ไปถึงเห็นท่านกำลังอาละวาดใหญ่ เทียนคงบอกว่า ท่านหงุดหงิดมาหลายวันแล้ว คงเพราะฉันไม่อยู่ มีแต่คนทำงานไม่ได้ดั่งใจ...เอ่อ ขอโทษ พี่ไม่ได้ตั้งใจจะทำให้นายรู้สึกไม่ดี พี่แค่จะบอกว่า นายควรเข้าหาคุณพ่อบ้าง”
“ก็ดีแล้วนี่ครับที่พี่กลับมา” เควินไม่ได้ประชด “มีพี่อยู่ ผู้ชายคนนั้นจะได้ไม่ต้องฟาดงวงฟาดงาใส่ใคร โดยเฉพาะกับผม”
นานเท่าไหร่แล้วที่ชาคริตไม่เคยได้ยินเควินเรียกผู้ชายที่เขาภูมิใจว่า ‘พ่อ’ ถ้าไม่เรียก ‘นิค’ ห้วนๆ ก็จะใช้สรรพนามอื่นแทน สรรพนามทำนองดูถูก รังเกียจ ไม่ให้ความเคารพยำเกรง ทั้งที่ความเป็นจริงตัวเควินเองต่างหากที่เกรงกลัวและรู้ซึ้งถึงอำนาจของนิคมากกว่าคนอื่น
“โกรธอะไรคุณพ่อ...ทะเลาะกันอีกแล้วใช่มั้ย” ไม่น่าจะถาม เพราะสองพ่อลูกนี้เจอหน้ากันทีไร ไม่เคยพูดกันดีๆ สักครั้ง ในสายตาของชาคริต คนที่ทำไม่ถูกคงเป็นน้องชายคนนี้ เพราะอย่างไรเขาก็ยังเชื่อว่า คนเป็นเด็ก ไม่ควรแข็งกร้าวใส่ผู้ใหญ่ โดยเฉพาะกับคนที่เป็นบิดา “นายก็ยังเหมือนเดิม ไม่เคยเห็นค่าสิ่งที่ตัวเองมี...”
ชาคริตรู้เรื่องความบาดหมางสองพ่อลูกตระกูลรีฟส์ไม่น้อย แต่ไม่รู้สาเหตุหลักจริงๆ ว่าคืออะไร รู้แค่ว่าเมื่อตอนเควินอายุสิบห้า แม่ของเขาที่นอนป่วยเป็นเจ้าหญิงนิทราจากไป หลังงานศพไม่นาน เควินหนีออกจากบ้าน หายไปพักใหญ่ กลับมาอีกทีสถานการณ์ระหว่างพ่อลูกที่เลวร้ายอยู่เป็นทุนเดิมแล้วยิ่งร้ายไปกันใหญ่ นิคยิ่งหนักมือกับเควินมากขึ้น เควินเองก็ไม่เคยกลับไปเรียกนิคว่าพ่ออีกเลย
“นายไม่รู้จริงๆ หรือเควิน ว่าตัวนายโชคดีแค่ไหนที่ได้เกิดเป็นลูกคุณพ่อ” นั่นคือสิ่งที่ชาคริตพยายามบอกน้องชายเสมอเมื่อมีโอกาส “นายมีหลายๆ สิ่งที่คนทั้งโลกต้องอิจฉานาย”
“ถ้าเลือกได้ ผมก็อยากเป็นคนโชคร้ายอย่างพี่มากกว่า” เควินแย้งอย่างไม่อ้อมค้อม “พี่ชอบพูดว่าผมโชคดี แต่พี่ไม่เคยรู้หรอกว่าผมต้องสูญเสียอะไรไปบ้าง กับการต้องเป็นลูกชายของผู้ชายคนนั้น”
“แล้วอะไรล่ะที่นายสูญเสีย บอกมาสิ ฉันจะได้รู้ ทุกวันนี้ฉันเห็นแค่สิ่งที่คุณพ่อพยายามสร้างให้นาย แต่นายกลับทำท่าเหมือนรังเกียจมัน นายคิดอะไรอยู่ นายแค้นอะไรคุณพ่อ ถ้าเกลียดท่านขนาดนั้น นายกลับมาทำไม...อุตส่าห์หนีไปได้แล้ว นายกลับมาอีกทำไม วันนั้นนายเดินตามคุณพ่อกลับมาบ้าน ท่านไม่ได้มัดมือนาย ไม่ได้ล่ามโซ่นาย ไม่ได้ขังนายเลยนะเควิน”
หลังคำถามนั้นบรรยากาศในรถเงียบไปครู่ใหญ่ ชาคริตยังคงรอฟัง แต่กลับไม่มีคำตอบใดๆ คืนมา...
