บทที่ 2

บทที่ 2

 

               ทั้งๆ ที่มั่นใจแล้วว่าตนกับอาจารย์หนุ่มคงไม่ได้มีโอกาสแวะเวียนมาเจอกันอีก แต่ณิสรินทร์ก็ต้องชะงักนิ่งงันไปครู่หนึ่งเมื่อเห็นพสุเดินเข้ามาในห้องเรียนวิชาอะนาโตมีขั้นสูง

ปกติแล้ววิชานี้เธอควรจะลงทะเบียนเรียนให้จบตั้งแต่ช่วงเรียนปีสาม ทว่าด้วยปัญหาเรื่องงานพิเศษที่ทับซ้อนกับเวลาเรียน ถึงแม้จะได้ทุนการศึกษาแต่ก็ยังมีค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่ต้องจัดการอีกมาก ดังนั้นณิสรินทร์จึงต้องปล่อยวิชาเลือกนี้ไปก่อนแล้วค่อยมาตามลงทะเบียนเรียนในเทอมอื่น แต่ไม่รู้ทำไมวันนี้ผู้สอนถึงเปลี่ยนเป็นพสุแทนได้ 

               “สวัสดีครับทุกคน เนื่องจากอาจารย์ริสาทำเรื่องลาป่วยหนึ่งเดือนและต้องพักฟื้นร่างกายจากการผ่าตัด ดังนั้นจนกว่าอาจารย์ริสาจะมา คลาสเรียนเซคนี้จะอยู่ในการดูแลของผมแทนนะครับ”

               นักศึกษารุ่นน้องหลายคนในห้องต่างพากันตาโต หันไปซุบซิบคุยกันเสียงเบา ไม่รู้ว่าพวกเขาตกใจอะไร ระหว่างการที่อาจารย์ริสาต้องเข้าโรงพยาบาลกับการมีรุ่นพี่หนุ่มสุดฮอตมาสอนแทน 

               “ผมดูอัปเดตการเรียนการสอนแล้ว วันนี้เรามาเริ่มที่วาดโมเดลหุ่นแบบกันนะครับ” พสุพูดพลางยิ้ม ขยับฝีเท้าไปกลางห้อง “อย่างที่เห็นนะครับว่าวันนี้เราจะวาดโมเดลที่มีโครงสร้างและรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ที่ไม่ควรมองข้าม โดยเฉพาะเรื่องของสัดส่วน แต่สิ่งสำคัญในการดรอว์อิงอีกอย่างคือทิศทางของแสงและเงา การลงน้ำหนักให้เห็นสัดส่วนชัดเจน...”

               พสุอธิบายหลักการและเทคนิคในการดรอว์อิงให้นักศึกษาในชั้นเรียนด้วยน้ำเสียงทุ้มนุ่มน่าฟัง มุมปากของเขาประดับด้วยรอยยิ้มจางๆ อยู่เสมอ ทำให้บรรยากาศรอบตัวเขาต่างจากในชั้นเรียนเซลฟ์เอกซ์เพรสชันที่จะแฝงด้วยความรู้สึกเคร่งขรึมและจริงจัง 

วินาทีต่อมาราวกับมีแรงดึงดูดแปลกๆ ระหว่างพวกเขาสองคน ณิสรินทร์ถึงได้หันหน้าไปหาชายหนุ่ม ทำให้ทั้งสองประสานสายตากันอย่างไม่ได้ตั้งใจ แววตาของชายหนุ่มเจือประกายคล้ายความยินดีโดยที่ณิสรินทร์ไม่รู้เลยว่าความยินดีของเขาคือตน เธอรีบถอนสายตากลับและเหลือบตามองรุ่นน้องสาวที่อยู่ในห้องเรียน พบว่าหลายคนจดจ้องอาจารย์พิเศษคนนี้อย่างตั้งอกตั้งใจ ไม่ว่าอาจารย์หนุ่มจะถามอะไร สาวๆ ก็ล้วนยินดีพยักหน้าส่งเสียงตอบอย่างกระตือรือร้น ส่วนบรรดานักศึกษาชายเองเมื่อได้พบอาจารย์รุ่นๆ เดียวกัน ทั้งยังมีความเป็นมิตร พวกเขาก็ให้ความร่วมมือในการเรียนเต็มที่ 

               หญิงสาวดึงสายตากลับมาที่กระดาษขาวตรงหน้า พลางมองหามุมมองสายตาและคอมโพสที่ตัวเองถนัดในการวาด เมื่อชายหนุ่มปล่อยให้นักศึกษาแยกไปนั่งดรอว์อิงโมเดลแล้ว ณิสรินทร์ถึงได้ขยับย้ายที่หาทำเลดีๆ แล้วเริ่มนั่งดรอว์อิงโมเดลโครงกระดูกมนุษย์ตรงหน้าเร็ว 

               “เอาให้เสร็จในคาบนะครับ แค่ไหนแค่นั้น”

               หลายคนบ่นพึมพำเบาๆ ต่อรองเสียงอ่อน แม้เวลาสอนพสุจะดูสบายๆ เป็นกันเอง ทว่าเวลาที่เขาสั่งงานก็แฝงความเด็ดขาดเอาไว้ ฝันของรุ่นน้องในห้องเรียนหลายคนจึงไม่เป็นจริง

               ณิสรินทร์ไม่ได้สนใจสถานการณ์รอบตัวมากนัก เธอทุ่มความสนใจของตัวเองไปที่ภาพตรงหน้าแทน รู้ตัวอีกครั้งก็เมื่อได้ยินเสียงทุ้มดังขึ้นข้างตัว 

               “เลือกมุมและคอมโพสของภาพได้ดีมาก แค่ยี่สิบนาทีโครงร่างก็ขึ้นรูปเกือบสมบูรณ์แล้ว แต่อย่าลืมคอยดูภาพรวมเวลาแรเงานะครับ โมเดลทุกส่วนจะได้ไปในทิศทางเดียวกัน”

               พอหญิงสาวหันมาก็พบว่ารุ่นน้องอีกหลายคนในชั้นเรียนพากันหันมาดูงานของตนตาโต พอเงยหน้าขึ้นก็เห็นพสุก้มมองตัวเองอยู่แล้ว ทว่าณิสรินทร์ก็ไม่พูดอะไร เพียงหันไปสนใจภาพตรงหน้าต่อ 

               สำหรับอีกคน ท่าทางเย็นชาและปิดกั้นตัวเองเช่นนี้เรียกรอยยิ้มที่มุมปากของพสุได้จางๆ ก่อนจะรักษาความสงบนิ่งบนใบหน้าไว้ได้อย่างปกติ เขาหันไปมองนักศึกษาคนอื่นๆ พลางเอ่ยปากให้ทุกคนกลับไปตั้งใจทำงาน ส่วนตัวเองก็เลือกเดินไปนั่งที่มุมหนึ่งและผินหน้ามองร่างบอบบางของณิสรินทร์อย่างครุ่นคิด

