ห้า
ดวงตะวันสาดแสงเป็นสัญญาณเริ่มต้นวันใหม่ หยูเหวินหยาเตรียมตัวพร้อมสำหรับเข้าวังหลวง นางสวมชุดสีม่วงอ่อนเนื้อดีดูเรียบทว่าแฝงความสง่าหรูหรา ไร้เครื่องประดับเพราะต้องคลุมปิดด้วยผ้าพันทับ หญิงสาวยังคงซ่อนรูปงามอำพรางในความอัปลักษณ์ มีเพียงจี้หยกขาวเหน็บพกที่เอวแต่พองามเท่านั้น
หญิงสาวเดินมายังหน้าเรือนใหญ่พร้อมกับสาวใช้คนสนิท นี่เป็นครั้งแรกที่คนในจวนได้พบอนุภรรยาต้องสาปผู้นี้ ทุกสายตาพลันจับจ้องและเดินหลีกหนี อากัปกิริยารังเกียจแสดงออกมาอย่างโจ่งแจ้งจนเซียงเซียงกัดริมฝีปากด้วยความเดือดดาลแทนคุณหนู
“คุณหนู ประเดี๋ยวบ่าวจะจัดการขี้ข้าพวกนี้ให้เจ้าค่ะ” สาวใช้เดือดดาล สายตาจ้องบ่าวรับใช้รอบด้านอย่างเอาเรื่อง หยูเหวินหยาได้แต่กระซิบคำให้นางสงบลงเสียก่อน
“อย่าเอาพิมเสนไปแลกกับเกลือฉันใด จงอย่าลดตัวไปต่อปากกับคนโง่จมปลักให้เสียศักดิ์ศรีฉันนั้น เข้าใจหรือไม่เซียงเซียง” หยูเหวินหยาเอ่ยคำสอนใจกับสาวใช้ข้างกาย และตั้งใจเดินตรงไปยังจุดนัดหมาย ซึ่งเหิงเจี้ยง ชิงหนิง และหว่านเอ๋อร์รออยู่แล้ว
“คารวะท่านพี่กับฮูหยินทั้งสอง” หยูเหวินหยาย่อตัวอย่างมีมารยาท ทว่าคนที่ถูกทักกลับนิ่งเฉย มีเพียงความเงียบที่ตอบกลับมาเท่านั้น
“ท่านพี่ ขอข้าไปด้วยไม่ได้หรือ” สองฮูหยินอ้อนวอน พวกนางไม่เคยเข้าวังหลวงสักครา ครั้งนี้ก็มีเพียงหยูเหวินหยาที่ได้รับการเชื้อเชิญ ร่างใหญ่ได้ยินคำขอก็พลันปฏิเสธอย่างไม่แยแส
“พวกเจ้าอยู่ที่จวนและคอยดูแลความเรียบร้อยในจวนด้วย” เหิงเจี้ยงออกคำสั่ง สตรีสองนางพลันหมดความหวัง ชิงหนิงกับหว่านเอ๋อร์ชำเลืองตามองอนุภรรยาคนใหม่อย่างมุ่งร้าย นางช่างโชคดีที่ได้ติดตามสามีเข้าวัง ทั้งที่ตลอดมาพวกนางไม่เคยได้รับโอกาสนี้ ยิ่งคิดสองฮูหยินก็ยิ่งเก็บงำความแค้น
เพียงหยูเหวินหยาเห็นสีหน้าฮูหยินทั้งสองก็เดาได้ทันทีถึงภัยร้ายที่รออยู่ จึงตัดสินใจใช้อุบาย
“ท่านพี่ ข้าขอไม่เข้าวัง แต่ขอให้ฮูหยินทั้งสองไปแทนเถิด ข้าวิงเวียนศีรษะเจียนจะล้ม หากต้องนั่งรถม้าไปถึงวังเกรงว่าจะไม่ไหว” เสียงหยูเหวินหยาแผ่วบอกอย่างสิ้นแรง สองฮูหยินได้ฟังก็พลันยิ้มดีใจ แต่เสียงใหญ่แย้งกลับราวกับพยัคฆ์คำราม
“ไม่ได้! นี่คือรับสั่งขององค์ชายสี่ ต่อให้เจ้าตายกลางทาง ศพเจ้าก็ต้องเข้าวัง!” ใบหน้าชายหนุ่มถมึงทึงจนชิงหนิงกับหว่านเอ๋อร์รีบหลุบตาหลบด้วยกลัวโดนหางเลข
“แต่...” หยูเหวินหยาเอ่ยต่อได้เพียงครึ่งคำ ฝ่ามือใหญ่ก็กระชากแขนนางถลาไปทางรถม้าคันใหญ่ ซึ่งถูกเตรียมไว้เพื่อนางโดยเฉพาะ
“น้อมส่งท่านพี่กับน้องหญิงหยู” สองฮูหยินกลั้นใจเอ่ย ถึงไม่อยากยอมก็ต้องยอม เพราะเมื่อครู่สามีลั่นคำอย่างเดือดดาล ทำเอาพวกนางหดหัวแทบไม่ทัน
