9

เก้า



เก้า

 

เหิงเจี้ยงนำพาทุกคนลงเขาแล้วเข้าไปพักในโรงน้ำชา เพราะดูท่าแล้วอนุภรรยาตัวยุ่งจะมีอาการย่ำแย่ เขาไม่เคยเห็นนางตัวสั่นเทาและน้ำตานองหน้าเช่นนี้มาก่อน เลยรีบนำพานางและคนอื่นหาที่พักก่อนจะเดินทางยาวนานอีกร่วมชั่วยาม

เสี่ยวเอ้อร์ในโรงน้ำชายกน้ำชากับซาลาเปามาวางบนโต๊ะทั้งสาม เหิงเจี้ยงกับองค์ชายสี่นั่งจิบน้ำชา แต่สายตาก็คอยแลมองอนุภรรยาที่นั่งอยู่โต๊ะเดียวกับฮูหยินทั้งสอง ส่วนชิวหู หรงจุ้ย และเซียงเซียงที่นั่งอยู่อีกโต๊ะก็ไม่ต่างจากเจ้านาย ดูจะให้ความสนใจอนุภรรยาที่ป่วย จนชิงหนิงกับหว่านเอ๋อร์สังเกตเห็นสายตาเอื้ออาทรต่อตัวเสนียดที่แสนชัง พวกนางก็ยิ่งเดียดฉันท์หยูเหวินหยาเพิ่มขึ้นอีกเท่า นัยน์ตาสองฮูหยินสบกันราวกับมีแผนการ มุมปากที่ฉาบด้วยสีแดงสดยกเหยียดดั่งแฝงความนัย

หรงจุ้ยขยับเข้ามาดูแลนายหญิงน้อยด้วยใจห่วงใย เขายื่นถุงสมุนไพรแก้วิงเวียนให้นางสูดกลิ่น “ดีขึ้นหรือไม่” หมอหนุ่มร่างโปร่งเอ่ยถาม

หยูเหวินหยายิ้มตอบ นางดีขึ้นกว่าเมื่อครู่ เพียงแต่ใจที่เต้นแรงยังคงไม่เป็นปกติ

องค์ชายสี่รินชาใส่ถ้วยแล้วยื่นให้หยูเหวินหยา “พักให้ดีขึ้นแล้วค่อยออกเดินทางเถิด” หลี่ซื่อย้ำให้นางคลายกังวล หญิงสาวรับมาพร้อมรอยยิ้มละมุนตอบรับน้ำใจ

มีเพียงสามีหน้าน้ำแข็งที่เหมือนจะไม่สนใจ เขายังคงนั่งนิ่ง มองชายทั้งสองเอาอกเอาใจอนุภรรยาตน เบื้องหน้ามีชาหนึ่งถ้วยที่รินเกิน ทีแรกเหิงเจี้ยงตั้งใจรินให้ภรรยาที่อาการไม่ดีดื่ม แต่ตอนนี้เขากลับเปลี่ยนใจเมื่อเห็นถ้วยชาที่สหายรักส่งให้อนุภรรยา เหมือนว่านางจะดีใจที่ได้รับ มือใหญ่ก็พลันสาดทิ้งแล้วพยายามข่มใจตน

“เสี่ยวเอ้อร์! ขอน้ำล้างมือหน่อยเถิด ข้ามือเปื้อนมาจากบนเขา ยังไม่ได้ล้าง จะกินซาลาเปาทั้งอย่างนี้คงไม่ดีนัก” ชิงหนิงเอื้อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงฉอเลาะ

เสี่ยวเอ้อร์ค้อมตัวรับคำสั่ง เพียงครู่อ่างไม้ก็ถูกยกมา หว่านเอ๋อร์เห็นอ่างไม้ใส่น้ำที่ฮูหยินใหญ่สั่งมา จึงรีบลุกหมายจะไปรับช่วงต่อโดยทำทีเป็นเกรงใจเสี่ยวเอ้อร์ นางเดินอ้อมโต๊ะซึ่งได้จังหวะพอเหมาะพอเจาะกับที่มือยื่นมารับอ่างไม้

“ขอบใจนะ เดี๋ยวข้านำไปให้ฮูหยินใหญ่เอง” ฮูหยินรองเอ่ยกับเสี่ยวเอ้อร์ เขาเลยปล่อยมือจากอ่างไม้นั้น ทันใดน้ำหนักก็ถ่ายเทลงสู่แขนของหว่านเอ๋อร์ นางทำทีเป็นยกอย่างยากลำบาก เมื่อใกล้ถึงตัวหยูเหวินหยา อ่างไม้ก็หลุดจากมือโดยบังเอิญ

น้ำในอ่างไม้ถูกสาดใส่อนุภรรยาต้องสาปจนเปียกปอน น้ำเย็นราดรินจากศีรษะลงสู่เบื้องล่าง หยูเหวินหยาเปียกชุ่มไปทั้งตัว พริบตาที่ไม่มีใครสังเกต ฮูหยินทั้งสองก็สบตากันแล้วยกยิ้มอย่างรู้ความนัย เพียงชั่วครู่ก็แปรเปลี่ยนเป็นทำทีตกใจหน้าซีดเผือด ราวกับไม่ได้ตั้งใจให้อุบัติเหตุครั้งนี้เกิดขึ้น

หยูเหวินหยาหลับตาปล่อยให้น้ำที่ราดรดหลั่งไหลผ่านใบหน้า นางค่อยๆ ลืมตามองใบหน้าหว่านเอ๋อร์ที่อยู่ตรงหน้า ในพริบตานั้นคงมีเพียงนางที่เห็นรอยยิ้มของฮูหยินรอง ก่อนจะตีหน้าเศร้าเล่าความสลดใจ ทำทีเป็นไม่ตั้งใจแล้วขอโทษขอโพยนางเสียยกใหญ่ ศึกถูกเปิดขึ้นกลางโรงน้ำชาโดยที่หยูเหวินหยาไม่ทันตั้งตัว

