2

ปมในใจ



เก้า

ปมในใจ

 

อิ่นกวงยืนเอามือไพล่หลังเดินผ่านใต้ระเบียง คิ้วขมวดเล็กน้อยคลับคล้ายกำลังครุ่นคิดบางประการ

หลิ่วสุยเฟิงเดินตรงเข้ามา เมื่อเห็นอิ่นกวงก็รีบหลีกทางไปยืนด้านข้าง ประสานมือคำนับ “ผู้อาวุโสอิ่นกวง”

อิ่นกวงยืนมั่น หันหน้าไปมอง เห็นเป็นหลิ่วสุยเฟิงก็อดยิ้มมิได้ กวักมือเรียกพลางร้องทัก “เหยากวงเด็กคนนั้นกำลังนำฝึกไท่สุ้ย นิสัยใจคอนางเจ้าเองก็รู้ดี เทียบกับเหยากวง เจ้านับว่าอาวุโสกว่า ช่วยนางนำฝึกไท่สุ้ย ไม่เช่นนั้น...” ว่าจบก็ส่ายหน้ายิ้มอย่างขมขื่น “ข้าเกรงว่าไท่สุ้ยจะไม่มีวันได้ฝึกสำเร็จ”

หลิ่วสุยเฟิงก็ยิ้มรับ “ขอรับ ผู้อาวุโสวางใจ เรื่องนี้ให้ข้ารับผิดชอบเอง”

อิ่นกวงพยักหน้ายิ้มมุมปาก “อือ เจ้าปฏิบัติการ ข้าวางใจ!” พูดจบก็โบกมือให้หลิ่วสุยเฟิงแล้วเดินจากไป

สองตาหลิ่วสุยเฟิงกลอกไปมา ใบหน้าผุดรอยยิ้ม โบกพัดจีบเบาๆ เดินเอื่อยเฉื่อยไปทางอุทยาน

 

กลางอุทยาน ไท่สุ้ยกำลังมุ่งมั่นตั้งใจฝึกวรยุทธ์ บางครั้งกำหมัด บางครั้งแบมือ ร่างกายประดุจมังกรทะยาน หมุนม้วนเศษหญ้าเศษใบไม้ที่ร่วงหล่นลอยวนตลบ

หลิ่วสุยเฟิงในชุดลำลอง หล่อเหลาสง่างาม ใบหน้าแขวนรอยยิ้มลุ่มลึกทรงภูมิดั่งหยก สาวเท้าเชื่องช้าจากทางด้านหลังไท่สุ้ยเข้ามา ถึงที่ใกล้ๆ ตรงหน้าอย่างไม่รีบร้อน ชมดูไปพลางรอคอยไปพลาง

หลังจากนั้นไท่สุ้ยก็หยุดท่าร่างฉับพลัน ขมวดคิ้วเล็กน้อย มองสองมือของตนเหมือนกำลังตรึกตรองบางอย่าง

หลิ่วสุยเฟิงยิ้มก่อนยื่นแขนใช้พัดเคาะบ่าไท่สุ้ยแล้วถาม “กำลังยุ่งหรือ”

ไท่สุ้ยสะดุ้ง ทั้งร่างแข็งเกร็งก่อนผ่อนคลายลงทันทีที่รู้ว่าเป็นหลิ่วสุยเฟิง หยุดความเคลื่อนไหวในมือ มองประเมินหลิ่วสุยเฟิงขึ้นลงหลายครั้ง พลางถามอย่างสงสัย “ท่านแต่งกายเสียโอ่อ่าหรูหรา คิดจะไปที่ใด”

หลิ่วสุยเฟิงคลี่พัด เอ่ยอย่างเอ้อระเหยลอยชาย “วันนี้เจ้าไม่ต้องฝึกกับเหยากวง ข้าจะพาเจ้าไปสถานที่ประเสริฐ”

“ไม่ ข้าจะฝึกวรยุทธ์” ไท่สุ้ยส่ายหน้า หันกลับไปเริ่มฝึกหมัดต่อ

หลิ่วสุยเฟิงยิ้มในหน้า เดินวนมองประเมินไท่สุ้ยขึ้นลงก่อนพยักหน้า “ระยะนี้เจ้าพัฒนาขึ้น”

“นั่นแน่นอน ข้าไม่อยากถูกเหยากวงกดหัว ปล่อยนางใช้อำนาจบาตรใหญ่ตามอำเภอใจไปตลอด” สีหน้าและท่าทางไท่สุ้ยมุ่งมั่น สองมือกำหมัดสลับแบมือไม่หยุด ไม่สนใจหลิ่วสุยเฟิงอีก

หลิ่วสุยเฟิงไม่โกรธ คลำพัดจีบในมือเล่น เอ่ยยิ้มๆ “เช่นนั้นเจ้ายิ่งต้องไปกับข้า” พูดจบเขาก็ประชิดเข้าไป แสร้งทำเสียงกระซิบกระซาบลึกลับ “ขอเพียงผ่านการฝึกฝนจากสถานที่นั้น ถือว่าเจ้าฝึกสำเร็จล่วงหน้า”

ไท่สุ้ยได้ฟังก็บังเกิดความสนใจดังคาด เก็บหมัดหมุนตัวมามองหลิ่วสุยเฟิงด้วยสีหน้าฉงนฉงาย “สถานที่ใดกัน”

หลิ่วสุยเฟิงยิ้มลึกลับ เอ่ยสั้นๆ ถนอมวจีราวกับทองคำ “หงซิ่วเจา (กวักพธู)”

“หงซิ่วเจา?” ไท่สุ้ยรู้สึกไม่ค่อยสบายใจก่อนพึมพำ “ชื่อนี้ฟังแล้วแปลกชอบกล หรือเป็นสถานที่คลับคล้ายค่ายสิบแปดมนุษย์ทองแดง”

หลิ่วสุยเฟิงกลั้นยิ้มพลางพยักหน้า “ร้ายกาจกว่านั้น...”

พอไท่สุ้ยได้ฟัง สองตาก็เบิกโพลงเปล่งประกาย พยักหน้าต่อเนื่อง “ข้าไป ข้าไป!”

หลิ่วสุยเฟิงยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ พยักพเยิดไปทางไท่สุ้ย ก่อนหมุนตัวเดินออกไปภายนอก

 

ในที่ไม่ไกลกันนัก เหยากวงกำลังเดินเล่นในสวนบุปผา วันนี้บิดาส่งคนมาเชิญตัวนางกลับไปอีก ช่างน่ารำคาญนัก เหยากวงยิ้มเย็นชาในใจ รู้แน่แก่ใจว่าบิดาจะทำให้นางรำคาญใจ ถึงขั้นโมโหเดือดดาลบุกไปถึงประตู...

เช่นนี้ก็ถือว่ากลับบ้านแล้ว

“ฮึ! ข้าไม่หลงกลหรอก!” เหยากวงกระหยิ่มยิ้มย่อง แต่อีกประเดี๋ยวก็ทอดถอนใจ ออกจะหงุดหงิด ถึงจะปากแข็งอย่างไร แต่ในใจนางออกจะคิดถึงบ้านอยู่บ้าง คิดถึงมารดา คิดถึงยายา คิดถึงเจ้าจิ๋ว เจ้าสามแต้ม...

ขณะกำลังคิดฟุ้งซ่าน เมื่อเงยหน้าขึ้นก็เห็นหลิ่วสุยเฟิงและไท่สุ้ยเดินเคียงมาด้วยกัน

เหยากวงอ้าปาก เดิมคิดจะเข้าไปทักทาย กลับได้ยินไท่สุ้ยเอ่ยกับหลิ่วสุยเฟิงด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นยินดีว่า “ต้าหลิ่ว เมื่อถึงหงซิ่วเจา ท่านต้องช่วยชี้แนะข้าให้ดีด้วย”

เหยากวงได้ยินวาจานี้ สีหน้าพลันเปลี่ยนแปลง รีบผลุบไปหลบหลังภูเขาจำลอง

สองคนนั้นเดินเข้าใกล้ ก็ได้ยินเสียงหลิ่วสุยเฟิงหัวเราะร่ารับประกันกับไท่สุ้ย “เจ้าวางใจ ถึงตรงนั้นแล้ว ข้ารับรองจะถ่ายทอดประสบการณ์ของข้าให้เจ้า”

ไท่สุ้ยกล่าวอย่างปลื้มอกปลื้มใจ “เช่นนั้นข้าขอบคุณท่านก่อนแล้ว”

ทั้งสองคนสนทนายิ้มหัวเดินจากไปไกล เหยากวงเดินออกมาจากด้านหลังภูเขาจำลอง มองเห็นเงาหลังของทั้งคู่ เอ่ยกระฟัดกระเฟียด “หงซิ่วเจา? เพิ่งมาถึงเมืองหลวงไม่กี่วันก็กล้าไปสถานที่เยี่ยงนั้น ช่างไม่รู้จักเรียนรู้ในเรื่องดี”

เหยากวงคิดตามไป แต่คิดแล้วก็ชะงักฝีเท้า ขมวดคิ้วพึมพำ “ไม่ได้ คราวก่อนข้าสั่งสอนเขา ถูกใต้เท้าผู้บังคับการตำหนิว่าใช้อำนาจหน้าที่พร่ำเพรื่อ บ่นข้าเป็นกระบุงโกย คราวนี้ไม่จับให้ได้คาหนังคาเขามิได้”

ตรึกตรองอยู่เป็นนาน พลันสองตานางสว่างวาบ ตบมืออย่างดีอกดีใจ “จริงสิ ให้พี่ไคหยางไปช่วยกันจับคน ถึงตอนนั้นมีพยานบุคคล คอยดูเถอะ ข้าจะเปิดโปงความปลิ้นปล้อนหลอกลวงของเขา!”

หลังตัดสินใจแล้ว เหยากวงก็รีบหมุนตัววิ่งไปทางที่พักของไคหยาง เมื่อมาถึงหน้าประตูห้องของไคหยางก็พบว่าประตูลงกลอน เหยากวงผิดหวังยิ่งนัก คิดแล้วก็เดินออกไปด้านนอกอย่างกระฟัดกระเฟียด “ช่างเถอะ ถึงแม้พี่ไคหยางจะไม่อยู่ ข้าจับเขาเองก็ได้”

 

เมืองหลวงคึกคักรุ่งเรือง แหล่งชุมนุมร้านรวง มิรู้ว่ามีราษฎรมากน้อยเพียงใดทำมาหากินภายในเมืองหลวงแห่งแผ่นดิน นคราใหญ่ที่สุดในตอนนี้แทบจะบรรจุทุกสรรพสิ่งที่ผู้คนนึกถึง ไม่ว่าจะเป็นร้านรวงเครื่องอุปโภคบริโภค ที่พักอาศัย และการเดินทาง หรืออาชีพการงานต่างๆ อย่างคนขับรถ คนถ่อเรือ เสี่ยวเอ้อร์ คนขนของ นายหน้าหลากหลายประเภท กระทั่งสิ่งของจำเป็นและของที่ปรารถนาของบรรดาเชื้อพระวงศ์ บรรดาทหาร และพ่อค้า ล้วนเสาะหาได้จากที่นี่

ภายในร้านช่างฝีมือที่ตกแต่งอย่างเรียบง่ายแห่งหนึ่ง กลไกไม้และของเล่นเล็กน้อยนานาประเภทจัดวางเต็มไปหมด ภายในร้านที่แออัดและดูรกรุงรังมีแท่นเหล็กดิบตัวหนึ่งตั้งอยู่ ไคหยางในชุดกระโปรงสีเหลืองดอกซิ่งยืนอยู่หน้าแท่น กำลังชี้นิ้วไปที่ภาพวาดซึ่งกางอยู่บนแท่น อธิบายความต้องการของตนให้นายช่างซึ่งยืนอยู่ตรงข้ามฟัง

นายช่างเป็นชายวัยกลางคน อายุประมาณสี่สิบปี ร่างกายกำยำ สวมเสื้อตัวสั้นสีเทามอซอ ผมเผ้ายุ่งเหยิง เหมือนไม่ได้สระผมมาหลายเดือนแล้ว หนวดเคราเต็มหน้า ดูสกปรกมอมแมม

นายช่างฟังไคหยางอธิบายแบบร่าง พร้อมกับหยิบผ้าขี้ริ้วจากด้านข้างติดมือขึ้นมา ทางหนึ่งปาดเช็ดน้ำมันในมือ อีกทางขมวดคิ้วส่ายหน้า “แม่นางไคหยาง ชิ้นส่วนนี้ของท่านออกแบบยากเกินไปแล้ว ร้านของข้าทำให้ไม่ได้”

ไคหยางนิ่วหน้า แต่ไม่ได้แสดงท่าทีร้อนรน ยังคงยิ้มบางอย่างเกรงอกเกรงใจ “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าก็ไม่เพิ่มความยุ่งยากให้ท่านแล้ว”

ไคหยางเก็บภาพออกแบบ เตรียมจากไป นายช่างลังเลเล็กน้อยก่อนร้องเรียกนางไว้ “ข้ารู้ว่ามีคนผู้หนึ่งน่าจะทำของที่ท่านต้องการได้ เพียงแต่... ปกติแล้วเขาไม่รับการไหว้วานของผู้อื่น”

สองตาของไคหยางสว่างวาบ ยิ้มก่อนถาม “อยู่ที่ใด ข้าไปลองถามดูก็ได้”

นายช่างชี้มือไปทางขวา “ร้านนั้นอยู่สุดตรอกนี้ เป็นคูหาเล็กคูหาเดียว หน้าร้านเล็กมาก เจ้าของร้านเป็นชายหนุ่มผู้หนึ่ง ปกติก็ไม่รู้ว่าทำการค้าอย่างไร มักปิดร้านอยู่เป็นประจำ ท่านลองไปเสี่ยงโชคเอาเถอะ ถึงแม้วันนี้เขาจะอยู่ ก็ไม่แน่ว่าจะรับงาน”

ไคหยางสงสัยใคร่รู้ ยิ้มแล้วกล่าวขอบคุณ “ขอบคุณนายช่างเจียวที่ชี้แนะ ทว่าไม่เป็นอันใด ไม่ว่าผู้สูงส่งท่านใดล้วนมีอุปนิสัยใจคอของตน หวังว่าท่านผู้นี้จะไม่ทำให้ข้าผิดหวัง” พูดจบนางก็โบกมือเล็กขาวราวกับหยก ก่อนเดินออกไปนอกร้าน

ออกจากประตูแล้ว ไคหยางก็ไม่คิดอันใดมาก เดินตัดตรงเข้าไปในตรอก ไม่นานนักก็ถึงหน้าร้านที่นายช่างเจียวแนะนำ มองประเมินซ้ายขวาก็พบว่าประตูร้านปิดอยู่ ร้านนี้กระทั่งป้ายร้านก็ไม่มี ดูจากภายนอก ทั้งคูหาเรียบง่ายและเก่าคร่ำคร่า หากถูกลมโหมกระหน่ำ ทั้งคูหาก็คงพังราบคาบ

“หรือว่าวันนี้ปิดร้านอีกแล้ว” ไคหยางพึมพำ ลังเลสักครู่ก่อนก้าวขึ้นหน้า “ช่างเถอะ ลองเสี่ยงดวงดู”

นางเดินไปยกมือเคาะประตู แต่รออยู่เป็นนาน ด้านในก็ไม่มีเสียงขานรับ

ไคหยางกัดริมฝีปาก ลังเลพักหนึ่ง มือวางทาบบนบานประตูออกแรงแผ่วเบา

เอี๊ยด...

