บทที่ 4

บทที่ 4

ณิสรินทร์เช็ดมือให้แห้ง ก่อนจะโน้มตัวลงไปหยิบกระเป๋าเป้ใบเก่งของตัวเองขึ้นมา หลังจากอยู่ช่วยจัดซุ้มด้านหน้าจนครบตามกำหนดการวันนี้แล้วหญิงสาวก็ไม่คิดจะเสียเวลาอยู่ต่อ ขณะกำลังจะเดินจากไปเงียบๆ หูก็ได้ยินเสียงหัวเราะของเพื่อนร่วมสาขาที่อยู่อีกด้าน เมื่อมองไปแล้วเธอก็เห็นพสุถูกห้อมล้อมด้วยรุ่นน้องนักศึกษาชายหญิงที่กำลังพูดคุยอย่างสนุกสนาน เสียงจอแจวุ่นวายผสมกับเสียงหัวเราะดึงความสนใจจากนักศึกษาสาขาอื่นที่อยู่ใกล้ๆ ได้ไม่ยาก ทว่าสิ่งที่สายตาของตัวเองจับจ้องเป็นสิ่งแรกกลับเป็นมือข้างหนึ่งของเพื่อนร่วมสาขาสาวคนหนึ่งที่กำลังวางบนต้นแขนของพสุ

               ถึงจะมองเห็นไม่ชัดว่าเจ้าของมือเนียนขาวข้างนั้นเป็นของใคร แต่เห็นความใกล้ชิดของพสุกับนักศึกษาสาวคนอื่นๆ แววตาเธอก็ไหววูบเล็กน้อย ความนิ่งสงบที่พยายามรักษาไว้ถูกก่อกวนให้เกิดเป็นตะกอนขุ่นฟุ้งอยู่ในใจ ณิสรินทร์กระตุกมุมปากเป็นรอยยิ้มเย้ยหยัน สุดท้ายก็รีบหมุนตัวเดินจากมาในทันที 

               เหอะ...พอนึกถึงสายตาและคำพูดของพสุเมื่อก่อนหน้านี้ได้ไม่นาน เธอก็ผ่อนลมหายใจส่งเสียงเยาะเบาๆ ในลำคอ เห็นได้ชัดว่าคำพูดของเขาเชื่อถือไม่ได้...

               คิดไปคิดมาณิสรินทร์ก็หงุดหงิดใจราวกับว่าตัวเองถูกปั่นหัว วุ่นวายใจอยู่ฝ่ายเดียว ระหว่างทางเดินกลับหอพัก ความทรงจำที่มีอาจารย์พิเศษก็วนเวียนเข้ามาในสมองไม่หยุด ทั้งๆ ที่ขีดเส้นชัดแล้วว่าเขาไม่ใช่คนสำคัญอะไร แต่เรื่องของเขากลับเด่นชัดอยู่ในใจเธอทั้งอย่างนั้น 

ยามเห็นกระป๋องเปล่าบนพื้น อารมณ์ขุ่นมัวที่ต้องการระบายก็ชักนำให้เธอเร่งฝีเท้าออกแรงแตะกระป๋องเปล่าใบนั้นลอยละลิ่วตกลงในถังขยะที่ตั้งอยู่ไม่ไกลพอดิบพอดี ชัยชนะเล็กๆ เช่นนี้ทำให้คนออกแรงรู้สึกอารมณ์ดีขึ้นมาบ้าง แต่ยังไม่ทันที่จะได้ก้าวต่อ เสียงหัวเราะทุ้มๆ ที่ดังจากด้านหลังก็กระตุ้นให้ณิสรินทร์ต้องหันกลับไปมองโดยเร็ว

คาดไม่ถึงว่าเมื่อหมุนตัวหันกลับไป คนที่ไม่ควรจะอยู่ที่นี่กลับปรากฏอยู่ตรงหน้าเสียได้ 

               หญิงสาวเบิกตากว้างด้วยความตกใจ ร่างกายขยับถอยหลังไปหนึ่งก้าว จากนั้นก็หรี่ตามองชายหนุ่มเร็วๆ อย่างจับผิด

               “คุณตามฉันมาเหรอคะ”

               “กำลังจะกลับแล้วเหรอครับ”

               ณิสรินทร์ไม่ตอบ แต่กลับถามซ้ำเหมือนไม่รับรู้และไม่คิดจะให้คำตอบใดๆ แก่อาจารย์พิเศษคนนี้

               “นี่ก็พ้นรั้วมอมาแล้ว ถ้าบอกว่ามาลานจอดรถหน้ามอ คุณต้องย้อนกลับไปทางลานตึกหนึ่งนะคะ ไม่ใช่ตรงนี้” 