ชิงหนิงลุกมาหาฮูหยินรองอย่างว่องไวราวกับรู้จังหวะ ทำทีเป็นเช็ดเนื้อตัวหยูเหวินหยาอย่างห่วงใย

“โธ่! หว่านเอ๋อร์! เจ้าซุ่มซ่ามทำอนุผู้น่าสงสารเปียกปอนเชียว มาช่วยข้าเปลี่ยนผ้าเปียกเร็ว ประเดี๋ยวนางก็ไม่สบายพอดี” ฮูหยินใหญ่สั่งการพร้อมลงมือแกะผ้าพันศีรษะของอนุภรรยาตรงหน้าอย่างถือวิสาสะ หว่านเอ๋อร์ได้ทีจึงรีบเข้าไปช่วย

หยูเหวินหยาถึงกับตาโตด้วยความตกใจ นางกำลังถูกโจมตีอย่างต่อเนื่อง จึงรู้สึกเป็นกังวลเพราะตรงหน้ามีองค์ชายสี่กับสามีดูอยู่ หากโฉมหน้าที่ไม่ได้อัปลักษณ์ถูกเปิดเผย เกรงว่านางคงเลี่ยงข้อหาโกหก หลอกลวงเบื้องสูงไม่ได้แน่

นางพยายามดึงยื้อพร้อมขอร้องให้หยุด แต่สองฮูหยินกลับคิดว่าอนุภรรยาตัวน่ารังเกียจกลัวว่าโฉมหน้าอัปลักษณ์จะเปิดเผยสู่สาธารณะ เลยยิ่งเร่งมือเร็วขึ้นอย่างย่ามใจ ซึ่งพวกนางได้หมายมั่นตั้งใจให้เป็นเช่นนี้อยู่แล้ว หากสามีกับองค์ชายสี่ได้ยลโฉมภายใต้ผ้าคลุมหน้านี้ ทั้งสองคงจะเมินเลิกสนใจอนุภรรยาผู้นี้เป็นแน่ พวกนางคิดพร้อมเก็บรอยยิ้มไม่อยู่

หรงจุ้ยกับเซียงเซียงได้ยินเสียงร้องของนายหญิงน้อย ทั้งสองที่รู้ความลับภายใต้ผ้าคลุมนั้นก็ตกใจตาม พวกเขาคิดเช่นเดียวกับหยูเหวินหยา หากความลับถูกเปิดเผย สำหรับเหิงเจี้ยงคงไม่น่าห่วงเท่าองค์ชายสี่ ซึ่งเรื่องนี้อาจลุกลามใหญ่โตถึงขนาดโดนอาญาแผ่นดินก็เป็นได้ พวกเขาจึงรีบเข้าไปช่วยหยุดยั้งฮูหยินทั้งสอง แต่ชิงหนิงกับหว่านเอ๋อร์กลับตวาดใส่จนพวกเขาไม่กล้าเข้าไปช่วย ใบหน้าหรงจุ้ยกับเซียงเซียงแสดงความหวาดวิตก ทำให้สองฮูหยินยิ่งรู้สึกว่าแผนการครั้งนี้ได้ผลดียิ่ง

หลี่ซื่อกับเหิงเจี้ยงหันไปมองความวุ่นวายที่เกิดขึ้น คราแรกพวกเขาก็มิได้สนใจ คิดว่าสองฮูหยินคงหวังดีจริง แต่เสียงของหยูเหวินหยาที่ร้องขอให้หยุด ก็ทำให้ฉุกคิดขึ้นได้ว่าภายใต้ผ้าคลุมนั้นมีตุ่มหนอง ซึ่งนางต้องปิดบังมาชั่วชีวิต

พวกเขาต่างตกตะลึงด้วยนึกได้ว่า นางคงกลัวใบหน้าที่อัปลักษณ์จะเปิดเผยสู่สาธารณะ หลี่ซื่อคิดนำไปอีกว่า กว่านางจะกล้าออกมาเผชิญโลกภายนอกก็หาใช่เรื่องง่าย ยิ่งมาเจอเหตุการณ์นี้ที่ต้องเปิดเผยโฉมหน้าไม่น่าดูต่อหน้าทุกคน นางคงอับอายและยิ่งเก็บตัวมากขึ้นแน่

ชายหนุ่มทั้งสองกวาดตามองคนในโรงน้ำชา ที่ต่างหันมองมาภรรยาสาวทั้งสามของท่านแม่ทัพเป็นตาเดียว ราวกับอยากรู้อยากเห็นใบหน้าภายใต้ผ้าที่ปิดบังไว้นั้น หลี่ซื่อขยับตัวหมายจะเข้าไปช่วยห้าม แต่นัยน์ตาสีน้ำตาลของเขาก็สะท้อนภาพร่างสูงใหญ่ของสหายรักเคลื่อนตัวรวดเร็วราวกับพายุไปยืนท่ามกลางจุดเกิดเหตุเสียแล้ว

เหิงเจี้ยงใช้แขนแกร่งดึงร่างฮูหยินทั้งสองให้หยุดก่อเรื่อง แล้วโน้มศีรษะเล็กที่เหลือผ้าพันเร้นเพียงชั้นสุดท้ายให้เอียงซบลงที่แผงอกของเขา ราวกับกางเขตแดนอันปลอดภัยให้อนุภรรยาได้ซ่อนตัว ใบหน้าคมชำเลืองตามองโดยรอบ ประดุจสื่อให้ทุกคนในที่นั้นรับรู้ว่า อย่าได้คิดแตะต้องหรือดูหมิ่นสตรีนางนี้ที่มีเขาเป็นสามีอย่างเด็ดขาด