               หลายคืนก่อนที่ได้พบกับหญิงสาวโดยบังเอิญ พสุก็ไม่คิดมาก่อนเลยว่าตัวเองจะสนใจเธอมากขนาดนี้ เพียงแต่ว่าท่าทางแข็งกร้าวและเยือกเย็นของอีกฝ่ายทำให้สะดุดใจอย่างบอกไม่ถูก นัยน์ตาหงส์ของหญิงสาวมักมองรอบกายด้วยท่าทีห่างเหินเย็นชา วางตัวห่างจากคนอื่นๆ 

               นักศึกษาสาวคงไม่รู้ตัวเลยว่าเขาสัมผัสความเศร้า ความเดือดดาล และความโกรธที่ไม่ต่างจากคลื่นพายุอันรุนแรงได้ผ่านภาพวาดของเธอ โดยเฉพาะคลื่นอารมณ์ที่ซับซ้อนและเต็มไปด้วยปริศนา ดึงดูดให้เขาเผลอมองตามร่างบอบบางบ่อยครั้ง ความสงสัยรวมถึงความสนใจทำให้พสุใคร่รู้เหลือเกินว่าภายใต้ใบหน้าเรียบนิ่งและหัวใจที่เย็นชาดวงนี้ซุกซ่อนอะไรเอาไว้ ตัวตนแบบไหนคือตัวจริงของเธอกันแน่ 

               อย่างณิสรินทร์ในเวลานี้สวมเสื้อแขนยาวสีเขียวเข้มเข้ากับกระโปรงยาวลายตารางและรองเท้าบูตสีดำ เรือนผมสีดำสนิทเหมือนนกกาน้ำทิ้งตัวสลวยยาวถึงกลางหลัง ทุกครั้งที่เธอหันตัวมันจะพลิ้วไปตามการเคลื่อนไหว สายตามองตรงไม่ว่อกแว่ก ใบหน้าเปลือยเปล่าปราศจากเครื่องสำอางที่มุ่งมั่นตั้งใจกับงานตรงหน้าดึงดูดสายตาเขาไว้ได้ไม่ต่างจากดวงตาอันแสนเย้ายวนยามที่เธอเปล่งประกายบนเวที

               เวลาในคาบเรียนผ่านไปอย่างรวดเร็ว นักศึกษาหลายคนเริ่มร้อนใจเพราะงานยังไม่เสร็จ พสุซึ่งเดินสำรวจความเรียบร้อยและคอยให้คำแนะนำนักศึกษาอยู่ผินหน้ามองเงาร่างที่อยู่ในสายตาเร็วๆ เห็นว่าณิสรินทร์วางดินสอแล้ว ก่อนที่ร่างเล็กจะขยับบิดเนื้อตัวไล่ความขบเมื่อย ยามที่หญิงสาวบิดเอว เนื้อผ้าก็บิดตัวตาม เผยส่วนสัดบอบบางและเส้นโค้งเส้นเว้าของร่างกายที่สวยงาม พลอยให้ชายหนุ่มกระหวัดนึกถึงเธอในชุดเดรสสีดำแนบเนื้อในคืนนั้น 

               พสุถอนสายตากลับมาอย่างแนบเนียนพลางหัวเราะขบขันตัวเองในใจที่ทำตัวไม่สมกับที่เป็นผู้ใหญ่ แววตาสาดประกายลุ่มลึกที่แม้แต่ตัวเองก็คาดไม่ถึง ก่อนที่มันจะจางหายกลับมาเป็นปกติ พสุสูดลมหายใจเข้าสุดออกสุด แล้วหันมาสนใจชั่วโมงเรียนของตัวเอง 

               “ทุกคนเอางานมาวางเรียงกันหน้าห้องครับ เราจะได้มาคอมเมนต์งานกัน”

               นักศึกษาทุกคนยกกระดานวาดภาพของตัวเองขึ้นมาก่อนจะเดินนำผลงานของตัวเองไปตั้งเรียงโชว์หน้าห้อง ปล่อยให้อาจารย์พิเศษเดินสำรวจดูงานทั้งหมด 

               พสุดูผลงานทั้งหมดไวๆ เป็นการประเมินก่อนจะหยิบเอาตัวอย่างงานสามถึงห้าภาพขึ้นมา แล้วหันไปคอมเมนต์และแนะนำเพิ่มเติมให้หนุ่มสาวตรงหน้า

               “ทั้งห้าภาพผมหยิบมาเพื่อเป็นกรณีศึกษาให้พวกคุณนะครับ อย่างภาพแรก ตัวแบบโครงร่างยังไม่ถูกต้องตามสัดส่วนของโมเดลจริง ทำให้ช่วงบนของภาพดูใหญ่กว่าช่วงล่าง ถึงความสำคัญของการดรอว์อิงจะอยู่ที่เรื่องแสงและเงา ต้องดูบริบทและองค์ประกอบภาพโดยรวมไปพร้อมๆ กันก็จริง แต่ในวิชานี้คือการวาดอะนาโตมีขั้นสูง คุณต้องให้ความสำคัญเรื่องสัดส่วนที่ถูกต้อง เมื่อเปรียบเทียบกับภาพที่สอง...”

               พสุหยิบภาพของณิสรินทร์ขึ้นมาวางข้างๆ ภาพใบแรก แม้ว่าภาพที่สองจะมีรายละเอียดบางส่วนที่ยังไม่เสร็จสมบูรณ์ดี แต่เมื่อมองภาพรวม ภาพที่สองให้ความรู้สึกเป็นอันหนึ่งอันเดียว และลงน้ำหนักการดรอว์อิงและแรเงาได้ดีกว่าภาพแรกค่อนข้างมาก 

               อาจารย์หนุ่มเห็นนัยน์ตาเป็นประกายของหญิงสาวเจ้าของภาพที่สองแล้วเขาก็ยิ้มมุมปาก จากนั้นก็หันไปอธิบาย คอมเมนต์ผลงานตัวอย่างสามภาพที่เหลือง่ายๆ สบายๆ กระทั่งคาบเรียนของเขาจบลง 

               เหมือนกับครั้งก่อนๆ ทันทีที่หมดคาบเรียน เจ้าของร่างบอบบางก็คว้ากระเป๋าเป้เดินออกจากห้องเรียนโดยไม่สนใจใคร ไม่แม้แต่จะแวะทักทายหรือพูดคุยกับเพื่อนร่วมชั้นเลยสักวินาที 

               แม้อีกฝ่ายจะจากไปแล้ว แต่พสุก็ยังคงมองไปทางประตูห้องเรียนอย่างครุ่นคิด เขาค่อยๆ เก็บของ ดูความเรียบร้อยภายในห้องเรียน จากนั้นก็เดินออกไปอย่างเชื่องช้า บนทางเดิน นักศึกษาหลายคนที่กำลังจะเดินผ่านเขาล้วนหันมาทักทายด้วยรอยยิ้มและท่าทางสุภาพ บรรยากาศครึกครื้นและมีชีวิตชีวาเช่นนี้ทำให้หวนนึกถึงอดีตตอนที่ตัวเองเป็นนักศึกษาเช่นกัน 