               หญิงสาวยืนกอดอก อยากรู้ว่าคนตรงหน้าจะแก้ตัวอะไรอีก ขณะเดียวกันก็อยากรู้ขึ้นมาเหมือนกันว่าเพราะอะไรเขาถึงไม่ยอมทำเป็นปล่อยผ่านเธอไปเฉยๆ ต่อให้รับรู้ว่าสถานการณ์ของเธอและครอบครัวไม่ดีเท่าที่ควร แค่เขาทำเป็นไม่รับรู้ปัญหานี้ก็ได้แล้ว ทำไมยังคงวนเวียนอยู่รอบตัวเธออย่างนี้

               เห็นชายหนุ่มไม่ยอมปริปากตอบ เจ้าของร่างเล็กก็สูดลมหายใจเตรียมตัวหมุนตัวจากไป แต่เสียงทุ้มต่ำของพสุยังคงรั้งเธอไว้ จำต้องหันไปมองเขาราวกับจะค้นหาคำตอบอีกครั้ง

               “ผมมาหาคุณ”

               “เราไม่ได้มีธุระอะไรกันนี่คะ” ณิสรินทร์ขมวดคิ้ว เดินย้อนกลับไปหาชายหนุ่มจนระยะห่างเหลือเพียงไม่กี่คืบ หญิงสาวร่างเล็กประสานสายตามองคนตรงหน้าอย่างไม่หลบเลี่ยงพลางถามย้ำอีกครั้ง

               “คุณต้องการอะไรกันแน่คะ อาจารย์รัก” 

               “ผมแค่อยากแน่ใจว่าคุณปลอดภัย” พสุตอบด้วยสีหน้านิ่งสงบ 

นอกจากความสัตย์จริงที่อยู่ในดวงตาและน้ำเสียงของชายหนุ่มแล้ว ณิสรินทร์ก็ไม่เห็นความรู้สึกอื่นใดเจืออยู่ กลับเป็นดวงตาของเธอเองที่สั่นไหวเล็กน้อย จนต้องเป็นฝ่ายหลุบตากลับมาปรับอารมณ์ของตนก่อน แล้วค่อยหันไปโต้ตอบกับชายหนุ่ม

               “เดิมทีไม่ว่าจะเป็นเรื่องไหนของฉัน คุณไม่จำเป็นต้องมารับผิดชอบหรือมาใส่ใจหรอกค่ะ เพราะมันไม่จำเป็น” ณิสรินทร์เสยผมปัดไปด้านหลังคล้ายๆ จะข่มอารมณ์ตัวเอง แต่ท้ายที่สุดดวงตาเรียวดั่งตาหงส์ก็จดจ้องกลับไปด้วยความดื้อรั้น 

               “ฉันจะคิดว่าเพราะคุณเป็นคนใจดีก็แล้วกันค่ะ ถึงได้พยายามเป็นห่วงเป็นใยนักศึกษาขนาดนี้ แต่อย่าเสียเวลาเลยค่ะ ฉันรับผิดชอบตัวเองได้”

               คำพูดนี้ออกจะดูโหดร้ายเย็นชา และอาจทำให้คนฟังรู้สึกไม่ดี แต่วินาทีที่ได้ยินเขาพูดว่าอยากแน่ใจว่าเธอปลอดภัย เธอก็ตัดสินใจแล้วว่าจะกีดกันเขาออกจากเขตความสัมพันธ์ เธอไม่อยากเป็นเพียงแค่เด็กที่น่าสงสารในสายตาของใครอีก 

เธอสัมผัสได้ว่าพสุเป็นคนดี เป็นเพียงไม่กี่คนที่แสดงความเป็นห่วงอย่างแท้จริงออกมา ดังนั้นหากปล่อยให้เขาเข้ามาใกล้ตัวเองมากกว่านี้ ความแข็งแกร่งที่สร้างมาทั้งหมดอาจจะพังทลายลงได้ในวันหนึ่ง เธอคุ้นชินกับการอยู่เพียงลำพัง ที่ผ่านมาก็อาศัยตัวเองยืนหยัดมาได้ตั้งนานแล้ว หากจะฝืนพยุงตัวเองให้นานกว่านี้สักหน่อยก็คงไม่มีอะไรแตกต่างไปจากนี้อีก 

               “อีรูท!”

               ท่ามกลางความเงียบงัน เสียงตวาดเกรี้ยวกราดก็ดังแทรกเข้ามา ณิสรินทร์คุ้นชินกับน้ำเสียงนี้ดีที่สุด ไม่ต้องจินตนาการก็รู้ดีว่าหลังจากนี้จะเกิดอะไรขึ้น มุมปากถึงได้ขยับยกเป็นรอยยิ้มเหยียดหยัน

               ถูกต้องแล้ว...เดิมทีนี่ก็เป็นปัญหาของตัวเธอเอง ทางที่ดีที่สุดคือกีดกันคนนอกอย่างพสุเอาไว้ เขาไม่ควรมาวุ่นวายตั้งแต่ต้นอยู่แล้ว