ประตูร้านที่มิได้ลงกลอนถูกนางผลักแผ่วเบา ก็เปิดออกเป็นช่องกว้างเท่าฝ่ามือ

ไคหยางกะพริบตาปริบๆ จากนั้นก็ร้องถามพลางปิดประตู “มีคนอยู่หรือไม่”

หลังจากเข้าประตูมาก็เห็นลานบ้านขนาดไม่ใหญ่ กว้างยาวประมาณไม่กี่จั้ง มุมหนึ่งปลูกต้นสาลี่ ลมพัดมาระลอกหนึ่ง กลิ่นหอมระรวยของไม้ผลก็แตะจมูก ไคหยางสูดดมแล้วรู้สึกชื่นใจ

นางยืนในลานบ้านสักพัก เห็นว่าตัวคูหาภายในลานบ้านมิได้ปิดประตู จึงสาวเท้าเดินเข้าไป

เข้าไปในตัวคูหา ดวงตาของไคหยางก็สว่างเป็นประกาย แม้พื้นที่จะเล็กแต่เก็บกวาดสะอาดสะอ้าน ชั้นด้านหลังโต๊ะจัดวางผลงานกลไกอันงดงามประณีตไว้หลากหลายชนิด มองลอดบานประตูแขวนม่านก็เห็นรางๆ ว่าเชื่อมต่อเข้าสู่ลานส่วนหลัง บนพื้นว่างภายในตัวอาคารมีผลงานไม้ที่ยังประกอบไม่แล้วเสร็จชิ้นหนึ่งวางอยู่ ด้านบนเดิมทีคลุมด้วยผ้าผืนหนึ่ง ทว่าผ้าไถลลื่นลงมากึ่งครึ่งเผยให้เห็นข้อต่อและโครงที่ทำจากไม้

ไคหยางร้องเสียงสูงสอบถาม “มีคนอยู่หรือไม่”

ภายในตัวคูหาไม่มีเสียงขานรับ ไคหยางส่ายหน้าเตรียมจากไป ขณะที่นางหมุนตัว หางตาเหลือบไปเห็นผลงานใกล้สำเร็จที่แขวนบนผนัง นางตะลึงงัน จับจ้องผลงานชิ้นนั้นไม่วางตา พร้อมกับเดินไปทางนั้นโดยไม่รู้ตัว

นี่เป็นชิ้นส่วนอะไหล่ที่ประดิษฐ์จากไม้ ห้าวงแหวนไม้วางซ้อนทับ ร้อยรูตรงกลางด้วยแกนไม้ มองเพียงคร่าวๆ คล้ายแม่กุญแจรหัสครึ่งชิ้น แต่เมื่อพินิจอย่างละเอียด ขอบนอกของห้าวงแหวนมิได้เรียบเงา แต่เต็มไปด้วยฟันเฟืองเล็กจ้อยยุบยิบ นี่สมควรเป็นชิ้นส่วนติดตั้งภายใน

ไคหยางเพ่งพิจารณา ดวงตาปรากฏแววชื่นชมเลื่อมใส เมื่อคิดยื่นมือออกไปแตะต้องก็พลันได้ยินเสียงไอโขลกเป็นชุดจากที่ไม่ไกล

นางสะดุ้งเล็กน้อย หมุนตัวไปมอง ก็เห็นว่าม่านประตูที่เชื่อมต่อไปยังลานส่วนหลังเปิดออก บุรุษหนุ่มผู้หนึ่งเดินไอเข้ามา มองไคหยางด้วยสีหน้าไม่เป็นมิตร

“เจ้าเป็นใคร”

บุรุษผู้นี้อายุราวยี่สิบห้าปี รูปร่างค่อนข้างผอม ใบหน้าซีดเผือดซูบเซียว ชุดครามทั้งร่างซักสะอาดสะอ้าน หลังถามก็ปิดปากไอแผ่วเบา ท่าทางอมโรค

ไคหยางคืนสติ รีบกระชับภาพร่างในมือของตน เดินไปหยุดห่างจากผลงานไม้สามก้าว กล่าวอย่างเกรงอกเกรงใจ “ข้ามาสั่งทำสิ่งของ นายช่างเจียวที่หัวมุมถนนบอกว่าท่านฝีมือดี สามารถทำชิ้นส่วนที่ยุ่งยากซับซ้อนได้ ข้า...”

นางยังไม่ทันพูดจบ ชายหนุ่มตรงกันข้ามก็ตัดบทอย่างเมินเฉย “ข้าไม่สนใจ”

ไคหยางมองอีกฝ่ายอย่างตกตะลึง เอ่ยสำทับ “ข้าจ่ายราคาสองเท่าได้”

ชายหนุ่มหมุนตัวไปกล่าวด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “ประตูอยู่ตรงนั้น เดินดีๆ ไม่ส่ง”

ไคหยางร้อนใจ สายตาเลื่อนไปยังผลงานบนพื้นที่ปิดคลุมด้วยผ้าโดยไม่ตั้งใจ พลันฉุกคิดได้ ร้องบอกเสียงสูง “เฮ้อ น่าเสียดายโคไม้ม้าจร141 นี้แล้ว มีเพียงโครง แต่ไร้จิตวิญญาณ”

ชายหนุ่มเดิมยื่นมือไปเลิกม่าน แต่พอได้ฟังคำก็หมุนตัวขวับกลับมา ถามด้วยน้ำเสียงเร่งร้อน “เจ้าว่าอันใดนะ”

ไคหยางมิได้มองอีกฝ่าย แต่เอื้อมไปดึงผ้าที่คลุมบนชิ้นงานบนพื้นออก มองประเมินหลายครั้งแล้วทอดถอนใจ “นับว่าเลียนแบบได้สำเร็จอย่างยิ่งแล้ว เพียงแต่เสียดาย...”

ชายหนุ่มก้าวเร็วๆ จากด้านหลังโต๊ะเดินเข้ามา สอบถามอย่างเร่งร้อน “เสียดายอันใด”

ไคหยางหันหน้าไปมองเขา เอ่ยชัดถ้อยชัดคำ “เชื่อในตำรามิสู้ไร้ตำรา”

ชายหนุ่มอึ้งงันอยู่กับที่ เด่นชัดว่าไม่เข้าใจวาจาของไคหยาง

ไคหยางกล่าวหนึ่งประโยคแล้วก็หันหน้ากลับไป เดินวนช้าๆ รอบโคไม้ม้าจร ก่อนเอ่ยเนิบช้า “ปีที่เก้ารัชศกเจี้ยนซิง จูเก่ออู่โหว (ขงเบ้ง) เดินทางสู่ฉีซาน เพื่อแก้ไขปัญหาความไม่สะดวกในการลำเลียงเสบียง จึงประดิษฐ์โคไม้จร เป็นปฐมบทแห่งโคไม้ม้าจร ต่อมาเพราะสลับซับซ้อน ลำเลียงเสบียงไม่สะดวกเท่าวัวหรือม้า นอกจากถนนหนทางในแคว้นแล้วก็ใช้การที่อื่นมิได้ ล้มเหลวหลังติดตามอู่โหวไปฉีซานหกครั้งจึงค่อยๆ สูญหายไป หลงเหลือเพียงบันทึกในตำรา”

ชายหนุ่มกอดอกยืนฟังอยู่ข้างๆ พยักหน้าตามไปด้วย น้ำเสียงเปลี่ยนเป็นอ่อนโยน “มิผิด นับว่าพอมีความรู้อยู่บ้าง โครงร่างโคไม้ม้าจรของข้าตัวนี้วางในร้านมาหนึ่งปี เจ้าเป็นคนแรกที่ดูออก”

ไคหยางยิ้มก่อนเอ่ย “แต่ไรมาชนรุ่นหลังคิดทำซ้ำสิ่งประดิษฐ์ของจูเก่ออู่โหว ผู้ประสบความล้มเหลวมีนับไม่ถ้วน ท่านนับเป็นหนึ่งในผู้ที่สร้างได้ไม่เลวแล้ว”

“แต่เจ้าก็มิได้พอใจเสียทั้งหมด” ใบหน้าชายหนุ่มปรากฏแววฉงนสงสัย

ไคหยางยิ้มแล้วเดินไปชี้โครงโคไม้ “โครงยาวสามฉื่อห้านิ้ว กว้างสามนิ้ว หนาสองนิ้วสองหุน142 ซ้ายขวาเท่ากัน รูเพลาหน้าเส้นผ่านศูนย์กลางสี่นิ้ว แกนกลางสองนิ้ว รูขาหน้าเส้นผ่านศูนย์กลางสองนิ้ว ห่างจากรูเพลาหน้าสี่นิ้วห้าหุน กว้างหนึ่งนิ้ว ท่านทำตามขนาดที่บันทึกไว้ แต่เมื่อสำเร็จแล้วถึงได้พบว่าโคไม้ตัวนี้เทอะทะ เคลื่อนไหวมิได้โดยสิ้นเชิง หากใช้งานจริงก็จะหลุดเป็นเสี่ยงๆ นี่คงเป็นสาเหตุที่ผลงานชิ้นนี้ถูกวางทิ้งไว้ที่นี่กระมัง”

ชายหนุ่มผู้นั้นมองไคหยางอย่างประหลาดใจ เมื่อนางกล่าวจบถึงได้ถอนใจอย่างปลงอนิจจัง ก่อนเอ่ยจากใจจริง “สายตาแหลมคม มองประเมินขนาดไม่ผิดพลาดไปแม้แต่น้อย”

ในรอยยิ้มบางของไคหยางแฝงด้วยความภาคภูมิใจ “ชมเกินไป”

ชายหนุ่มไออีกหลายครั้ง จากนั้นก็โต้แย้งไคหยาง “แต่... ในตำราบันทึกไว้เช่นนี้จริง คิดว่าบรรดาอาลักษณ์คงมิได้แต่งเติมเสริมเรื่องสะเปะสะปะขึ้นเองกระมัง”

ไคหยางอมยิ้ม ใบหน้าปรากฏแววดูแคลน “อาลักษณ์มิใช่นายช่าง พวกเขารู้เพียงเป็นเช่นนี้ มิรู้ว่าเหตุใดจึงเป็นเช่นนี้ แต่ไรมาบันทึกรูปร่างลักษณะอย่างส่องแมววาดเสือ143 แต่ไม่อาจวาดหลักการทำงานของกลไก ท่านว่าประดิษฐ์ขึ้นตามบันทึกของพวกเขาอย่างเคร่งครัด แต่ผลที่ได้กลับพลาดเพียงนิด ผิดเป็นโยชน์มิใช่หรือ”

ชายหนุ่มถูกล้อจนหัวเราะ ไอสองเสียงแล้วถาม “เช่นนั้นเจ้าว่าหากคิดประดิษฐ์โคไม้ม้าจรของแท้สมควรทำอย่างไร”

ไคหยางลูบคลำโคไม้ม้าจรตัวนั้น เอ่ยอย่างมั่นใจ “ก่อนอื่นต้องลืมขนาดและกฎเกณฑ์ที่บันทึกในตำรา จากนั้นคิดเสียว่าตนเป็นจูเก่ออู่โหว พิจารณาว่ากลไกที่ต้องการนั้นใช้เพื่อแก้ปัญหาใด แล้วออกแบบเครื่องมือลำเลียงขนส่งที่แท้จริงออกมาใหม่อีกชุด”

ไคหยางหันกลับมา เอ่ยอย่างปลงตกกับชายหนุ่ม “เช่นนั้นน่าจะได้สิ่งที่ใกล้เคียงกับความเป็นจริง”

ชายหนุ่มตะลึง สะท้านอยู่กับที่เนิ่นนานไม่ตอบคำ ผ่านไปพักใหญ่เขาถึงได้คืนสติ มองประเมินไคหยางแล้วกล่าว “เจ้าเอ่ยกล่าวมากมายขนาดนี้ เพียงเพื่อให้ข้ารับงานของเจ้า?”

ไคหยางยิ้มบาง สีหน้าท่าทางเป็นปกติขณะตอบ “ข้าเพียงแต่เห็นการล่าสัตว์ จิตใจเบิกบาน144 เอ่ยเรื่อยเปื่อยหลายประโยค หากใต้เท้าสดับเสียงพิณ เข้าใจความนัย เช่นนั้นคือสหายรู้ใจ หากใต้เท้าไม่คิดเช่นนั้น เสียหายที่ท่าน มิใช่ที่ข้า”

ชายหนุ่มยิ้มยามมองไคหยาง ผุดแววเลื่อมใสในดวงตา “เจ้ามั่นใจในตนเองมาก”

ไคหยางรับคำอย่างไม่ถ่อมตนแม้แต่น้อย “ขอบคุณ ท่านมิใช่คนแรกที่กล่าวเช่นนี้”

ชายหนุ่มหัวเราะร่า รับภาพวาดในมือของไคหยางไป “ลูกค้าที่น่าสำราญเช่นนี้ ข้าเพิ่งเคยพบเห็นเป็นครั้งแรก”

ไคหยางถามด้วยความประหลาดใจ “ท่านรับคำไหว้วานของข้าแล้ว?”

ชายหนุ่มพยักหน้า ยิ้มให้ไคหยาง “ข้าไม่เพียงรับงานเจ้า ยังคิดเชิญเจ้าดื่มชา มิทราบว่าแม่นางให้เกียรติหรือไม่”

ไคหยางตะลึงงัน หลังสบตากับชายหนุ่มแล้วก็พยักหน้าเห็นด้วย “เป็นเกียรติอย่างยิ่ง”

สองคนสบตาและยิ้มให้กัน ฝ่ายชายผายมือเชื้อเชิญ นำไคหยางมายังลานด้านหลัง

“แม่นาง เชิญนั่ง” ชายหนุ่มนำนางมาถึงใต้ต้นอู๋ถงขนาดใหญ่ ใต้ต้นมีโต๊ะหินหนึ่งตัวและเก้าอี้ไผ่หลายตัว

สองคนนั่งตรงกันข้ามกัน ชายหนุ่มแย้มยิ้ม หยิบอุปกรณ์บนโต๊ะ เริ่มต้มชา ไคหยางกวาดตามองรอบด้าน อุทานชื่นชม “ดูจากหน้าประตูไม่สะดุดตา คิดไม่ถึงว่าด้านหลังจะเป็นอีกดินแดนหนึ่ง”

น้ำชาเดือดอย่างรวดเร็ว ชายหนุ่มถือหูกาเทน้ำร้อนลวกจอกชา ใช้แหนบไม้ไผ่คีบจอกชาพลิกหมุนทีละใบ หลังจากล้างจอกชาแล้วก็เริ่มรินน้ำชาจนเต็ม ถึงได้ยื่นวางตรงหน้าไคหยาง ยิ้มบางแล้วกล่าว “ลองดู”

ไคหยางประคองจอกลองชิมหนึ่งอึก จากนั้นก็เงยหน้ามองเขา “น้ำแร่ฮุ่ยซัน145?”

ชายหนุ่มออกจะประหลาดใจ ก่อนพยักหน้า ถามไคหยางยิ้มๆ “ชาเป็นอย่างไร”

ไคหยางถือจอกชา ละเลียดดื่มอีกอึกก่อนวางจอกชาลง เอ่ยชมจากใจจริง “หอมระรวยราวกับมู่หลัน146 ต้องน้ำค้าง เขียวสล้างหญ้าริมธารมิอาจเทียบ”

ชายหนุ่มหัวเราะ “กลอนไม่เลว เพียงเสียดายมิใช่ชาเหมิงติ่ง147”

ไคหยางนิ่งงัน ประคองจอกชา พยายามขบคิด “น้ำชาเขียวกว่าชาหยางเซี่ยน148 หอมเข้มข้นกว่าชากู้จู่จื่อสุ่น149 รูปร่างคล้ายเหมิงติ่งสือฮวา150 ทว่ารสสัมผัสสดชื่นดื่มด่ำ...”

ไคหยางช้อนสายตามองเขาอย่างสงสัย ก่อนคาดเดา “คงมิใช่เสี่ยวหลงถวน151 กระมัง”

ชายหนุ่มหัวเราะร่าพลางกุมปากไอ จนไอเสร็จสิ้นถึงได้เกาะขอบโต๊ะกล่าวอย่างชอบอกชอบใจ “นับว่าเจ้าต้องยอมแพ้สักครั้งแล้ว”

ไคหยางไม่โมโห นั่งตรงกันข้ามเขา ยิ้มตาหยีก่อนกล่าว “ขอเชิญชี้แนะ”

ชายหนุ่มหยิบถ้ำชามา เลือกใบชาออกมาบางส่วนให้ไคหยางดู เห็นใบชาเขียวเป็นมัน รูปร่างคล้ายจันทร์เสี้ยว “แท้จริงที่เจ้ากล่าวมาล้วนถูกต้อง เมื่อก่อนข้าดื่มชา รู้สึกว่าทุกรสชาติเลิศล้ำอยู่หรอก แต่น่าเสียดายที่ทะนุถนอมจนเกินควร ยากจะดื่มเป็นประจำทุกวัน จึงเสาะหาไร่ชาผืนหนึ่งแถบเขากู้จู่ ปลูกเอง ผลิตเอง เสียเวลาหลายปี ในที่สุดก็ได้ชาที่พอดื่มได้ชนิดนี้”

ทั้งสองพินิจวิเคราะห์ใบชาอยู่พักหนึ่ง ไคหยางเงยหน้ายิ้มก่อนกระเซ้าเขา “พอดื่มได้นี่ก็ถ่อมตนเกินไปแล้ว”

ชายหนุ่มยิ้มขณะมองไคหยาง “ข้ามิคล้ายใครบางคน ไม่อาจยกยอตนเองอย่างโจ่งแจ้ง”

ไคหยางยืดตัวนั่งตรง ใบหน้าแดงซ่าน เอ่ยอย่างเขินอาย “ข้าเองก็มิใช่คนอวดอ้างยกยอตนเอง เพียงแต่พบพานบางคน จึงอดกำเริบเสิบสานมิได้”

ชายหนุ่มมองไคหยางด้วยสายตาอ่อนโยน “ข้ารู้... ข้าเองก็มิใช่คนชอบเชิญคนมาดื่มชา แต่พบพานบางคนจึงอดเชื้อเชิญมิได้”

สองคนสบตาจากนั้นก็หัวเราะพร้อมกัน ความรู้สึกที่รู้กันเพียงสองคนเริ่มก่อตัวขึ้นในใจทั้งคู่ คล้ายสหายเก่าแก่ที่รู้จักกันมานาน และพูดคุยถูกคอเป็นกันเองได้พบปะกันอีกครั้ง

หลังหัวเราะแล้ว ไคหยางก็พลันถามด้วยสีหน้าจริงจัง “มิทราบว่าคุณชายเรียกขานอย่างไร”

ชายหนุ่มชะงักไป จากนั้นก็ยิ้มฝาดเฝื่อน ค้ำโต๊ะเอ่ยอย่างเกียจคร้าน “ฟ้าดินเป็นที่พำนักชั่วคราวแห่งสรรพสิ่ง วันวารเป็นแขกเยือนผ่าน ร้อยรุ่นมิหยุดพัก เจ้าและข้าเป็นเพียงแมลงชีปะขาว152 แล้วไยต้องแจ้งชื่อเอ่ยแซ่”

ไคหยางต่อคำอย่างไม่คิดเช่นนั้น “ชีวิตมนุษย์ราวกับภาพฝัน สุขสราญได้นานเท่าใดกัน พึงขับลำนำก็ขับขาน พึงร่ายกลอนก็ร้องท่อง จดจำสิ่งที่ควรจดจำ ลืมเลือนสิ่งที่ควรลืมเลือน ไม่เช่นนั้นหากในภายภาคหน้าประหวัดถึง กระทั่งคำเรียกขานยังไม่มี มิน่าเสียใจหรอกหรือ”

ชายหนุ่มตะลึงลาน จดจ้องนางเนิ่นนาน แววตาค่อยๆ กลายเป็นอ่อนโยนและอบอุ่น

เขาชูจอกชา เอ่ยกับไคหยางด้วยมารยาท “ข้าน้อยเมิ่งตง ขอทราบนามอันไพเราะของแม่นาง”

ไคหยางยิ้มบาง ใช้นิ้วแตะน้ำจากอ่างใส่น้ำสำหรับล้างจอก จากนั้นขีดเขียนชื่อตนบนโต๊ะทีละเส้น “ข้าชื่อเฉียวอวี้!”