               อีกประมาณสองเดือนกว่าก็จะจบภาคเรียนแรกแล้ว พสุยังไม่ได้ให้คำตอบอาจารย์ประจำสาขาเลยว่าเขาจะยังคงมารับตำแหน่งอาจารย์พิเศษในครั้งหน้าหรือไม่ 

               ความจริงแล้วพสุอยากกลับไปวาดรูป แต่ทุกครั้งที่เขาอยู่ตรงหน้ากระดาษขาว สมองของเขาก็นิ่งงันว่างเปล่า ไม่อาจขยับมือร่างเส้นหรือวาดภาพอะไรออกมาได้ ราวกับว่าเขาไม่มีแรงบันดาลใจและความคิดอะไรออกมาจากสมองหรือแม้กระทั่งจากหัวใจเลยแม้แต่น้อย 

               อาการเช่นนี้มีสาเหตุมาจากอะไรพสุก็ไม่รู้ ไม่มีสัญญาณแจ้งเตือนใดๆ ล่วงหน้า ทั้งๆ ที่ก็ไม่ต่างจากทุกวัน เพียงแต่ว่าถึงชั่วขณะหนึ่งเขาก็รู้สึกหมดแรงและไม่รู้เลยว่าจะวาดรูปไปเพื่ออะไร กลายเป็นการเฝ้าถามถึงความหมายของมันแทน สุดท้ายเขาก็เลือกมาตามหาคำตอบด้วยการกลับมาสู่จุดเริ่มต้นอีกครั้ง เพียงแต่เปลี่ยนบทบาทจากผู้เรียนเป็นสอน โดยหวังว่าการกลับมาอยู่กับบรรยากาศเก่าๆ อาจจะทำให้ตัวตนที่เต็มไปด้วยสีสัน ความมุ่งมั่น และอุดมการณ์กลับมาอีกครั้ง 

               “พี่รักใช่ไหมครับ”

               เสียงทักจากด้านหลังทำให้พสุเอี้ยวหน้าหันไปหาคนเรียก พบรุ่นน้องต่างสาขาที่ตนสนิทและเคยให้ความช่วยเหลือ แม้จะไม่ได้พบกันมานานมากแล้ว แต่แค่เห็นคนที่อยู่ตรงหน้า เขาก็จำอีกฝ่ายได้ทันที

               “เสือ ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ”

               สีหราชเผยรอยยิ้มกว้างก่อนจะเร่งฝีเท้ามาหยุดหน้าพสุ 

               “ครับ บังเอิญมากเลยนะครับที่เจอพี่รักที่นี่” พูดแล้วสีหราชก็เหลือบมองรุ่นพี่หนุ่มตรงหน้าไวๆ พลางถามด้วยความสงสัย “ดูเหมือนพี่รักไม่ได้มาเพื่อเยี่ยมมอเลยนะครับ”

               “อืม คราวนี้มาเป็นอาจารย์พิเศษน่ะ มีสอนไม่กี่คลาส”

               “อ๋อ แบบนี้นี่เอง” ชายหนุ่มผิวแทนพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ พสุถึงเห็นการเปลี่ยนแปลงของรุ่นน้องคนนี้ได้เต็มตา

หลายปีก่อนสีหราชขึ้นชื่อว่าเป็นนักเรียนหัวไม้ ถึงจะฉลาดเป็นกรด แต่ก็มักมีเรื่องวุ่นวายอยู่กับการชกต่อย ด้วยเพราะที่บ้านของอีกฝ่ายเป็นโรงเรียนสอนศิลปะป้องกันตัวที่มีชื่อเสียงพอตัว สีหราชจึงกลายเป็นคนที่ถูกพูดถึงอยู่บ่อยครั้ง เมื่อเห็นรุ่นน้องหนุ่มร่างสูงใหญ่ตรงหน้าสวมเสื้อเชิ้ตพอดีตัวกับสูทสีเข้มที่วางพาดอยู่บนท่อนแขนแล้วพสุก็อดแปลกใจไม่ได้ 

               ราวกับสีหราชรับรู้ได้ถึงสายตาระคนสงสัยของรุ่นพี่หนุ่ม เขาถึงได้ยิ้มกว้างตอบอีกฝ่ายอย่างยินดี

“วันนี้ผมพาเด็กๆ มาดูงานที่มอครับ พี่รักได้ข่าวเรื่องปรับปรุงตึกเก่าไหมครับ อันนั้นเป็นโพรเจกต์ของผมเอง”

พอสีหราชพูดขึ้นแล้ว พสุก็พยักหน้าเป็นเชิงรับรู้ เรื่องนี้จะว่าเป็นเรื่องใหม่ก็ไม่เชิง เพราะเขาก็ได้ยินอาจารย์ในคณะพูดกันว่าทางมหาวิทยาลัยเตรียมจะซ่อมแซมและปรับปรุงอาคารเก่าให้มีความทันสมัย รองรับการเรียนการสอนมากขึ้น 

เมื่อเห็นคนตรงหน้ายิ้มแฉ่งแล้ว พสุก็ยิ้มน้อยๆ เอ่ยเย้าตามประสาคนสนิท

“ไม่นึกเลยนะว่าคนที่เกือบไม่จบอย่างนายจะมีวันนี้ได้”

“โห พี่ขุดประวัติอันดำมืดของผมมาทำไมเนี่ย” สีหราชหัวเราะเสียงต่ำ ก่อนจะกวักมือเรียกเด็กๆ ที่ว่าที่รออยู่ด้านหลังให้เดินเข้ามา 

หากสีหราชเป็นหนุ่มร่างสูง หุ่นนักมวย ไม่ว่าจะแผ่นหลัง ไหล่กว้าง ช่วงเอวสอบ หรือท่อนขาที่ยาวและเพรียวสูง ทั้งหมดเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อสุขภาพดี เด็กๆ ที่สีหราชพูดถึงก็คือชายหนุ่มวัยฉกรรจ์ที่มีขนาดตัวและกล้ามเนื้อแน่นไม่แพ้กันสี่ห้าคน ใบหน้าของพวกเขาเรียบนิ่งไม่แสดงอารมณ์ใดๆ บางคนก็มีรอยสักสีเข้มบริเวณท่อนแขนโผล่มาให้เห็น 

               พอเห็นกลุ่มคนที่กำลังเดินเข้ามาคล้ายจะมาหาเรื่องต่อยตี พสุก็เข้าใจแล้วว่าทำไมคนรอบข้างถึงพากันมองพวกเขาอย่างตื่นตระหนกเช่นนี้ 

               สีหราชยิ้มอยู่ตลอดเวลา พอ ‘เด็กๆ’ ที่ว่าเดินมาแล้ว เขาก็แนะนำรุ่นพี่หนุ่มให้รู้จัก

               “นี่พี่รัก ลูกพี่ฉันเอง”

               เด็กๆ สี่ห้าคนของสีหราชได้ยินแล้วก็เบิกตากว้างเล็กน้อย ขนาดสีหราชที่ว่าแน่ก็ยังต้องให้ความเคารพ เกรงอกเกรงใจอีกฝ่ายถึงขนาดนี้ พวกเขาเคยได้ยินข่าวลือมาว่า ‘ลูกพี่’ ที่สีหราชนับถือเป็นคนที่เคยล้มชายหนุ่มได้ ดังนั้นสายตาที่มองร่างสูงโปร่งของพสุในครั้งนี้จึงร้อนแรง เปี่ยมไปด้วยศรัทธาแรงกล้า เสียงทักทายที่ประสานกันจึงดังกังวานชวนตกใจไม่น้อย

               “สวัสดีครับลูกพี่!”