ยามนี้ริมฝีปากบางภายใต้ผ้าคลุมพลันแย้มยิ้ม นางมิได้เศร้าสลดที่สามีเอ่ยว่าแม้เพียงนิด ดีใจเสียด้วยซ้ำ เพราะนางตั้งใจให้เป็นเช่นนั้น หมายให้เหมือนนางจำใจเข้าวังด้วยถูกบังคับ เพียงแค่นี้นางก็รอดปลอดภัยจากความวุ่นวายได้อีกครา
ระหว่างที่รถม้าเคลื่อนพาสองร่างไปยังวังหลวง บรรยากาศภายในช่างแสนอึดอัด จนหยูเหวินหยาต้องเบี่ยงกายไปอีกด้านตรงข้ามกับร่างสูงใหญ่ รถม้าโคลงเคลงไปมาเล็กน้อยเพราะถนนขรุขระ แต่อยู่ดีๆ มันก็โคลงหนักขึ้นจนร่างทั้งสองสะเทือนไหว
ร่างที่ทำให้ดูหนาทว่าน้ำหนักเบาพลันยั้งกายไม่อยู่ ถูกเหวี่ยงไปมาจนเซถลาและชนกับกายแกร่งของเหิงเจี้ยงที่นั่งอยู่เคียงข้าง ใบหน้าคมเข้มส่งสายตาดุมาให้ จนนางต้องรีบยันกายหลบหนี ทว่ากลับไม่เป็นผล เมื่อนางถูกเหวี่ยงจนเซไปชนเขาอีกครั้ง และครั้งนี้ร่างนางกลับถูกยึดให้นิ่งแนบชิดแผ่นอกกว้าง เพราะแขนยาวกำยำโอบไหล่นางอย่างเหนียวแน่นจนหยุดเคลื่อนไหว
“ข้างนอกเกิดอะไรขึ้น” เหิงเจี้ยงตะโกนถามคนบังคับรถม้า
เขาได้รับคำตอบว่าเฟืองของวงล้อรถม้าหลวมเพราะเมื่อครู่ตกหลุมระหว่างทาง จนทำให้รถม้าวิ่งโคลงเคลงเช่นนี้ เมื่อได้คำตอบร่างใหญ่ก็พลันจ้องมองหญิงสาวในอ้อมอก
“เพราะน้ำหนักเจ้าจึงทำให้รถม้าย่ำแย่” สามีหน้าน้ำแข็งว่าหยูเหวินหยาอีกครั้ง ใจหญิงสาวจากที่แอบตื่นเต้นเมื่อครู่พลันสลายสิ้น ริมฝีปากบางแบะใส่อย่างหมั่นไส้ เขาใช้วาจาว่านางตัวหนัก แต่ความจริงนางตัวเบาเสียกว่าเขาด้วยซ้ำ หยูเหวินหยาคิดอย่างน้อยใจ
ประตูบานใหญ่ของวังหลวงเปิดออก เบื้องหน้าคือทางเดินกว้างสู่ตัวตำหนักอันประณีตโอ่อ่า หินสลักรูปพยัคฆ์ตั้งตระหง่าน ขนานกับราวบันไดประดับมังกรหินนำพาไปยังเบื้องสูง ทว่าเหิงเจี้ยงกลับพาหญิงสาวข้างกายเดินลัดเลาะข้างตำหนักใหญ่ไปสู่สวนแมกไม้กว้าง ที่มีร่างสูงโปร่งขององค์ชายสี่ยืนรออยู่อย่างสงบ
หยูเหวินหยาแสนตื่นตา วังหลวงอันลี้ลับที่เคยเห็นผ่านทางอินเทอร์เน็ต ของจริงช่างมีมนตร์ขลัง หญิงสาวหันซ้ายแลขวากวาดตามองเพื่อเก็บภาพไว้ในความทรงจำอย่างตื่นเต้น นางย่อกายทำความเคารพองค์ชายผู้แสนดีตามธรรมเนียม ก่อนที่เขาจะเชื้อเชิญให้เดินชมอาณาบริเวณของวังหลวงแห่งนี้
ด้านเหิงเจี้ยงทำหน้านิ่ว เขากลับไม่ได้รับความสนใจจากสหายหนุ่มอย่างเคย และยังต้องเดินตามทั้งสองร่างที่หัวร่อต่อกระซิกกันจนชวนอึดอัด
“ข้าเสียดายยิ่ง หากมีเสียงซวินของเจ้า สวนดอกไม้นี้คงน่ารื่นรมย์กว่านี้นัก” องค์ชายสี่เผลอถอนหายใจ
หยูเหวินหยาเห็นองค์ชายสี่ผิดหวังก็พลันกระตุกยิ้ม นางรู้ว่าองค์ชายชอบเสียงซวินนี้แค่ไหน จึงนำติดกายมาด้วย ยามนี้มือที่สวมถุงผ้าหยิบซวินขึ้นมาทาบริมฝีปากที่โผล่พ้นผ้าออกมาเล็กน้อย ลมถูกเป่าเป็นจังหวะสร้างท่วงทำนองเสนาะชวนเคลิ้มฝัน ทันทีที่หลี่ซื่อได้ยินเสียงที่เฝ้าคะนึงหา องค์ชายสี่ก็หันมาแย้มยิ้มให้หยูเหวินหยา