เมิ่งตงหรี่ตา ใบหน้าแสดงความชื่นชม “ภูเขาเอยมีต้นเฉียว153 คุณธรรมเปรียบประดุจอวี้154 ชื่ออันประเสริฐ!”

 

ไคหยางเปิดประตูเดินออกมา รอยยิ้มประดับบนใบหน้า เมิ่งตงตามมาด้านหลัง ยิ้มในหน้าเช่นเดียวกัน

ไคหยางยืนกลางประตู หันกลับไปยิ้มก่อนกล่าว “คลับคล้ายว่าตั้งแต่ต้นจนสุดท้าย พี่เมิ่งล้วนมิได้ดูภาพร่างของข้า”

เมิ่งตงยิ้มอย่างอวดโอ้ “ไม่จำเป็น แม่นางเฉียวสนใจเพียงมารับสิ่งของตามเวลานัดก็พอแล้ว”

“พี่เมิ่ง ในที่สุดก็อดอวดตนมิได้แล้ว” ไคหยางเลิกคิ้วงดงาม เอ่ยพลางยิ้มหยอกเย้า

“ผู้ใกล้น้ำหมึกติดสีดำ155” เมิ่งตงยิ้มอย่างสดชื่น

ไคหยางอมยิ้ม โบกมือก่อนก้าวขาเดินจากไป เมิ่งตงกุมปากไอหลายครั้ง เห็นไคหยางค่อยๆ ห่างออกไปไกล ถึงได้หมุนตัวเดินกลับเข้าห้องด้านใน

ใบหน้าไคหยางแฝงด้วยรอยยิ้ม ผ่อนฝีเท้าเดินเชื่องช้า พลันได้ยินคนร้องเรียกที่ด้านหลัง

“เฉียวอวี้!”

ไคหยางนิ่งงัน หมุนตัวกลับไปมองก็เห็นเมิ่งตงวิ่งเหยาะๆ ตามมา

ไคหยางกะพริบตาปริบๆ เอ่ยพลางหยอกเย้า “อย่างไรกัน พี่เมิ่งดูภาพร่างแล้ว คิดว่าตนเองทำออกมามิได้หรือ”

เมิ่งตงหัวเราะ ยื่นสิ่งของในมือให้นาง “ใบชาในถ้ำชานี้ มอบให้เจ้า”

ไคหยางรับใบชามาอย่างยินดี คิดอยากเอ่ยบางอย่าง จู่ๆ เขาก็ค้อมเอวไอโขลกขึ้นมา ไคหยางรีบเข้าไปประคอง ยกมือตบแผ่นหลังให้เขา

เมิ่งตงไอพลางโบกมือบอกไคหยางเป็นนัยๆ “ไม่เป็นไร โรคเก่า เมื่อครู่เร่งร้อนวิ่งมา อาการจึงกำเริบอีก”

ไคหยางเห็นว่าเมิ่งตงหยุดไอได้ยากเย็น ออกจะกังวลจึงเอ่ยโน้มน้าว “ระยะนี้อากาศเปลี่ยนแปลง ท่านต้องระวังสุขภาพสักหน่อย!”

เมิ่งตงยิ้มขมขื่น “โรคนี้เป็นมาแต่กำเนิด รักษาไม่ได้”

ไคหยางมองเมิ่งตง ขมวดคิ้วอย่างเป็นกังวล “ข้ารู้จักผู้อาวุโสท่านหนึ่ง ฝีมือทางการแพทย์เลิศล้ำสูงส่งยิ่งนัก ไม่เช่นนั้นให้ข้าแนะนำให้สักครั้ง?”

เมิ่งตงส่ายหน้า “ไม่ต้องแล้ว ตั้งแต่เล็กจนโตข้าหาหมอเลื่องชื่อมาจนทั่ว ยิ่งพบมากเท่าใด ก็ยิ่งสิ้นหวังมากเท่านั้น จนถึงสุดท้ายก็คิดตกแล้ว วาสนาคราวเคราะห์อยู่ที่ฟ้า เป็นตายตามชะตากรรม อย่าได้ฝืนเรียกร้องจะดีกว่า”

ไคหยางมองท่าทางหมดอาลัยตายอยากของเมิ่งตงแล้วคิดจะกล่าวบางอย่าง แต่กลับมิรู้ว่าจะเอ่ยปากอย่างไร

เห็นไคหยางทำท่าเป็นห่วง เมิ่งตงก็รู้สึกอบอุ่นในใจ ยิ้มอย่างเบิกบานมากขึ้น “ชีวิตข้านี้น้อยนักจะมีเรื่องเสียใจ วันนี้ได้พานพบเจ้า กลับเสียใจยิ่งนักที่เราอาศัยในเมืองเดียวกันเนิ่นนานหลายปีเช่นนี้ บัดนี้ถึงเพิ่งรู้จักกัน... คลาดคลาเวลาไปมากมายนัก”

ไคหยางได้ฟังก็กลั้นยิ้มไม่อยู่ ตอบกลับไป “ตระหนักรู้เรื่องอดีตยากทัดทาน ล่วงรู้กาลเบื้องหน้าพอแก้ไข”

เมิ่งตงหัวเราะลั่น จากนั้นก็ไอพลางส่ายหน้า “ข้าเองก็คิด เพียงแต่ระยะนี้ต้องกลับบ้านเก่า ทำสิ่งของชิ้นนี้ให้เจ้าแล้ว ข้าจะกลับบ้าน”

ไคหยางได้ฟังคำนี้ ใบหน้าปรากฏแววผิดหวังและเสียใจ จากนั้นก็รีบตั้งสติ ทำท่าประหลาดใจ “ท่านจะจากเปี้ยนเหลียงหรือ พี่เมิ่งมีความสามารถเยี่ยงนี้ ข้ายังคิดว่า...”

“ยังคิดว่าอย่างไร”

“ข้ายังคิดชักนำท่านเข้าสู่หน่วยดาวพิฆาต” ไคหยางลังเลก่อนตัดสินใจบอกความจริง

เมิ่งตงถามอย่างประหลาดใจ “หน่วยดาวพิฆาต? ที่แท้แม่นางเป็นคนของหน่วยดาวพิฆาต”

ไคหยางพยักหน้าตอบ “เป็นเช่นนั้น!”

เมิ่งตงกล่าวอย่างกระจ่างฉับพลัน “มิน่า ความรู้เกี่ยวกับโคไม้ม้าจรของแม่นางสูงส่งเลิศล้ำกว่านายช่างหลายคนที่นี่ ได้ยินมานานว่าหน่วยดาวพิฆาตเป็นที่รวมของบุคคลเก่งกาจพิสดารมากมาย...”

ไคหยางแย้มยิ้ม ตัดบทคำยกยอของเขา “ต่อหน้าพี่เมิ่ง ข้าให้ละอาย ไม่บังอาจรับ พี่เมิ่งยินยอมเข้าร่วมหน่วยดาวพิฆาตหรือไม่”

เมิ่งตงลังเลครู่หนึ่ง “หน่วยดาวพิฆาตเป็นที่ใฝ่ฝันของผู้คน ได้ปฏิบัติงานร่วมกับแม่นาง เป็นเกียรติของเมิ่งตง เพียงแต่... กำหนดการเดินทางไว้แล้ว กลับบ้านเที่ยวนี้จำเป็นต้องกลับ”

ไคหยางกล่าวอย่างผิดหวังอยู่บ้าง “เช่นนั้น... พี่เมิ่งยังจะกลับมาหรือไม่”

เมิ่งตงนิ่วหน้า “เรื่องนี้... ต้องได้รับอนุญาตจากผู้อาวุโสในบ้าน ทว่าข้าคิดว่ารับใช้ราชสำนัก ผู้อาวุโสในบ้านคงเห็นชอบ”

ไคหยางเอ่ยอย่างรู้สึกเสียดาย “บุคคลมากความสามารถเช่นพี่เมิ่ง หากไม่อาจรับใช้แผ่นดิน ช่างน่าเสียดายอย่างแท้จริง ท่าน... ต้องกลับมาให้ได้!”

เมิ่งตงยิ้มอย่างชื่นบาน “พบพานเป็นจุดเริ่มแห่งวาสนา ได้รู้จักเป็นวาสนา ได้ประสบพบเจออีกหรือไม่ ได้เข้าร่วมหน่วยดาวพิฆาตหรือไม่ ยังต้องดูวาสนาสืบต่อของพวกเรา แม่นางมิต้องยึดมั่นถือมั่นเกินไป”

ไคหยางเห็นดังนั้นก็หัวเราะก่อนถาม “เช่นนั้น... ท่านว่าวาสนาเป็นชะตาฟ้าลิขิตหรือไม่”

เมิ่งตงแบมือตอบ “หากทุกสิ่งอย่างเป็นฟ้าลิขิต เช่นนั้นเรามีชีวิตอยู่อย่างน่าเบื่อเสียนี่กระไร”

ไคหยางเอ่ยอย่างมุ่งมั่น “ในเมื่อวาสนามิใช่ฟ้าลิขิต เช่นนั้นต่อไปข้าจะมาให้บ่อย อาศัยตนแสวงหาวาสนาได้พานพบอีกครั้ง”

เมิ่งตงถอนหายใจเฮือก หลังประสานมือคำนับไคหยางแล้วก็เดินกลับไปตามทางเดิม ไคหยางมองส่งเขาอยู่กับที่ เมิ่งตงเดินไปตามตรอกสายเล็กอยู่ครู่หนึ่งก็หันกลับมาโบกมือให้นาง ไคหยางยิ้มพลางโบกมือตอบ

‘วาสนา...’ คิดถึงคำนี้ ใบหน้าไคหยางพลันซ่านแดง ดูงดงามหยาดเยิ้ม

‘วาสนา...’ บางทีจิตใจอาจเชื่อมต่อถึงกัน เมิ่งตงก็คิดถึงคำนี้ ใบหน้ากลับยิ้มขื่นขม

 

‘มาบัดนี้ประหวัดถึงสุขเจียงหนาน

กาลก่อนนั้นยังเยาว์วัยงามสง่า

ริมสะพานเอนพิงกายบนอาชา

ล้วนต้องตากวักพธูมุ่งหมายปอง156’

 

หงซิ่วเจาเป็นหอคณิกาแห่งหนึ่งที่เลื่องชื่อเป็นพิเศษ โด่งดังถึงขั้นนอกจากชาวต้าซ่งแล้ว ชาวหู ชาวชี่ตัน กระทั่งแขกที่มาจากทะเลใต้ล้วนเคยได้ยินชื่อ หงซิ่วเจานั้นใหญ่โตมาก คำนวณนับจากหน้าหลังซ้ายขวามีทั้งสิ้นสามชั้น สี่ลาน ห้าสิบคูหา หกสวนบุปผา แต่ละชั้นแต่ละลานล้วนมีลักษณะพิเศษแตกต่างกันไป มีทั้งโอ่อ่าหรูหรา วิจิตรงดงาม สะอาดหมดจด และสง่างามตระการตา โฉมสะคราญแต่ละนางก็ล้วนมีคุณสมบัติโดดเด่นแตกต่างกัน บ้างลึกลับ บ้างใสบริสุทธิ์ บ้างงามหยาดเยิ้มราวกับบุปผา บ้างก็โดดเด่นเหนือสามัญ

สรุปแล้วไม่ว่าบุรุษใดเข้าสู่หงซิ่วเจา ขอเพียงยอมจ่ายเงิน ไม่ว่าโปรดปรานรสชาติใด ย่อมมีแม่นางที่ถูกต้องตรงจริตคอยปรนนิบัติดูแลอย่างเอาใจใส่

หงซิ่วเจาครองพื้นที่ถึงห้าสิบหมู่ เพียงคิดก็รู้ได้ ในเมืองหลวงซึ่งทุกตารางนิ้วเป็นเงินเป็นทองช่างน่าตกตะลึงถึงขั้นใด มิต้องเอ่ยถึงสวนพฤกษาตึกรามคูหา ลำพังเพียงที่ดินผืนนี้ หากเจ้าของยอมปล่อยมือ ชั่วระยะเวลาอันสั้นย่อมตกเป็นของมหาเศรษฐีผู้ร่ำรวยสะท้านฟ้า

แต่ที่แปลกประหลาดก็คือ สถานที่หรูหราฟุ่มเฟือยเช่นนี้ กลับนับได้ว่าเป็นเพียงชั้นสองในบรรดาหอคณิกาแห่งเมืองหลวง ทำเลก็ชั้นสอง แม่นางก็ชั้นสอง งานเลี้ยงก็ชั้นสอง การร่ายรำก็เป็นชั้นสอง... หากมีคนเยาะเย้ยว่ามาตรฐานของหงซิ่วเจาไม่เพียงพอ แอบดูหมิ่นคิดแคลน เช่นนั้นยิ่งผิดมหันต์ หากเป็นผู้ช่ำชองในแวดวงหรือเป็นแขกขาประจำย่อมบอกกล่าวว่า นี่ถึงเป็นแดนเสน่หาแห่งสวรรค์บนดินอย่างแท้จริง

บางคนตั้งคำถามว่าหงซิ่วเจาต่อให้ดีอย่างไรก็เป็นเพียงแค่สถานที่ชั้นสองมิใช่หรือ บุคคลที่ถามคำถามประเภทนี้ หากมิใช่พวกต่างเมืองเพิ่งเข้าเมืองหลวงเป็นครั้งแรกก็เป็นพวกไก่อ่อน ผู้เชี่ยวชาญในวงการอย่างแท้จริงมีผู้ใดบ้างไม่รู้ว่าสุสานเงินทองหลุมอำนาจบารมีเช่นนี้ต้อนรับอย่างมากเพียงบุคคลชั้นสอง เชื้อพระวงศ์และขุนนางมากเกียรติชนชั้นสูงที่แท้จริงหากคิดชื่นชมระบำรำฟ้อนหรือดื่มด่ำเคล้าคลุกในความอ่อนโยน ไหนเลยจะแวะเวียนมายังสถานที่ที่มีผู้คนพลุกพล่านเช่นนี้ ศักดิ์ฐานะถึงระดับขั้นนั้น ผู้ใดบ้างไร้ซึ่งหอห้องทองคำซุกซ่อนยอดเยาวมาลย์ หรืออุทยานลับมีเพียงบุคคลระดับขั้นเดียวกันสามารถกล้ำกรายได้

ทว่าหงซิ่วเจาชักนำผู้คนเข้าสู่แดนสุขารมณ์กลับเงียบเหงาในช่วงวัน โดยเฉพาะยามเช้า บรรดาแม่นางที่ปรนนิบัติมาทั้งคืนยังคงนอนหลับพักผ่อน บุรุษเจ้าชู้ที่เหน็ดเหนื่อยมาทั้งคืนก็กำลังหลับฝันดี

ในตอนนี้เองชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาหมดจดสองคนเดินเตร่มาถึงหน้าประตู

ไท่สุ้ยชะงักฝีเท้าหน้าหอ ยิ่งมองยิ่งรู้สึกว่าสถานที่นี้ชอบกล จึงรีบประชิดด้านหลังหลิ่วสุยเฟิง เห็นสตรีคอยดึงลูกค้าบนถนน ก็อดขมวดคิ้วมิได้ “มิใช่กล่าวว่าจะสอนอันใดข้าหรอกหรือ ไฉนตอนนี้มาเดินถนนแล้ว”

หลิ่วสุยเฟิงยิ้มอย่างทรงภูมิ โบกพัดจีบไปพลางทักทายแม่เล้าที่เข้ามาต้อนรับแขกไปพลาง กระซิบบอกเสียงต่ำ “ไม่ผิดหรอก ที่นี่ก็คือหงซิ่วเจา!”

