สาม
ภายในห้องอักษรของจวนเหิง แสงเทียนจากโคมไฟส่องสว่าง ร่างใหญ่ยกตำราเล่มสำคัญขึ้นอ่านเนื้อความในนั้นอย่างตั้งใจ จังหวะนั้นเองที่ชิวหูเปิดประตูเข้ามาเพื่อรายงานความแก่เจ้านาย
“ท่านแม่ทัพ” ชิวหูเอ่ยทัก
“ที่นี่ไม่ใช่สนามรบ!” เสียงใหญ่ตักเตือน แต่สายตายังคงสนใจตำราเบื้องหน้า
“ข้าน้อยขออภัยขอรับคุณชาย คือข้าน้อยมีความมาแจ้ง... เรื่องคุณหนูหยูขอรับ” ร่างสูงโน้มตัวรายงานด้วยถ้อยคำนอบน้อม
เมื่อเหิงเจี้ยงได้ยินชื่อสกุลหยู ก็ละสายตาจากตัวอักษรในตำรา แล้วจ้องมองชิวหูประหนึ่งรอฟังความต่อ
“คุณหนูหยูยังคงสวมชุดเจ้าสาวนั่งรอคุณชายอยู่ที่บ้านไม้ด้านหลังจวนขอรับ มีบ่าวบอกว่าเห็นนางนั่งรอตั้งแต่เช้าจนตอนนี้ยังไม่ยอมลุกไปไหนเลยขอรับ ข้าน้อยคิดว่าคุณชายน่าจะไปรับนางดีกว่านะขอรับ อย่างไรคุณชายก็ตกปากรับคำให้นางเดินทางมาเข้าจวนเหิงแห่งนี้ในฐานะอนุ หากปล่อยไว้แล้วนางเกิดเป็นอะไร ทางสกุลหยูและชาวบ้านอาจลือกันไปในทางไม่ดีได้นะขอรับ” ชิวหูเอ่ยด้วยหวังให้สองสกุลปรองดอง ไม่อยากให้เจ้านายของตนถูกคนอื่นครหานินทา ทว่าก้อนน้ำแข็งไร้ใจกลับนิ่งเฉย
“หากนางจะมาก็คงเข้ามาเอง ข้าไม่ได้ขัดขวางใดๆ แต่จะให้ข้าไปเชื้อเชิญ ไม่มีวัน!” เสียงเข้มสบถด้วยความขุ่นใจ ทิฐิค้ำคอ แผนร้ายของสองฮูหยินเหมือนจะได้ผลอย่างดียิ่ง
ด้านเจ้าสาวในชุดเต็มยศยังคงมุ่งมั่น นั่งตากแดดข้ามวัน ตากน้ำค้างข้ามคืน เพื่อรอการมารับของเหิงเจี้ยง ในเมื่อเขากลับมาแล้วก็ต้องมารับตามที่ลั่นวาจา ทว่ามาทำเมินใส่เช่นนี้ นางยิ่งไม่อาจยินยอมได้
นิ้วเรียวที่พาดวางบนหน้าขาเกร็งขยำชุดสีแดงด้วยใจที่เจ็บหนึบ ราตรีนี้มืดมิดสนิทแสง มีเพียงความสว่างไสวจากโคมแดงที่แขวนไว้หน้าบ้านไม้หลังเล็ก ที่ทำให้หยูเหวินหยาพอห้ามใจไม่ให้สั่นกลัวความเวิ้งว้างยามค่ำคืนได้ น้ำใสคลอหน่วยและร่วงไหล อีกคราที่เขาไร้เยื่อใยไม่แยแส
หากไม่ใช่คำสั่งบิดาจากเจ้าของร่างนี้ย้ำบอก และไม่ใช่ภพโบราณที่สตรีเป็นเพียงช้างเท้าหลัง หญิงสาวคงเลิกล้มไม่ขอพึ่งพิงชายใด โดยเฉพาะเหิงเจี้ยงเป็นแน่
ย่ำรุ่งเช้าตรู่สาดแสงอำไพฉายส่องไปทั่วท้องฟ้ากว้าง บ่าวรับใช้ต่างนอนหลับเคียงข้างเจ้าสาวผู้อาภัพ นางเฝ้าคอยกระทั่งราตรีมืดมิดผันผ่านด้วยความอิดโรย เซียงเซียงรู้สึกตัวตื่น ก็พบว่าตัวเองเผลอหลับไปโดยทิ้งคุณหนูที่รักให้รอคอยเพียงลำพัง น้ำใสพลันเอ่อล้นจากหางตา
“ฮือๆ บ่าวขออภัยที่เผลอหลับ ทิ้งคุณหนูให้รอเพียงลำพังเช่นนี้ พอเถอะเจ้าค่ะ คุณหนูอย่ารออีกเลย” มือเล็กของสาวใช้เกาะกุมหมายถ่ายทอดกำลังใจให้นายตน ทันทีที่มือทั้งสองสัมผัสโดน เซียงเซียงก็รู้สึกได้ถึงความร้อนจากกายคุณหนู
“คุณหนู! คุณหนูมีไข้! ตัวร้อนมากเลยเจ้าค่ะ!” นางทำท่าตื่นตูม หัวใจพลันเต้นแรงด้วยความตกใจ
“ข้าไม่เป็นไร” เสียงใสขุ่นมัวเล็กน้อยด้วยความโรยแรง นางรู้สึกวิงเวียนศีรษะ ทั้งภายในยังรู้สึกร้อนหนาวคละเคล้า ทว่านางก็อดทน
“จะไม่เป็นไรได้อย่างไรกัน พอเถอะเจ้าค่ะ กลับห้องไปนอนพักเถอะ เดี๋ยวบ่าวจะรีบส่งคนไปซื้อยามาต้มให้นะเจ้าคะ” เซียงเซียงเอ่ยอย่างร้อนรน ทั้งแสนรักและห่วงใยคุณหนูอย่างที่สุด
“ข้าจะรอต่อ” เหวินหยายังคงหนักแน่น
“คุณหนู!”