หรงจุ้ย เซียงเซียง และองค์ชายสี่ รู้สึกโล่งอกที่ยุติเรื่องน่าเศร้าที่เกือบจะเกิดขึ้นได้ ส่วนชิงหนิงกับหว่านเอ๋อร์ถึงกับตกตะลึงที่เห็นสามีออกตัวปกป้องอนุภรรยาผู้แสนอัปลักษณ์เช่นนี้ พวกนางใจเสียจึงรีบแก้ตัวเป็นพัลวัน

“ท่านพี่! ข้าไม่ได้ตั้งใจ มันเป็นอุบัติเหตุ” หว่านเอ๋อร์แก้ตัวเต็มที่ ใบหน้านางสลด น้ำตาเอ่อคลอเบ้า

“ท่านพี่! พวกข้าเพียงหวังดีจะช่วยนางเปลี่ยนผ้าเท่านั้น เกรงว่านางจะเป็นไข้ได้” ชิงหนิงรีบเอ่ยออเซาะต่อ หมายกลับชั่วเป็นดี มิหนำซ้ำยังยกความดีนั้นเข้าตัว

“พวกเจ้าหยุดสร้างเรื่องเสียที เกือบทำให้นางต้องอับอายแล้วรู้หรือไม่” เหิงเจี้ยงต่อว่าภรรยาทั้งสองจนพวกนางหน้าเปลี่ยนสี

นัยน์ตาคมลุกวาวด้วยโทสะอย่างเด่นชัด เหตุใดภรรยาทั้งสองถึงจงใจแกล้งนางราวกับต้องการตอกย้ำปมด้อยต่อหน้าสาธารณชนเช่นนี้ ยามนี้กลับกลายเป็นสองฮูหยินที่ต้องเป็นฝ่ายอับอายเพราะถูกสามีต่อว่า มือเรียวในชายแขนเสื้อกว้างแอบกำแน่น ด้วยแสนชิงชังอนุภรรยาที่ทำให้พวกนางต้องโดนสามีดุเช่นนี้

เหิงเจี้ยงขานเรียกเซียงเซียงพร้อมกับยื่นมือไปอีกข้าง ซึ่งสาวใช้ก็รู้ทันทีว่าเจ้านายต้องการอะไร มือเล็กจึงยื่นผ้าเช็ดหน้าให้ถึงมือเจ้านาย แต่องค์ชายสี่กลับวางผ้าของพระองค์ให้พร้อมเหตุผล

“ใช้ผ้าของข้าดีกว่า ผืนใหญ่และยาวกว่า” เหิงเจี้ยงอึกอักด้วยเป็นของเบื้องสูง ทว่านึกถึงเหตุผลแล้วก็ต้องยอมรับ เขาเลยเอ่ยขอใช้ห้องในโรงน้ำชาหมายให้อนุภรรยาตนได้ผลัดเปลี่ยนผ้า ก่อนจะล้มป่วยไปจริงๆ

 

ภายในห้องขนาดเล็กที่มีเพียงเตียง โต๊ะกลางห้อง และพื้นทางเดินอีกไม่มาก หยูเหวินหยาแสนกระอักกระอ่วนใจ นางมองสามีที่นั่งจ้องมองมา ดวงตาชายหนุ่มราวกับจะมองให้ทะลุทะลวงผ่านอาภรณ์

“ท่านพี่! ข้าเปลี่ยนเองได้” แววตานางตื่นตระหนก ด้วยเกรงว่าสามีจะเปลื้องผ้าจนเห็นเรือนกายนางหมด ปกตินางก็คอยแต่จะเข้าหาเขา หมายแกล้งทำทีเป็นอยากร่วมเตียงด้วย แต่เมื่อถึงเวลาเข้าตาจน ใจหญิงสาวก็นึกหวั่น

เหิงเจี้ยงกระตุกยิ้มแล้วเมินหน้าไปทางอื่น พร้อมเอ่ยคำที่ทำให้หยูเหวินหยาถึงกับหน้าแตก

“ข้าไม่ได้บอกว่าจะเปลี่ยนให้เจ้าเสียหน่อย” เสียงใหญ่เอ่ยนิ่งๆ เจ้าของหน้าน้ำแข็งยักยิ้มนึกขันที่อนุภรรยาคิดว่าเขาพิศวาสนาง

หยูเหวินหยาค้อนใส่เขาทันที นางเห็นว่าสามียิ้มขัน ปากบางก็พลันแอบเบ้ใส่ ก่อนหันกายเข้ามุมห้องผลัดเปลี่ยนชุดที่เปียกปอนออก หญิงสาวคลุมกายด้วยผ้าห่มผืนใหญ่ รอคอยให้สาวใช้นำผ้าไปตากให้แห้ง มือเหิงเจี้ยงตบลงบนเก้าอี้ตัวเล็กหมายให้นางมานั่งใกล้ๆ ในมือเขาถือผ้าที่ได้จากเซียงเซียงกับองค์ชายสี่ที่หวังจะช่วยเปลี่ยนผ้าคลุมหน้าให้

“ขะ...ข้าทำเองได้” อนุภรรยาสาวปฏิเสธอีกครั้ง ทว่าใบหน้าคมกลับจ้องนางราวกับจะดุด้วยสายตา

“มา... เจ้าจะถนัดอะไร ข้าช่วย! หากกลัวข้าจะเห็นตุ่มหนองของเจ้า ก็หันหน้าไปอีกทางเสีย ข้าไม่แอบดูหรอก” เหิงเจี้ยงให้คำสัตย์

“ท่านพี่พูดจริงนะ ห้ามแอบดูด้วยเพราะข้าอาย” คำของอนุภรรยาแสนเว้าวอน ร่างใหญ่จึงพยักหน้าตอบรับ

หยูเหวินหยาเยื้องย่างเข้ามาหาแล้วทรุดกายลงนั่งบนเก้าอี้ นางหันหลังให้เหิงเจี้ยงผู้เป็นสามีที่ตอนนี้นั่งซ้อนอยู่ด้านหลัง