               พสุไม่ได้สะดุ้งเฮือกด้วยความตกใจ กลับกันเขาเพียงยิ้มน้อยๆ เพราะคาดเอาไว้แล้วว่าเหตุการณ์อาจจะกลับตาลปัตรได้ถึงเพียงนี้ ทั้งๆ ที่สีหราชเหลี่ยมจัด ทั้งยังมีลูกเล่นแพรวพราว ไม่น่าเชื่อเลยว่าเด็กๆ ของอีกฝ่ายจะเป็นแค่ลูกไก่ เจ้าบรรดาลูกเจี๊ยบตัวใหญ่ตรงหน้าก็ดูใสซื่อเสียจนเขาร้องไห้ไม่ได้ หัวเราะไม่ออก ได้แต่ยิ้มมุมปากเป็นการตอบแทน

               “หลอกเด็กอีกแล้วนะเสือ”

               สีหราชหัวเราะท้องแข็ง ยกมือตบไหล่เจ้าลูกเจี๊ยบที่อยู่ใกล้ที่สุด

               “หลอกอะไรพี่รัก เมื่อก่อนคนที่ตบผมจนเข้ารูปเข้ารอยก็พี่นี่”

               พสุส่ายหน้าอย่างอ่อนใจ หลังจากนั้นเขากับรุ่นน้องหนุ่มและกลุ่มลูกเจี๊ยบก็พากันเดินไปคุยไปตลอดทางกว่าจะถึงทางออกมหาวิทยาลัย เพราะแบบนี้เขาถึงได้รู้ข่าวคราวความเป็นไปของอีกฝ่าย 

               “ตอนนี้ผมให้ไอ้ช้างดูโรงฝึกของพ่ออยู่ ส่วนผมก็รับออกแบบกับเพื่อน ดึงน้องๆ จบใหม่มือดีจากมอเข้าทีมไปบ้าง โดยรวมแล้วก็สนุกดีพี่”

               สีหราชไม่ได้คิดจะเบนไปสายกีฬาเต็มตัว ดังนั้นหลังจากเรียนจบออกแบบตามฝันแล้ว เขาก็มุ่งมั่นทำตามที่ตัวเองต้องการ แม้แรกๆ จะสะดุดขรุขระอยู่บ้าง ไหนจะปัญหากับผู้เป็นพ่อที่อยากให้ชายหนุ่มกลับไปดูแลโรงฝึกอีก ทว่าปีหลังๆ หลังจากที่คเชนทร์ ผู้เป็นน้องชายตัดสินใจรับช่วงต่อกิจการศิลปะป้องกันตัวที่บ้าน ความตึงเครียดและภาระที่หนักอึ้งของสีหราชก็เบาลง 

               “แล้วตัวตึกเก่าเป็นยังไง จะเริ่มงานเมื่อไหร่”

               พอได้ยินรุ่นพี่หนุ่มพูดแล้ว สีหราชก็ทำหน้าปูเลี่ยน 

               “โหย เริ่มอะไรล่ะพี่ ที่ผมมาวันนี้ก็มาดักตบซินแสของโพรเจกต์นี้แหละ” หนุ่มผิวแทนพูดอย่างเข่นเขี้ยว “อันนู้นก็ไม่ได้ อันนี้ก็ไม่ได้ เดี๋ยวมงคล เดี๋ยวมังกร เดี๋ยวสมดุลเบญจธาตุ บลาๆ แต่ดู๊...ที่มอวางแบบดิพี่ ไม่ตีกันก็แปลก”

               ได้ยินแล้วพสุก็หัวเราะเบาๆ เหมือนที่ได้ยินมาไม่ผิดเลยว่าวิศวกรกับสถาปนิกมักจะตบตีกับซินแสบ่อยๆ 

               “แล้วยังไงต่อล่ะ”

               สีหราชกระตุกมุมปากก่อนจะเอ่ยอย่างคับแค้น 

               “ผมเลยออกแบบวาดมาแม่งทุกแบบเลยพี่ ดักมันทุกทาง ผมยอมจ้างซินแสอีกคนมาคอยกำกับทีมออกแบบเลย ดูซิ แม่ซินแสคนเก่งจะทำยังไง”

               พสุเลิกคิ้วมองรุ่นน้องอย่างสังเกตก่อนจะโยนหินถามทางไปพลางๆ 

               “นายเจอซินแสแล้วเหรอ”

               “ครับ”

               “เป็นยังไงล่ะ อายุมากหรือยัง ถ้ามหา’ลัยให้เขาดูให้แบบนี้แสดงว่าต้องเก่ง”

               คราวนี้เป็นสีหราชที่ขมวดคิ้ว ก่อนจะตอบอย่างไม่มั่นใจ

               “เก่งไหมนี่ผมไม่รู้ ตอนแรกก็ไม่รู้หรอกครับว่าเป็นซินแส จะให้นั่งมอง นอนมอง หลับตามองก็ดูไม่ใช่เลย”

               “ทำไมล่ะ”

               เมื่อได้ยินคำถามซ้ำ สีหราชก็คิดอยู่ในใจ ก็ซินแสที่เขาเจอตัวเท่าเมี่ยง เผลอๆ โดนเขาชนทีหนึ่งก็กระเด็นแล้ว ผมยาวปิดหน้าปิดตา ดูเก็บเนื้อเก็บตัว ไม่มีออร่าของคนที่อยู่ในศาสตร์นี้เลยสักนิด 

               “ไม่มีอะไรพี่รัก”

               เห็นรุ่นน้องส่ายหน้ายักไหล่อย่างไม่สนใจแล้วพสุก็ไม่เซ้าซี้ถามต่อ พวกเขาเดินมาจนเกือบถึงประตูทางออกหลักหน้ามหาวิทยาลัย กำลังจะเลี้ยวไปทางลานจอดรถ อาจารย์หนุ่มก็เห็นร่างคุ้นตาร่างหนึ่งเข้า ซึ่งเจ้าของร่างระหงนั้นไม่ใช่ใครนอกเสียจากณิสรินทร์ เพียงแต่ว่าในเวลานี้หญิงสาวไม่ได้อยู่ลำพัง ข้างกายยังมีชายหญิงวัยกลางคนคู่หนึ่งยืนอยู่ด้วย 