เจ้าสาวผู้อาภัพตระหนักว่าหากนั่งอยู่อย่างนี้ต่อไปคงไม่เกิดประโยชน์ พลันถอนหายใจแล้วเอ่ยกับสาวใช้คนสนิท “เอาเช่นนี้... เจ้านำคำของข้าไปบอกนายใหญ่ของจวนตรงข้ามให้ที”
ในห้องนอนส่วนตัว เหิงเจี้ยงตื่นขึ้นในบรรยากาศรอบกายแสนอบอุ่น ทำให้รู้สึกกระปรี้กระเปร่า ร่างกำยำเอี้ยวตัวบิดเพื่อคลายกล้ามเนื้อก่อนลุกจากเตียงกว้าง แต่ยังไม่ทันทำสิ่งใด ชิวหูก็มาเคาะประตูเรียกตั้งแต่หัววัน
“คุณชาย! ข้าน้อยมีเรื่องคุณหนูหยูจะมาเรียนขอรับ”
“อีกแล้วรึ!” เสียงใหญ่บันดาลโทสะ ด้วยนางสร้างความรำคาญให้เขาไม่หยุดหย่อน
“คุณหนูหยูให้บ่าวรับใช้ยกหีบสินสอดที่ท่านหยูเคยสัญญาไว้มามอบให้คุณชายครึ่งหนึ่งขอรับ และนางยังย้ำคำให้บ่าวมาแจ้งด้วยว่า บิดานางลั่นวาจาไว้ว่าให้นำสินสอดตามที่ตกลงมามอบให้แม่ทัพเหิง หากแม่ทัพไม่ยินดีรับนางเป็นภรรยา ทั้งที่นางมาปักหลักรอถึงสองเดือน นางจึงไม่อยากบังคับฝืนใจอีกต่อไป ติดเพียงแค่คำสัตย์ถือเป็นเรื่องใหญ่ในหมู่ชายชาตรี นางเกรงว่าบิดาจะเสียคำมั่นที่ยึดถือมาชั่วชีวิตจนคนภายนอกนึกขัน นางจึงขอมอบสินสอดครึ่งหนึ่งให้แก่สกุลเหิง ส่วนอีกครึ่งนางจะเก็บคืนด้วยงานมงคลไม่สำเร็จตามที่หมายขอรับ”
สิ้นคำที่ฝากบอก เหิงเจี้ยงพลันกระตุกมุมปากอย่างไม่พึงใจ นัยน์ตาสีนิลดำขลับฉายแววครุ่นคิด ก่อนเอ่ยบอกคนสนิท
“นางเจ้าเล่ห์นัก ทำทีว่ายอมเลิกราและมีน้ำใจมอบสินสอดให้ แต่ใช้คำพูดเรื่องสัจจะลูกผู้ชายมาหยั่งเชิงหมายบีบบังคับข้าทางอ้อม หากข้าไม่ไปรับนาง นางคงไม่ยอมเข้าจวน และกลายเป็นว่าสกุลเหิงเป็นตัวตลกให้คนหัวเราะว่าไร้คำมั่น ฮึ! ชิวหูเตรียมผ้า! ข้าจะเปลี่ยนชุดปรับนางเข้าจวน”
เหิงเจี้ยงกลั่นกรองความคิดด้วยเหตุผล เขาไม่อาจนิ่งเฉยให้ผู้คนนินทาว่าร้ายสกุลเหิงว่าไร้สัจจะเป็นแน่ ทั้งที่รู้ว่าเป็นแผนบังคับให้เขาไปรับนางทางอ้อม ทว่าร่างใหญ่ก็ต้องยอมเดินลงไปในหลุมพรางนั้น
ชิวหูที่ได้ยินเช่นนั้นก็แอบยิ้มถูกใจในความฉลาดของนายหญิงคนใหม่ นางเป็นคนแรกที่ทำให้ก้อนน้ำแข็งอย่างนายของตนต้องยอมจำนนอย่างไร้ข้อโต้เถียง เพราะนิสัยเย็นชามุทะลุทำให้เจ้านายที่ไม่เคยทำตามคำสั่งใครง่ายๆ นอกจากบิดากับฮ่องเต้ต้องยอมทำตามนาง
หน้าบ้านไม้หลังเล็กท่ามกลางการรอคอยที่ยาวนานพลันสิ้นสุดลง เมื่อร่างเจ้าของจวนผู้ที่หยูเหวินหยาเฝ้ารอคอยปรากฏขึ้น สาวใช้คนสนิทรีบกระซิบบอกเจ้าสาวอย่างดีอกดีใจ นัยน์ตาหวานพยายามเพ่งมองใบหน้าคม แต่ผ้าคลุมสีแดงที่ขวางกั้นทำให้เธอเห็นเพียงเค้าร่างของชายตรงหน้าเท่านั้น
แม้จะเห็นแค่เค้าโครงรูปร่าง แต่หยูเหวินหยาก็เดาได้ว่าสามีนางแขนขาเรียวยาว สูงโปร่ง และกำยำแค่ไหน ใจดวงน้อยถึงจะรู้ว่าเขาทำไม่ดีไว้เพียงใด ทว่าก็ไม่อาจยั้งใจไม่ให้เต้นแรงได้อยู่ดี
มือเล็กชื้นเหงื่อ ร่างบางในชุดเจ้าสาวหนาเตอะเกร็งจนเกือบสั่น เวลานี้ไม่ใช่การถ่ายทำละครเหมือนภพก่อนที่ตนเคยแสดง แต่คือการแต่งงานจริง และคงเป็นเพียงครั้งเดียวในชีวิตที่เหลือ จึงไม่แปลกเลยที่จิตใจจะไหวสั่นด้วยความตื่นเต้น
“คุณหนูเจ้าคะ ท่านแม่ทัพมารับแล้วเจ้าค่ะ ไม่ได้สวมชุดเจ้าบ่าว แต่... เป็นชุดดำเจ้าค่ะ” เซียงเซียงเอ่ยด้วยความผิดหวังเล็กน้อย เพราะนี่ถือเป็นเรื่องมงคลที่จะพาเจ้าสาวคนใหม่เข้าตระกูล แม้ฤกษ์ยามจริงจะเสียไปนานแล้วก็ตาม อย่างน้อยก็ควรให้เกียรติสวมชุดที่มีสีสันสักนิดก็ยังดี