ฝ่ามือใหญ่จับปลายผ้าผืนแรกที่ได้จากเซียงเซียงเอื้อมวางลงปิดบังหน้าผากมน ก่อนจะนำอีกผืนบรรจงพันปิดช่วงล่าง ผ้านุ่มพลิ้วที่สามีตั้งใจยั้งแรงปิดเร้นใบหน้าให้นางค่อยๆ สัมผัสโดนผิวของหญิงสาว เวลานี้ใจหยูเหวินหยาเต้นแรงจนแทบจะทะลุออกจากอก ราวกับอยู่ในห้วงแห่งฝัน รู้สึกได้ถึงสัมผัสจากปลายนิ้วที่บังเอิญแตะโดนนางเป็นบางครั้ง ความซาบซ่านแล่นผ่านดุจมีพลังหยินหยางถ่ายทอด แต่ที่ยิ่งกว่านั้นคือความรู้สึกเหมือนได้รับการทะนุถนอมจากสามีใจน้ำแข็ง

 

การเดินทางถูกเตรียมพร้อมอีกครั้ง เมื่อเหิงเจี้ยงกับหยูเหวินหยาออกจากห้องพัก นางถูกส่งขึ้นรถม้าคันเล็กที่ดูซอมซ่อและเก่าเก็บเสียจนไม่น่าจะวิ่งได้ ขบวนรถม้าเคลื่อนตัว โดยมีองค์ชายสี่นำขบวนเฉกเช่นขามา แต่เดินทางได้เพียงไม่นาน รถม้าคันเล็กที่อนุภรรยาผู้ต่ำศักดิ์นั่งก็เกิดล้อหลุดจนรถม้าไถลลงข้างทาง เคราะห์ดีที่หยูเหวินหยานั่งอยู่ด้านใน จึงไม่เป็นอันตรายใด

เหิงเจี้ยงสำรวจรถม้าที่พลิกคว่ำ ก่อนหันไปต่อว่าคนดูแลในทันที ด้วยรถม้าเก่าเช่นนี้นำออกมาใช้ได้เช่นไร บ่าวรับใช้รีบก้มหน้าสลด แล้วรายงานว่าทั้งหมดคือคำสั่งของฮูหยินรอง ใบหน้าคมเข้มหันไปจ้องมองภรรยาตัวร้ายในทันที

หว่านเอ๋อร์รีบหลบหลังชิงหนิงด้วยหวังให้ช่วย เพราะเรื่องทั้งหมดเป็นความคิดของฮูหยินใหญ่ทั้งสิ้น นางไม่พึงใจที่อนุภรรยาจะได้นั่งรถม้าสภาพดี จึงสั่งให้คนสนิทไปกำชับคนจัดเตรียมรถม้าให้นำคันที่เก่าที่สุดและเล็กที่สุดมาใช้ ด้วยให้เหตุผลว่าคนเป็นอนุภรรยาไม่ควรนั่งรถม้าดีเกินฐานะ

เหิงเจี้ยงจ้องมองสองฮูหยินเขม็ง พวกนางดีแต่ก่อเรื่องให้ปวดหัว ชายหนุ่มหันกลับไปถามว่าใช้เวลานานเท่าใดจึงจะซ่อมเสร็จ คำตอบที่ได้คือไม่มีของสำหรับใช้เปลี่ยน คงต้องรอนานเพื่อหาไม้มาทำชิ้นส่วนเพื่อประกอบใหม่ นัยน์ตาคมส่อประกายดุจใช้ความคิด ด้านองค์ชายสี่ที่ลงจากรถม้าส่วนพระองค์มารีบยื่นข้อเสนอ

“ให้นางไปกับข้าก็ได้ หากเจ้าไม่คิดมากนะเหิงเจี้ยง” คำสหายรักดั่งกับรู้ใจ ใช่ เขาคิดมาก ซึ่งหลี่ซื่อพอดูออกจากท่าทีที่บ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์และในโรงน้ำชา ว่าสหายรักผู้นี้ดูจะห่วงใยอนุภรรยาสาวคนนี้ยิ่งนัก

“ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะ แต่คงไม่เหมาะสม นางแค่คนสามัญ จะนั่งร่วมกับองค์ชายได้อย่างไร เอาอย่างนี้ องค์ชายทรงล่วงหน้ากลับไปก่อนเถิดพ่ะย่ะค่ะ พวกเจ้าก็ด้วย ประเดี๋ยวข้าจะพานางกลับเอง” เหิงเจี้ยงแจ้งองค์ชายสี่ แล้วหันไปออกคำสั่งกับฮูหยินทั้งสองและบ่าวรับใช้

“จะดีหรือ” หลี่ซื่อเอ่ยขึ้นด้วยความเป็นห่วง เพราะตอนนี้ตะวันก็คล้อยต่ำลงเรื่อยๆ เกรงว่าจะมืดค่ำเสียก่อนกลับถึงจวน

“นางเป็นภรรยาของกระหม่อม ดังนั้นก็เป็นหน้าที่ที่กระหม่อมต้องดูแล” คนเป็นสามีตอบเสียงหนักแน่น วาจาของเหิงเจี้ยงทำให้องค์ชายสี่ยักยิ้ม เขามองไม่ผิดจริงๆ ว่าสหายรักดูมีท่าทีกับหญิงสาวนางนี้จริงๆ บางทีนางอาจจะละลายน้ำแข็งที่เกาะกินในใจสหายรักผู้นี้ก็เป็นได้ เขาคิดก่อนจะเดินไปขึ้นรถม้าแล้วออกเดินทางกลับทันที

ยามนี้เหลือเพียงเหิงเจี้ยงกับหยูเหวินหยาและม้าอีกหนึ่งตัว นางนึกสงสัย สามีจะให้กลับเช่นไรในเมื่อไม่มีรถม้าให้นั่งแล้ว และไม่ทันที่นางจะได้เอ่ยปากถามไถ่ สามีก็ขึ้นคร่อมบนหลังม้าตัวใหญ่ ยื่นมือมาตรงหน้าหมายดึงนางให้ขึ้นนั่งบนหลังม้าเช่นเดียวกัน

“ท่านพี่! ข้าตัวใหญ่ น้ำหนักมาก จะนั่งได้หรือ” นางเอ่ยขึ้นด้วยความเกรงใจ ด้วยรู้สึกว่าสามีต้องเดือดร้อนเพราะนาง อนุภรรยาพลันคิดหน้าคิดหลังเลยอ้างเรื่องน้ำหนัก

ใบหน้าน้ำแข็งกลับกระตุกยิ้มเยาะ เขานึกขันในใจ ‘นางน่ะหรือตัวหนัก?’