พูดจบหลิ่วสุยเฟิงก็ชี้พัดขึ้นด้านบน ไท่สุ้ยมองไปก็เห็นป้ายสลักอักษรตัวใหญ่งดงามตระการตาสามตัวว่า ‘หงซิ่วเจา’ หลังซุ้มประตู แม่นางหลายคนแต่งกายงดงามเพริศพริ้ง อ้าปากหาวหวอดคล้ายเพิ่งตื่นนอน กำลังส่งยิ้มหวานเชื่อมให้

ไท่สุ้ยตะลึงลาน ตระหนกตกใจในบัดดล เอ่ยตะกุกตะกัก “นะ...นะ...นี่... สถานที่แบบนี้... ไม่ได้ๆ ข้าเข้าไปไม่ได้” พูดจบเขาก็หมุนตัวขวับอย่างหวั่นผวาจะเดินจากไป หลิ่วสุยเฟิงรีบดึงรั้งไว้ ผลักไปทางประตู ไท่สุ้ยถึงกับโซซัดโซเซเข้าประตูมา

“ไปเถอะ นี่เป็นหนึ่งในบทเรียนสำคัญที่สุด” หลิ่วสุยเฟิงยิ้มรื่นตามเข้าไป

ไท่สุ้ยเพิ่งยืนมั่น แม่นางกลุ่มหนึ่งก็กรูเข้ามาห้อมล้อม ส่งเสียงจ้อกแจ้กเรียกขานคุณชายบ้าง นายท่านบ้าง ทำเอาเขาหัวหูแดงก่ำในชั่วพริบตา กลิ่มหอมเข้มข้นโชยเข้าจมูก ทำให้หัวใจของเขาเต้นรัวเร็ว ตกตะลึงพรึงเพริดทำอันใดไม่ถูกไปชั่วขณะ

หลิ่วสุยเฟิงหัวเราะร่าตามติดอยู่ด้านหลัง ยื่นเงินก้อนให้แม่เล้าแล้วเอ่ย “หอชิงเฉิง”

แม่เล้าเป็นสตรีวัยกลางคน ท่าทางละเมียดละไม รับก้อนเงินไปแล้วก็คีบจับแผ่วเบา แววตาวูบไหวราวกับคลื่นน้ำขึ้นมาทันที ยิ้มอ่อนช้อยก่อนกล่าว “เจ้าค่ะ หอชิงเฉิงมีนางขายศิลป์มาหลายคน คุณชายสองท่านราวกับต้นหยกต้องลม หากถูกใจก็นับเป็นวาสนาของพวกนาง”

หลิ่วสุยเฟิงหัวเราะ ไม่พูดพล่าม ลากไท่สุ้ยเดินเข้าไปด้านใน

ทั้งสองติดตามแม่เล้าผ่านโถงหลักถึงสวนดอกไม้ด้านหลัง ที่เข้าสู่สายตาเป็นต้นหลิวสนเขียว มองเห็นหอและศาลาเล็กใหญ่แต่ละหลังได้รำไร

ไท่สุ้ยเซ่อซ่าเดินตามไป ใบหน้าแดงก่ำราวกับปูที่เพิ่งนึ่งสุก ทั้งไม่พูดจาและไม่กล้าเงยหน้า

ด้วยความรวดเร็ว ทั้งสามคนก็มาหยุดที่เรือนหลังเล็กเก่าแก่โบราณหลังหนึ่ง แม่เล้าเปิดประตูเดินเข้าไป พาทั้งสองคนขึ้นไปชั้นสอง ทั้งจัดแจงให้หลิ่วสุยเฟิงและไท่สุ้ยนั่งบนเตียงก่อนหมุนตัวเดินออกไป เพียงไม่นานนัก แม่นางสิบกว่าคนก็ยกถาดของว่าง สุรา และน้ำดื่มเดินเข้ามาเป็นทิวแถว ล้อมวงปรนนิบัติข้างตัวทั้งสองคน

บรรดาหญิงงามเมืองหอมละมุนอวลอบไปทั้งร่าง ยิ้มแช่มช้อยป้อนของว่างและสุราให้แขกผู้มีพระคุณทั้งสอง หลิ่วสุยเฟิงนอนแผ่บนเตียงด้วยสีหน้าดื่มด่ำ ร้องท่วงทำนองคลอด้วยท่าทางอิ่มอกอิ่มใจ

ส่วนไท่สุ้ยหน้าแดงซ่าน นั่งหลังตรงแน่ว พยายามหลบหลีกสตรีที่บดเบียดเข้าหาตัวเอง

หลิ่วสุยเฟิงหรี่ตามองอากัปกิริยาของไท่สุ้ย ลอบหัวเราะในใจและไม่ช่วยเหลือ แสร้งทำเป็นไม่เห็น

ไท่สุ้ยจนปัญญาในชั่วครู่ และไม่มีหนทางอื่นใด ได้แต่ผลักซ้ายกันขวา พยายามปกป้องความผุดผ่องของตนเอง

เมื่อแม่นางวงหน้ารูปแตง ดวงตาเรียวยาว คิดโถมทาบบนแผงอกเขา ไท่สุ้ยก็ยิ่งกระอักกระอ่วนหาใดเปรียบ อุทานสองเสียง ทั้งผลักไสทั้งเอ่ยเตือนเสียงต่ำ “พี่สาว... พี่สาว... เจ้า... สังวรตัวด้วย”

“พี่สาว?” นางนั้นพอได้ยินก็ไม่พอใจ ทำหน้าบึ้งตึง “ข้าแก่ขนาดนั้นเชียวหรือ”

“ฮ่าๆ!” หลิ่วสุยเฟิงอดกลั้นไม่อยู่อย่างแท้จริง หัวเราะจนพ่นสุราพรวดออกมา ยื่นมือไปจับมือของนาง เอ่ยหยอกเย้าปลอบใจ “น้องชายข้าผู้นี้เพิ่งออกมาเผชิญโลกครั้งแรก พวกเจ้าอย่าทำให้เขาตกใจ”

สตรีนางนั้นตกตะลึง มองประเมินไท่สุ้ยอย่างอัศจรรย์ใจ “ถึงกับเป็นไก่อ่อน?”

ไท่สุ้ยตะขิดตะขวงใจแทบตาย เคืองโกรธจนแทบจะลุกขึ้นยืน ผลคือหลิ่วสุยเฟิงหัวเราะลั่น กดเขาให้อยู่กับที่ จากนั้นก็ยัดก้อนเงินในมือนางหน้ารูปผลแตง “ได้ยินมานานว่าการขับร้องร่ายระบำของหงซิ่วเจาไม่เป็นรองผู้ใด มิทราบว่าแม่นางแสดงสักเพลงได้หรือไม่ ให้น้องชายข้าผู้นี้ได้เปิดหูเปิดตาสักหน่อย”

นางรับเงินไป จากท่าทีตะบึงตะบอนเปลี่ยนเป็นยินดีทันที ผลักหลิ่วสุยเฟิงด้วยท่าทีกระเง้ากระงอด ยิ้มหวานเชื่อม “ไม่เป็นรองผู้ใดอันใดกัน เพียงแค่บรรดาคุณชายเชิดชูด้วยความชื่นชอบเท่านั้น หากทั้งสองท่านไม่รังเกียจว่าอุจาดแก่สายตา เช่นนั้นข้าให้พี่น้องบรรเลงหนึ่งเพลง เพิ่มความสำราญให้สองท่าน”

พูดจบนางก็ลุกขึ้นอย่างชดช้อย เรียกบรรดาแม่นางให้ผละจากข้างกายทั้งสองคนไป

เมื่อพวกนางถอยออกไปจนสิ้นแล้ว ไท่สุ้ยก็ฉวยโอกาสขอร้องหลิ่วสุยเฟิง “ต้าหลิ่ว พี่หลิ่ว ขุนนางหลิ่ว ท่านเก่งกาจทุกเรื่อง อย่าได้ปั่นหัวข้าอีกเลย พวกเรารีบไปเถอะ! หากให้ใต้เท้าผู้บังคับการพบเข้า พวกเราตายแน่ๆ”

หลิ่วสุยเฟิงดึงรั้งไท่สุ้ยไว้ “ใจเย็น รีบร้อนอันใดกัน เจ้าไม่อยากสำเร็จการฝึกเร็วไวหรอกหรือ”

ไท่สุ้ยตอบ “อยากสิ!”

หลิ่วสุยเฟิงถามขึ้น “หน่วยดาวพิฆาตของพวกเราทำอันใดหรือ”

ไท่สุ้ยอ้าปากตอบ “ควบคุมจัดการเรื่องแปลกพิสดารใต้ฟ้า ตรวจสอบไต่สวนคดีแปลกพิสดาร”

หลิ่วสุยเฟิงพยักหน้า แล้วถามต่อไป “เช่นนั้นเจ้าคิดว่าจุดสำคัญในการตรวจสอบคดีคือสิ่งใด”

ไท่สุ้ยตอบ “วรยุทธ์?”

ไท่สุ้ยยิ้มบางแล้วเอ่ย “เหนือคนยังมียอดคน เหนือฟ้ายังมีฟ้า ย่อมมีคนที่วรยุทธ์สูงล้ำกว่าเจ้า”

ไท่สุ้ยอึ้งงัน ประหวัดถึงสถานการณ์ขณะหลิ่วสุยเฟิงสอนให้ตนฝ่าด่านสิบแปดมนุษย์ทองแดง จึงลองหยั่งเชิงถาม “ความช่างสังเกต?”

“ยุวชนสั่งสอนได้!” หลิ่วสุยเฟิงแสดงสีหน้าปลื้มอกปลื้มใจ หันไปหยิบจอกสุราแล้วจิบหนึ่งอึก

เสียงดนตรีแว่วดังขึ้น นางรำแถวหนึ่งส่ายสะบัดแขนเสื้อยาวพลิ้วไหว เยื้องย่างเข้ามา

หลิ่วสุยเฟิงเอนพิงไท่สุ้ยพลางกระซิบข้างหูเขา “เจ้าเห็นสิ่งใดจากแม่นางที่รำอยู่แถวหน้าบ้าง”

เดิมทีไท่สุ้ยไม่กล้าชมดู แต่พอหลิ่วสุยเฟิงสอบถามก็รีบทำใจให้สงบ มองตามสายตาหลิ่วสุยเฟิงไป จากนั้นเก็บสายตากลับมาอย่างว่องไว แล้วกระซิบบอกหลิ่วสุยเฟิง “เสื้อผ้าสวมน้อยไปสักหน่อย แหวกอกต่ำไปสักนิด”

“พรืด!” หลิ่วสุยเฟิงหัวเราะพรวดอย่างขบขัน ส่ายหน้าเอ่ย “แปดเก้าในสิบส่วนนางเป็นคนกว่างหนาน157 ราษฎรอพยพ ฐานะทางบ้านยากจนข้นแค้น ยอมขายตัวเองเข้ามา โลภมาก นิสัยชอบเอาชนะ ใช้การได้ แต่ไม่อาจไว้ใจลึกซึ้ง”

ไท่สุ้ยตื่นตะลึง ถามเสียงเบา “ท่านดูออกได้อย่างไร”

หลิ่วสุยเฟิงเอนพิงร่างไท่สุ้ย จิบสุราอึกเล็ก อธิบายเสียงค่อย “เมื่อครู่นางร้องเรียกบรรดานางรำ ติดสำเนียงทางใต้ หากถูกลักพาตัวมาขายถึงที่นี่ ย่อมไม่ว่านอนสอนง่ายเช่นนี้ และนางเป็นหัวหน้านางรำ ได้รับความไว้วางใจของแม่เล้าอย่างมาก ย่อมเป็นเพราะนางขายตัวมาเอง มาที่นี่อย่างยินยอมพร้อมใจ”

ไท่สุ้ยสังเกตนางรำผู้นั้น ถามอย่างเลื่อมใส “ทางใต้กว้างใหญ่ถึงเพียงนั้น ท่านรู้ได้อย่างไรว่าเป็นกว่างหนาน”

หลิ่วสุยเฟิงหัวเราะเสียงหนึ่ง “อ่านรายงานให้มาก หนทางสัญจรเหนือใต้ไม่สะดวก ราษฎรทางใต้ไม่เดินทางมาทางเหนือง่ายๆ ดังนั้นระเหเร่ร่อนมาถึงทางเหนือย่อมเป็นเพราะสาเหตุที่หนักหนาสาหัส ทางกว่างหนานเมื่อห้าปีก่อนเกิดปรากฏการณ์ราษฎรอพยพ ชาวบ้านจำนวนมากทะลักเข้าสู่เมืองหลวง สตรีอ่อนแออย่างนางย่อมติดตามราษฎรอพยพเหล่านั้นเข้าเมืองหลวง ชนชั้นสตรีโดดเดี่ยวไร้ที่พึ่ง ขายตัวย่อมมีเหตุผล”

ไท่สุ้ยประหลาดใจ “เช่นนั้นนิสัยชอบเอาชนะดูออกได้อย่างไร และด้วยเหตุใดจึงกล่าวว่านางใช้การได้ แต่เชื่อใจไม่ได้”

หลิ่วสุยเฟิงวิเคราะห์อย่างไม่รีบร้อน “เจ้าดูรูปร่างของนาง ช่วงบั้นเอวแผ่นหลังตั้งตรง เงยหน้าคิ้วเชิด พยายามทำตัวให้โดดเด่นกว่าคนรอบข้าง ก็รู้ได้ว่านางคุ้นชินกับการออกหน้าออกตา อีกทั้งปิ่นปักผม กำไลข้อมือ และปิ่นเสียบทองคำของนาง ล้วนเป็นสิ่งของที่นิยมในสมัยนี้ ราคาไม่สามัญ นางรำคนอื่นต่างจากนางลิบลับ คลุกคลีในหอคณิกาจนถึงขั้นนี้ เห็นได้ว่าลูกไม้เล่ห์เหลี่ยมนางไม่ธรรมดา ย่อมรู้จักสังเกตสีหน้าและท่าทาง คนประเภทนี้ใช้การได้ดี เพราะขอเพียงมีผลประโยชน์ก็ไม่ปฏิเสธผู้ใด กล่าวว่านางไม่อาจไว้ใจ เพราะนางเห็นแต่ผลประโยชน์ถ่ายเดียว เพียงพลั้งเผลอย่อมถูกนางหักหลัง”

ไท่สุ้ยอึ้งงันพูดไม่ออก ผ่านไปสักพักถึงยกนิ้วโป้งเอ่ยชมเสียงเบา “ร้ายกาจมาก”

 

ไคหยางเดินอยู่บนถนน ใบหน้าผุดรอยยิ้มบาง ในใจนึกถึงเมิ่งตงที่เพิ่งรู้จักเมื่อครู่ ทันใดนั้นมือข้างหนึ่งก็ยื่นมาตบบ่านางจากด้านหลัง ไคหยางหันกลับไปอย่างตื่นตัว พบว่าเป็นเหยากวง

“เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร” ไคหยางออกจะแปลกใจ

หน้าตาเหยากวงบูดบึ้ง ทำปากเบ้ วิ่งเข้ามากอดแขนไคหยางพลางถามเสียงออดอ้อน “วันนี้ท่านออกมาไฉนไม่บอกข้าสักคำ”

“ข้าไปสั่งทำชิ้นส่วน เจ้ามิใช่ไม่ชอบหรอกหรือ...”

ทั้งสองคนเดินไปพลางสนทนาไปพลาง

ไคหยางยิ้มก่อนเล่า “หุ่นแมงมุมตัวนั้นของข้าใช้การไม่สะดวกคล่องแคล่ว ดังนั้นจึงออกแบบใหม่ ไปสั่งทำชิ้นส่วนพิเศษที่ถนนนายช่าง”

“อ้อ!” เหยากวงพยักหน้า ถามอย่างไม่ค่อยเข้าใจ “พี่ไคหยาง ไฉนท่านไม่ทำเอง”

ไคหยางส่ายหน้าอย่างจนใจ ยิ้มขมขื่นก่อนตอบ “ข้ามิได้มีสามเศียรหกกร จะถึงพร้อมทุกด้านได้อย่างไร เจ้าไม่รู้ว่าหุ่นตัวหนึ่งมีชิ้นส่วนมากเท่าใด หากทุกอย่างข้าต้องทำเอง ไม่เหนื่อยตายหรือ”

เหยากวงพยักหน้า ไม่ถามต่ออีก

ไคหยางมองนางอย่างสงสัยใคร่รู้ พลางถาม “วันนี้เจ้าร้อนใจตามหาข้า มีเรื่องใดหรือ”

เหยากวงถึงได้นึกถึงเป้าหมายของตนขึ้นมาได้ ร้องโวยวายทันที “พี่ไคหยาง หลิ่วสุยเฟิงเศษสวะนั่นพาไท่สุ้ยไปหงซิ่วเจาแล้ว!”