ร่างบางในชุดเจ้าสาวหนาจนดูอวบอ้วนเทอะทะขุ่นเคืองตาม เขาเป็นถึงแม่ทัพ แต่มาทำตามอำเภอใจเหมือนเด็ก ราวกับจะสื่อว่าที่มารับเพราะทำตามมารยาท แต่ความจริงเขาไม่ได้แยแสนางสักนิด เหมือนหยามเกียรติเจ้าสาวมือใหม่อย่างชัดเจน
แวบแรกที่เหิงเจี้ยงพบอนุคนใหม่ ใจชายถึงกับกระตุกด้วยความตกใจ ด้วยรูปลักษณ์ใหญ่โตที่ห่อหุ้มด้วยชุดสีแดงทำเอาเขาหวนคิดถึงคำเล่าลือเรื่องใบหน้าอัปลักษณ์และคำสาปที่ติดตัวนาง ภายในใจไม่ยินดีสักนิดที่ได้อนุคนใหม่ แต่จำใจทำตามเพื่ออำนาจเท่านั้น
“ให้นางกลับไปได้หรือไม่” เหิงเจี้ยงกระซิบกับชิวหูในขณะที่เดินเข้าไปยังบ้านไม้ตรงหน้า
กุนซือคนสนิทรีบส่ายหน้าพลางตอบกลับอย่างรวดเร็ว “ไม่ได้ขอรับ”
ทั้งสองมาหยุดยืนเบื้องหน้าเจ้าสาว ด้านสาวใช้รีบบอกคุณหนูเรื่องการมาถึงของเจ้าบ่าว ทางชิวหูโน้มกายอย่างนอบน้อมต่อนายหญิงคนใหม่ อย่างน้อยการแต่งงานนี้ก็เกิดขึ้นเพราะเขาเป็นฝ่ายสนับสนุน จึงต้องนอบน้อมให้เกียรติเจ้าสาวผู้นี้ราวกับมีตำแหน่งสูงเป็นฮูหยินคนหนึ่งก็มิปาน
“ข้าน้อยชิวหู ขอแสดงความยินดีกับนายหญิงน้อยที่ต่อไปจะเข้ามาเป็นอนุของคุณชายขอรับ” คำทักทายถูกเอ่ยตามมารยาท เจ้าสาวมือใหม่จึงขานตอบเช่นกัน
“ข้าหยูเหวินหยา ยินดีที่ได้รู้จักทั้งท่านชิวหู... และท่านแม่ทัพใหญ่เช่นกัน” เสียงเล็กเอ่ยตอบ
“คุณชายไม่ชอบให้คนในจวนเอ่ยเรียกว่าแม่ทัพใหญ่ เพราะไม่ใช่ยามสงคราม และนายท่านใหญ่แห่งสกุลเหิงที่เคยเป็นแม่ทัพใหญ่ก็ยังมีชีวิต เพียงแต่ในศึกครั้งที่ผ่านมาท่านได้มอบหมายให้คุณชายใหญ่สืบทอดตำแหน่งต่อ แต่คุณชายอยากให้คนสนิทให้เกียรติบิดาเช่นเดิม และเวลานี้ก็หมดการศึกแล้ว จึงใคร่ขอให้นายหญิงน้อยและบ่าวรับใช้ที่ติดตามมาเอ่ยเรียกคุณชายใหญ่ดังเช่นทุกคนในจวนนี้ด้วยขอรับ”
หยูเหวินหยารับฟังเหตุผลแล้วพยักหน้ารับคำ พร้อมกับหันไปย้ำกับเซียงเซียงให้กำชับบ่าวรับใช้ที่เหลือ
เหิงเจี้ยงไม่พูดพร่ำทำเพลง เขาถือว่าได้มารับนางตามที่นางต้องการแล้ว ร่างสูงใหญ่จึงหมุนร่างเดินนำหน้าเพื่อกลับจวน โดยปล่อยให้หยูเหวินหยาเดินตามมาเอง ไม่มีมือใหญ่ที่เกาะกุมนำพา ไม่มีเสียงเชื้อเชิญใดๆ นางก็รู้อยู่แล้วว่าถึงเขามาก็คงเย็นชาไม่ต่างจากเดิม
อาการใจสั่นเพราะความตื่นเต้นเมื่อครู่พลันสงบลง นางลุกขึ้นแล้วย่างเท้าก้าวเดินตามสามีเพื่อเข้าสู่บ้านหลังใหม่ โดยมีเซียงเซียงพยุงข้างกาย และมีบ่าวรับใช้ขนสินสอดรวมทั้งข้าวของที่เหลือตามหลัง
ทว่ายังไม่ทันที่จะเข้าถึงประตูจวน หยูเหวินหยาที่ตัวร้อนด้วยตากแดดตากน้ำค้างข้ามวันข้ามคืนยิ่งวิงเวียนศีรษะหนักขึ้น ภาพภายใต้ผ้าคลุมสีแดงหมุนวนเพราะสายตาพร่าเลือน ก่อนสติจะดับวูบ นางได้ยินเสียงเซียงเซียงร่ำร้องเรียกชื่อด้วยความตกใจ จากนั้นการรับรู้ทุกอย่างก็สูญสิ้น
เหิงเจี้ยงได้ยินเสียงร้องเรียกคุณหนูดังก้องจากเบื้องหลัง จึงหันไปมองด้วยความสงสัย สายตาดุจน้ำแข็งเห็นร่างในชุดสีแดงโงนเงนไปมาและกำลังจะทรุดกายลงบนพื้น เขาเลยรีบปรี่เข้าไปประคองร่างนางไว้ในฉับพลัน
เซียงเซียงเห็นคุณหนูที่รักอาการไม่ดีก็ยิ่งตื่นตระหนก รีบวิงวอนให้ชายตรงหน้าช่วยคุณหนูทั้งน้ำตา