“เจ้าตัวเบาราวกับสตรีอ้อนแอ้น เหตุใดจะนั่งบนหลังม้าไม่ได้” คำพูดของสามีทำให้นางตื่นตกใจ ด้วยนึกได้ทันทีว่าเขาเคยอุ้มนางแล้ว เรื่องน้ำหนักจึงเป็นข้อกังขาที่เขาใช้แย้งนางได้

เหิงเจี้ยงมองเรือนร่างอนุภรรยาสาวที่ใหญ่โต พูดแล้วเหมือนตอกย้ำความเดิม ทำให้ฉุกคิดถึงความเคลือบแคลงใจในครั้งเก่าก่อนได้ ‘หรือนางจะไม่ได้อ้วนจริง’ ชายหนุ่มให้นึกสงสัยนัก

หยูเหวินหยาเห็นนัยน์ตาคมจ้องเรือนร่างนางราวกับจะมองให้ทะลุเข้าไปภายใน ใจของนางก็พลันเต้นระส่ำ รีบคว้ามือสามีแล้วดึงรั้งขึ้นไปนั่งคร่อมบนหลังม้าทาบหลังร่างกำยำ

“จับให้แน่น ถ้าไม่อยากตก” เหิงเจี้ยงบอกเสียงเข้ม

หยูเหวินหยาจับชุดของสามี ทำเอาเขาเหลียวมามองด้วยขุ่นข้องใจ ก่อนเอื้อมสองมือใหญ่จับคว้ามือน้อยที่เกาะกุมผ้าตนให้เปลี่ยนมากอดเกี่ยวเอวสอบที่มีแต่มัดกล้ามของเขาแทน

ตึก! ตึก!

ใจนางกระตุกเต้นด้วยความตกใจ นี่สามีอ่อยนางหรือ

ริมฝีปากบางยกยิ้มก่อนแนบใบหน้าซบตรงแผ่นหลังกำยำของสามี นางเกาะเกี่ยวชายตรงหน้าราวกับเขาคือต้นไม้ใหญ่อันอบอุ่นที่นำพานางกลับอย่างปลอดภัย

“ท่านพี่ วันนี้ท่านใจดีกับข้าจัง” เสียงเล็กงัวเงียบอก นางเริ่มง่วงจนตาหวานเริ่มปรือ เสียงใหญ่จึงแย้งขัด เกรงว่านางจะหลับแล้วร่วงหล่น

“ห้ามหลับ! ประเดี๋ยวจะตกม้า! แค่อัปลักษณ์ไม่พอหรือ ประเดี๋ยวก็พิการเพิ่มหรอก”

หยูเหวินหยาฟังสามีแล้วก็ทำหน้าเบ้ ถึงเขาจะทำปากร้าย แต่นางก็รู้ว่าที่เอ่ยเพราะเขาห่วงใยนาง

“ข้าไม่หลับก็ได้ แต่ท่านพี่ต้องร้องเพลงให้ข้าฟัง” เสียงหวานตั้งเงื่อนไข

หางคิ้วของคนหน้าคมถึงกับกระตุกด้วยความขัดข้อง ‘ร้องงิ้วน่ะรึ! อย่างข้านี่นะจะร้อง!’

ร่างใหญ่ตรองก่อนตอบปฏิเสธ เหวินหยาจึงเอ่ยปากจะร้องแทน

“เช่นนั้นข้าร้องให้ท่านพี่ฟังก็ได้” สิ้นคำอนุภรรยาก็เอื้อนเสียงร้อง สูงบ้างต่ำบ้างเป็นจังหวะ แต่ทำนองของนางช่างพิลึกพิลั่นจนสามีนิ่วหน้าด้วยความสงสัย มิหนำซ้ำคำร้องยังมีเพียงประโยคเดียวว่า ‘หว่ออ้ายหนี่’

เหวินหยาร้องประโยคเดียวซ้ำๆ แต่ดัดเสียงสูงต่ำเป็นเพลงยั่วยวนใจสามีในแบบฉบับอนุภรรยาต้องสาป จนสามีอดถามไถ่ไม่ได้

“เพลงงิ้วอะไรของเจ้า มีแค่หว่ออ้ายหนี่ พิลึก! ฟังไม่เป็นเพลง” เหิงเจี้ยงบ่นงึมงำ

“ท่านพี่ เพลงนี้ข้าแต่งเองนะ ข้าคิดคำใดไม่ออกจริงๆ คิดได้แต่ประโยคนี้ เป็นเพลงที่ข้ากลั่นกรองจากใจร้องให้ท่านพี่ สามีข้าคนนี้ผู้เดียวเชียวนะ” เสียงใสเอ่ยฉอเลาะ

วาจาของนางทำให้เหิงเจี้ยงที่บังคับม้าพลั้งเผลอกระตุกยิ้ม ยิ่งนางบอกว่ากลั่นกรองจากใจให้สามีคือเขาคนเดียว ร่างใหญ่ก็ยิ่งกระหยิ่มยิ้มย่อง นัยน์ตาดุเข้มพลันอ่อนไหว ใบหน้าถมึงทึงเผลอผ่อนคลายจนเปื้อนรอยยิ้ม ทว่าเพียงครู่กายใหญ่ก็ได้สติ ชักสีหน้าน้ำแข็งกลับมาอีกครั้ง สะกดกลั้นด้วยการข่มยิ้ม ก่อนตอบกลับอนุภรรยาตัวยุ่งด้วยน้ำเสียงประดุจคนเย็นชา