               ไม่ต้องเพ่งมองให้ละเอียด พสุก็จำได้ว่าชายวัยกลางคนที่เห็นคือคนเดียวกันกับที่เจอเมื่อหลายคืนก่อน ส่วนหญิงวัยกลางคนที่ยืนอยู่ด้วยกันนั้น แม้พสุจะไม่เคยเจออีกฝ่ายมาก่อน แต่คนคนนี้กลับให้ความรู้สึกคุ้นตาอยู่บ้าง พอมองเธอคนนี้สลับกับมองณิสรินทร์ให้ละเอียดอีกรอบ ก็พอจะเข้าใจความสัมพันธ์ของหญิงต่างวัยทั้งสองได้ทันที เพราะทั้งใบหน้าและเค้าความงามของณิสรินทร์กับอีกฝ่ายแสดงให้เห็นชัดว่าพวกเขามีความสัมพันธ์ทางสายเลือด เพียงแต่พสุรู้สึกว่าณิสรินทร์มีความงามลุ่มลึกกว่าคนเป็นแม่ไม่น้อย

               “เสือ พี่ขอตัวก่อน ไว้เจอกันนะ”

               “ได้ครับพี่รัก”

               พสุไม่เห็นสายตารุ่นน้องหนุ่มที่มองตามอย่างงงงวย เขาเพียงเดินตรงไปข้างหน้า จับจ้องนักศึกษาของตน จากภาษากายของณิสรินทร์ ไม่ต้องเดาก็เข้าใจความอึดอัดใจของหญิงสาวได้ ไหนจะยังมีสายตาของนักศึกษาที่ผ่านไปผ่านมา ท่าทีของณิสรินทร์จึงยิ่งเต็มไปด้วยความอึดอัด กระทั่งเข้าใกล้มากพอจนได้ยินเสียงตวาดแหลมของหญิงวัยกลางคนแล้ว เขาจึงได้ชะงักฝีเท้า

               “ฉันไม่น่าเก็บแกไว้เพื่อให้มาทำตัวอกตัญญูกับฉันแบบนี้เลย!”

               ใบหน้าของณิสรินทร์ที่มักจะแสดงออกแต่ความเฉยชาซีดลงไปเล็กน้อย แต่วินาทีต่อมาสีหน้าของเธอก็กลับมาเป็นปกติ ราวกับว่าเวลานี้เธอพยายามรักษาความเยือกเย็นของตัวเองไว้ ดวงตาทั้งสองข้างเก็บซ่อนความหมายนับร้อยเอาไว้ในใจ แต่ต่อให้พยายามปกปิดเท่าไร พสุก็ยังเห็นร่องรอยและเศษเสี้ยวความเสียใจและความอ่อนไหวที่เล็ดลอดออกมาอยู่ดี 

               หญิงสาวหลุบตาต่ำ จึงไม่ทันเห็นว่าผู้เป็นแม่กำลังเงื้อมือขึ้นเตรียมสั่งสอนลูกสาว

               พสุเร่งฝีเท้าไปข้างหน้า แทรกตัวคั่นกลางระหว่างคนทั้งสอง รับฝ่ามือข้างนั้นไว้ด้วยมือของตนก่อนที่มันจะฝากรอยไว้บนพวงแก้มนวล

               “ถึงผมจะเป็นคนนอก แต่ว่าผมก็ไม่อนุญาตให้คุณทำร้ายร่างกายนักศึกษาของผมนะครับ”

               

               ณิสรินทร์เห็นจากหางตาตั้งแต่แรกแล้วว่าเธอรู้สึกเหมือนมีใครกำลังตรงเข้ามา ทว่าคำพูดของผู้เป็นแม่ทำให้เธอมัวแต่ตกอยู่ในภวังค์จนไม่ทันได้มองเลยว่าสถานการณ์ตรงหน้าเป็นอย่างไร เมื่อรู้ตัวอีกครั้ง ร่างสูงนั้นก็แทรกมาอยู่ตรงหน้าเธอพร้อมกับรับฝ่ามือนั้นสบายๆ เมื่อรวมกับเสียงทุ้มนุ่มเจือความเด็ดขาดของชายหนุ่มแล้ว ลมหายใจของเธอก็สะดุดไปชั่วอึดใจ 

               พสุ...อีกครั้งแล้วที่เขาเอาตัวเข้ามาขวางเธอไว้

               ณิสรินทร์เพิ่งมารู้สึกตัวว่าตอนนี้พวกเธอตกเป็นเป้าสายตาของนักศึกษาที่เดินผ่านไปผ่านมา โดยเฉพาะเมื่อมีพสุเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ทุกสายตาก็จดจ้องให้ความสนใจพวกเขาทั้งสี่เป็นการใหญ่ 

               หญิงสาวเม้มปาก ยกมือแตะข้อศอกของชายหนุ่มอย่างสุภาพ แต่น้ำเสียงยามเอ่ยออกมากลับเต็มไปด้วยความเย็นชา 

               “ขอบคุณมากค่ะ แต่เรื่องนี้เป็นเรื่องของฉัน ไม่กล้ารบกวนอาจารย์ไปมากกว่านี้แล้วค่ะ”

               ถึงจะพูดออกไปเช่นนี้ สายตาของอาจารย์พิเศษคนนี้ก็ยังคงเหลียวกลับมาจดจ้องไม่ไหวติงจนเธอทำอะไรไม่ถูก ตอนนั้นเองที่ลลิตาโวยวายดังกว่าเดิม พยายามสะบัดมือออกจากการเกาะกุมของชายหนุ่มแปลกหน้า

               “ฉันสั่งสอนลูกสาวตัวเองมันผิดตรงไหน คุณเป็นใครถึงมาสาระแนยุ่งเรื่องชาวบ้าน”

               แม้หญิงวัยกลางคนตรงหน้าจะดูอ่อนกว่าวัยและมีเค้าความงามให้เห็น ทว่าเมื่อเปรียบเทียบกับท่าทางดุร้ายและน้ำเสียงเกรี้ยวกราดแล้ว ทำให้ความงามที่มีอยู่ถูกลดทอนลงไป เหลือเพียงหญิงวัยกลางคนท่าทางหยาบคายคนหนึ่งเท่านั้น

               “สั่งสอนหรือทำร้ายร่างกายครับ ในสายตาของผม คุณกำลังทำร้ายร่างกายคนอื่นโดยไม่มีเหตุอันสมควร”

               หญิงวัยกลางคนเม้มปากแน่น สุดท้ายก็สะบัดหน้าหนี พสุเลื่อนสายตาไปมองชายวัยกลางคนอีกคนที่หลบอยู่ข้างหลัง 

               เมื่อเห็นสายตาคมกริบของพสุแล้วศิรชัชก็ตัวสั่น รีบดึงแขนภรรยาให้ถอยกลับมา พร้อมส่งสัญญาณให้รู้ว่าผู้ชายที่อยู่ตรงหน้าไม่ใช่คนที่เข้าไปวุ่นวายด้วยได้ง่ายๆ 

               “ณิสรินทร์ มากับผม” พสุคว้าข้อมือหญิงสาวตัวเล็กที่ยืนอยู่ข้างๆ ขึ้นมาอย่างนุ่มนวล พลางออกแรงดึงให้เธอเดินตามเขามา แม้ว่าอีกฝ่ายจะออกแรงขัดขืนอยู่บ้าง 

               “อาจารย์คะ ฉัน...”