“คุณชาย! ช่วยคุณหนูด้วย ฮือๆ ความจริงคุณหนูตากแดดตากน้ำค้างทั้งวันทั้งคืน และไม่ได้แตะต้องอาหารหรือน้ำเลย หนำซ้ำยังมีไข้อีกด้วยเจ้าค่ะ”
ร่างสูงใหญ่เบิกตาโตจ้องมองร่างหนาที่ตนพยุงไว้ในอ้อมอก มือใหญ่เลื่อนแตะฝ่ามือหญิงสาวหมายวัดความร้อน ฉับพลันเขาทั้งตกใจและตะลึงในความเด็ดเดี่ยวของนางยิ่ง ที่ยอมรอคอยข้ามวันข้ามคืนทั้งที่รู้ว่าเขาอาจไม่มา อีกทั้งรู้ว่าตัวเองมีไข้ แต่ก็ยังดึงดันทำตัวปกติ ยิ่งคิดชายหนุ่มก็ยิ่งสับสนในความซับซ้อนของหญิงนางนี้
“คุณชาย! ให้ข้าน้อยอุ้มนายหญิงน้อยเถิดขอรับ” ชิวหูเอ่ยอาสา ด้วยเกรงว่าน้ำหนักของหญิงร่างหนาจะทำให้นายตนปวดแขน
“ไม่ต้อง!” เหิงเจี้ยงตอบ พร้อมกับย่อตัวใช้แขนกำยำโอบอุ้มหยูเหวินหยาขึ้นไว้ในอ้อมอก ทันทีที่ยกร่างนาง เขาก็ต้องประหลาดใจถึงน้ำหนักที่เบากว่าที่คาดไว้
หยูเหวินหยาซ่อนร่างที่ซูบผอมไว้ใต้ชุดยัดนุ่นหนา แม้นุ่นจะเบา แต่ชุดนุ่นที่หยูเหวินหยาตัดเย็บเองกลับอัดแน่นด้วยปริมาณนุ่นและเมล็ดนุ่นสีดำ เพื่อให้มีน้ำหนักใกล้เคียงกับรูปลักษณ์เดิม มีเพียงนางกับเซียงเซียงเท่านั้นที่รู้ถึงรูปร่างใหม่นี้
นัยน์ตาคมก้มมองร่างบางที่คลุมผ้าสีแดงปิดบังศีรษะอย่างเคลือบแคลง ก่อนสลัดความคิดนั้นทิ้งแล้วรีบอุ้มนางไปยังเรือนพัก
บัดนี้ปณิธานแรกที่หยูเหวินหยาตั้งมั่นคือทำให้เหิงเจี้ยง สามีผู้แสนเย็นชายอมรับนางเข้าจวนได้สำเร็จ... ถึงขนาดอุ้มนางเอง แต่ตอนนี้นางไม่อาจรับรู้ได้เพราะหมดสติไปเสียก่อน
ส่วนชายหนุ่ม นี่คือครั้งแรกที่เข้าต้องยอมโอนอ่อนผ่อนตามหญิงสาว ถึงขนาดลดทิฐิมารับนางเข้าจวน ทั้งยังเป็นครั้งแรกที่เขาโอบอุ้มสตรี ขนาดฮูหยินทั้งสองยังไม่เคยได้รับการปฏิบัติเช่นนี้
มุมหนึ่งตรงทางเดินภายในจวน นัยน์ตาสองคู่ของภรรยาที่แอบสังเกตการณ์จากที่ไกล จับจ้องมองร่างหนาในอ้อมอกสามีที่รักอย่างชิงชัง พวกนางขบเม้มริมฝีปากด้วยความหมั่นไส้
“เสแสร้ง!” คำสบถด่าเอ่ยอาฆาต ด้วยไม่อาจขัดขวางสามีไม่ให้มีภรรยาใหม่ได้
เหิงเจี้ยงอุ้มหยูเหวินหยามายังเรือนซุ่นซู เป็นเรือนที่อยู่ทางทิศใต้ของจวนเหิงแห่งนี้ สถานที่นี้จะเป็นบ้านหลังใหม่ของหยูเหวินหยา ร่างบางในชุดหนาเตอะปิดคลุมใบหน้าถูกวางลงบนเตียง เสียงใหญ่เอ่ยสั่งการให้ไปตามหมอในจวนมาดูอาการนางที่ตัวร้อนและหมดสติสลบไสล
เมื่อหมอมาถึงเหิงเจี้ยงก็ผละกลับไปยังเรือนใหญ่ในทันที เหลือเพียงเซียงเซียงกับชายร่างสูงโปร่งทว่าดูอ้อนแอ้น ใบหน้าเรียวขาว ดวงตาจมูกปากได้รูปสมส่วน เขาผู้นี้คือหมอประจำจวนเหิงที่เข้ามาทำงานในช่วงที่เหิงเจี้ยงไปออกรบ นามว่าหรงจุ้ย
มือขาวนุ่มของชายใจหญิงทาบจับชีพจรของหยูเหวินหยาที่นอนหมดสติอยู่บนเตียง สายตาคมเฉียบสังเกตมองฝ่ามือที่เรียวเล็กเนียนนุ่มพลันเคลือบแคลงสงสัย ว่าเหตุใดหญิงร่างใหญ่จึงมีมือที่เล็กและงามผิดวิสัยเช่นนี้ นัยน์ตาพลางชำเลืองมองร่างกายและใบหน้าของนายหญิงคนใหม่อีกครั้ง แต่ศีรษะนางถูกคลุมไว้ด้วยผ้ามงคล
หรงจุ้ยฉงนหนัก จึงตัดสินใจถือวิสาสะเปิดผ้าคลุมสีแดงออก และพบว่ามีผ้าพันโพกศีรษะนางไว้อีกชั้น สาวใช้คนสนิทเห็นเช่นนั้นก็ตกใจ