ไคหยางตกใจ “หา? เขา...” กำลังจะถามอีก เหยากวงก็ลากนางวิ่งอย่างร้อนอกร้อนใจ นางรีบตะโกน

“เร็วๆๆ สายกว่านี้ก็ไม่ทันแล้ว”

สองคนเร่งรุดไปทางหงซิ่วเจา

 

ในห้องเหมาในหงซิ่วเจา หลิ่วสุยเฟิงเปลี่ยนอิริยาบถ ฉวยจังหวะขณะรินสุรา ยิ้มบอกไท่สุ้ย “เจ้าลองดูนางรำคนอื่นๆ อีก”

ไท่สุ้ยเอ่ยด้วยสีหน้าเซื่องซึม “ดูอันใดกัน แม่นางเหล่านี้ดีแต่บิดไปส่ายมา ดูไม่ออกโดยสิ้นเชิงว่ามาแต่ที่ใด”

หลิ่วสุยเฟิงจิบสุรายิ้มก่อนเอ่ย “ตั้งใจดู เจ้าจะเห็นข่าวคราวที่ซุกซ่อนอยู่บนตัวพวกนาง ลองวิเคราะห์นางที่อยู่ทางขวามือ เป็นไปได้มากว่าชาติกำเนิดไม่ต่ำต้อย และไม่เต็มใจถูกขายเข้ามาในหอคณิกา ไม่เป็นที่ยอมรับในบรรดาสตรีด้วยกัน ที่แม่เล้ากล่าวว่านางขายศิลป์ ไม่ขายตัว อาจมีเพียงนางผู้เดียว”

ไท่สุ้ยประหลาดใจ หลิ่วสุยเฟิงมองฝีเท้าที่บรรดานางรำย่ำเหยียบบนพื้น ตำแหน่งยืนของนางรำที่เขากล่าวถึงห่างจากผู้อื่นค่อนข้างมาก

หลิ่วสุยเฟิงเอ่ยอย่างไม่ช้าไม่เร็ว “เจ้าดูตำแหน่งของนาง หากมิใช่นางไม่ได้รับการยอมรับจากทุกคน ถึงได้ยืนห่างออกไป ก็เป็นนางมีจิตใจงดงามคุณธรรมสูงส่งเกินไป รังเกียจที่จะไปยืนรวมกลุ่มกับคนอื่น”

ไท่สุ้ยมองประเมินนางรำผู้นั้น “อือ ความสัมพันธ์ของนางกับนางรำคนอื่นดูแล้วไม่ค่อยดีอย่างแท้จริง แต่นี่ก็อาจเป็นเพราะนางมีอุปนิสัยใจคอไม่ดี เหตุใดกล่าวว่านางชาติกำเนิดไม่ต่ำต้อย และไม่เต็มใจเป็นนางรำ”

หลิ่วสุยเฟิงชี้แนะ “เจ้าดูที่ข้อศอกนาง”

ท่วงท่าร่ายรำของนางเป็นท่ายกแขนพอดี เมื่อนางยกแขนขึ้น ไท่สุ้ยก็ตกตะลึงที่เห็นรอยฟกช้ำรางๆ ตรงเหนือข้อศอกส่วนที่แพรพรรณบางเบาปิดคลุม

หลิ่วสุยเฟิงอธิบายอย่างไม่รีบร้อน “ผลอย่างเดียวกันอาจมิใช่เกิดจากสาเหตุเดียวกัน ดังนั้นพวกเราต้องตัดออกไปทีละอย่าง เจ้าดูรอยแผลตรงช่วงแขน เด่นชัดว่าถูกตีเพราะไม่เชื่อฟัง ดังนั้นข้าถึงบอกว่านางไม่เต็มใจ”

ไท่สุ้ยเชื่อแล้ว แต่ปากกลับไม่ยอมจำนน “เช่นนั้น... ท่านว่านางชาติกำเนิดไม่ต่ำต้อย เอ่ยมาแต่ที่ใดกัน เพราะอากัปกิริยาท่วงท่าของนางไม่สามัญหรือ”

“เจ้าก็ดูออกแล้วหรือ แต่สิ่งเหล่านี้อาจเป็นเพราะการอบรมสั่งสอน ดังนั้นไม่อาจเป็นข้ออ้างอิง”

“เช่นนั้น...”

“ท่วงท่าของนางไม่อาจนับว่าสูงส่งเลิศล้ำ ท่าร่ายรำไม่ถือว่าโดดเด่น ทั้งไม่ยอมรับการอบรมสั่งสอน กลับยังคงอยู่ในคณะที่มีค่าตัวสูงที่สุดได้ เช่นนั้นตัวนางย่อมมีความโดดเด่นเฉพาะ”

ไท่สุ้ยตกตะลึงขณะมองหลิ่วสุยเฟิงตอบยืดยาว

สีหน้าหลิ่วสุยเฟิงเริ่มเข้มงวด “เมื่อเจ้าวิเคราะห์แยกแยะ อย่าลืมนึกถึงสภาพแวดล้อมที่บุคคลนั้นดำรงอยู่ ที่นี่คือหอคณิกา แม่นางที่ใช่ว่าจะหาผู้ใดมาทดแทนมิได้ กลับถูกแม่เล้ารั้งให้อยู่ที่นี่ นางย่อมมีจุดเด่นบางอย่างที่แม่นางอื่นๆ ไม่มี”

หลิ่วสุยเฟิงมองไท่สุ้ยพลางถาม “คนผู้หนึ่งนอกจากรูปโฉมหลังกำเนิดและความสามารถแล้ว ยังมีสิ่งใดรอขายตอนราคาดีได้อีก”

ไท่สุ้ยมองหลิ่วสุยเฟิงก่อนโพล่งตอบ “ฐานะที่ได้มาแต่กำเนิด”

หลิ่วสุยเฟิงพยักหน้า จากนั้นก็เบือนหน้าไปมองนางผู้นั้นอย่างเวทนาสงสาร “กมลสันดานอันชั่วร้ายแห่งมนุษย์ทำให้บางคนยินยอมจ่ายราคาสูงเพื่อหยามหยันบรรดาคุณหนูตระกูลใหญ่ ซึ่งเดิมทีมีชาติกำเนิดสูงส่ง”

ไท่สุ้ยมองนางผู้นั้นอย่างตกตะลึง ในดวงตาฉายแววอดรนทนไม่ได้ “นี่ก็น่าอนาถเกินไปแล้วกระมัง”

“มีสติหน่อย นางชอกช้ำหรือไม่ไม่เกี่ยวกับพวกเรา อาจเป็นเพราะทางบ้านบังเกิดขุนนางละโมบหรืออาจถูกปรักปรำกล่าวร้าย แต่ที่ข้าชี้แนะเรื่องเหล่านี้ให้รู้ เพื่อบอกเจ้าว่าข่าวคราวจากคนประเภทนี้น่าเชื่อถือมากที่สุด”

หลิ่วสุยเฟิงมองประเมินดรุณีซึ่งแฝงท่าทีหัวแข็งดื้อรั้นผู้นั้น เอ่ยด้วยสีหน้าเรียบเฉย “นางไม่เชื่อผู้ใดง่ายดาย แต่ขอเพียงเจ้าทำให้นางเชื่อใจเจ้าได้ วาจาที่นางเอ่ยกล่าวย่อมเป็นความจริงแน่นอน”

 

ไคหยางและเหยากวงยืนหน้าหงซิ่วเจา ไคหยางเงยหน้ามองซุ้มป้ายโดดเด่นงดงามสะดุดตา หันหน้าไปสอบถาม “เป็นที่นี่หรือ”

เหยากวงชี้ป้ายอย่างฮึดฮัดขณะตอบ “ใช่ ข้าถามทางแล้ว หงซิ่วเจามีเพียงที่นี่ เป็นหอคณิกาใหญ่ที่สุดในเมืองหลวง”

ไคหยางปรายตามองท่าทางกระฟัดกระเฟียดของเหยากวงแวบหนึ่งแล้วยิ้มในหน้า ก่อนหมุนตัวจากไป “คนเขาเที่ยวหอคณิกาของเขา เกี่ยวอันใดกับพวกเรา ไปเถอะ”

เหยากวงอึ้งงันอยู่กับที่ พอได้สติก็วิ่งไปรั้งไคหยางไว้ เอ่ยอย่างเคืองขุ่น “พี่ไคหยาง ท่านจะเอาแต่มองพวกเขาทำตัวตกต่ำเสื่อมทรามแบบนี้หรือ”

ไคหยางตอบเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น “พวกเราเกี่ยวข้องอันใดกับพวกเขา อาศัยสิ่งใดยุ่งเรื่องส่วนตัวของผู้อื่น”

เหยากวงจนคำพูด “นี่...นี่...”

ไคหยางเอ่ยกระเซ้า “เว้นเสียแต่ว่า... เจ้าชอบพวกเขาคนใดคนหนึ่ง”

เหยากวงโต้แย้งเสียงดัง “ผู้ใด... ผู้ใดชอบไท่สุ้ย ท่านอย่ากล่าวสุ่มสี่สุ่มห้า!”

ไคหยางหัวเราะพรวด เอ่ยเย้าเหยากวง “หือ? ข้ากล่าวว่าเจ้าชอบไท่สุ้ยหรือ”

เหยากวงถูกไคหยางล้อจนทำอันใดไม่ถูก ทั้งน้อยเนื้อต่ำใจทั้งโมโห “ได้ๆ ข้าไม่สนใจก็ได้แล้วกระมัง ข้า...ข้าไป!”

เหยากวงเดินจากไปอย่างโกรธเคือง แต่ถูกไคหยางดึงตัวกลับมา “เจ้าเดินผิดทางแล้ว”

เหยากวงบุ้ยปากมองไคหยาง ไคหยางอดกลั้นหัวเราะมิได้ ชี้ไปที่ป้ายหงซิ่วเจาแล้วกล่าว

“พวกเขาเพลิดเพลินอยู่ในสถานเริงรมย์กลางวันแสกๆ นี่ทำให้เสียภาพลักษณ์และชื่อเสียงของหน่วยดาวพิฆาตของพวกเราอย่างมาก ในฐานะส่วนหนึ่งของหน่วยดาวพิฆาต เพื่อปกป้องหน่วยดาวพิฆาต พวกเราสมควรยื่นมือเข้าไปจัดการ”

ดวงตาเหยากวงเปล่งประกาย มองไคหยางแล้วพยักหน้าสุดกำลัง

ไคหยางกล่าวอีก “ในเมื่อสมควรจัดการ เช่นนั้นยังไม่รีบลงมืออีกหรือ หากไปถึงช้าไป พวกเขากระทำผิดมหันต์แล้ว!”

เหยากวงได้แรงสนับสนุน กลายเป็นคึกคักฮึกเหิมดุจมังกรทะยานพยัคฆ์ผาดโผน ถลกแขนเสื้อโผนพุ่งไปทางหงซิ่วเจา ตะโกนลั่น “สองคนถ่อยแซ่หลิ่วแซ่ไท่ ไสหัวออกมาหาข้าเสียดีๆ!”

 

ในหอชิงเฉิง เสียงเพลงประกอบการร่ายระบำดำเนินมาถึงช่วงท้าย

หลิ่วสุยเฟิงเขย่าจอกสุราแล้วหัวเราะแผ่วเบา “เรียกพวกนางมาเป็นเพื่อนเจ้าเถอะ”

ไท่สุ้ยกำลังตั้งอกตั้งใจสังเกตนางรำ หวังมองบางอย่างให้ออกจากอากัปกิริยา สีหน้าและเสื้อผ้าอาภรณ์ของพวกนาง เมื่อได้ฟังคำนี้ก็สะดุ้งโหยง รีบยกมือโบกปฏิเสธเป็นพัลวัน “ไม่ๆๆ นี่ก็ไม่ต้องแล้ว”

หลิ่วสุยเฟิงเอ่ยยิ้มๆ “หอนางโลม ผู้มามากมายหลากหลาย ฐานะชนชั้น อุปนิสัยใจคอแตกต่าง สามศาสนาเก้าสาขา158 ล้วนมีสิ้น ส่วนแม่นางเหล่านี้ขับกล่อมมอบความบันเทิงแก่ผู้คนด้วยดนตรีและรูปโฉม ต้องคอยสังเกตสีหน้าผู้คน ดังนั้นความสามารถในการสังเกตวาจาและสีหน้าไม่มีผู้ใดทัดเทียม พวกนางนี้เป็นอาจารย์ที่ดีที่สุด”

หลิ่วสุยเฟิงบอกพลางกวักมือเรียกนางรำที่ร่ายระบำแล้วเสร็จ ดนตรีหยุดลงพอดี บรรดานางรำยิ้มหน้าระรื่นประชิดเข้ามา แบ่งนั่งข้างกายพวกเขา

ไท่สุ้ยระมัดระวังตัวอย่างมาก ใบหน้าแดงซ่าน

หลิ่วสุยเฟิงยิ้มในหน้า “ไท่สุ้ย ตึงเครียดไปหน่อยกระมัง”

ไท่สุ้ยปาดเหงื่อ ผลักเนื้อชิ้นหนึ่งและจอกสุราที่ยื่นมาจ่อข้างริมฝีปาก ยิ้มอย่างตะขิดตะขวงใจ “แม่นางเหล่านี้ช่างเอื้ออารีเกินไปแล้ว”

หลิ่วสุยเฟิงยิ้มตอบ “ยังคงเป็นแม่นางอ่อนโยนดุจสายน้ำ อุปนิสัยใจคอนุ่มนวลอย่างไคหยางถึงถูกใจเจ้ากระมัง”

สองตาไท่สุ้ยสว่างวาบ พยักหน้าเป็นระยะ “อือ ใช่แล้ว! สตรีน่ารักอ่อนโยนอย่างพี่ไคหยางถึงเป็นที่ชื่นชอบ”

แววตาหลิ่วสุยเฟิงวูบไหว มองปราดไปทางด้านนอกอย่างรวดเร็วแวบหนึ่งเหมือนจับสังเกตได้

หลิ่วสุยเฟิงเปลี่ยนท่าทีมาสุขุมฉับพลัน มองไปทางไท่สุ้ย ยิ้มตาหยีถาม “แล้วเหยากวงเล่า”

“นาง?” ไท่สุ้ยแบะปากอย่างหมิ่นแคลน “พละกำลังทั้งร่างมากกว่าบุรุษ กระทำการวู่วาม นิสัยใจคอค่อนไปทางมุทะลุ เวลาโมโหน่าขวัญผวาเสียยิ่งกว่าลิงยักษ์ หากผู้ใดชอบนาง ย่อมเป็นเพราะก่อกรรมทำเข็ญมาเก้าชาติภพ สวรรค์ลงทัณฑ์”

เพิ่งสิ้นเสียงไท่สุ้ย บานประตูพลันระเบิดออกเสียงดังปัง ท่ามกลางเศษไม้กระเด็นปลิวว่อน เหยากวงทะยานลงมาจากฟากฟ้า

ไท่สุ้ยตะลึงงัน เพิ่งลุกยืนขึ้น ยังไม่ทันตั้งสติก็ถูกถีบลอยหวือ กลิ้งหลุนๆ กลางอากาศก่อนร่วงหล่น ใบหน้าปะทะกับพื้นอย่างจัง

เหยากวงเหยียบบนแผ่นหลังไท่สุ้ย เอ่ยอย่างเดือดดาล “เจ้าเด็กเมื่อวานซืนเหม็นเน่า นินทาว่าร้ายอาจารย์ลับหลังอีกแล้ว”

ไท่สุ้ยถูกนางเหยียบจนแทบสิ้นลม ดิ้นรนบนพื้นอย่างไร้ผล หายใจระรวยพลางโอดครวญ “ชะ...ช่วยด้วย!”

หลิ่วสุยเฟิงรู้ดีว่าเขาไม่มีทางมอดม้วยจึงไม่รีบร้อน ถือจอกสุราค้างไว้ไม่ขยับเขยื้อน ยิ้มขณะมองทั้งคู่

บัดนี้เสียงร้องรำพันของแม่เล้าดังแว่วมาจากทางประตู “แม่นาง มิได้... ทำมิได้”

นอกประตูมีมือของไคหยางยื่นเข้ามา บนมือครอบด้วยแขนกลไก กระชากเศษไม้ที่เหลือค้างบนขอบประตูออก ไคหยางปรากฏตัวพร้อมรอยยิ้มบางอย่างอ่อนโยน ค่อยๆ เก็บแขนกลไกกลับไป

แม่เล้าปรากฏตัว ท่าทางอยากปรี่เข้ามาต่อว่าต่อขานแต่ก็หวาดกลัวกระนั้น

ไคหยางหันไปมองแล้วยิ้ม ชี้แขนกลไกไปที่หลิ่วสุยเฟิง บอกแม่เล้า “อย่ากังวล สิ่งของที่เสียหายเขาชดใช้”

หลิ่วสุยเฟิงยิ้มค้าง เบิกตาโพลงอย่างตกใจ “หา?”

เหยากวงกล่าวอย่างฮึดฮัด “ถูกต้อง! อย่างไรเสียในบรรดาพวกเรา เบี้ยหวัดท่านมากที่สุด”

มองท่าทางสองคน หนึ่งยิ้มหนึ่งโมโหโทโส แล้วมองไท่สุ้ยซึ่งนอนแผ่บนพื้น ดูท่าใกล้จะหมดลมกระนั้น หลิ่วสุยเฟิงจึงได้แต่ก่ายหน้าผาก ยิ้มขมขื่นอย่างจนใจ

 

ทั้งสี่คนออกจากประตู เดินอยู่บนถนนด้วยสีหน้าแตกต่างกัน

เหยากวงบิดหูไท่สุ้ยพลางตำหนิ “เจ้าช่างกล้านัก เพิ่งมาถึงเปี้ยนเหลียงไม่กี่วัน ก็กล้าเข้าไปเกลือกกลั้วในสถานประโลมโลก ยังมีอันใดที่เจ้าไม่กล้ากระทำอีกบ้าง”

“โอ๊ย! เจ็บ เจ็บ สีฟู่เบาๆ หน่อย...” ไท่สุ้ยดิ้นรนกว่าจะหลุดพ้นกรงเล็บมารของเหยากวงมาได้อย่างยากเย็น มือกุมใบหูพลางร้องโวย “พวกเราไม่ได้มาเกลือกกลั้ว พวกเรามีเรื่องเป็นการเป็นงานต้องทำ!”