“ว่าไงเควิน มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ระหว่างนายกับคุณพ่อ...”
เควินรู้ว่าป่วยการที่จะพูดถึงความเลวที่นิคทำ โดยเฉพาะกับชาคริตซึ่งเทิดทูนผู้ชายคนนั้นยิ่งกว่าอะไร ชาคริตมองเห็นนิคเป็นพระเจ้า เป็นความโชคดีที่ได้เป็นลูกชายสืบสายเลือดของ ‘นิค รีฟส์’ มหาเศรษฐีเรืองอำนาจที่ใครๆ ก็อยากเป็นทายาท ยกเว้นก็แค่ลูกชายคนเดียวที่เกลียดทุกอย่างที่อยู่ในตัวผู้ชายคนนั้น รวมถึงเกลียดตัวเอง เพราะเลือดครึ่งหนึ่งในตัวเขาดันเป็นของผู้ชายคนนั้นด้วย
ทั้งที่อยากตายให้พ้นผู้ชายอย่างนิค แต่เพราะเขายังมีหนี้ที่ต้องชดใช้ หนี้ที่เกิดขึ้นจากความไม่ตั้งใจ แต่สุดท้ายความจริงก็ยังคงไม่เปลี่ยน เขายังคงเป็นคนที่พรากชีวิตทุกคนในครอบครัวไปจากเด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่เป็นฝ่ายยื่นมือให้เขา
‘อะหนูให้ สตอเบอรี่สมูทตี้ อร่อยนะคะ... กินสิคะ ถ้าไม่พอเอาใหม่ได้นะ หนูจะให้พี่ชรินทร์ซื้อให้ ว่าแต่พี่มารอใครเหรอคะ หนูเห็นพี่มานั่งอยู่ตรงนี้ตั้งแต่เมื่อเช้า หรือว่าพี่พักที่นี่คะ’
เขายังจำรอยยิ้มและน้ำใจที่เธอมอบให้ได้ เช่นเดียวกับที่จำเสียงกรีดร้องอย่างเจ็บปวดของเธอตอนที่เห็นภาพครอบครัวถูกฆ่าได้ไม่เคยลืม แม้เวลาจะผ่านมานาน แต่ภาพเหล่านั้นยังคงชัดเจนเหมือนเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อตอนดึกวันวาน...วันที่ฝนตกหนัก วันที่ผู้คนเฉลิมฉลองขอบคุณพระเจ้า แต่เด็กผู้หญิงคนหนึ่งกำลังกรีดร้องหวาดกลัว
‘อย่านะ...พี่ชายอย่านะคะ อย่าทำพ่อแม่เบลล์ อย่าทำพี่ชรินทร์นะ เบลล์ขอ...’