               “มากับผมครับ” 

เขาตัดบท ใช้ตัวเองเป็นโล่ป้องกันเธอจากสายตาคนรอบข้าง แม้แต่แรงที่กุมข้อมือบางนั้นก็แสนจะอ่อนโยน เมื่อเห็นเขาใช้ทั้งร่างพยายามบังเธอให้พ้นจากสายตาคนอื่นๆ ใจของหญิงสาวก็อ่อนลง ยอมให้แค่ครั้งนี้ที่เดินตามร่างสูงไปเงียบๆ กระทั่งเดินเข้ามาในลานจอดรถหน้ามหาวิทยาลัย พสุถึงปล่อยข้อมือเธอออกอย่างสุภาพ 

               “ผมรู้ว่านี่อาจจะดูก้าวก่าย แต่ผมทนอยู่เฉยๆ ไม่ได้” พสุยิ้มบางๆ นัยน์ตาเขากระจ่างใส ไม่มีร่องรอยความรู้สึกอื่นเจือปนนอกจากความเป็นห่วง เมื่อได้รับน้ำใจที่หยิบยื่นให้เช่นนี้แล้วณิสรินทร์ก็ทำตัวไม่ถูก

               “ผมรู้ว่าทุกคนล้วนมีปัญหาของตัวเอง แต่ณิสรินทร์...คนในครอบครัวจะไม่ทำร้ายกัน ถ้าคุณลำบากใจ ครั้งหน้าคุณบอกผมได้”

               หญิงสาวสะท้อนใจกับคำพูดของชายหนุ่มขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก เมื่อนึกขึ้นได้ว่าระหว่างเธอกับผู้ชายตรงหน้าไม่ควรยุ่งเกี่ยวกันไปมากกว่านี้ เธอก็ขยับตัวถอยห่างออกมาราวกับเบื้องหน้าเป็นผาสูงชันที่ไม่ควรก้าวข้าม

“ฉันเข้าใจค่ะ แต่ครั้งหน้าที่ว่าคงไม่มีอีก” เธอไม่ได้โกรธหรือไม่พอใจที่เขาเข้ามาขัดขวางเธอกับบุพการี ยังนึกขอบคุณด้วยซ้ำที่เขาทำให้เธอหลุดพ้นจากสถานการณ์น่ากระอักกระอ่วนนี้

“ขอบคุณที่อาจารย์ช่วยฉันไว้นะคะ ถ้าไม่มีอะไรแล้วฉันขอตัวก่อน”

               ไม่รอให้อีกฝ่ายตอบ ร่างเพรียวสมส่วนก็หมุนตัวจากมาแล้ว แม้ณิสรินทร์จะก้าวเดินอย่างสงบ ในใจกลับรู้สึกอึดอัดจนหายใจไม่ออกเมื่อนึกถึงคำพูดของอีกฝ่าย มุมปากยกขึ้นเป็นรอยยิ้มเย้ยหยัน

               คนในครอบครัวจะไม่ทำร้ายกันอย่างนั้นหรือ...

               อาจารย์พิเศษคนนี้คงเติบโตมาพร้อมความรักความอบอุ่น เขาถึงไม่เคยได้สัมผัสอีกด้านหนึ่งของคำว่าครอบครัว ไหนจะเรื่องราวความรักที่เขามองว่าสวยงามนักหนา สำหรับเธอแล้วมันก็แค่นิทานประโลมโลกเรื่องหนึ่ง

               ไม่ว่าจะความรักหรือครอบครัว ของพรรค์นี้ไม่เคยมีความหมายต่อเธอเลย...ไม่เลย

 

               ไม่รู้ว่าเพราะเป้าหมายที่มาหาเธอถึงมหาวิทยาลัยไม่สำเร็จหรือไม่ สุดท้ายโทรศัพท์ของณิสรินทร์ถึงมีสายเข้าจากผู้เป็นแม่มากกว่าสิบสาย ต่อให้ไม่อยากรับสายอีกฝ่ายสักเท่าไร แต่ท้ายที่สุดณิสรินทร์ก็หลีกเลี่ยงสายนี้ไม่ได้

               “กว่าจะรับได้นะ ถ้าฉันไม่โทร. บอกว่าอยู่หน้ามหา’ลัยแล้ว แกคงไม่คิดอยากมาหาเลยสินะ” 

เสียงแว้ดๆ ประชดประชันของผู้เป็นแม่ทำให้ใบหน้าเรียบนิ่งของหญิงสาวเปลี่ยนไปทีละน้อย ณิสรินทร์ยิ้มเยาะมุมปากก่อนตอบด้วยเสียงเรียบนิ่ง 

               “ถ้าแม่ไม่มีเงินเหลือแล้ว คงไม่คิดจะโทร. หาฉันเหมือนกันใช่ไหมล่ะ”

               “อย่ามาปากดี อีรูท ฉันเป็นแม่แกนะ! คิดจะตัดช่องน้อยแต่พอตัวหนีไปสบายแล้วทิ้งฉันสินะ”

               ณิสรินทร์เกือบจะหลุดหัวเราะเยาะเป็นเชิงประชด คำพูดที่ออกจากปากอีกฝ่าย สำหรับเธอก็เป็นเพียงแค่สถานะเปล่าๆ เท่านั้น ในเมื่อระหว่างเธอกับแม่ไม่มีความผูกพันและความรักใดๆ ทำไมถึงคิดจะยกคำนี้มาอ้างเรียกร้องจากเธอกัน...คิดแล้วรอยยิ้มที่มุมปากก็ยิ่งดูน่ากลัวขึ้นทีละนิด แม้แต่ดวงตาที่หลุบต่ำก็ยังส่อประกายวาววับชวนให้หยุดหายใจ 

               “ถึงแม่กับเขาแห่กันมาหาฉันวันนี้ ฉันก็ไม่มีเงินให้สักบาท สิ้นเดือนเดี๋ยวฉันโอนเงินไปให้แม่เอง”

               “อีรูท พูดให้มันดีๆ หน่อย ไอ้ผู้ชายวันนี้เป็นผัวแกใช่ไหม ดูมีเงินเหมือนกันนี่ ทำไมแกไม่ขอเงินเขาสักหน่อย”

               คิ้วโก่งเรียวขมวดเข้าหากันทีละน้อย เธอไม่รอช้าที่จะตัดบทผู้เป็นแม่ อาจารย์พสุไม่ควรเข้ามายุ่งเกี่ยวอะไรอยู่แล้ว

               “เขาไม่เกี่ยวกับเรื่องนี้ อีกอย่างเรื่องเงินฉันไม่จำเป็นต้องไปเกาะขาใคร ฉันหาเองได้”