เหิงเจี้ยงที่ไม่เคยมีดนตรีในหัวใจพลันเกิดความรู้สึกประหลาด เสียงนี้ช่างไพเราะดุจเสียงสวรรค์ บันดาลให้ใจชายหนุ่มเข้าสู่ภวังค์ เมื่อท่วงทำนองสิ้นสุด เขาก็รีบสลัดความลุ่มหลงที่พลั้งเผลอทิ้ง นัยน์ตาเขาทอดมองไปยังร่างหนาของผู้เป็นอนุภรรยา ภาพนางยิ้มและสอนองค์ชายที่เป็นสหายรักฝึกเป่าเครื่องดนตรีชิ้นเล็กสะท้อนในดวงตาสีนิลดำขลับ ที่ยามนี้วับวาวเพราะขุ่นข้องหมองใจเล็กน้อย
ในจังหวะนั้น ท่ามกลางสองร่างที่ยืนหัวเราะและฝึกเป่าซวินอย่างสนุกสนาน ก็ปรากฏร่างใหญ่ในชุดสีทองปักลายมังกรน่าเกรงขาม พระพักตร์อิ่มสุขผุดผ่อง เหิงเจี้ยงรีบก้าวเข้าไปถวายความเคารพ ทำให้สองหนุ่มสาวที่เมื่อครู่ไม่สนใจผู้ใดต้องหยุดความสนุก แล้วหันมาถวายความเคารพฮ่องเต้ผู้เรืองอำนาจ
“เจ้าคงเป็นภรรยาใหม่ของเหิงเจี้ยง แม่ทัพปกป้องดินแดนของเราสินะ” ใบหน้ากลมประดับหนวดเคราสีดำแซมขาวคลี่ยิ้มอย่างอ่อนโยน แต่ไม่ทันที่หยูเหวินหยาจะตอบสิ่งใด เสียงกงกงคนสนิทของฮ่องเต้ก็เอ่ยแทรกขึ้นเสียก่อน
“ฝ่าบาท อย่าทรงเข้าใกล้นางพ่ะย่ะค่ะ ประเดี๋ยวฝ่าบาทจะโดนคำสาปร้ายของนางไปด้วยนะพ่ะย่ะค่ะ” ขันทีแก่จีบปากจีบคอเอ่ย เขารักและห่วงใยผู้เป็นนายจนหลุดปากเอ่ยดูหมิ่นหญิงสาว
“กงกง! เจ้ากล้าดูหมิ่นสหายข้ารึ!” องค์ชายสี่เดือดเนื้อร้อนใจในทันที เขาถือมิตรภาพเป็นเรื่องสำคัญยิ่ง
“เอาน่า พอเถอะ เจ้าก็สงบปากเสีย เราเป็นฮ่องเต้ ยังจะงมงายในคำเล่าลือเกี่ยวกับคำสาปอีกรึ” ฮ่องเต้กล่าวกับบุตรชาย ก่อนจะหันไปเอ็ดกงกงคนสนิท
หยูเหวินหยาได้ยินคำพูดของคนที่อยู่เหนือคนตรงหน้า ในใจก็บังเกิดความเคารพ ด้วยความคิดความอ่านและพระเมตตาสูงส่ง จนนางดีใจเหลือแสนที่มีบุญได้ย้อนมาพูดคุยกับผู้ยิ่งใหญ่คนนี้
“เราได้ยินเสียงซวินที่หาฟังได้ยากยิ่ง จนอดเดินตามเสียงมาไม่ได้ แต่ก่อนเราเคยได้ฟังท่านจีย่งหาน หัวหน้านักดนตรีเล่นอยู่บ่อยครั้ง แต่ท่านจีก็สิ้นลมไปแล้ว ทำให้ไม่ได้ฟังเสียงซวินแสนไพเราะอีก มาได้ยินครานี้น่ายินดีนัก”
“ขอบพระทัยที่ทรงเมตตาเพคะ เช่นนั้นหม่อมฉันขอเล่นถวายฝ่าบาทสักเพลงนะเพคะ” หยูเหวินหยากราบทูลอย่างนอบน้อม ก่อนยกเครื่องดนตรีชิ้นเล็กขึ้นเป่า
บุรุษทั้งสามและเหล่าข้าราชบริพารพากันตั้งอกตั้งใจฟัง เสียงซวินที่ดังขึ้นอีกครั้ง ทำนองเสนาะหูกังวานก้อง ดึงดูดใจผู้ฟังราวกับต้องมนตร์
เมื่อเข้ายามอู่2 ก็ถึงเวลาที่หญิงสาวต้องเดินทางกลับจวนเหิง วันนี้คือวันที่สนุกที่สุดในชีวิตในการเป็นหยูเหวินหยา ฮ่องเต้ทรงพระเกษมสำราญจากบทเพลงที่นางบรรเลงถวาย พระองค์ทรงเอ็นดูนางยิ่งนัก จึงพระราชทานอักษรด้วยลายพระหัตถ์ลงบนป้ายไม้พกว่า ‘ฮุย’ ที่แปลว่าสว่างและสดใสแก่หยูเหวินหยา โดยเปรียบว่านางพรั่งพร้อมด้วยความสดใส ชี้นำคนรอบกายให้ใจเบิกบานตาม