เหยากวงยิ้มเย็นชาก่อนเอ่ย “เรื่องเป็นการเป็นงาน? เจ้ามีเรื่องเป็นการเป็นงานใดกัน”

“ไม่ใช่ข้า เป็นต้าหลิ่ว สอนข้าเรื่องเป็นการเป็นงาน”

“เขา? ตัวเขานั่นละไม่เป็นการเป็นงาน ยังสอนอันใดเจ้าได้อีก ข้าถึงเป็นผู้บังคับบัญชาเจ้า ตอนนี้เป็นอาจารย์ของเจ้า เจ้าอยากเรียนรู้สิ่งใดไยไม่บอกกล่าวข้า จำเป็นต้องให้เขาสอน”

“เจ้า... ช่างเถอะ นิสัยมุทะลุดุดัน ข้าคร้านจะบอกเจ้า” ไท่สุ้ยทำสีหน้ารังเกียจ

เหยากวงเดือดปุดๆ ยกขาเตะน่องไท่สุ้ยครั้งหนึ่ง “ยังกล้าปากดี ช่างไม่รู้จักเรียนรู้เรื่องดี คอยดู ข้าจะรายงานใต้เท้าผู้บังคับการ”

ไคหยางและหลิ่วสุยเฟิงเดินเคียงบ่าเคียงไหล่อยู่เบื้องหน้า คนหนึ่งอ่อนละมุนดั่งสายน้ำ อีกคนสง่าหล่อเหลา ก่อตัวเป็นข้อเปรียบเทียบที่แตกต่างโดยสิ้นเชิงกับสองคนที่ทะเลาะถกเถียงกันอยู่ข้างหลัง

ไคหยางหันไปมองทั้งสองคนปราดหนึ่ง เอ่ยอย่างจนใจ “ท่านก็หาเรื่องเกินไปแล้ว ไท่สุ้ยเพิ่งมาไม่กี่วัน พาเขามาสถานที่เช่นนี้ ไม่กลัวว่าเขานิสัยใจคอยังอ่อนเยาว์ ไม่หนักแน่นเพียงพอ นับจากนี้ลุ่มหลงในตัณหาราคะหรอกหรือ”

หลิ่วสุยเฟิงยิ้มตอบ “ข้าเพียงสอนให้เขารู้จักการมองคน จะว่าไปให้เขามีประสบการณ์ถึงจะไม่ถูกโลกีย์มอมเมาจิตใจ ในฐานะสมาชิกของหน่วยดาวพิฆาต ย่อมประสบพบเจอคู่ต่อสู้ทุกรูปแบบ อย่างคราวก่อนที่ปลอมเป็นเซียนจิ้งจอก หากไท่สุ้ยยังอ่อนต่อโลก อาจถูกนางหลอกลวงเอาได้ง่ายดายแล้ว”

ไคหยางส่ายหน้า ยิ้มบางก่อนกล่าว “ท่านน่ะ... เหตุผลบูดเบี้ยวเต็มปาก”

หลิ่วสุยเฟิงมองรอยยิ้มจับใจผู้คนของไคหยาง อดถามหนึ่งประโยคมิได้ “เหยากวงมาเพราะไท่สุ้ย เจ้าเล่า?”

ไคหยางมองหลิ่วสุยเฟิงด้วยแววตาตาลึกซึ้งก่อนเอ่ย “ข้า? ข้าถูกลากมาเสริมทัพ”

หลิ่วสุยเฟิงส่ายหน้าพลางยิ้มเจื่อน

เหยากวงและไท่สุ้ยอยู่ด้านหลังพวกเขา เดินไปพลางลงมือไปพลาง

ไคหยางอดหันไปตักเตือนมิได้ “เหยากวง กลับไปค่อยสั่งสอนลูกศิษย์เถอะ บนถนน ระวังหน่อย”

เหยากวงซึ่งกำลังบีบลำคอไท่สุ้ยรู้สึกตัว รีบคลายมือพร้อมกับเอ่ย “อ้อ ทราบแล้ว”

ไท่สุ้ยนวดลำคอ ถลึงตาใส่เหยากวงอย่างดุดันครั้งหนึ่ง “สีฟู่ดุร้ายนัก ไม่อยากนับเจ้าเป็นสีฟู่แล้ว”

เหยากวงควงหมัดไปตรงหน้า แสดงท่าทีข่มขู่ “เป็น ‘ซือ’ (อาจารย์) เพียงหนึ่งวัน ดั่งเป็น ‘ฟู่’ (บิดา) ทั้งชีวิต!”

ไท่สุ้ยรับคำอย่างหน้าม่อยคอตก “อือ เป็น ‘สี’ (ภรรยา) เพียงหนึ่งวัน ดั่งเป็น ‘ฟู่’ (หญิงมีสามี) ทั้งชีวิต159”

เหยากวงฟังความนัยไม่ออก ใบหน้าฉายแววกระหยิ่มยิ้มย่อง ไคหยางและหลิ่วสุยเฟิงกลับฟังอย่างกระจ่างชัดแจ้ง อดสบตากันแล้วยิ้มมิได้

ทั้งสี่คนเดินคุยยิ้มหัวผ่านหัวมุมถนน พลันพบว่าหนทางเบื้องหน้าแออัดไปด้วยฝูงชน ขบวนรถม้าเกียรติยศแถวหนึ่งแห่ผ่านตลาดร้านรวง ทั้งสี่คนหยุดที่หัวมุมถนนมองดูขบวนผ่านไป

เหยากวงและไท่สุ้ยยืนเคียงบ่าเคียงไหล่ชะเง้อชะแง้อยู่เบื้องหน้า ไท่สุ้ยเขย่งปลายเท้ามองอย่างฉงนสงสัยก่อนถาม “นี่ขบวนรถม้าของตระกูลใดกัน น่าเกรงขามนัก!”

เหยากวงเพ่งสายตามอง “ใต้พระบรมเดชานุภาพ ยิ่งเป็นขุนนางบุญหนักศักดิ์ใหญ่ยิ่งรู้จักบันยะบันยังเก็บท่าที ดูพวกเขาวางมาดโอหังกำเริบเสิบสาน สมควรเป็นพวกเพิ่งมีอำนาจอิทธิพลกระมัง”

หลิ่วสุยเฟิงมองรถม้า คล้ายดูบางอย่างออก กดบ่าไท่สุ้ยแล้วกล่าว “พวกเราไปเถอะ”

ไท่สุ้ยถามอย่างไม่เข้าใจ “ไปอันใดกัน ไม่ชมดูความคึกคักหรอกหรือ”

หลิ่วสุยเฟิงไม่เปิดโอกาสให้เอ่ยคำ ยกมือดันไท่สุ้ย ในที่สุดไท่สุ้ยก็เตรียมผละจากไป มิคาดว่าฝูงชนจู่ๆ ก็บังเกิดเสียงฮือฮาโกลาหล

“เซียนกูมาแล้ว! เซียนกูมาแล้ว!”

บนใบหน้าหลิ่วสุยเฟิงปรากฏแววกลัดกลุ้มจนใจ เห็นเพียงขบวนเกียรติยศตรงหน้าผ่านไป รถม้าด้านหลังก็เคลื่อนเข้ามา ผู้ติดตามหน้าหลังรถม้าล้วนสวมชุดนักพรต ผ่านไปถึงที่ใด ชาวบ้านร้านช่องต่างก็กราบไหว้ขอพร เรียกขานเสียงสูง

“เต๋อเมี่ยวเซียนกู! เต๋อเมี่ยวเซียนกู!”

เหยากวงตาเบิกโพลงอย่างประหลาดใจ พลันเหมือนรู้สึกได้ รีบหันไปมองสีหน้าของไท่สุ้ย

ไท่สุ้ยยืนอยู่ตรงนั้น สายตาโหดเหี้ยมดุดันจ้องมองรถม้ากลางขบวน ใบหน้าค่อยๆ บิดเบี้ยวเหยเก

เต๋อเมี่ยวซึ่งอยู่ในรถม้าเลิกผ้าม่านขึ้น โผล่ศีรษะออกมาจงใจโบกมืออย่างงามสง่าให้ชาวประชา

ไท่สุ้ยกำหมัดแน่นโดยไม่รู้ตัว ก้าวไปเบื้องหน้ากะทันหัน

เหยากวงรีบดึงรั้งแขนไท่สุ้ย เรียกเสียงต่ำ “ไท่สุ้ย!”

หลิ่วสุยเฟิงระแวดระวังตื่นตัว ปรามเสียงต่ำ “ไท่สุ้ย สงบอารมณ์!”

ไท่สุ้ยตั้งสติได้ ก้มหน้ามองหมัดของตนแล้วค่อยๆ คลายมือออก

ไคหยางโล่งใจ เอ่ยโน้มน้าวเสียงอ่อนโยน “ลูกผู้ชายแก้แค้นสิบปีไม่สาย ให้นางลำพองไปได้ชั่วครู่ชั่วยามช่างปะไร”

ไท่สุ้ยค่อยๆ ผ่อนลมหายใจออก แล้วพยักหน้าแผ่วเบา

ขบวนรถม้าของเต๋อเมี่ยวเคลื่อนไปไกล บรรดาชาวบ้านที่คุกเข่ากราบไหว้ต่างลุกขึ้น กระซิบกระซาบกันอย่างตื่นเต้นดีใจ

ไท่สุ้ยหมุนตัวกลับมา เห็นสีหน้าห่วงใยสุดแสนของทั้งสามคนจึงเอ่ยน้ำเสียงหนักแน่น “พวกท่านวางใจ ข้าไม่ผลีผลามวู่วาม ข้าจะอดทนจนนางเปิดเผยพิรุธ”

หลิ่วสุยเฟิงสบตากับไคหยางแวบหนึ่ง ต่างยิ้มอย่างยินดี เหยากวงกลับประหลาดใจอยู่บ้าง คิดไม่ถึงว่าไท่สุ้ยจะสะกดกลั้นความแค้นไว้ได้ อ้าปากจะเอ่ยคำ ดีที่หลิ่วสุยเฟิงระวังแต่แรกแล้ว ถลึงตาดุใส่เหยากวง นางถึงได้ไม่เปล่งเสียง มิเช่นนั้นนางอาจกล่าวถ้อยคำกระตุ้นไท่สุ้ย หากกระตุ้นเพลิงโทสะที่กว่าจะสะกดกลั้นได้อย่างยากเย็นของไท่สุ้ยขึ้นมาอีก ถึงตอนนั้นยังมิรู้ว่าจะยุติอย่างไร

จนกระทั่งขบวนรถเคลื่อนออกไปไกล ไท่สุ้ยถึงได้ระบายลมหายใจยาว หน้าดำคร่ำเครียดเดินไปทางหน่วยดาวพิฆาต หลิ่วสุยเฟิงและคนอื่นๆ ต่างสบตากันแล้วรีบติดตามไป ตลอดทางไม่เอ่ยปลอบใจ

 

ติงเว่ยนั่งตรงที่นั่งประธานในโถงรับแขก สวมชุดลำลองสีคราม เด่นชัดว่าเรียบง่าย แต่ไม่พร่องความสง่าลุ่มลึก

นักพรตหญิงในชุดขาวใบหน้าแดงเปล่งปลั่งนั่งตรงที่นั่งแขก เป็นเต๋อเมี่ยวนั่นเอง

“เซียนกูมาเยือน มิทราบว่ามาด้วยธุระใด” ติงเว่ยถามยิ้มๆ

เต๋อเมี่ยวยิ้มพลางพยักหน้าให้ลูกศิษย์หญิงที่ยืนคอยปรนนิบัติ ลูกศิษย์ประคองกล่องยาวเดินขึ้นหน้ามาสองก้าวแล้วเปิดออก ด้านในปรากฏคทาหรูอี้หยกม่วงเล่มหนึ่ง

“นี่คือคทาหรูอี้หยกม่วงที่ฝ่าบาทพระราชทานแก่ข้า เต๋อเมี่ยวได้รับความกรุณาเมตตามากมายจากติงเซี่ยงกง ไม่มีสิ่งใดตอบแทน ดังนั้นยืมดอกไม้ถวายพระ มอบสิ่งนี้แด่เซี่ยงกง”

ติงเว่ยกวาดตามองปราดหนึ่งแล้วลูบเครายิ้มในหน้า เหลือบมองเต๋อเมี่ยว เห็นนางคล้ายมีเรื่องในใจ จึงเลิกคิ้วถาม “เซียนกู หากยังมีเรื่อง เอ่ยปากก็ได้แล้ว ระหว่างเจ้ากับข้ายังต้องปิดบังอีกหรือ”

เต๋อเมี่ยวปิดปากยิ้ม “เซี่ยงกงสายตาแหลมคม เต๋อเมี่ยวปิดบังท่านมิได้”

ติงเว่ยพยักหน้าสำทับ “เอ่ยเถิด ไม่ต้องกังวล”

เต๋อเมี่ยวกระแอมเสียงเบา ทำสีหน้าลำบากใจ “เซี่ยงกงสอบถาม เต๋อเมี่ยวก็ไม่ปิดบังแล้ว บัดนี้แม้ฝ่าบาททรงเลื่อมใสโปรดปราน กระนั้นปรมาจารย์ในอารามมีหกเจ็ดท่านแล้ว เต๋อเมี่ยวไม่นับว่าโดดเด่นที่สุด...” กล่าวถึงตรงนี้ เต๋อเมี่ยวก็ชะงักไป ช้อนตามองติงเว่ยแล้วเอ่ย

“ในบรรดานั้นเคยได้รับพระกรุณาถึงที่สุดไม่ขาด บัดนี้กลับไร้ชื่อไร้เสียง เต๋อเมี่ยวไม่อยากตกอยู่ในสภาพเช่นนั้นในวันหน้า ขอเซี่ยงกงช่วยชี้แนะ”

ได้ฟังคำขอร้องอย่างจริงใจของเต๋อเมี่ยว ใบหน้าติงเว่ยฉายความภาคภูมิใจ ลูบเคราเชื่องช้า กล่าวหลังจากยิ้ม “หึๆ คิดคงเสถียรภาพฐานะเป็นที่โปรดอย่างนั้นหรือ เทียบกับการทำให้เป็นที่โปรดปราน แน่นอนว่ายิ่งยากลำบากกว่า”

เต๋อเมี่ยวฉวยโอกาสประจบ “เซี่ยงกงเป็นตุ๊กตาล้มลุกในราชสำนัก เป็นไม้เขียวขจีอมตะในเส้นทางขุนนาง เรื่องทำให้เป็นที่โปรดยั่งยืนนานย่อมมีประสบการณ์”

ติงเว่ยยิ้มในหน้า “เรื่องนั้นอันที่จริงก็เหมือนการทำให้เป็นที่ทรงชื่นชอบ ล้วนต้องตอบสนองในสิ่งที่ฝ่าบาทโปรด! เป็นที่ทรงชื่นชอบนั้นง่าย เพราะเจ้ารู้เพียงว่าฝ่าบาททรงประสงค์สิ่งใด สำแดงความสามารถในการตอบสนองก็จะได้รับพระกรุณาของฝ่าบาท แต่ทำให้ยั่งยืนนานนั้น เจ้าต้องตอบสนองในสิ่งที่ทรงชื่นชอบไม่ขาดสาย ให้ทรงรู้สึกว่าเจ้าเป็นประโยชน์ใหญ่หลวงนักต่อพระองค์ ก็จะไม่ทรงเมินเฉยต่อเจ้า”

เต๋อเมี่ยวงงงวยอยู่บ้าง ขมวดคิ้วพึมพำ “ตอบสนองในสิ่งที่ทรงชื่นชอบ? เช่นนั้น... ข้าต้องสำแดงปาฏิหาริย์ของข้าต่อฝ่าบาทสืบเนื่องต่อไปหรือ”

ติงเว่ยส่ายหน้าแล้วเอ่ยยิ้มๆ “เพียงเท่านี้ไหนเลยจะได้พระทัยอย่างยั่งยืน หากศาสตร์เซียนของเจ้าใช้การมิได้ เช่นนั้นสำหรับฝ่าบาทแล้วก็ไม่ต่างอันใดกับพวกแสดงกายกรรมเล่นกล”

เต๋อเมี่ยวอึ้งงัน “นี่... เช่นนั้นเซี่ยงกงหมายความว่า?”

“ทุกคนล้วนมีความปรารถนา โอรสสวรรค์ก็เช่นกัน ความปรารถนาของปุถุชนคนธรรมดาก็หนีไม่พ้นสุรา นารี และทรัพย์สินเงินทอง แต่โอรสสวรรค์สูงศักดิ์เก้าห้าลัคนา160 รุ่มรวยครอบคลุมสี่สมุทร ทรัพย์สินแพรพรรณ ยอดกัลยา ความเจริญรุ่งเรืองหรูหราได้มาง่ายดาย เช่นนั้นยังทรงประสงค์สิ่งใดเล่า” ในดวงตาติงเว่ยสาดประกายเยาะเย้ยถากถางสายหนึ่ง ละม้ายบอกใบ้และคลับคล้ายเหยียดหยาม

“นั่นสิ ยังทรงประสงค์สิ่งใดกัน” เต๋อเมี่ยวเผยสีหน้าครุ่นคิดลึกซึ้ง

ติงเว่ยยิ้มมุมปาก ชูขึ้นมาหนึ่งนิ้ว “ข้อแรกก็คือแสวงหาอายุวัฒนะ นี่เป็นเรื่องที่ผู้เป็นฮ่องเต้ปรารถนา แต่ไม่สมปรารถนา”

เต๋อเมี่ยวเอ่ยลังเล “อายุวัฒนะ? หรือต้องถวายโอสถสุวรรณให้ฝ่าบาท ไม่ขอปิดบังความจริง เต๋อเมี่ยวไม่ชำนาญมรรคาโอสถ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการปรุงยาวิเศษ ในวังเองก็คงไม่ให้ฝ่าบาทเสวยง่ายๆ หากเกิดปัญหาเพียงเล็กน้อยขึ้น เช่นนั้นก็...”