“หนวกหู! ข้าฟังแล้วปวดหูนัก”

หยูเหวินหยาที่นั่งซ้อนหลังไม่เห็นรอยยิ้มของสามี ได้ยินเพียงเสียงเย็นชา แต่นางก็ชินเสียแล้ว ใบหน้าเล็กจึงแนบแผ่นหลัง กายเล็กขยับกระชับจนแนบสนิทกายใหญ่ นางยิ้มกริ่มพลางร้องประโยคเดิมต่อ

“หว่ออ้ายหนี่... หว่อ...หว่ออ้ายหนี่... เย...เย้... หว่ออ้ายหนี่ หว่ออ้ายหนี่...” เสียงหวานร้องประโยคบอกรักต่อ หาได้สนใจคำสามี ปฏิบัติการยั่วยวนสามีครั้งนี้ดูจะได้ผลดียิ่ง เมื่อนางเริ่มร้องอีกครั้ง ใบหน้ายักษ์ก็กระตุกยิ้มอีกครา บรรยากาศเดินทางกลับจวนอบอวลไปด้วยประโยคนี้... ‘หว่ออ้ายหนี่’ และรอยยิ้มของสามีหน้าน้ำแข็งตลอดเส้นทาง ท่ามกลางอาทิตย์ยามอัสดง

 

ภายในเรือนซุ่นซู หยูเหวินหยาทอดกายนึกถึงเรื่องวันก่อน ที่สามีใจดีหาทางพานางกลับจวนอย่างปลอดภัย ใบหน้าใต้ผ้าพันยิ้มน้อยยิ้มใหญ่เพียงลำพัง

หรงจุ้ยย่างเท้าเข้ามาหานายหญิงน้อยที่ตนเคารพ หมายมาอำลาด้วยตัดสินใจออกจากจวนเหิงไปทำงานที่อื่น

“แล้วท่านจะไปอยู่ที่ใด” ใบหน้าหวานตื่นตกใจ

“ข้าน้อยเป็นหมอ คงพอหาเลี้ยงชีพได้ไม่ยากนัก แต่เรียนตามตรง ตอนนี้ยังไม่รู้ว่าจะไปอยู่ที่ใดเลยขอรับ” หรงจุ้ยคิดหนัก ซึ่งมันฉายชัดในดวงตาจนหยูเหวินหยาดูออก

“ท่านอยู่ที่นี่... อึดอัดมากหรือ”

หมอหน้าหวานหลุบตาลง หวนคิดถึงเรื่องที่อึดอัดใจ “นายหญิงน้อยน่าจะพอทราบว่าเป็นเพราะเหตุใด”

หยูเหวินหยาตรึกตรอง ก็เดาได้ทันทีว่าคงเป็นเรื่องชิวหูเป็นแน่ พลางพยักหน้าตอบรับว่าเข้าใจ

“เอาอย่างนี้ เมื่อท่านหมายมั่นจะออกจากจวนเหิง และตอนนี้ก็ยังว่างเว้นไม่มีงานใด เช่นนั้นข้าขอจ้างท่านต่อ ตอนนี้ข้าต้องการกำลังคนสำหรับช่วยงานร้านค้าที่ข้ากำลังจะเปิดใหม่ ข้ามีแผนขายเครื่องใช้สตรี เครื่องใช้ในเรือน โรงหมอ และโรงเตี๊ยม ข้าอยากให้ท่านมาช่วยข้า” หยูเหวินหยาเอ่ยตรงๆ

หรงจุ้ยมีทีท่าลังเล ทว่าก็ยินดี ในเมื่อออกไปก็ว่างงาน สู้อยู่ช่วยนายหญิงน้อยที่มีเมตตาทำการค้าดีกว่า เมื่อร่างโปร่งตัดสินใจได้ก็ยิ้มรับ

“นายหญิงน้อยมีแผนเช่นไรหรือ” เสียงเล็กของชายร่างโปร่งถามไถ่ ด้วยอยากทราบแผนงาน

หยูเหวินหยารีบกระซิบเล่าสิ่งที่ตระเตรียมให้หรงจุ้ยฟัง ก่อนทำสัญญาว่าจ้างในฐานะผู้ดูแลร้าน

 

หรงจุ้ยเตรียมออกจากจวนเหิง เขาทอดมองประตูจวนอันโอ่อ่า แต่ใจไม่ได้คิดถึงตำแหน่งเงินจ้าง ทว่าหวนคะนึงถึงบางคนที่ใจแอบผูกพัน การก้าวออกจากจวนในครานี้คือหนทางเลือกตัดเยื่อใยที่ไม่มีทางเป็นไปได้ให้ขาดสะบั้น เขาทอดอาลัยชั่วครู่ก่อนจะหันกายเดินออกสู่โลกกว้าง ข่มใจทิ้งความรู้สึกไว้เบื้องหลังจวนแม่ทัพ

ภายในจวนเหิงเกิดความโกลาหล เพราะข้ารับใช้คนหนึ่งบังเอิญพลัดตกสระขณะตัดแต่งสวน ชิวหูสั่งคนให้ไปตามหรงจุ้ยที่เป็นหมอประจำจวนมาดูอาการคนป่วย แต่กลับได้รับรายงานว่าเขาเพิ่งลาออกและเก็บข้าวของออกจากจวนในวันนี้

ชายหนุ่มนึกสงสัย ท่านหมอออกจากจวนแล้วจะไปอยู่ที่ใด จึงพลันรุดไปด้านหน้าประตูทางเข้าพร้อมกับถามยามเฝ้าประตู คำตอบที่ได้รับทำให้เขายั้งกายค้นหาต่อ ด้วยทหารรายงานว่าท่านหมอไปนานร่วมสองชั่วยาม หากเขาจะตามหาตอนนี้คงไม่ทันแน่ ชิวหูแสนเสียดายฝีมือการรักษา หมอเก่งเช่นหรงจุ้ยช่างหายากนักในเมืองหลวงแห่งนี้