นัยน์ตาหวานจ้องมองแผ่นไม้ที่ฮ่องเต้พระราชทาน นางมีความสุขจนริมฝีปากบางภายใต้ผ้าคลุมคลี่ยิ้มไม่หุบ รู้สึกเหมือนได้รับความรักจากบิดามารดาไม่ผิดเพี้ยน ความเอ็นดูที่ได้รับส่งผลให้ใจดวงน้อยหวนคิดถึงครอบครัวที่จากมา ทั้งพ่อ แม่ และเพื่อนรักอีกหลายคน
ความคิดถึงจับขั้วหัวใจจนภายในอกบีบรัดอยากกลับไปภพเก่า ถ้าย้อนกลับไปได้ วันนั้นตนคงเลือกที่จะเมินเฉย ไม่กระโดดลงไปช่วยผู้หญิงปริศนาคนนั้นแน่ ความใจดีกลับย้อนมาเล่นงานตัวเอง นัยน์ตาหวานเลื่อนลอยมองไปบนท้องฟ้าสีคราม ทันใดนั้นผีเสื้อสีเหลืองก็โบยบินผ่านหน้าจนต้องชายตามองตาม
“ผีเสื้อขยับพลิ้วแผ่วลม นั่งชมพฤกษาในสวนกว้าง แล้วไยใจข้าถึงอ้างว้าง สั่นสะท้านเรือนจิตคิดหวนคืน” เสียงใสเผลอเอ่ยรำพึงรำพันจนหลี่ซื่อที่ยืนเคียงข้างบังเอิญได้ยิน
เขารับรู้ได้ทันทีว่านางคงคิดถึงบ้าน คิดถึงบิดาที่ต้องจากมา แต่เขาไม่รู้ว่าทุกอย่างที่หยูเหวินหยาคิดถึงนั้นล้วนแต่อยู่อีกภพทั้งสิ้น
ผละจากองค์ชายสี่ เหิงเจี้ยงก็พาหยูเหวินหยาเดินออกจากอุทยานหลวง ภายในใจชายหนุ่มขุ่นข้องกับภาพภรรยาในนามหน้าชื่นตาบานหัวร่อต่อกระซิกกับองค์ชายสี่ที่ยังติดตา ทั้งยังถูกพระทัยฮ่องเต้จนได้รับพระราชทานลายพระหัตถ์อีก วันนี้นางกล้าพูดคุยระรื่นกับชายอื่น แต่กับเขา นางกลับเอาแต่หลบอยู่ในเรือน อีกทั้งซวินที่นางเป่า หากไม่มาพบองค์ชายสี่ เขาคงไม่มีทางได้ฟังเป็นแน่ ยิ่งคิดใจของเขาก็ยิ่งเคืองขุ่น
“เจ้านี่ช่างมากเล่ห์ ทำองค์ชายหลงใหลถึงขนาดนัดหมายพาเข้าวัง แม้กระทั่งฮ่องเต้ก็ยังไม่เว้น ตอนนี้เจ้าจับข้าได้แล้ว หรือหมายจะไปจับคนที่สูงศักดิ์อีก ดีนะที่เจ้าเกิดมาอัปลักษณ์ ไม่เช่นนั้นคงใช้ร่างไต่เต้าขึ้นเป็นพระชายาหรือพระสนมไปแล้วกระมัง”
ได้ยินคำถากถางเช่นนั้น รอยยิ้มของหยูเหวินหยาก็พลันเลือนหาย เขาพูดประชดอย่างไม่พึงใจโดยไม่แยแสถึงใจผู้ฟังสักนิด
“ท่านพี่หมายความเช่นไร” เสียงเล็กเอ่ยอย่างเศร้าหมอง
“ข้าเอ่ยสิ่งใดเจ้าย่อมรู้ดี เป็นสตรีมีสามี แต่ไปประชิดจับต้องถึงตัวชายอื่น แล้วยังเป็นถึงองค์ชายและฮ่องเต้อีก หากเจ้าไม่อัปลักษณ์ เกรงว่าคงกลายเป็นหญิงงามเมืองเสียมากกว่าจะมาเป็นอนุข้า”
คำเย็นชากรีดลึกสร้างแผลในใจหยูเหวินหยาในฉับพลัน เขาว่านางไม่สำรวมตน ทั้งเกิดมาอัปลักษณ์ ทั้งยังลั่นคำหนักว่าเป็นหญิงคณิกา ทั้งที่นางก็พยายามวางตัว แค่สอนซวินด้วยหมายอยากตอบแทนองค์ชายสี่ที่ดีกับตน นางแค่ใกล้ทว่าไม่ได้แนบชิดให้เสื่อมเสีย หญิงสาวคิดด้วยความอัดอั้นตันใจ
นิ้วเรียวภายในถุงผ้าพลันเกร็งเหยียดแล้วกำแน่น ดวงตาเอ่อล้นด้วยน้ำใส แต่ก็ถูกผ้าคลุมปกปิดไว้มิดชิด