“บังอาจ! เจ้ากล้าละลาบละล้วงล่วงเกินคุณหนูเช่นนี้ หากลัวโทษทัณฑ์ใช่หรือไม่!” เสียงเล็กตวาดก้อง ใจหนึ่งเกรงความที่คุณหนูกำชับว่า ห้ามให้ผู้ใดรู้ว่านางไม่ได้อัปลักษณ์เช่นแต่ก่อนจะถูกเปิดเผย ใจหนึ่งก็โมโหที่ชายตรงหน้าที่เป็นแค่หมอ แต่กล้ามาจับต้องร่างกายเจ้านายตนมากกว่าจะรักษา
“ข้าขออภัย แต่ข้ามิได้คิดจะล่วงเกิน เพียงแต่นายหญิงน้อยในยามนี้นั้นมีไข้สูง การหายใจก็แลดูลำบากนัก ข้าเกรงว่าอาการนายหญิงน้อยจะยิ่งทรุดหนัก อีกอย่าง... ต้องลดไข้ด้วยการใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดระบายความร้อน” หรงจุ้ยเอ่ยพลางก้มศีรษะเล็กน้อย ลดสายตาลงต่ำตามมารยาท เสียงเขาเพราะเหมือนเสียงหญิงสาวมากกว่าเสียงชายชาตรี
เซียงเซียงได้ฟังก็สงสัยในท่าทางของหมอผู้นี้ หญิงไม่ใช่แต่ละม้ายคล้ายยิ่งนัก แลดูงามจับตากว่าหญิงสาวหลายคน นางสลัดความคิดและให้ความสนใจคุณหนูตน ในใจแสนกังวลตามคำบอก ใบหน้าเล็กฉายแววครุ่นคิด เกรงว่าคุณหนูที่รักจะอาการหนักกว่าเก่า นางจึงตัดสินใจเพื่อหาทางออก
“ข้าจะไว้ใจเจ้าได้หรือไม่ ว่าจะไม่นำเรื่องที่รู้ที่เห็นในยามนี้ไปบอกแก่ผู้อื่น”
สาวใช้ผู้จงรักภักดียื่นหน้าไปถามหมอหนุ่ม ร่างโปร่งพลันโน้มตัวอีกครั้งเพื่อให้คำมั่นแทนการกล่าว
“จงอย่าลืมคำสัตย์เมื่อครู่เล่า” เซียงเซียงย้ำคำ เมื่อไม่มีทางเลือกนางจึงตัดสินใจค่อยๆ บรรจงแกะผ้าที่พันโพกศีรษะคุณหนูตนออกอย่างทะนุถนอม
หรงจุ้ยกระหยิ่มยิ้มย่องในใจ เขาคาดไว้อยู่แล้วว่า อย่างไรสาวใช้ผู้นี้ก็ต้องยอมแกะผ้าออก เขาหาได้หวาดหวั่นเรื่องตุ่มหนองไม่ เพราะเป็นหมอจึงต้องเจอภาพน่าสะอิดสะเอียนมามาก ร่างชายทว่าซ่อนใจหญิงเอาไว้พลันตื่นเต้น เขาเคยได้รู้มาบ้างถึงคำเล่าลือเกี่ยวกับคุณหนูสกุลหยูนางนี้ ซึ่งเวลานี้เขากำลังจะได้เห็นด้วยตาตัวเอง
มือเล็กบรรจงแกะผ้าออกอย่างแผ่วเบา ความลับค่อยๆ ถูกเปิดเผยอย่างช้าๆ จนเริ่มเห็นเส้นผมสีดำสนิท ปลายผ้ายังคงถูกคลี่ออกเรื่อยๆ ตามแรงดึงของเซียงเซียง จนในที่สุดใบหน้าที่ถูกซ่อนเร้นไว้ก็เปิดเผย
หน้าผากมนโค้งนูนน่าพิสมัย คิ้วดำเรียวโค้งราวกับพระจันทร์เสี้ยว ดวงตาที่หลับปรือพร้อมขนตาหนางอนระยับ จมูกโด่งเป็นสันปลายหยดน้ำแสนจิ้มลิ้ม ริมฝีปากบางหยักโค้งได้รูปดุจคันศรแลงดงามราวกับภาพวาด คางเรียวมนรับกับลำคอระหง ผิวพรรณนางละเอียดเปล่งปลั่งคล้ายฉายแสงผ่อง
หรงจุ้ยถึงกับตะลึงค้างในภาพที่ได้ประจักษ์ นี่น่ะหรือคำสาปที่เล่าลือ และหากงามดุจเทพธิดาเช่นนี้ยังถูกเรียกว่าอัปลักษณ์ เขาก็อยากจะอัปลักษณ์แบบนี้ให้ล่มเมืองไปเสียเลย เขาคิดพลางอิจฉาความงามที่เห็นยิ่งนัก
“คุณหนูไม่อยากให้ใครรู้เรื่องที่นางไม่ได้หน้าตาน่าเกลียด อย่างไรท่านก็อย่าลืมปิดปากให้สนิทเสีย” เซียงเซียงข่มขู่อีกครั้ง
“ดูจากลักษณะเค้าโครงรูปหน้าแล้ว รูปกายนายหญิงน้อยคงไม่ได้อ้วนฉุอย่างที่ลือกัน ขะ...ข้าไม่เข้าใจเลย เหตุใดต้องอำพรางตนด้วย” หมอหนุ่มถามด้วยความสงสัย
“เรื่องของเจ้านาย”
สาวใช้ตอบสั้นๆ ทำเอาหรงจุ้ยถึงกับหน้าหงาย เขาเลยได้แต่ปิดปาก ก้มหน้าก้มตาตรวจอาการแล้วออกไปเตรียมยาต่อ โดยได้กำชับวิธีดูแลคนป่วยให้เซียงเซียง
สามวันเคลื่อนคล้อยจนหยูเหวินหยาฟื้น คราแรกนางแสนมึนงงว่าตนอยู่ในสถานที่ใด เพราะสติสุดท้ายที่จำได้คือนางกำลังเดินตามชายใจน้ำแข็งเข้าจวนเหิง จากนั้นก็จำอะไรไม่ได้อีกเลย