คำอ้อนวอนที่มาพร้อมกับมือเล็กๆ ที่เคยยื่นความอบอุ่นให้ได้ยกขึ้นประนม ดวงตาคลอหยาดน้ำตาจับจ้องมองเขาไม่วาง ริมฝีปากบางนั้นสั่นริกด้วยความกลัว เขาอยากหยุดทุกอย่างไว้ อยากทำตามอย่างที่เด็กหญิงต้องการ ทว่าเขาเลือกเองไม่ได้
‘...กรี๊ด--ดดด’
เสียงกรีดร้องจากอดีตยังดึงเควินไว้กับความรู้สึกผิด แม้เขาจะมองออกไปนอกตัวรถ เห็นแสงสีงดงามบนท้องถนนรวมถึงผู้คนของเมืองที่ไม่เคยหลับใหล แต่ภาพที่สะท้อนในหัวเขากลับยังคงเป็นอดีตที่เจ็บปวดเศร้าสลด
“เควิน นายฟังอยู่มั้ย!” เจ้าของชื่อยังคงไม่ตอบรับคำเรียก เพราะรู้สึกเบื่อหน่ายกับคำเหน็บแนมของพี่ชาย บ่งบอกชัดเจนว่าถ้าจะคุยเรื่องนี้เขาจะไม่คุยด้วย ถึงตอนนี้ชาคริตจึงจำต้องเปลี่ยนเรื่อง “หลังเสร็จงานที่ฮ่องกง นายจะกลับเมืองไทยกับฉันมั้ย ฉันว่าจะเชิญคุณหนูหยางไปเป็นแขก”
คำถามที่ดูจะมีความสำคัญ ดึงเควินกลับมาสู่การสนทนาได้แล้ว แล้วคุณหนูหยางที่ถูกเอ่ยถึงเควินก็รู้จัก ชายหนุ่มรู้ว่าพี่ชายบุญธรรมของเขาน่าจะชอบพอผู้หญิงคนนี้ ซึ่งก็ไม่แปลกเพราะ ‘เหมยฮัว หยาง’ เป็นคนสวย มั่นใจ ทำงานเก่ง เธอเกิดในครอบครัวเศรษฐีฮ่องกง ซึ่งพ่อของเหมยฮัวเป็นเพื่อนสนิทของนิค แล้วนั่นก็ดูจะเป็นเหตุผลให้ชาคริตซึ่งรับผิดชอบงานที่มาเก๊าและฮ่องกงได้สนิทกับเหมยฮัว
“ฉันว่าจะแวะไปเซอร์ไพร์สแม่ที่เมืองไทย แล้วแม่คงดีใจถ้าได้เจอนาย”
บทสนทนาดูจะน่าเบื่ออีกครั้งสำหรับเควิน เขาเบือนหน้ากลับไปนอกถนนเหมือนเดิม
“งานนี้คุณพ่อไม่ได้ไปด้วยหรอกนะ ท่านติดนัดคุยธุรกิจสำคัญ ไม่มีเวลามากวนใจนายหรอก” ชาคริตคิดว่านั่นเป็นเหตุผลให้เควินปฏิเสธ “ไว้ฉันจะบอกคุณพ่อให้ ถ้าฉันขอ ท่านคงอนุญาตไม่ยาก” ดูเหมือนชาคริตจะยังไม่ละความพยายาม หาเหตุผลมาอ้าง “นะกลับพร้อมกัน ฉันจะให้คุณแม่จัดปาร์ตี้ไว้ต้อนรับนาย”
“ไม่จำเป็นหรอก” เควินพูดทั้งที่สายตายังจับที่แสงไฟริมทาง “ผมไม่ชอบเป็นตุ๊กตามังกรใช้ประดับบารมีให้ใคร”
“นายหมายความว่ายังไง”
น้ำเสียงถามห้วนขึ้นอย่างตกใจเรียกสายตาเควินให้หันมาสบตา “คนที่พี่ตั้งใจพาไปเซอร์ไพรส์ในงานวันเกิดแม่พี่คือนิคไม่ใช่ผม” คำพูดตรงๆ แบบไม่รักษาน้ำใจใครคืออีกหนึ่งตัวตนของเควิน “ผมไม่ใช่ตัวแถมของใคร”
ชาคริตนิ่งไปหลังคำพูดตรงๆ นั้น ทีแรกเขาคิดจะแย้ง แต่สุดท้ายก็เลือกที่จะเบือนหน้าออกไปนอกตัวรถ เพราะคิดว่าพูดไปก็เท่านั้น จบเรื่องแค่นี้ดีที่สุดแล้ว แต่เหมือนความอยากรู้ของเขายังไม่จบ ชายหนุ่มบอกกับตัวเองว่าสักวันจะต้องรู้ให้ได้ว่าเกิดอะไรขึ้นระหว่างพ่อลูกตระกูลรีฟส์ อะไรทำให้คนอย่างเควินยอมให้พ่อบงการ ต้องมีบางอย่างที่ไม่ใช่ความกลัว เพราะคนอย่างเควินไม่กลัวตาย
ใครคือหัวใจดวงใหม่ของนายกันเควิน ใครที่นายยกให้มาแทนที่คุณ ‘เปมิกา’
แล้วใครคนนั้นสินะ ที่ทำให้นายต้องทำตามคำสั่งคุณพ่อทุกอย่าง
ฉันจะต้องรู้ให้ได้ว่าคนๆ นั้นเป็นใคร...
ความคิดเห็น |
---|