ติงเว่ยยิ้มบางแล้วชูขึ้นมาอีกนิ้ว “ยังมีอีกข้อ นั่นคืออำนาจในแผ่นดิน! โอรสสวรรค์ที่ทรงเป็นกังวลที่สุดอย่างไรก็เป็นใต้ฟ้า อำนาจปกครองของพระองค์”

เต๋อเมี่ยวมีสีหน้างุนงง “อำนาจในแผ่นดิน? ฝ่าบาททรงเป็นผู้ปกครองใต้ฟ้า พวกเรายังทำอันใดได้”

ติงเว่ยมองปราดไปโดยรอบ ยิ้มพลางลุกขึ้นยืน “อุทยานของข้าเพิ่งบูรณะปรับปรุง สวยสดงดงามยิ่งนัก เซียนกูคิดชื่นชมทัศนียภาพสักเที่ยวหรือไม่”

เต๋อเมี่ยวเข้าใจความนัยจึงลุกขึ้นยืน “ต้องการเปิดหูเปิดตาพอดี”

 

อุทยานสงัดเงียบวิจิตร พฤกษานานาพรรณ ศิลารูปทรงแปลกตาจำนวนนับไม่ถ้วน ทะเลสาบเขียวมรกตกลางอุทยาน นกเป็ดน้ำฝูงหนึ่งลอยตัวบนผืนน้ำ

ทัศนียภาพแม้งดงาม แต่ทั้งสองคนที่เดินทอดน่องในอุทยานต่างไม่มีแก่ใจชื่นชม

ที่นี่เป็นส่วนที่สงัดเงียบที่สุดในจวน ไม่มีคำสั่งจากปากของติงเว่ย ถึงแม้เป็นฮูหยินหรือคุณชายก็มิกล้าย่ำกรายเข้ามา ด้วยเหตุนี้ติงเว่ยจึงไม่เอ่ยเป็นพิธีรีตองอย่างเมื่อครู่

ตลอดทางไร้วาจา เมื่อถึงกลางศาลาคลายร้อนริมทะเลสาบ เขาถึงเอ่ยปากอย่างเนิบช้า “ไท่จงฮ่องเต้ของราชสำนักทรงสืบทอดบัลลังก์ต่อจากไท่จู่ฮ่องเต้ พระเชษฐาองค์โตของพระองค์ ส่วนไท่จู่ฮ่องเต้ก็ทรงมีพระโอรส...”

“ปาเสียนอ๋อง?” เต๋อเมี่ยวตะลึงงัน โพล่งสามคำหลุดออกจากปาก

ติงเว่ยพยักหน้าเชื่องช้า สีหน้าเคร่งขรึม “มิผิด เป็นองค์ชายเต๋อฟาง (ชื่อเดิมของปาเสียนอ๋อง) พระโอรสของไท่จู่ฮ่องเต้ พระโอรสกลับมิได้ขึ้นครองบัลลังก์ แต่ไท่จงฮ่องเต้ซึ่งเป็นพระอนุชาของไท่จู่ฮ่องเต้ทรงขึ้นครองบัลลังก์แทน ในหมู่ราษฎรเกิดคำเล่าลือเลื่อนลอย...”

เต๋อเมี่ยวเอ่ยแทรก “มิใช่กล่าวกันว่าไท่จู่ฮ่องเต้และไท่จงฮ่องเต้ทรงยึดมั่นในพันธสัญญาหีบทอง161 ไท่จู่ฮ่องเต้ทรงอนุญาตแด่ไท่จงฮ่องเต้ซึ่งเป็นพระอนุชาให้ขึ้นครองบัลลังก์หรอกหรือ”

ติงเว่ยยิ้มในหน้า ใบหน้าปรากฏแววหยามหยัน “หีบทองนั้นประกาศหลังไท่จู่ฮ่องเต้สวรรคตไปแล้วหกปี นี่เป็นวัตถุพยานสำคัญสามารถพิสูจน์ว่า ไท่จงฮ่องเต้ทรงสืบต่อบัลลังก์อย่างถูกต้องตามกฎหมายถูกหลักทำนองคลองธรรม ไฉนต้องรอไท่จู่ฮ่องเต้สวรรคตไปแล้วหกปี ถูกระแวงเต็มที่แล้วถึงได้ประกาศออกมาเล่า”

เต๋อเมี่ยวกระจ่างฉับพลัน อุทานอย่างตกใจ “หรือว่า...”

“ข้ามิได้เอ่ยกล่าวอันใดเลย”

ติงเว่ยหยิบอาหารปลาจากโถที่วางบนโต๊ะกลางศาลาคลายร้อนขึ้นมาหนึ่งกำมือ ก่อนโปรยลงไปในทะเลสาบ ชมดูปลาหลีฝูงใหญ่ใต้ผืนน้ำกรูว่ายกันมาแย่งชิงอาหาร รอยยิ้มบางปรากฏบนใบหน้า

เต๋อเมี่ยวยังคิดสอบถาม แต่เห็นสถานการณ์นี้ จึงได้แต่สะกดกลั้น ไม่กล้ารบกวน

ลมแผ่วพลิ้วโชยปะทะใบหน้า ทั้งสองคนต่างนิ่งเงียบ

ผ่านไปอีกสักพัก ติงเว่ยถึงได้หันมามองเต๋อเมี่ยว ในดวงตาปรากฏแววแปลกประหลาด “โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถึงแม้พันธสัญญาหีบทองนี้เป็นของจริง ด้านบนก็ระบุไว้แล้วว่าบัลลังก์ในภายภาคหน้าต้องตกเป็นขององค์ชายเต๋อฟาง พระโอรสของไท่จู่ฮ่องเต้! แต่บัดนี้... บัลลังก์ตกอยู่ในเงื้อมมือผู้ใด”

เต๋อเมี่ยวพยักหน้า “เจินจงฮ่องเต้... พระโอรสของไท่จงฮ่องเต้”

ติงเว่ยหรี่ตา พยักหน้าพลางเอ่ย “มิผิด หากกล่าวว่าพันธสัญญาหีบทองเป็นของแท้ ไท่จงฮ่องเต้ทรงได้บัลลังก์มาโดยไม่ถูกต้องนั้นเป็นเพียงเสียงวิพากษ์วิจารณ์เพ้อเจ้อของราษฎร แต่เจินจงฮ่องเต้ทรงสืบต่อบัลลังก์จากไท่จงฮ่องเต้ นับได้ว่าทรงได้บัลลังก์มาโดยไม่ถูกต้องอย่างแท้จริง นี่... เป็นไข้ในพระทัยของฝ่าบาท!”

เต๋อเมี่ยวลองตรึกตรอง แม้พอจะเข้าใจบ้าง แต่ถึงอย่างไรก็ไม่ค่อยเข้าใจเรื่องการเมืองการปกครอง นึกสาระสำคัญไม่ออก จึงค้อมศีรษะคำนับติงเว่ย “นักพรตต่ำต้อยโง่เขลา ขอเซี่ยงกงช่วยอธิบายให้กระจ่าง”

ท่าทางติงเว่ยไม่พอใจที่เต๋อเมี่ยวไม่ได้ดั่งใจ ชี้แล้วอธิบาย “ฝ่าบาทร้อนพระทัย อยากพิสูจน์ว่าพระองค์ทรงเป็นโอรสสวรรค์ที่แท้จริง พวกที่เป็นที่โปรดปรานก่อนหน้า ไม่มีผู้ใดไม่ปฏิบัติสอดคล้องกับแนวทางนี้ ถึงได้เฟื่องฟุ้งรุ่งเรือง แต่ที่พวกเขาไม่เป็นที่โปรดปรานก็เพราะฝ่าฝืนต่อแนวทางนี้ ดีแต่ใช้ไสยศาสตร์มนตร์ดำแก่งแย่งชิงดีชิงเด่น ทำให้ฝ่าบาททรงรำคาญพระทัย ถึงถูกขุนนางในราชสำนักกล่าวโทษ”

ติงเว่ยมองสีหน้างุนงงของเต๋อเมี่ยว ก่อนเอ่ยชี้ทาง “เจ้าปรากฏตัวได้พอดี ตอนนี้ฝ่าบาททรงกลัดกลุ้มเรื่องผลกระทบของสนธิสัญญาฉานยวน บัดนี้ทรงเร่งร้อนอยากพิสูจน์พระองค์ว่าทรงเป็นโอรสสวรรค์ที่แท้ เจ้ารู้ดีว่าสมควรทำอย่างไรกระมัง”

เต๋อเมี่ยวงงงวยไปสักพัก ก่อนค่อยๆ ตระหนัก “ปาฏิหาริย์? ข้าสมควรสร้างปาฏิหาริย์ลางมงคลอีกครั้งเพื่อเอาพระทัยฝ่าบาท!”

ติงเว่ยยิ้มในหน้า “มิผิด ก่อนหน้านี้แต่ละพื้นที่บังเกิดเรื่องปาฏิหาริย์เป็นระลอก เพราะพวกหัวไวบางคนมองออกถึงความคิดและพระทัยของฝ่าบาท จงใจให้เป็นที่โปรดปราน เซียนกูบัดนี้หากอยากโดดเด่นเหนือผู้ใด ปาฏิหาริย์นี้ก็ต้องแตกต่างจากผู้อื่นจึงจะใช้การได้”

พูดจบเขาก็เหลียวซ้ายแลขวา แม้สี่ทิศรอบด้านไร้ผู้คน แต่ยังคงไม่วางใจ กวักมือไปทางเต๋อเมี่ยว เต๋อเมี่ยวยื่นหน้าเข้าไป ติงเว่ยกระซิบเสียงต่ำหลายคำที่ข้างหู

เต๋อเมี่ยวฟังแล้วก็พยักหน้าไม่หยุด แต่หลังจากนั้นนางก็ขมวดคิ้ว สายตาที่มองติงเว่ยปรากฏแววกังวล “แต่ว่า... ฝ่าบาทจะทรงเชื่อหรือ”

ติงเว่ยยิ้มเยาะ “ฝ่าบาททรงเชื่อหรือไม่ก็ล้วนต้องเชื่อ! ที่สำคัญก็คือผู้คนมากมายใต้ฟ้าจะเชื่อว่าบรรดาเทพเซียนปกปักฝ่าบาท เชื่อว่าฝ่าบาททรงเป็นโอรสสวรรค์ เช่นนี้ก็สำเร็จแล้ว”

เต๋อเมี่ยวพยักหน้าอย่างกระจ่างแจ้งฉับพลัน ความเลื่อมใสปรากฏในแววตา บังเกิดความหวั่นเกรงในใจ นี่คืออัครเสนาบดีแห่งราชสำนักหรือ แผนการชั้นนี้... ช่างน่ากลัวอย่างแท้จริง!

 

ภายในตำหนักฉุยก่ง

เจินจงฮ่องเต้ประทับบนบัลลังก์มังกร ทรงมีท่าทีคึกคักยามทอดพระเนตรเต๋อเมี่ยวที่ก้มหน้าหลุบตา ทรงพระสรวลเสียงเบาแล้วตรัส “หือ? เทพเซียนเข้าฝันเจ้า บอกกล่าวอันใดกันแน่”

เต๋อเมี่ยวทูลตอบด้วยท่าทีนอบน้อม “คิดว่าเป็นเรื่องเกี่ยวกับแผ่นดินที่ทรงประสงค์จะถามปลาไม้เมื่อคราวก่อน เทพเซียนตอบสนอง ดังนั้นจึงเข้าฝันเต๋อเมี่ยว ให้เต๋อเมี่ยวกราบทูลฝ่าบาท เรื่องอาณัติสวรรค์อันใหญ่หลวงเกี่ยวเนื่องกับแผ่นดิน ไม่อาจแพร่งพรายลงมาได้ง่ายดาย จำเป็นต้องให้ฝ่าบาทถวายบูชาลุล่วงถึงชั้นฟ้า”

ฮ่องเต้พยักพระพักตร์ ตรัสถามอย่างรอคอยเป็นพิเศษ “เช่นนั้น... ต้องให้เราชำระกายาถือศีลหรือ”

เต๋อเมี่ยวพยักหน้า “มิเพียงเท่านี้”

เจินจงฮ่องเต้ตรัสถามอย่างไม่เข้าใจ “ยังต้องอย่างไรอีก”

เต๋อเมี่ยวลังเลก่อนเอ่ย “ยังต้องให้ฝ่าบาททรงก่อลานประกอบพิธีหวงลู่162 หน้าตำหนักหลักอีกสามวัน จึงส่งมอบลิขิตสวรรค์ลงมาได้”

เจินจงฮ่องเต้ทรงได้ฟังคำนี้ก็ออกจะลังเล หลังทรงเหลียวซ้ายแลขวาแล้วก็ทอดพระเนตรติงเว่ยซึ่งยืนอยู่อีกฟาก ก่อนกวักพระหัตถ์เรียก “ติงเซี่ยงกง คิดเห็นอย่างไร”

ติงเว่ยยิ้มตาหยีพลางถวายบังคม จากนั้นก็ทูลตอบ “ฝ่าบาท นี่เป็นเรื่องดี ในเมื่อสวรรค์เบื้องบนยอมประทานลิขิตสวรรค์แด่ฝ่าบาท นี่แสดงว่าทรงพระปรีชาญาณ เป็นเจตนารมณ์แห่งสวรรค์ เป็นที่มุ่งหวังแห่งปวงประชา”

เจินจงฮ่องเต้ทรงถูกยกยอจนความปลื้มปีติฉายเต็มพระพักตร์ “เรื่องนี้เรารู้ เราเพียงกังวลว่าก่อลานประกอบพิธีหน้าตำหนักเฉาหยวน... จะดำเนินการได้หรือไม่”

ติงเว่ยเห็นฮ่องเต้ทรงลังเลก็รีบประชิดเข้ามาใกล้ เสนอแนะเสียงเบา “ฝ่าบาท ตำหนักเฉาหยวนเป็นตำหนักหลัก นอกจากชุมนุมใหญ่แล้ว น้อยคนจะไปที่นั่น สามวันนี้กระหม่อมคิดว่าก่อลานประกอบพิธีที่นั่นก็มิเป็นไร สามวันให้หลังหากมีลิขิตสวรรค์ลงมาจริง ประกาศทั่วหล้าก็เป็นเรื่องประเสริฐ ถึงตอนนั้นไม่ต้องหวั่นเกรงขุนนางติฉิน หากไม่มีลิขิตสวรรค์...”

เอ่ยถึงตรงนี้เขาก็ลอบปรายตามองเต๋อเมี่ยว จากนั้นจึงกดเสียงลงต่ำ “หากไม่มีลิขิตสวรรค์ ถึงตอนนั้นฝ่าบาททรงลงทัณฑ์เต๋อเมี่ยว ก็ทรงขายผ้าเอาหน้ารอดต่อบรรดาขุนนางได้แล้วพ่ะย่ะค่ะ”

เจินจงฮ่องเต้ทรงได้ยินติงเว่ยเสนอเช่นนี้ก็ทรงเห็นด้วยอย่างยิ่ง พยักพระพักตร์ต่อเนื่องทันที “วิธีนี้ดี ยังคงเป็นติงเซี่ยงกงเปี่ยมประสบการณ์ วางแผนเพื่อชาติบ้านเมือง”

โจวไหวเจิ้งที่อยู่ด้านข้างมองติงเว่ยและเจินจงฮ่องเต้กระซิบกระซาบต่อกัน ก็อดหน้านิ่วคิ้วขมวดมิได้

ติงเว่ยกราบทูลฮ่องเต้เสร็จสิ้นก็ถอยกลับไปยืนที่เดิม

เจินจงฮ่องเต้ยืดพระวรกายขึ้น ทรงกระแอมคราหนึ่ง แล้วตรัสกำชับเต๋อเมี่ยว “ในเมื่อเซียนกูขอร้องเยี่ยงนี้ เช่นนั้นก็ไปเตรียมลานประกอบพิธีที่ตำหนักเฉาหยวนเถิด”

ฮ่องเต้ทรงเหลือบพระเนตรมองโจวไหวเจิ้งและเหลยอวิ่นกงที่ยืนด้านข้างแวบหนึ่ง สุดท้ายสายพระเนตรก็ตกที่ร่างเหลยอวิ่นกง ยกนิ้วพระหัตถ์ชี้ “เหลยอวิ่นกง เจ้าคอยช่วยเต๋อเมี่ยวเซียนกู”

เหลยอวิ่นกงที่ได้ยินพระบัญชาก้าวออกมาขอบพระทัยในพระกรุณาอย่างปลาบปลื้มยินดีหาใดเปรียบ “กระหม่อมน้อมรับพระบัญชาพ่ะย่ะค่ะ”

 

ตำหนักเฉาหยวน

ทันทีที่เจินจงฮ่องเต้มีพระบัญชา เวลาเพียงสองวัน ภายในตำหนักเฉาหยวนก็ก่อลานประกอบพิธีขึ้น ระดับความสมบูรณ์แบบไม่ต่างจากบรรดาอารามร้อยปีแม้แต่น้อย ด้วยเหตุนี้ย่อมเห็นได้ว่าเหลยอวิ่นกงเป็นที่โปรดปราน ได้ถวายการรับใช้ข้างพระวรกายฮ่องเต้ถึงสามสมัย มิใช่ไม่มีเหตุผล

เพียงแต่รูปลักษณ์ตำหนักแห่งราชสำนักอันไพศาลน่าเกรงขาม และลานประกอบพิธีที่ลี้ลับแปลกประหลาดเมื่อประกอบกันช่างไม่สอดคล้อง กล่าวไม่น่าฟังสักหน่อยก็ถึงขั้นเหลวไหล ลวงโลก และน่าขบขัน

ทว่านี่เป็นพระบัญชา ถึงแม้ไม่เหมาะสม บุคคลที่กล้าทัดทานโดยตรงอย่างไม่เกรงกลัวแท้จริงแล้วก็มีจำนวนน้อย

บัดนี้เต๋อเมี่ยวนำขบวนนักพรตกลุ่มหนึ่งประกอบพิธีบนตำหนัก ประตูปิดสนิท บนตำหนักจุดเทียนเต็มพื้นที่ ลวดลายปลาอินหยางที่จัดไว้ที่พื้น บรรยากาศลี้ลับน่าอัศจรรย์ทำให้ผู้คนอดบังเกิดความยำเกรงมิได้

ในมือเต๋อเมี่ยวถือไม้ปัดธุลี บริกรรมคาถาพลางก้าวย่ำเชื่องช้าในลานประกอบพิธี ตอนนี้เองประตูตำหนักพลันเปิดอ้ากว้าง นักพรตในตำหนักต่างตระหนกตกใจ เต๋อเมี่ยวมองไปตามเสียงก็เห็นโค่วจุ่นซึ่งมีท่าทางเดือดดาลยืนตรงหน้าประตู

เหลยอวิ่นกงที่ยืนล้อมกันประตูตำหนักพลางสนทนาสัพเพเหระกับขันทีชั้นผู้น้อยเห็นสถานการณ์ ก็รีบขึ้นหน้าไปขัดขวาง “โค่วเซี่ยงกง โค่วเซี่ยงกง ท่านมาได้อย่างไร”

เหลยอวิ่นกงขยิบตาส่งสัญญาณให้ขันทีชั้นผู้น้อยที่อยู่ด้านข้าง ขันทีผู้นั้นเห็นจังหวะก็รีบถลันออกไปรายงาน

“ไสหัวไป!” โค่วจุ่นโกรธขึ้งเต็มหน้า ผลักเหลยอวิ่นกงออกไปในคราวเดียว สาวเท้ายาวเร็วรี่เข้าตำหนัก ตวาดดุดันใส่เต๋อเมี่ยว “ตำหนักโอ่อ่ารโหฐาน ที่สถิตแห่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์น่าเกรงขาม ให้พวกทรงเจ้าเข้าผีมาก่อกวนในสถานที่นี้ ไหนเลยมีเหตุผลเช่นนี้!”