บรรยากาศภายในรถม้าช่างน่าอึดอัดกว่าตอนขามาเป็นเท่าทวี ร่างใหญ่คุกรุ่นด้วยโทสะเนื่องจากไม่พึงใจในท่าทีภรรยาตนที่มีต่อชายอื่น เขาตระหนักดีว่านางนั้นอัปลักษณ์ คงไม่ต้องกลัวเรื่องบัดสี ทว่าอย่างไรนางก็ได้ชื่อว่าเป็นคนของเขา แม้จะอัปลักษณ์ แต่เขาก็ไม่ชอบให้ใครมาถึงเนื้อถึงตัวใกล้ชิดกับนาง ส่วนหยูเหวินหยายิ่งช้ำหนัก คำที่เขาว่านางยังก้องในหูไม่เลือนหาย
หลังจากกลับถึงจวน หยูเหวินหยาที่ไม่สบายใจด้วยถูกความรู้สึกเกาะกินเพราะคำว่าร้ายของเหิงเจี้ยง จับพู่กันเตรียมเขียนตัวอักษรในกระดาษเปล่า
“คุณหนูจะทำสิ่งใดเจ้าคะ” เซียงเซียงเอ่ยทัก เพราะดูสีหน้านายหญิงเศร้าหมองนัก
“ข้ากำลังเขียนหนังสือหย่า ข้าจะหย่า ข้าทนไม่ไหวแล้ว” เสียงใสสั่นเครือ ด้วยภายในใจอดกลั้นความรู้สึกไม่ไหว มันเอ่อล้นทะลักออกมา
สาวใช้ได้ยินคำว่าจะหย่าก็ตกใจรีบถามกลับโดยพลัน “เกิดอะไรขึ้นเจ้าคะคุณหนู”
“เขาดูแคลนข้าก็ทำนิ่งเฉยเรื่อยมา แต่วันนี้ข้าทนไม่ไหวแล้ว คำเขาหนักเกินข้าจะรับไหว” มือน้อยที่จับพู่กันสั่น ภายในใจเจ็บหนึบ
“คุณหนูใจเย็นก่อนนะเจ้าคะ อย่าทำตามอารมณ์ คุณหนูเพิ่งเข้าจวนมาได้ไม่นานก็หย่าเสียแล้ว แล้วจะกลับไปบอกนายท่านหยูว่าอย่างไรเจ้าคะ” คำของเซียงเซียงเรียกสติหยูเหวินหยา
หญิงสาวหลับตาหมายสงบใจที่ดั่งมีไฟสุ่มให้มอดดับ เซียงเซียงกล่าวถูกต้อง เพราะหากรีบหย่าเร็วขนาดนี้มีหวังคงถูกครหานินทา จนพานให้ครอบครัวเจ้าของร่างเดือดร้อนแน่ เมื่อคิดได้เช่นนั้น นางก็ลืมตาพลางวางพู่กันลงบนโต๊ะด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
นัยน์ตาใสลุกวาวด้วยโทสะ หากอยู่อย่างสงบก็ยังหนีไม่พ้นมีเรื่องให้ทุกข์ใจ งั้นต่อไปนางก็จะทำตามแต่ใจตนบ้าง หญิงสาวคิดด้วยใจมุทะลุ
ยามบ่ายคล้อยหยูเหวินหยาตัดสินใจปลดปล่อยความอึดอัด นางแต่งกายมิดชิดเดินลัดเลาะออกทางประตูหลังของจวนเหิงที่ไร้ซึ่งทหารจวนเฝ้าระวัง ไม่รอช้าที่จะไปยังต้นไม้ใหญ่ที่แสนคิดถึง ความสงบที่เคยได้รับทุกครั้งที่อิงแอบทำให้นางติดตรึงใจเสียจนต้องมาเยือน
หยูเหวินหยากางแขนโต้สายลมโชยพัดกระทบร่าง นัยน์ตาหลับพริ้มราวกับกำลังละเล่นกับธรรมชาติที่สงบ มีเพียงใบไม้และปลายหญ้าที่โยกเอนคล้ายกำลังเริงระบำ
นางกอดรอบต้นไม้ใหญ่ ในใจพลางรำพึงรำพัน ‘หากเป็นไปได้ ในทุกวันข้าก็อยากแวะมาอิงแอบใต้ร่มเงาของเจ้า เพียงแต่ข้าดังถูกล่ามโซ่ตรวน จะออกมาจากจวนก็แสนลำบาก’ สิ้นคำหญิงสาวก็แหงนหน้ามองกิ่งก้านที่แผ่กว้าง รู้สึกผูกพันกับไม้ต้นนี้มานานเหลือคณานับ
ในจังหวะเดียวกันกับที่นัยน์ตาหวานทอดมองเบื้องบน ภาพใบไม้หลายใบเหี่ยวเฉาทำใจนางกระตุกเต้น เพราะมันเคยเขียวชอุ่มไร้ใบแห้งปะปน นางคาดเดาว่าคงเหี่ยวเฉาไปตามธรรมชาติเท่านั้น