               ประโยคต่อมาที่ณิสรินทร์ได้ยินจากผู้เป็นแม่คือคำผรุสวาทอีกมากที่ดังสวนมาจนชินชา ไม่ต้องรอให้อีกฝ่ายพูดจบ ปลายนิ้วของตนก็สัมผัสหน้าจอโทรศัพท์ วางสายไปทั้งอย่างนั้น ไม่ลังเลที่จะเพิ่มรายชื่ออีกฝ่ายเข้าในรายการบล็อกทันทีเพื่อตัดขาดการติดต่อชั่วคราว

หญิงสาวหลับตาสูดลมหายใจลึก ขมับพลันปวดหน่วงๆ คล้ายสมองถูกบีบรัดอย่างรุนแรง จนต้องเปิดลิ้นชักหัวนอนคว้ายาแก้ปวดจากในนั้นขึ้นมากลืนลงคอเร็วๆ ปล่อยให้รสชาติขมปร่าของยาแผ่ซ่านในโพรงปากลามไปถึงลำคอ ทว่าเวลานี้ณิสรินทร์กลับไม่รู้สึกว่ารสชาติของยาจะขมไปกว่าชีวิตของตัวเองเลย 

พอนึกได้ว่าคืนนี้มีงานพิเศษรออยู่ หญิงสาวจึงไม่รอช้า รีบลุกขึ้นเตรียมตัวออกไปทำงาน แม้ว่าอาการปวดศีรษะจะยังไม่ดีขึ้นเลยแม้แต่น้อย 

               ร่างระหงหยุดนิ่งหน้ากระจกในห้องน้ำ เพ่งมองใบหน้าซีดเซียวของตัวเอง จดจ้องใบหน้านี้ไว้อย่างแน่วแน่

               ใบหน้าที่ถอดเอาลักษณะอันโดดเด่นของผู้เป็นแม่ออกมาอย่างไม่ผิดเพี้ยน เผินๆ เครื่องหน้าเหล่านี้ดูจะคมชัดและโดดเด่นกว่าอีกฝ่ายเป็นไหนๆ ความคล้ายคลึงเช่นนี้ทำให้ณิสรินทร์รู้สึกเย้ยหยันมากกว่าจะภูมิใจ ความงามที่แม่ของตนใช้เพื่อแลกความรัก...สุดท้ายมันก็เป็นแค่เปลือกนอกอันบิดเบี้ยวเท่านั้น เพราะแบบนี้เอง ตลอดเวลาหลายปีที่ผ่านมา ณิสรินทร์ถึงปล่อยให้ตัวเองอยู่ในสภาพไร้ตัวตน พยายามขีดเส้นกั้นระหว่างตนกับคนรอบข้าง

               หญิงสาวหลุบตาต่ำ เปิดก๊อกน้ำปล่อยให้น้ำเย็นๆ ไหลผ่านมือ ก่อนจะวักมันใส่ใบหน้าเพื่อเรียกสติ ไม่มีเวลาให้ลังเลอีกต่อไปแล้ว หนทางข้างหน้าที่ต้องการ หากไม่ใช่ลงมือทำด้วยตัวเองก็ไม่มีใครยื่นมือเข้ามาช่วยได้อีก ตราบใดที่ยังมีลมหายใจอยู่ เธอจะไม่มีวันยอมแพ้ เธอจะต้องผ่านคืนอันโหดร้ายและโดดเดี่ยวเช่นนี้ไปให้ได้

 

               คืนนี้พสุแวะมาใช้บริการรูฟทอปบาร์ของโรงแรมรัตนเวคินทร์อีกครั้ง เขาเลือกที่นั่งที่ห่างเวทีที่สุด ระหว่างนั้นก็หันไปมองทิวทัศน์ของเมืองยามเย็น แสงไฟที่เริ่มสว่างขึ้นทดแทนความมืดที่กำลังมาเยือน จากมุมบนดาดฟ้าของโรงแรม ผู้คนที่อยู่เบื้องล่างก็ตัวเล็กลงเหลือเป็นเพียงเสี้ยวเล็กๆ 

               พสุบอกตัวเองไม่ถูกเหมือนกันว่าทำไมถึงได้มาที่นี่อีกครั้ง แต่เมื่อนึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นวันนี้ เขาก็สัมผัสปัญหาความสัมพันธ์ระหว่างหญิงสาวกับมารดาได้ในทันที รวมกับเหตุการณ์ที่เขาพบกับเธอที่โรงแรมในคืนก่อน ยิ่งทำให้เห็นภาพรวมทั้งหมดได้ไม่ยาก 

               ถึงแม้ว่าณิสรินทร์จะเอ่ยปากตัดบทเขาอย่างเย็นชา ท่าทีของอีกฝ่ายก็เห็นได้ชัดว่าไม่ต้องการให้ใครเข้ามายุ่งเกี่ยววุ่นวายกับตน แต่พสุกลับไม่สามารถทำเป็นเมินเฉยได้ง่ายๆ เพราะยามที่เขาเห็นแววตาที่เจือความผิดหวัง ความเจ็บปวด และความเกรี้ยวกราดของเธอแล้ว เขาก็นึกหวนคิดถึงตัวเองขึ้นมาไม่ได้ คืนนี้เขาถึงอยากมาดูให้เห็นกับตาอีกครั้งว่าหญิงสาวจะไม่เป็นไร 

               ชายหนุ่มยกแก้วไวน์สีเข้มขึ้นจิบคำเล็กๆ ซึมซับรสชาติเฝื่อนและหวานหอมของไวน์ชั้นเลิศ กลิ่นผลไม้ฟุ้งอยู่ในโพรงปาก แม้แต่ปลายลิ้นก็ยังสัมผัสได้ถึงความรู้สึกเข้มข้นของมัน ขณะปล่อยให้ตัวเองตกอยู่ในภวังค์ เสียงเครื่องดนตรีอย่างแซ็กโซโฟน กีตาร์เบสไฟฟ้า ดับเบิลเบส และกลองก็ค่อยๆ ดังขึ้นเป็นทำนองนุ่มๆ ตามด้วยเสียงหวานกดต่ำลงเล็กน้อยของหญิงสาวที่ร้องคลอไปกับทำนอง 

               พสุเบนสายตาจากทิวทัศน์ด้านนอกหันมามองร่างเล็กที่อยู่บนเวทีเล็กอย่างตั้งใจ

               หญิงสาวร้องกดเสียงต่ำ เนื้อเสียงหวานใส ท่วงทำนองนุ่มนวลชวนให้รู้สึกเศร้าสร้อย นัยน์ตาที่กวาดตามองข้างหน้าช่างดูว่างเปล่า ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือไม่ แต่เขารู้สึกว่าณิสรินทร์ในคืนนี้ดูหน้าซีดเซียวผิดปกติ 