เซียงเซียงเห็นเช่นนั้นก็ไม่รอช้า รีบเล่าเรื่องราวที่คุณหนูถูกอุ้มโดยเจ้าของจวนเพราะหมดสติด้วยพิษไข้ และเล่าเรื่องที่หมอหรงจุ้ยรู้ความลับ จนหยูเหวินหยาต้องเรียกตัวหมอผู้นั้นมาเพื่อกำชับ ทั้งสองจึงมีโอกาสพูดคุยกันอย่างถูกคอ หลังจากนั้นมาก็สนิทสนมกันโดยปริยาย
กลางห้องอาหารของจวนใหญ่ เหิงเจี้ยงกับสองศรีภรรยานั่งล้อมวงอย่างพร้อมหน้าบนโต๊ะไม้เนื้อดีที่ถูกปูด้วยผ้าสีน้ำเงินขึ้นเงาวับวาว บนโต๊ะพรั่งพร้อมด้วยอาหารอุดมสมบูรณ์ ชิงหนิงกับหว่านเอ๋อร์นั่งทอดสายตามองสามีด้วยความสงสัย ว่าเหตุใดจึงไม่เริ่มกินอาหารเสียที ด้วยประเพณีที่ยึดถือคือสามีต้องเป็นผู้เริ่มกินก่อน
ด้านชายหนุ่มหน้านิ่ง ในใจครุ่นคิดเรื่องที่ค้างคาใจ นั่นคือเรื่องของอนุภรรยาคนใหม่ เพราะตั้งแต่นำพานางเข้าจวน เขาก็ไม่เคยไปแยแสนางอีกเลย ได้แต่ส่งหมอไปรักษาตามหน้าที่ ทว่าล่วงเลยมาสามสัปดาห์แล้ว ก็ยังไม่เห็นนางออกมานอกเรือน มาร่วมกินอาหารตามมารยาทสักครั้ง
ชิวหูสุดยอดกุนซือรู้ได้ในทันทีถึงความคิดของนายตน จึงรีบเอ่ยให้คนไปตามหยูเหวินหยา ทั้งเหิงเจี้ยง ชิงหนิง และหว่านเอ๋อร์นั่งนิ่งเพื่อรอคอยหญิงสาวอีกคนมาร่วมโต๊ะอาหาร บรรยากาศการกินอาหารของคนในจวนนี้อึมครึมเสมอ แต่ตอนนี้ยิ่งมัวหมองและตึงเครียดเป็นเท่าทวี
ไม่นานสาวใช้นางนั้นก็กลับมารายงาน “นายหญิงน้อยแจ้งว่ากินอาหารเรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ นางยังฝากบอกอีกว่านางเป็นเพียงอนุ จึงไม่อาจเอื้อมมากินอาหารร่วมโต๊ะกับนายท่านทั้งสาม เกรงว่าคำสาปที่ติดตัวมาจะทำให้ทุกคนโชคร้ายตามเจ้าค่ะ”
เหิงเจี้ยงได้ฟังก็พลันถอนหายใจ เขาไม่ได้สนใจหรอกว่านางจะมานั่งร่วมโต๊ะหรือไม่ ที่สนใจคือไม่อยากให้ใครมาว่าเขาทอดทิ้งภรรยาคนใหม่ ถ้านางยืนยันเช่นนั้นเขาก็เบาใจคลายกังวล ส่วนฮูหยินทั้งสองก็แอบอมยิ้ม พวกนางพึงใจอย่างที่สุดที่ตัวเสนียดแสนน่ารังเกียจเจียมตนไม่เผยอมาวุ่นวายในเรือนใหญ่นี้
หยูเหวินหยาที่เก็บตัวอยู่ในเรือนมักอ่านหนังสือ วาดภาพ และฝึกเล่นดนตรีเพื่อคลายความเหงา บางวันหรงจุ้ยสหายใหม่ก็แวะมาพบปะพูดคุยด้วยเป็นครั้งคราว
มือเล็กหยิบดอกไม้สีสันจับตาขึ้นมาแล้วบรรจงปักลงในแจกัน โดยมีเซียงเซียงเป็นผู้ช่วย สาวใช้แอบชำเลืองมองคุณหนูอยู่หลายครั้ง แต่ทุกครั้งที่เห็น คุณหนูก็จะนั่งยิ้มไปจัดดอกไม้ใส่แจกันไป ไม่เดือดเนื้อร้อนใจสักนิดว่าเมื่อครู่เพิ่งปฏิเสธการร่วมโต๊ะอาหารในฐานะคนของสกุลเหิง
“คุณหนูไม่สนใจจะไปกินข้าวร่วมกับคุณชายเหิงหรือเจ้าคะ คุณชายอุตส่าห์ส่งคนมาตามเลยนะเจ้าคะ” เสียงเล็กเอ่ยถามด้วยไม่อาจละความสงสัยไปได้
“เขาแค่เชิญตามมารยาท หากข้าไปจริง เขากับฮูหยินทั้งสองคงกินอะไรไม่ลงหรอก คงจะกลัวตุ่มหนองและความโชคร้ายของข้าจนต้องเบือนหน้าหนีก็ได้ ข้าไม่อยากเห็นท่าทางรังเกียจเดียดฉันท์เหล่านั้นหรอกนะ” หยูเหวินหยากล่าวตอบในขณะที่สายตายังคงจับจ้องดอกไม้ในแจกัน
“แล้วทำไมคุณหนูไม่เปิดเผยไปเลยเล่าเจ้าคะ ว่าแท้จริงแล้วคุณหนูงดงามเพียงใด เอาแต่ปิดซ่อนรูปร่างจนน่าอึดอัดแย่เจ้าค่ะ” เซียงเซียงทำหน้ามุ่ย เพราะอยากอวดรูปโฉมใหม่ของเจ้านายให้คนที่เคยสบถว่าคุณหนูตนให้หน้าหงายกันไปให้หมด