เต๋อเมี่ยวยำเกรงต่อท่าทีของโค่วจุ่น เมื่อโค่วจุ่นตำหนิแล้วเสร็จนางจึงตั้งสติได้ กล้ำกลืนฝืนทนโต้แย้ง “ข้ารับพระบัญชาก่อลานประกอบพิธีหวงลู่ที่นี่ สวดภาวนาให้ชะตาแผ่นดินต้าซ่ง ท่านกล้าดีอย่างไรบุกฝ่าเข้ามาในพิธี หากล้มเหลว ท่านรับผิดชอบไหวหรือ”

เหลยอวิ่นกงรีบเข้ามาขวางต่อหน้าโค่วจุ่น คิดผลักโค่วจุ่นออกไป “โค่วเซี่ยงกง โค่วเซี่ยงกง ท่านสงบสติอารมณ์หน่อย มีอันใดพูดจากันดีๆ”

โค่วจุ่นผลักเหลยอวิ่นกงออกอย่างเดือดดาล เดินไปตรงหน้าเต๋อเมี่ยว กวาดสิ่งของบนโต๊ะพิธีโดยตรง บัดนี้เสียงตะคอกอย่างโมโหดังขึ้นที่หน้าประตู

“หยุดนะ!”

โค่วจุ่นหันไปมองอย่างแค้นเคือง ก็เห็นเจินจงฮ่องเต้ท่ามกลางการห้อมล้อมขององครักษ์ ขันที และนางใน เสด็จเข้ามาอย่างองอาจเกรียงไกร

“โค่วเซี่ยงกง ท่านมาทำอันใดที่นี่” ฮ่องเต้กวาดพระเนตรสภาพระเนระนาดทั้งสี่ด้าน สีพระพักตร์ไม่น่าดูชม “อยู่ดีๆ ลานประกอบพิธีก็ถูกท่านกระทำจนมีสภาพเช่นนี้ หากทำให้สวรรค์พิโรธควรทำอย่างไร”

โค่วจุ่นบันดาลโทสะชี้กราดไปทางเต๋อเมี่ยวและพรรคพวก “สวรรค์พิโรธ? ฝ่าบาททรงหลงเชื่อพวกต้มตุ๋นหลอกลวง กระทำจนสถานที่สำคัญเป็นที่สถิตแห่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์น่าเกรงขามในราชสำนักมัวหมอง ถึงทำให้สวรรค์พิโรธ ฝ่าบาทสมควรบั่นคอนักพรตผู้ใช้เดียรัจฉานวิชาเหล่านี้เสีย เพื่อขออภัยต่อสวรรค์ชั้นฟ้า!”

เจินจงฮ่องเต้ทรงตวาดลั่น “โค่วจุ่นอย่าบังอาจ! เต๋อเมี่ยวเซียนกูก่อลานพิธีที่นี่ เพื่อช่วยอธิษฐานภาวนาให้ชะตาแผ่นดินต้าซ่งของเรา เป็นเราเห็นชอบแล้ว”

โค่วจุ่นตะลึงงัน ความเศร้าโศกฉายชัดในดวงตา กล่าวอย่างเจ็บช้ำใจถึงที่สุด “ฝ่าบาท ตำหนักเฉาหยวนเป็นหน้าเป็นตาของแผ่นดิน สถานที่ประทับแห่งราชวงศ์ ไหนเลยให้พวกมารปีศาจกระทำมนตร์ภูตผีอวิชชาที่นี่ได้ หากข่าวแพร่สะพัดออกไป พระเกียรติยศแห่งฝ่าบาทจะธำรงอยู่อย่างไร ศักดิ์ศรีแห่งราชสำนักต้าซ่งจะดำรงอยู่อย่างไร”

เหลยอวิ่นกงที่ยืนอยู่ด้านข้างโต้แย้งด้วยรอยยิ้มเย็นชา “โค่วเซี่ยงกง เต๋อเมี่ยวเซียนกูเป็นปรมาจารย์ที่ฝ่าบาททรงแต่งตั้งด้วยพระองค์เอง ท่านอ้าปากก็มารปีศาจ ปิดปากก็ภูตผี ท่านวางฝ่าบาทไว้ที่ใด”

เหลยอวิ่นกงมองเจินจงฮ่องเต้ที่ทรงทำหน้านิ่วคิ้วขมวดอย่างระมัดระวัง แล้วเอ่ยเสริมต่อไป “ท่านเช่นนี้มิใช่ชี้ต้นหม่อนด่าต้นไหว กล่าวหาว่าฝ่าบาททรงไม่รู้จักแยกแยะความสามารถคุณธรรมข้อดีข้อเสียของผู้คน ทรงโง่เขลาเบาปัญญาไร้หลักการหรอกหรือ”

สีพระพักตร์เปลี่ยนไป พอเห็นโค่วจุ่นก็ร้อนใจ ชี้หน้าเหลยอวิ่นกงพลางก่นด่า “เจ้าคนคดในข้องอในกระดูกตัวดี ข้าเอาหมวกขุนนางเข้าแลกก็ต้องเอาชีวิตเจ้าให้ได้!”

โค่วจุ่นกระโจนใส่เหลยอวิ่นกง องครักษ์ปรี่เข้ามากั้นขวาง โค่วจุ่นถูกขวางก็ยิ่งเดือดดาลหาใดเปรียบ พุ่งตัวไปด้านข้างนักรบจินกวา163 ยกแขนแย่งด้ามจินกวามาไล่ทุบถองเหลยอวิ่นกง

เหลยอวิ่นกงตกอกตกใจวิ่งพล่านไปทั่วตำหนัก ปากร้องตะโกน “ฝ่าบาท... ทรงช่วยกระหม่อมด้วย! ฝ่าบาท!”

พระพักตร์แดงก่ำ ทรงชี้อย่างเดือดดาลเป็นฟืนเป็นไฟใส่โค่วจุ่นแล้วตวาดลั่น “โค่วจุ่น! หยุดมือเดี๋ยวนี้!”

โค่วจุ่นไม่แยแส ไล่ทุบเหลยอวิ่นกงต่อไป เหลยอวิ่นกงลนลานไปหลบด้านหลังฮ่องเต้

โค่วจุ่นกำลังจะเหวี่ยงจินกวาออกไป

เจินจงฮ่องเต้ทรงตะลึงพรึงเพริด รู้สึกเพียงเย็นวาบทั่วพระวรกาย ทอดพระเนตรเห็นจินกวาใกล้ถึงพระเศียร ถึงกับไม่บังเกิดความคิดหลบเลี่ยง ได้แต่ร่ำร้องในพระทัยว่า ‘เราใกล้ตายแล้ว เราใกล้ตายแล้ว...’

ดีที่โค่วจุ่นตอบสนองทันกาล เห็นว่าจะฟาดถูกฮ่องเต้ จึงออกแรงบิดพลิกข้อมือ เบี่ยงจินกวากวาดขวับลงไปด้านข้าง

แม้เป็นเช่นนี้ จินกวายังเฉียดถูกเหมี่ยนกวานของฮ่องเต้ ปัดมันตกร่วงลงบนพื้น

ทุกคนต่างตระหนกตกใจ ตะลึงลานไม่กล้าเปล่งเสียง มีเพียงเหลยอวิ่นกงที่กลอกตาไปมา เอะอะโวยวาย

“ไร้มารยาทเกินไปแล้ว! นี่ไร้มารยาทเกินไปแล้ว ท่านรบกวนพิธีก็ช่างเถิด ถึงกับกล้าลงมือต่อฝ่าบาท ในสายตาท่านยังมีฝ่าบาทหรือไม่”

เดิมทีตกพระทัยจนพระเสโทแตกพลั่ก พอตั้งพระสติได้ก็ทรงพิโรธเป็นฟืนเป็นไฟทันที ชี้นิ้วพระหัตถ์ไปที่โค่วจุ่น “เจ้าหน้าที่! จับกุมโค่วจุ่นให้เรา”

“พ่ะย่ะค่ะ!” บรรดาองครักษ์ขานรับพร้อมเพรียง กรูขึ้นหน้าจับกุมโค่วจุ่นที่โกรธจนเต้นเร่า

บัดนี้เหลยอวิ่นกงจัดกระชับหมวกขุนนางที่เอียงเบี้ยวขณะวิ่งหลบหนี คุกเข่าลงตรงหน้าเจินจงฮ่องเต้ร่ำไห้พลางเอ่ย “ฝ่าบาท ทรงจัดการให้กระหม่อมด้วย!”

เจินจงฮ่องเต้ทรงมิได้แยแสเขาแม้แต่น้อย ยังคงชี้นิ้วพระหัตถ์อย่างแค้นเคืองไปที่โค่วจุ่น ตรัสกำชับรอบข้าง “เจ้าหน้าที่ จับโค่วจุ่นที่ลบหลู่เบื้องสูงผู้นี้... ส่งกลับบ้านไป!”

เดิมทีทรงคิดบัญชาว่าจับเข้าคุกหลวง แต่พระดำรัสมาชะงักค้างริมพระโอษฐ์ ทรงนึกได้ว่าเรื่องนี้พระองค์ไม่อาจกำหนดโทษทัณฑ์เขาได้

ลบหลู่เบื้องสูงนั้นมิผิด ถึงอย่างไรก็ตามตาเฒ่าผู้นี้ก็เกือบทุบพระองค์จนอาสัญ แต่ลงทัณฑ์อัครเสนาบดีแห่งราชสำนัก ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องมีเหตุผล หากบรรดาขุนนางในราชสำนักสอบถามว่าโค่วเซี่ยงกงกระทำความผิดใด จะทรงตอบอย่างไรดี

หากตรัสตอบไปตามตรงว่าเพราะเขารบกวนการประกอบพิธีของเต๋อเมี่ยวกระนั้นหรือ เช่นนั้นบรรดาขุนนางคงประท้วงเป็นแน่ จะทรงแต่งเรื่องมดเท็จ? ก็ทรงเคยคิด แต่อย่างไรเสียพระองค์ทรงเป็นโอรสสวรรค์ ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องรักษาหน้าตาเกียรติยศ หากถูกคนเปิดโปง ต่อให้ผู้อื่นไม่พูดซึ่งหน้า ลับหลังไม่หัวเราะเยาะพระองค์แทบตายหรอกหรือ

ด้วยความจนพระทัย จึงได้แต่เปลี่ยนพระบัญชาว่าจับกุมเข้าคุกหลวงเป็นส่งกลับบ้านไป

โค่วจุ่นถูกองครักษ์ลากออกไป แต่ยังคงดิ้นรนชี้นิ้วต่อว่าเหลยอวิ่นกง “โจรสุนัข! เศษสวะ! มีคนถ่อยเช่นนี้อยู่ข้างพระวรกาย ฝ่าบาททรงอยู่ในอันตรายแล้ว! ราชสำนักตกอยู่ในอันตรายแล้ว! ข้าจะกำจัดคนชั่วข้างพระวรกาย! กำจัดคนชั่ว...”

บรรดาองครักษ์ต่างจนด้วยเกล้า ทั้งไม่อาจทุบตี ทั้งไม่อาจต่อว่าด่าทอ ได้แต่หามโค่วจุ่นออกไป

เหลยอวิ่นกง ติงเว่ย และเต๋อเมี่ยว ต่างผิดหวังกันยิ่งนัก มองเจินจงฮ่องเต้อย่างคับแค้นใจ ‘ตาเฒ่านั่นเกือบทุบฝ่าบาทจนตาย แต่กลับส่งเขากลับบ้าน? นี่เรียกว่าจัดการหรือ’

ผ่านเรื่องนี้ไป เหลยอวิ่นกงและติงเว่ยกลับไม่แสดงออกอย่างผิดปกติประการใด ถึงอย่างไรทั้งคู่ก็คุ้นชินกับพระอุปนิสัยของฮ่องเต้ รู้กระจ่างถึงความคิดและพระทัยของพระองค์

แต่เรื่องนี้ทำให้เต๋อเมี่ยวที่เพิ่งเข้าเมืองหลวง เคารพยำเกรงฮ่องเต้และเชื้อพระวงศ์ถึงที่สุดสะเทือนใจอย่างยิ่ง ในดวงตาเต๋อเมี่ยวสาดประกายแวววาม รู้สึกเหมือนได้ปลดพันธนาการที่ตรึงในหัวใจออก ที่แท้ฮ่องเต้ผู้ปกครองใต้ฟ้าก็เป็นเพียงเท่านี้!

เจินจงฮ่องเต้ทรงไม่แยแสในตำหนัก ออกจะทรงกังวล ตรัสถามเต๋อเมี่ยว “เต๋อเมี่ยวเซียนกู ถูกโค่วจุ่นรบกวนครานี้ ไม่ทำให้สวรรค์พิโรธกระมัง”

เต๋อเมี่ยวตั้งสติได้ฉับพลัน มองฮ่องเต้แล้วตะลึงไปเล็กน้อย ก่อนผุดรอยยิ้มบางบนใบหน้า ก้มศีรษะทูลตอบ “โค่วจุ่นปุถุชนคนธรรมดาจะรู้เรื่องระหว่างสวรรค์กับมนุษย์ได้อย่างไรกัน ขอเพียงฝ่าบาททรงตั้งปณิธานมุ่งมั่น เลื่อมใสศรัทธาในมรรคา พฤติกรรมการกระทำทั้งสิ้นของโค่วจุ่น เทพเซียนชั้นฟ้าไม่แยแสสนใจ”

“เช่นนี้ก็ประเสริฐ!” ฮ่องเต้ทรงโล่งพระทัย เงยพระพักตร์มองไปยังลานพิธีที่ยุ่งเหยิง จึงไม่ทรงคิดอยู่รั้งที่นี่ ตรัสกำชับสองสามคำแล้วหมุนพระวรกายจากไป

เต๋อเมี่ยวยิ้มบางน้อมส่ง สีหน้าสุขุมเรียบเฉย

เหลยอวิ่นกงเดินตามฮ่องเต้ออกไปด้านนอก เดินไปพลางสั่งการบรรดาขันทีไปพลาง “รีบเก็บข้าวเก็บของ จัดโต๊ะพิธีอีกครั้ง!”

“ขอรับ” ขันทีแต่ละคนต่างเร่งทำงาน

ออกจากประตูมา สีพระพักตร์ก็หนักอึ้งลงทันที

เหลยอวิ่นกงกลอกตาไปมา ปรี่ขึ้นหน้าไปกราบทูลเสียงเบา “ฝ่าบาท โค่วจุ่นอาศัยว่าตนอายุมาก เปี่ยมคุณงามความชอบ บัดนี้ยิ่งเกินเลยขึ้นทุกที ต่อหน้าพระพักตร์ยังกล้าลงมือ ช่างไม่มีฝ่าบาทในสายตา! แต่ไรมาทรงเมตตากรุณา ทรงโอบอ้อมอารีต่อเขานัก คราวนี้ทรงไม่อาจลูบหน้าปะจมูกอีกต่อไปแล้ว สมควรลงโทษให้หนัก ไม่ผ่อนปรน!”

“พอแล้ว เรารู้แล้ว” เจินจงฮ่องเต้โบกพระหัตถ์อย่างรำคาญพระทัย ถอนพระปัสสาสะเฮือกแล้วตรัสอย่างจนปัญญา “ช่างเถอะ โค่วเซี่ยงกงทำเพราะหวังดีต่อเรา”

“พ่ะย่ะค่ะ” เหลยอวิ่นกงไม่กล้าเอ่ยพล่าม ขานรับอย่างนอบน้อม ถอยไปอยู่ข้างหลังฮ่องเต้ มองแผ่นหลังของพระองค์ สายตาพลันสาดประกายเคียดแค้นชิงชัง

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น