ร่างบางในชุดปิดมิดชิดเดินชมบรรยากาศโดยรอบ สองขาย่างก้าว สายตามองผ่านพรรณไม้หนาตา หญิงสาวเดินเรื่อยมาจนพบลำธารใหญ่ น้ำใสไหลรินชุ่มฉ่ำ ผิดกับอากาศยามนี้ที่แสนอบอ้าว นางถอดรองเท้าแล้วนั่งลงบนโขดหิน จุ่มปลายเท้าสัมผัสสายน้ำ
ความรู้สึกผ่อนคลายเข้าครอบครองในใจ สดชื่นซาบซ่านไปทั่วทั้งร่าง ใบหน้าหวานหันซ้ายแลขวาสำรวจรอบด้าน นางพบจุดลับตาที่เหมาะแก่การลงแหวกว่าย หญิงสาวจึงไม่รอช้า สลัดอาภรณ์แสนหนาเหลือเพียงเอี๊ยมตัวในสำหรับปิดบังส่วนสงวน มือเล็กแกะผ้าโพกศีรษะออกจนผมสีดำเงาสยายพลิ้วจากการซ่อนเร้น
อีกมุมหนึ่งของป่า ร่างสูงใหญ่ที่นอนหลับอยู่ในถ้ำอันสงบรู้สึกตัวตื่นด้วยเสียงตีน้ำเคล้าเสียงหัวเราะ ใบหน้าถมึงทึงยามนี้แสนเคลือบแคลงยิ่งนัก อาณาเขตนี้เป็นพื้นที่ของสกุลเหิงไม่เคยมีผู้ใดกล้าล่วงล้ำ แล้วเหตุใดจึงมีเสียงคนมาเล่นน้ำอย่างสนุกสนานเช่นนี้ ด้วยความสงสัยเขาจึงเดินตามหาที่มาของเสียงนั้น
นัยน์ตาคมจ้องมองไปที่ลำธาร ก็พบกับร่างอรชรที่กำลังเล่นน้ำ แขนขาขาวผ่องเป็นยองใย กรีดกรายว่ายแหวกไปตามกระแสน้ำ ในจังหวะที่หญิงสาวหมุนตัวก็ทำให้ชายหนุ่มได้เห็นใบหน้าแสนงดงามจนเขาถึงกับตะลึง รอบกายราวกับหยุดนิ่ง
หญิงสาวยืนในลำธารที่ระดับน้ำสูงเพียงครึ่งตัว ยกมือเรียวขึ้นลูบสางเรือนผมที่เปียกชุ่ม ร่างกายที่เปียกน้ำทำให้เอี๊ยมบางรัดรูปเผยเอวคอดและสะโพกผาย เนินเนื้อกลางกายนางอูมใหญ่ยั่วเย้า ร่างสูงใหญ่เหมือนถูกดึงดูด มิอาจยับยั้งใจไม่ให้เดินเข้าไปหาสตรีตรงหน้าได้
“เจ้าคือใครกัน” เสียงทุ้มแสนคุ้นเคยเอ่ยถาม
หยูเหวินหยาสะดุ้งด้วยความตกใจ จึงหันไปมองผู้ล่วงล้ำ นัยน์ตาหวานเบิกกว้างสะท้อนภาพชายตรงหน้าที่ยืนประชิดห่างเพียงคืบ เขาคือเหิงเจี้ยงสามีผู้หยาบคาย
ใจหญิงสาวกระตุกเต้นเพราะหวาดหวั่นกลัวว่าเขาจะรู้ความลับว่านางไม่ได้อัปลักษณ์ เท้าเล็กก้าวถอยหลังด้วยความตื่นตระหนก จนแผ่นหลังเบียดชนโขดหินเพราะสิ้นสุดทางถอยหนี นัยน์ตาคมของเหิงเจี้ยงสะท้อนภาพสาวน้อยแสนงดงามราวกับเทพธิดาตรงหน้า ดวงตานางสั่นไหวอย่างตื่นกลัวดั่งลูกกวางน้อย
“นี่ข้าน่ากลัวมากหรือไร ถึงทำให้เจ้าผวาสั่นเช่นนี้” เสียงใหญ่เอ่ยถาม หญิงสาวตรงหน้าช่างดูบริสุทธิ์ แตกต่างจากเขาที่กร้านโลก ริมฝีปากหยักกระตุกยิ้ม นัยน์ตาสีนิลพราวระยับเพราะต้องใจ
หยูเหวินหยาตรึกตรองคำถามแล้วฉุกคิดได้ว่าเขาจำนางไม่ได้ หญิงสาวจึงนิ่งเงียบไม่ตอบสิ่งใด ด้วยเกรงว่าสามีจะจำเสียงได้
“เจ้ายังไม่ตอบข้าว่าเจ้าคือใครกัน ชื่อเสียงเรียงนามว่าอะไร แล้วเข้ามาในเขตสกุลเหิงได้อย่างไร”