“ข้าไม่อยากให้คนมาสนิทสนมหรือสนใจเพราะรูปโฉมหรอก การที่อัปลักษณ์เช่นนี้สอนให้ข้าแยกมิตรแยกศัตรู แยกคนจิตใจดีกับคนจิตใจร้ายกาจได้” หยูเหวินหยาตอบ ในใจก็คิดถึงครั้งอดีตในภพก่อนที่เคยอยู่ท่ามกลางฝูงชน ยามเป็นดารานักแสดงที่พร้อมด้วยรูปโฉมและทุกสิ่ง ทว่ารอบกายมีแต่คนอิจฉาริษยา ยามนี้ได้ใช้ชีวิตตามใจ ไร้คนตีสองหน้าที่มักยิ้มแย้ม ทว่าแอบซ่อนคมมีดไว้เบื้องหลัง หญิงสาวจึงพึงพอใจนัก
อรุณเบิกฟ้าในวันถัดมา จวนเหิงแลดูวุ่นวายจนเซียงเซียงผู้เป็นหูตาของหยูเหวินหยาต้องรีบนำความที่รู้ไปบอกเจ้านายที่รัก
“คุณหนูเจ้าคะ มีข่าวว่าองค์ชายสี่จะเสด็จมาที่จวนในวันพรุ่งเจ้าค่ะ” เสียงสาวใช้หอบเบาๆ เพราะรีบจนแทบหายใจหายคอไม่ทัน
“องค์ชายสี่หรือ เกิดมายังไม่เคยเห็นองค์ชายสักครั้ง เซียงเซียง เจ้าไปช่วยข้าเลือกผ้าเร็ว” หยูเหวินหยาบอกสาวใช้ด้วยรอยยิ้ม แอบตื่นเต้นที่จะมีบุญได้ยลโฉมองค์ชายในจักรวรรดิโบราณสักครั้ง แต่เพียงสิ้นคำของหยูเหวินหยาได้ไม่เท่าไร เสียงชิงหนิงก็ดังมาจากทางเข้าเรือนซุ่นซู
“เจ้าห้ามออกไปต้อนรับองค์ชายสี่เด็ดขาด!” เสียงแหลมของฮูหยินใหญ่เอ่ยห้าม
พวกนางถือวิสาสะมาเยือนเรือนซุ่นซูแห่งนี้กะทันหัน ทั้งยังออกคำสั่งไม่ให้หยูเหวินหยาไปร่วมต้อนรับองค์ชายสี่ที่จะมาถึงในวันพรุ่ง ทำเอาใจหญิงสาวคุกรุ่นด้วยโทสะ ฝ่ามือที่แอบซ่อนกำแน่นเพื่อสะกดกลั้นอารมณ์ที่เริ่มก่อตัวจากภายใน นางหลับตาลง พยายามยั้งสติตน ก่อนหันไปหาหญิงสาวทั้งสองด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มตามมารยาท
“คารวะฮูหยินทั้งสอง” ร่างเล็กในชุดหนาใหญ่ย่อตัวอย่างนอบน้อม ใบหน้านางพันด้วยผ้าขาวจนมิดชิด ชิงหนิงกับหว่านเอ๋อร์จึงไม่สามารถเห็นสีหน้าหยูเหวินหยาที่แสดงชัดว่าระอาพวกนางทั้งสองแค่ไหน
คอระหงของฮูหยินใหญ่ตั้งตรง ใบหน้าเชิด นางชำเลืองหางตามองอนุภรรยาเพียงในนามอย่างเดียดฉันท์ ส่วนหว่านเอ๋อร์ก็ไม่ต่างจากชิงหนิงเท่าไรนัก นางกระหยิ่มยิ้มย่องอย่างดูแคลนรูปกายภายนอกของหยูเหวินหยา
“ในฐานะที่ข้าเป็นฮูหยินใหญ่ มีหน้าที่ช่วยแบ่งเบาภาระท่านพี่ ดูแลงานน้อยใหญ่ภายในจวน ข้าคงไม่สามารถให้เจ้าที่มีรูปร่างอุจาดตาและมีคำสาปติดกายไปต้อนรับองค์ชายสี่ โอรสแห่งมังกรได้หรอกนะ” ชิงหนิงลั่นคำสั่งห้าม วาจาของนางเหยียบหยูเหวินหยาแทบจมดิน
ในใจหญิงสาวผู้ถูกดูแคลนนั้นเคืองขุ่น ‘ตลอดมาข้าก็พยายามสงบเงียบ เก็บตัวอยู่แต่ในเรือนตนยังไม่พออีกหรือ แค่ขอไปต้อนรับองค์ชายสี่ชั่วครู่ ฮูหยินทั้งสองก็ยังกีดกัน เหตุใดชีวิตข้าถึงน่าหัวเราะอย่างนี้’
สมองน้อยๆ ของนางตรึกตรองด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจ และตระหนักได้ว่า หากนางดึงดันจะไปต้อนรับองค์ชาย วันหน้าก็คงมีแต่จะถูกระรานจากสองฮูหยินทุกวันเป็นแน่ ซึ่งในตอนนี้นางยังไม่พร้อม เขี้ยวเล็บนางต้องถูกลับเสียก่อน เพื่อจะได้ไม่เพลี่ยงพล้ำจนบาดเจ็บเสียเอง
หยูเหวินหยารู้ถึงภัยในภายหน้า จึงต้องเปลี่ยนแผน หาวิธีอื่นเพื่อพบองค์ชายสี่แทน ร่างหนาพลันหันไปออกคำสั่งให้สาวใช้คนสนิทไปหยิบของบางสิ่ง