 

กลางท้องพระโรงในวังหลวง ขุนนางมากหน้าถวายความเคารพองค์ฮ่องเต้ ก่อนจะหารือราชกิจสำคัญของบ้านเมือง ปัญหาเร่งด่วนถูกนำขึ้นมาถกเถียงเพื่อหาข้อยุติ หนึ่งในนั้นคือการเตรียมจัดสอบจอหงวนที่สามปีจะจัดขึ้นหนึ่งครั้ง แต่ปัญหาสำคัญคือทรัพย์สินในท้องพระคลังยามนี้ร่อยหรอลงเรื่อยๆ ด้วยเหตุจากปีก่อนที่เกิดอัคคีภัยเผาผลาญ จนตำหนักสำคัญของวังหลวงมอดไหม้ ทำให้เสียทรัพย์ซ่อมบูรณะไปมหาศาล

“เรียกเก็บภาษีเพิ่มขึ้นจะดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ” หู่ปู้ ซึ่งมีตำแหน่งเป็นถึงเสนาบดีกรมคลังเสนอ

“ทูลฝ่าบาท หากเก็บภาษีเพิ่มเกรงว่าราษฎรจะยิ่งระส่ำระสาย เศรษฐกิจฝืดเคืองถดถอยเรื่อยมาจนราษฎรก็ย่ำแย่พ่ะย่ะค่ะ” สิ่งปู้ เสนาบดีกรมยุติธรรม ผู้จงรักภักดีเสนอความคิดเห็นแย้งกับอีกฝ่าย ทำให้ฮ่องเต้แสนหนักพระทัย

ด้านลีปู้ ขุนนางตำแหน่งเสนาบดีกรมธรรมการ เห็นว่าไร้ซึ่งทางออกจึงยื่นเสนอ “ทูลฝ่าบาท ตามจริงกระหม่อมได้รับการติดต่อจากผู้ค้านิรนามท่านหนึ่ง ที่ส่งตัวแทนมาแจ้งความจำนงให้กระหม่อมช่วยทูลฝ่าบาท ว่ายินดีบริจาคกระดาษ น้ำหมึก และพู่กันที่ใช้ในการจัดสอบจอหงวนโดยไม่คิดมูลค่าพ่ะย่ะค่ะ นี่คือตัวอย่างกระดาษที่ทางนั้นนำมาให้ดูพ่ะย่ะค่ะ”

กระดาษขาวแผ่นใหญ่ถูกยกมาเบื้องหน้าฮ่องเต้ พระหัตถ์ลูบกระดาษขาว มันเรียบลื่นไม่ขรุขระ แสดงว่าเป็นกระดาษคุณภาพดี พระองค์ทอดพระเนตรมุมกระดาษ มีรอยนูนขนาดเล็กไร้สีประทับเป็นสัญลักษณ์บางอย่าง พระองค์ทรงเพ่งพินิจ มันคือรูปดอกไม้ขนาดเล็ก มีสี่กลีบยาวพลิ้วระย้าลงมา

“หงส์ฟู่” สุรเสียงนุ่มลึกของเจ้าครองแผ่นดินเปล่งออกมา หลี่ซื่อที่อยู่ในท้องพระโรงตั้งใจฟัง

“ทูลฝ่าบาท คราแรกกระหม่อมก็สงสัยในสัญลักษณ์นั้น แต่เมื่อฝ่าบาททอดพระเนตรก็ทรงทราบในทันทีว่าคือดอกหงส์ฟู่” ลีปู้ยิ้ม ด้วยองค์ฮ่องเต้ทรงปราดเปรื่องนัก

“เราเคยไปดินแดนทางใต้ของแผ่นดิน ได้พบเห็นดอกไม้นี้ ด้วยดอกหงส์ฟู่ช่างงดงามอ่อนช้อย เป็นดอกมงคล มิหนำซ้ำยังมีสีแดงสวยจับตา ราวกับสตรีแรกแย้มที่ได้เห็นแล้วก็ยากจะลืมได้ ไหนบอกเราทีว่าผู้ที่เสนอจะบริจาคมีชื่อเสียงเรียงนามใด”

“ทูลฝ่าบาท กระหม่อมไม่ทราบว่าผู้ค้านิรนามท่านนั้นมีนามใด แต่พอรู้ชื่อร้านที่กำลังจะเปิดกลางเมืองหลวงพ่ะย่ะค่ะ ตัวแทนที่มาติดต่อบอกว่าชื่อร้านหงส์ฟู่พ่ะย่ะค่ะ”

“ดี! ชื่อร้านก็เป็นมงคล เข้าใจนำดอกไม้มาตั้ง เรามั่นใจว่าผู้ค้านิรนามผู้นี้ต้องมาจากทางใต้อย่างแน่นอน”

“ทูลฝ่าบาท ตัวแทนร้านหงส์ฟู่ยังแจ้งด้วยว่าจะสนับสนุนที่พักและอาหารให้เหล่าบัณฑิตในราคาเพียงครึ่งหนึ่ง เพื่อช่วยผู้ยากแค้นให้ได้มีที่พักและอาหาร ผู้คนที่มีความสามารถแต่ขาดทุนทรัพย์จะได้เดินทางมาสอบได้ ยิ่งคนสอบมาก โอกาสที่ฝ่าบาทจะได้คนมีความสามารถก็ยิ่งมากด้วยพ่ะย่ะค่ะ เพราะภายภาคหน้าคนเหล่านั้นจะเป็นขุนนางรับใช้แผ่นดินนี้ต่อไป นี่คือคำฝากกราบทูลแสดงเจตจำนงของร้านนี้พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมเห็นว่าทางการไม่เสียหายอันใด มีแต่ได้ประโยชน์ จึงนำความมากราบทูลฝ่าบาทให้ทรงไตร่ตรองพ่ะย่ะค่ะ”