หยูเหวินหยาฟังคำถามรัว นางจำได้เพียงแค่ว่าสามีแสนร้ายกาจ ทำเป็นใช้เสียงสองกรุ้มกริ่มถามเพราะเห็นเป็นหญิงสาวหน้าตางดงาม หากนางเปลี่ยนสถานะเป็นพันผ้าปิดบังใบหน้าและสวมชุดหนาลงเล่นน้ำ มีหวังเขาคงต่อว่านางข้ามวันข้ามคืนเป็นแน่
หยูเหวินหยายังคงใช้ความเงียบสยบความเคลื่อนไหว เพราะจนหนทางที่จะหลบหนี พลางชำเลืองตามองไปทางด้านข้าง แสร้งทำทีว่ามีคนเดินเข้ามาใกล้ พร้อมส่งเสียงอุทานเบาๆ ให้คนตัวใหญ่เข้าใจผิด
“อุ๊ย!” สิ้นเสียงหวาน เหิงเจี้ยงพลันหันไปมอง เปิดโอกาสให้หยูเหวินหยาได้หลบหนี
ร่างบางรีบเอี้ยวตัวหลบแล้วออกวิ่งอย่างเร็วรี่ ด้วยทักษะนักกรีฑาเหรียญทองสองสมัยซ้อนที่ติดตัวมาจากภพก่อน จึงพาตัวเองเข้าสู่ที่ลับสายตาเหิงเจี้ยงได้ราวกับหายตัว
ด้านเหิงเจี้ยงเสียสมาธิเพียงชั่วครู่ เมื่อหันหน้ากลับมา หญิงสาวตรงหน้าได้หายไปเสียแล้ว มุมปากของชายหนุ่มยกยิ้มอย่างพึงใจ นางช่างงามผุดผ่อง มองดูใสซื่อดั่งลูกกวางน้อย ทว่ามองอีกทีก็มากเล่ห์น่าค้นหา ทำใจชายแสนตื่นเต้น
เหิงเจี้ยงนั่งลงริมโขดหิน ทอดสายตามองธรรมชาติเบื้องหน้า สมองจินตนาการถึงสตรีงดงามราวกับภาพวาดเมื่อครู่ ชายหนุ่มยิ้มกริ่ม จนเวลาผ่านไปเนิ่นนานกระทั่งตะวันคล้อยต่ำ จึงแน่ใจแล้วว่านางคงไม่กลับมาอีก เขาจึงกลับจวนเหิง
หยูเหวินหยาหนีจากสามีมาได้ ก็แอบหลบอยู่ข้างถ้ำมืด ยามนี้ร่างกายยังคงไร้อาภรณ์ชิ้นนอกห่อหุ้ม เมื่อครู่รีบร้อนหนีมาโดยลืมคว้าชุดมาด้วย นัยน์ตาหวานคอยจ้องมองสามีจากระยะไกล ทว่าเขากลับไม่ยอมขยับไปไหนจนนางเริ่มท้อ ร่างบางเลยได้แต่รอกระทั่งเขาเดินลับหายไป
มือเล็กคว้าชุดที่ยัดนุ่นหนามาสวมทีละชั้น และบรรจงโพกผ้าห่อคลุมศีรษะปิดบังใบหน้าก่อนเดินกลับจวน นัยน์ตาสอดส่ายมองซ้ายขวาในขณะที่ก้าวเท้าเบาหมายไม่ให้ใครพบเห็น เมื่อพ้นประตูด้านหลังของจวน หญิงสาวก็พลันโล่งอก
ภายในห้องนอนส่วนตัวของเหิงเจี้ยงในเรือนใหญ่ ชิงหนิงมาหาสามีถึงห้องนอนพร้อมด้วยสุราและอาหาร นางหมายใจว่าจะได้ร่วมเรียงเคียงหมอนกับสามีที่รักในค่ำคืนนี้ เพราะตั้งแต่ชายหนุ่มกลับจากชายแดน เขายังไม่เคยแวะเวียนไปค้างที่เรือนใดสักคืน ทั้งที่สองฮูหยินก็รอแล้วรอเล่า
“ท่านพี่ ข้าชิงหนิงเอง ขอเข้าไปนะเจ้าคะ”
มือเล็กเปิดบานประตู เผยให้เห็นร่างใหญ่ที่นั่งอยู่ตรงโต๊ะด้านใน เขากำลังสนใจแผนที่ชายแดนที่ตนวาดขึ้นใหม่เมื่อครั้งออกไปสำรวจอาณาเขตพื้นที่ตอนออกรบ ภรรยารีบเดินเข้าไปหาสามีในขณะที่สาวใช้สองคนนำอาหารและสุราวางลงบนโต๊ะกลางห้องใหญ่ แล้วรีบกลับออกไปอย่างรู้หน้าที่
ร่างกายกำยำถูกเชิญชวนจนต้องย้ายมานั่งตรงหน้าสุรากับอาหาร มือเล็กของภรรยาสาวรินป้อนพร้อมเบียดกระแซะจนความเป็นชายเริ่มตื่นตัว
“ท่านพี่ดื่มอีกนิดนะเจ้าคะ” เสียงหวานยั่วเย้า พร้อมรินสุราป้อนไม่ขาดปากหมายมอมเมา