ทันทีที่ของสองชิ้นมาถึงมือหยูเหวินหยา นางก็เปิดแล้วยื่นให้ชิงหนิง ฮูหยินใหญ่แห่งจวนเหิงในทันที มันคือกล่องใส่ปิ่นมุกประดับดอกไม้ งานฝีมือประณีตและทรงคุณค่า จนชิงหนิงตาค้างจับจ้องด้วยความอยากได้
“ปิ่นมุกนี้ท่านพ่อข้าสั่งให้มอบแก่ฮูหยินใหญ่ และยังบอกอีกว่าเคยได้ยินคำเล่าลือถึงฮูหยินใหญ่ว่างามจับตาทุกผู้ที่พบพาน ท่านพ่อจึงกำชับข้าให้นำปิ่นมุกนี้มามอบให้ฮูหยินใหญ่กับมือ ด้วยหมายว่าของงามย่อมคู่กับหญิงงาม ความจริงข้าอยากจะมอบให้นานแล้ว ติดที่ข้าป่วยเสียก่อนจึงไม่มีโอกาส” คำเยินยอของหยูเหวินหยาทำชิงหนิงยิ้มแก้มแทบปริ นางรีบหยิบคว้าอย่างถูกใจ
“หากบิดาเจ้าตั้งใจเช่นนี้ ข้าก็จะรับไว้” ใบหน้ารูปไข่เชิดผยองพลางอมยิ้ม ในขณะเดียวกันก็จับจ้องปิ่นในมือไม่ละสายตา
“ส่วนของชิ้นนี้... กำไลหยกน้ำผึ้งเนื้อดีที่ท่านพ่อข้าได้มาอย่างลำบาก ขอมอบให้ฮูหยินรอง” หยูเหวินหยาเอื้อมไปหยิบกล่องอีกใบส่งมอบให้หว่านเอ๋อร์เช่นกัน นางพลันหน้าบานด้วยของที่ได้ต้องตาต้องใจนางนัก
ฮูหยินทั้งสองชำเลืองมองกันราวกับจะสื่อสารบางสิ่ง ก่อนที่ชิงหนิงจะเอ่ยปากขึ้น “แต่อย่างไรเจ้าก็ไปต้อนรับองค์ชายสี่ไม่ได้หรอกนะ” พวกนางยังยืนยันคำเดิม
“ข้าเข้าใจดี ข้าจะเก็บตัวอยู่แต่ในเรือนนี้ ไม่ไปวุ่นวายใดๆ”
สิ้นคำหยูเหวินหยา หญิงสาวทั้งสองก็ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ใส่กัน สองร่างพากันกลับไปอย่างสงบไร้การระราน การกระทำของหยูเหวินหยาสร้างความสงสัยแก่สาวใช้ที่อยู่ในสถานการณ์ยิ่งนัก นางจึงอดถามไม่ได้
“เหตุใดคุณหนูถึงโกหกเรื่องของเหล่านั้นล่ะเจ้าคะ ทั้งปิ่นและกำไลคุณหนูไปซื้อด้วยเงินของตนเอง ราคาก็แสนแพง เหตุใดถึงยอมโกหกแล้วมอบให้ฮูหยินทั้งสองไปง่ายๆ เช่นนั้นล่ะเจ้าคะ ทั้งที่พวกนางชอบแกล้งคุณหนู แล้วยังสั่งห้ามไม่ให้คุณหนูไปต้อนรับองค์ชายสี่อีก”
เซียงเซียงทำหน้ามุ่ย ไม่เข้าใจความคิดของนายตน ด้านหยูเหวินหยากระตุกยิ้ม นัยน์ตาหวานมองเหม่อไปเบื้องหน้าคล้ายมองไกลไปถึงการณ์ในอนาคต ก่อนเอ่ยให้สาวใช้ฟัง
“อย่าเสียดายที่จะสละบางสิ่ง เพื่อให้ได้มาซึ่งอีกสิ่งที่ปรารถนามากกว่า” น้ำเสียงของนางมาดมั่นแน่วแน่
“หมายความว่าอย่างไรเจ้าคะ” ร่างเล็กข้างกายรีบย้อนถาม ด้วยคุณหนูช่างเอ่ยวาจาลึกซึ้งจนคนคิดตื้นๆ อย่างนางฟังแล้วหาเข้าใจในความหมายไม่
หยูเหวินหยาหมุนกายไปสบตากับสาวใช้ มือเล็กจับกุมมือเซียงเซียงแล้วยกยิ้ม “ของนอกกายหาเมื่อไรก็ได้ ข้าแค่สละสิ่งของเหล่านั้นหมายได้มาซึ่งความสงบในใจ พวกนางคงจะเลิกวุ่นวายกับข้าไปสักพัก”
ทันทีที่สาวใช้ได้ฟังก็พยักหน้า ตอนนี้นางพอเข้าใจในการกระทำของคุณหนูขึ้นมาบ้าง แต่มีสิ่งหนึ่งที่ยังค้างคาใจเลยทวงถามอีกครั้ง “แล้วคุณหนูไม่อยากเห็นพระพักตร์องค์ชายสี่แล้วหรือเจ้าคะ”
“อันนั้นมันอีกเรื่อง ข้าต้องอยากเห็นอยู่แล้ว”
“แล้วเช่นนั้นทำไมถึงยอมตอบรับคำฮูหยินใหญ่ ว่าจะไม่ไปต้อนรับองค์ชายสี่ล่ะเจ้าคะ” สีหน้าสาวใช้เคลือบแคลงสงสัย จนหยูเหวินหยาต้องเอ่ยตัดบทจบการสนทนา
“เอาเถิด ข้ามีวิธี เจ้าไปเตรียมของตามที่ข้าสั่ง แล้วรีบกลับมาละกัน” หญิงสาวลั่นคำสั่ง
แม้เซียงเซียงจะยังไม่เข้าใจในคำของคุณหนูเท่าไรนัก แต่นางก็รีบปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด
ความคิดเห็น |
---|