               ปลายนิ้วของตนจับแก้วไวน์อย่างอ้อยอิ่ง สายตาจดจ้องร่างบอบบางตรงหน้าอย่างนิ่งงัน ไม่รู้เลยว่าตอนนี้กำลังมองณิสรินทร์หรือว่ามองอดีตของตัวเอง 

 

               อาการปวดศีรษะโจมตีเธอครั้งแล้วครั้งเล่าจนมือที่ถือไมโครโฟนชื้นเหงื่อ เช่นเดียวกับแผ่นหลังที่เย็นวาบ ณิสรินทร์ข่มอาการปวดศีรษะด้วยรอยยิ้ม เธอกำมือแน่น เหยียดแผ่นหลังให้ตั้งตรง ขยับปากร้องเพลงไปตามที่ซักซ้อม ราวกับว่าตัวเองในเวลานี้ไม่ต่างจากหุ่นยนต์ตัวหนึ่ง ทนฝืนตัวเองจนถึงเพลงสุดท้าย กระทั่งช่วงเวลาค่ำคืนนี้จบลง

               เมื่อโน้ตเพลงตัวสุดท้ายหยุดแล้ว ณิสรินทร์ก็ผ่อนลมหายใจเหยียดยาว ค้อมตัวให้แขกในค่ำคืนนี้เป็นการปิดท้ายก่อนจะเดินลงเวทีเล็กด้วยฝีเท้าเบาหวิว ภาพตรงหน้าเหมือนจะไหววูบขึ้นมา ร่างกายไม่ต่างจากตุ๊กตาอัดนุ่นที่ไร้เรี่ยวแรง ทั้งร่างเกือบทรุดฮวบลงไปกองที่พื้นหากไม่ได้ใครบางคนเข้ามาโอบเอวพยุงเธอไว้ได้ทันท่วงที 

               ณิสรินทร์เงยหน้าขึ้นมองเจ้าของวงแขนแกร่ง กระทั่งเห็นใบหน้าของอีกฝ่ายแล้วถึงได้รีบเรียกเสียงแผ่ว

               “คุณ...”

               “จับผมไว้ครับ”

               สมองของเธอยังไม่ทันได้วิเคราะห์คำพูดนี้ว่าหมายความว่าอย่างไร ณิสรินทร์ก็รู้สึกว่าภาพตรงหน้าเปลี่ยนไปทันที วงแขนอีกข้างของชายหนุ่มช้อนตัวเธอไว้ ก่อนที่เขาจะหันไปพูดอะไรบางอย่างกับเพื่อนร่วมงานของเธอ แล้วสาวเท้าออกมาอย่างมั่นคง 

               “ปล่อยฉันลงก่อนค่ะ” หญิงสาวขมวดคิ้วแน่น อาการปวดศีรษะไม่มีวี่แววจะทุเลาลงแม้แต่น้อย เธออยากจะฝืนตัวเอง ขืนตัวให้พ้นจากการโอบอุ้มของอีกฝ่าย แต่พสุรู้ทัน ถึงได้กระชับวงแขนตัวเองให้แน่นขึ้น 

               “ณิสรินทร์ คุณไม่สบาย อย่าดื้อครับ”

               อ้อมกอดนี้ทำให้ทั้งร่างขยับเข้าไปใกล้ชายหนุ่มมากขึ้น จมูกของเธอได้กลิ่นหอมจางๆ เหมือนแมกไม้อันสดชื่น ลมหายใจอุ่นร้อนของเขาเจือกลิ่นไวน์ กลิ่นหอมที่ไม่คุ้นเคยและไออุ่นจากร่างสูงทำให้ความรู้สึกตึงหน่วงที่ขมับและศีรษะค่อยๆ เบาลงอย่างประหลาด ณิสรินทร์นิ่งงัน ตัวแข็งอยู่ในวงแขนของชายหนุ่ม เมื่อได้สติแล้วถึงกระซิบหวังให้เขาปล่อยตัวเองลง 

               “ฉันไม่เป็นอะไร ปล่อยฉันลงได้แล้วค่ะ”

               ราวกับเสียงของตนไม่มีความหมาย พสุสาวเท้าไปเรื่อยๆ กระทั่งพาเธอมานั่งในห้องรับรองของโรงแรม คนตรงหน้าไม่ได้ทำตัวรุ่มร่าม ทั้งยังรักษาระยะห่างไว้อย่างเหมาะสม สายตาที่มองมามีเพียงความเป็นห่วงเป็นใย

               ณิสรินทร์หลบตาคนตรงหน้าพลางกวาดตามองรอบตัว พบว่าห้องรับรองนี้เป็นห้องของโรงแรมที่เตรียมไว้สำหรับกรณีฉุกเฉิน หลังจากนั้นไม่นานพนักงานโรงแรมสาวคนหนึ่งก็เดินเข้ามาในห้องพร้อมกล่องปฐมพยาบาลและผ้าขนหนูขาวสะอาด อีกฝ่ายยื่นของทั้งหมดให้ชายหนุ่มเพียงคนเดียวในห้อง 

               “ขอบคุณครับ” พสุรับของพวกนั้นไปก่อนจะหันมาหาณิสรินทร์และยื่นผ้าขนหนูผืนนั้นให้หญิงสาว “เช็ดหน้าก่อนนะ”

               เวลานี้ณิสรินทร์ถึงเพิ่งรู้ตัวว่าใบหน้าของตนเต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อเกาะพราว เธอรับผ้าขนหนูไปโดยไม่ปริปากบ่น ค่อยๆ ซับกรอบหน้าเบาๆ กลิ่นหอมสะอาดของผ้าขนหนูทำให้รู้สึกสดชื่นขึ้นมาเล็กน้อย แต่อาการปวดศีรษะก็ยังไม่หายไปทั้งหมด 

               จากนั้นอาจารย์หนุ่มก็ยื่นเม็ดยาทรงคุ้นตาพร้อมขวดน้ำเปล่ามาให้ ณิสรินทร์ไม่ปฏิเสธ เอื้อมมือมาหยิบยาและน้ำเปล่าจากมือเขาไปกินอย่างว่าง่าย 

               “คุณกินอะไรหรือยัง หน้าคุณซีดมาก”

               “เดี๋ยวฉันกลับไปทานค่ะ”

               “หลังจากนี้คุณว่างใช่ไหมครับ”

               แม้ไม่อยากให้คนตรงหน้าเข้ามาวุ่นวายกับตนมากกว่านี้ ทว่าเมื่อเห็นความหวังดีที่เขามอบให้แล้ว คำปฏิเสธที่อยากจะพูดออกไปก็ติดอยู่ที่ริมฝีปาก ท้ายที่สุดก็เปลี่ยนใจมาตอบคำถามนี้

               “ค่ะ แต่ฉันจะกลับห้อง”

               คำตอบของเธอทำให้ชายหนุ่มขมวดคิ้วเล็กน้อย พสุยืดหลังตรงพลางเอ่ยคำพูดที่เธอเองก็คาดไม่ถึง 

               “ถ้าอย่างนั้นคืนนี้เราไปเดตกันเถอะครับ”

 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น