นัยน์ตาชายหนุ่มทอประกายวับวาว ภาพหญิงสาวข้างกายพร่ามัวจนมองเป็นหญิงปริศนาที่พบในลำธาร ริมฝีปากยกเหยียดกว้างอย่างพอใจที่พบนางอีกครั้ง
“เจ้าหายไปไหนมา” เสียงทุ้มที่แสนดุดันเวลานี้แปรเปลี่ยนเป็นเย้ายวนแสนมีเสน่ห์ จนภรรยาสาวใจเต้นแรง
มุมนี้ของสามี นางเพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรก ‘รู้เช่นนี้ข้าคงมอมสุราท่านพี่ไปนานแล้ว’ หญิงสาวพลันฉุกคิด
ร่างบางถูกช้อนอุ้มพาไปยังเตียงกว้าง ชิงหนิงถูกวางลงอย่างทะนุถนอมจนใจหญิงสาวรู้สึกถึงความผิดปกติ เพราะความอ่อนโยนเช่นนี้นางไม่เคยได้รับจากสามีสักครั้งตั้งแต่ได้แต่งเข้าจวนเหิง
ใบหน้าคมซุกไซ้ซอกคอขาวที่ระด้วยเรือนผมสีดำของชิงหนิง ความร้อนชื้นถูกโลมเล้าใส่กายสาวจนอารมณ์นางทะยานสูง จมูกโด่งขึ้นสันสูดดมกลิ่นหอมที่หมายอยากคลอเคลียตั้งแต่ครั้งที่เห็นในลำธารใส ชายหนุ่มทวีด้วยราคะร้อนที่ถูกปลุกปั่นจากภาพมายา
ชิงหนิงบิดเร้าอย่างแสนเคลิบเคลิ้ม จนชายหนุ่มได้ยินเสียงกระเส่า ใบหน้าคมชำเลืองมองหญิงสาวที่ปลดปล่อยตัณหาจนสีหน้าหยาดเยิ้ม ฉับพลันดวงตาคมเข้มก็เบิกกว้าง เมื่อภาพที่สะท้อนนัยน์ตาดำขลับคือภาพฮูหยินใหญ่มิใช่นางในฝัน
เหิงเจี้ยงหยุดริมฝีปากและดันกายออกห่างจากร่างเล็ก อารมณ์ที่คุกรุ่นมลายสิ้น ความฮึกเหิมมอดดับจนมิอาจสานต่อ
ชิงหนิงแสนฉงนในท่าทีของสามีที่รัก ‘ฤทธิ์สุราจางแล้วหรือไร’ นางคิดพลางขยับกายไปกอดเกี่ยวเอวสามีจากทางด้านหลังหมายปลุกเร้าอารมณ์ต่ออีกครา ทว่าเหิงเจี้ยงกลับดึงมือเล็กออก แล้วส่งนางกลับเรือนพักเพราะมิอาจลืมภาพหญิงปริศนาที่เพิ่งพบเจอได้
หยูเหวินหยานั่งอยู่ในสวนกลางจวน บรรยากาศโดยรอบอบอุ่นด้วยแสงแดดอ่อน นี่เป็นครั้งแรกที่นางมานั่งหย่อนใจอย่างสบายในจวนเหิงแห่งนี้ ด้วยมาดมั่นทำตามใจตนบ้าง เลิกเก็บตัว เลิกมุ่งหวังหาความสงบ เพราะมันหาไม่ได้จากในจวนแห่งนี้ และคงไม่มีวันเกิดขึ้นหากนางยังคงเป็นอนุภรรยาของชายใจน้ำแข็ง
สายตาหญิงสาวเห็นร่างใหญ่ของสามีที่เดินเกาะเกี่ยวมากับภรรยาเอกชิงหนิง นางถลึงตาใส่ชายหญิงคู่นั้นจากที่ไกล ในใจนึกย้อนไปถึงเมื่อวันก่อนที่นางถูกเขาต่อว่าเสียๆ หายๆ ว่าแนบชิดชายอื่นบ้าง ว่าเป็นหญิงงามเมืองบ้าง
‘ไม่รู้จักผู้หญิงเฟรนด์ลี่เหรอ’ ได้แต่คิดในใจ ในที่ที่หญิงสาวจากมาเรื่องแบบนี้คือเรื่องธรรมดาที่สุด
ตั้งแต่มาอยู่ในร่างนี้ หยูเหวินหยาก็พยายามสำรวมกายใจไม่ข้องแวะกับเรื่องวุ่นวายของผัวๆ เมียๆ ในจวนนี้ ขอแค่มีชีวิตสงบสุขและได้รับอิสระบ้างเล็กน้อยก็เพียงพอ ขอแค่นี้แต่นางกลับไม่ได้รับ
ดวงตาหวานจ้องมองชายหญิงอีกฟากราวกับแฝงความนัยบางอย่าง นัยน์ตาลุกวาวพราวระยับ ‘ชอบว่าเจ้าเล่ห์ใช่ไหม เดี๋ยวรู้กัน สามีหน้าน้ำแข็ง’
ความคิดเห็น |
---|