“ได้! เรายินดีรับน้ำใจจากร้านหงส์ฟู่ รวมทั้งจะออกประกาศยกย่องร้านหงส์ฟู่ให้เป็นร้านค้าผู้จงรักต่อแผ่นดินด้วย” โอรสสวรรค์ทรงลั่นคำสัตย์

เหล่าขุนนางต่างแซ่ซ้อง “ทรงพระปรีชายิ่งแล้ว”

 

ภายในเรือนซุ่นซู หยูเหวินหยาได้รับจดหมายจากหรงจุ้ยที่ส่งถึง เนื้อความบอกเล่าว่าฮ่องเต้ทรงยินดีตอบรับน้ำใจการบริจาคเครื่องเขียนสำหรับใช้สอบจอหงวนในครั้งนี้ นางพลันยิ้มอย่างดีใจ เพราะนางเก็บตัวอยู่เบื้องหลัง โดยให้หรงจุ้ยเป็นธุระ หากเป็นสตรีก็กลัวว่าเหล่าขุนนางจะไม่ยินยอมและคัดค้าน ท่ามกลางรอยยิ้มเบิกบานใจ เซียงเซียงที่ตรองอย่างไรก็ไม่เข้าใจว่า คุณหนูทำเช่นนี้แล้วจะได้ผลดีอันใดจึงเอ่ยถาม

“คุณหนูเจ้าคะ อย่าหาว่าข้าน้อยวุ่นวายเลยนะเจ้าคะ คือข้าน้อยสงสัยนักว่าคุณหนูทำเช่นนี้แล้วได้อะไรเจ้าคะ มีแต่จะเสียทรัพย์ แค่ซื้อที่ทางและจัดทำร้านก็หมดไปหนักนัก แล้วครานี้คุณหนูยังเสนอจะออกทั้งกระดาษ หมึกเขียน และพู่กัน

“มิหนำซ้ำยังขอรับภาระค่าใช้จ่ายของผู้เข้าสอบตั้งครึ่ง ตอนนี้คุณหนูขายทรัพย์ที่มีจนหมดตัวแล้ว ร้านใหม่ก็จำนองไว้เพื่อนำเงินมาหมุน ตอนนี้คุณหนูไม่ต่างจากคนสิ้นเนื้อประดาตัวเลยเจ้าค่ะ แล้วหากมีเหตุจำเป็นต้องใช้เงิน คุณหนูจะทำเช่นไรเจ้าคะ ไหนจะร้านที่จำนองไว้อีก มีหวังถูกยึดแน่ มันเสี่ยงเกินไปนะเจ้าคะ”

หยูเหวินหยาได้ฟังก็ยิ้มกริ่ม ก่อนเอ่ยตอบอย่างใจเย็น “แค่สิ้นตัวจะกลัวอะไร”

นายสาวยิ้มยั่ว เซียงเซียงถึงกับน้ำตาคลอหน่วย เหตุไฉนคุณหนูถึงเอาเรื่องแบบนี้มาล้อเล่น หากนายท่านหยูผู้เป็นบิดารู้มีหวังอกระเบิดแน่

หยูเหวินหยาเห็นเซียงเซียงคนสนิทร่ำร้อง ก็ยื่นมือไปเกาะกุมแล้วเอ่ยปลอบประโลม

“เอาหน่า ไม่สิ้นตัวหรอก เจ้าเห็นสัญลักษณ์ของดอกหงส์ฟู่หรือไม่ ต่อไปสินค้าร้านเราจะมีสัญลักษณ์นี้ตีตราทุกชิ้น สินค้าของข้าจะเลือกสรรอย่างดี และนำมาจากแดนใต้โดยตรง ไร้พ่อค้าคนกลาง ราคาสินค้าก็ถูกกว่าร้านอื่น ที่ข้าบริจาคมากมายเช่นนี้เพราะข้ากำลังสร้างชื่อให้ร้านหงส์ฟู่อยู่หรอก

“ตอนนี้ฝ่าบาทมีรับสั่งให้ออกประกาศยกย่องร้านเราว่าเป็นร้านค้าผู้จงรัก ต่อไปคนในวังต้องมาเลือกของร้านเราที่ราคาถูกและเป็นร้านมีชื่อก่อนร้านอื่นแน่ อีกทั้งชาวบ้านก็ต้องลือกันปากต่อปากถึงร้านหงส์ฟู่ที่สร้างคุณงามความดีให้แผ่นดิน ประกอบกับสินค้าที่มีราคาไม่แพง รับรองว่าไม่นานต้องได้เงินคืน เตรียมนับเงินรอได้เลย”

เซียงเซียงตะลึงกับความคิดของคุณหนู นางไม่รู้ว่าคุณหนูคิดการณ์ไกลถึงเพียงนี้ “ถ้าเป็นเช่นนั้นจริงก็ดีสิเจ้าคะ”

“ไม่เพียงแค่นี้หรอกนะ ข้าจะเปิดค้าส่งด้วย ให้โอกาสร้านค้าขนาดเล็กมารับสินค้าจากหงส์ฟู่ในราคาต่ำแล้วนำไปขายต่อ โดยที่พวกเขาไม่ต้องเสี่ยงกักตุนสินค้าจำนวนมาก แต่ก็ยังได้ราคาทุนเหมือนเดิม อย่างไรพวกเขาก็ต้องมารับของที่ร้านข้าแน่ แล้วดูสัญลักษณ์นี่นะ เมื่อสินค้าเรากระจายไปทั่ว ผู้คนก็จะยิ่งจดจำร้านหงส์ฟู่ของข้าได้” หยูเหวินหยายิ้มหวาน นางคิดการณ์นี้มานานตั้งแต่พบว่าตัวเองคงมิอาจหวังพึ่งพาผู้ใดในจวนเหิงได้

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น