               ร่างเล็กหมุนตัวหันไปทางต้นเสียง ไม่ไกลจากหน้าหอพัก ลลิตากับศิรชัชกำลังยืนหน้าบึ้งถมึงทึง เสียงตวาดแหลมแผดลั่นก่อนที่เจ้าตัวจะเดินมาถึง ความเหนื่อยหน่ายทำให้เธอถอนหายใจ ต่อให้หนีไปไกลแค่ไหน สุดท้ายก็ต้องกลับมาเผชิญหน้ากับปัญหาเหล่านี้อยู่ดี

               หญิงสาวเร่งฝีเท้าไปหาผู้เป็นแม่ แววตานิ่งเฉยราวกับไม่รู้สึกรู้สาอะไรอีก กระทั่งหยุดยืนต่อหน้าอีกฝ่ายแล้วถึงได้ถามเสียงเรียบ 

               “แม่ยังไม่กลับไปอีกเหรอ ฉันบอกให้แม่กลับไปตั้งนานแล้วนี่”

               ใบหน้าของลลิตาแดงก่ำด้วยความโกรธ เพียงพริบตาเสียงฝ่ามือกระทบผิวหน้าก็ดังขึ้น ใบหน้าของณิสรินทร์หันไปอีกด้านตามแรงตบ พวงแก้มขาวซีดขึ้นเป็นรอยฝ่ามือแดงทั้งสี่นิ้วอย่างเห็นได้ชัด

               “แกมีสิทธิ์มาไล่ฉันเหมือนหมูเหมือนหมาแบบนี้ได้เหรอ!”

               ใบหน้าของณิสรินทร์ชาดิก ครึ่งหน้าของเธอในเวลานี้ไม่รู้สึกอะไรแล้ว ในหูได้ยินเสียงหวีดร้องดังวิ้ง เสียงตวาดของผู้เป็นแม่ก็ไม่ต่างจากเสียงก้องอื้ออึงอยู่ในหู จนกระทั่งสัมผัสได้ถึงความรู้สึกอบอุ่นที่โอบตัวเธอให้ถอยกลับมาอยู่ในอ้อมแขนอันสดชื่น เมื่อนั้นเองเธอถึงดึงสติกลับมาได้อีกครั้ง สองหูได้ยินพสุพูดกับแม่ของเธอเสียงเข้ม 

               “หยุดนะครับ!”

               “ฉันจะตบสั่งสอนลูกของฉันแล้วมันจะทำไม!”

               รู้ตัวอีกครั้งณิสรินทร์ก็พบว่าพสุกำลังใช้ตัวบังระหว่างเธอกับแม่ ราวกับแผ่นหลังนี้จะช่วยกีดกั้นเธอให้พ้นจากทุกอันตราย แต่ในพริบตาความรู้สึกที่ราวกับถูกปกป้องก็สลายลง หญิงสาวสูดลมหายใจเข้าสุดออกสุด เมินความรู้สึกเจ็บชาบนแก้ม เตรียมขยับตัวออกห่างจากใต้ปีกของชายหนุ่มตรงหน้า สองหูได้ยินทุกคำพูดของคนเป็นแม่ไม่ตกไปสักประโยค

               “อีรูทมันลูกฉัน มันเป็นของฉัน ฉันจะทำอะไรกับมันก็ได้ เอ๊ะ! คุณอีกแล้ว รอบที่แล้วก็สาระแนยุ่งเรื่องคนอื่น รอบนี้ก็ไม่คิดจะหยุดเสือกเรื่องชาวบ้านใช่ไหม”

               “ถึงณิสรินทร์จะเป็นลูกสาวของคุณ คุณก็ไม่ควรทำร้ายร่างกายเธอ”

               “อย่ามาสะเออะสาระแนสอน มันไม่ยอมส่งเงินมาให้ฉันมันก็ต้องโดนซะบ้าง ฉันเลี้ยงมันมาหลายปี จะปล่อยให้มันทำตัวอกตัญญูแบบนี้ได้ยังไง คนเป็นแม่เดือดร้อน แต่มันก็เอาแต่เสวยสุข ไม่รู้จักตอบแทนกันบ้าง!”

               ลลิตายังคงตวาดใส่เธอไม่หยุด ณิสรินทร์ได้แต่กำมือเป็นการข่มอารมณ์ เบี่ยงตัวให้พ้นจากแผ่นหลังของชายหนุ่มพลางขยับขึ้นมาแทนที่เขา ดวงตาจดจ้องผู้เป็นแม่ไม่ไหวติง เผยพวงแก้มด้านหนึ่งที่มีรอยตบสีแดงเข้มประทับอยู่

               “แม่ไม่ควรมาที่นี่”

               “เอ๊ะ! นังนี่ทำเป็นอวดดี ถ้าฉันไม่มา แกก็ไม่คิดจะส่งเงินให้ฉันใช่ไหม!”

               “ฉันบอกแม่แล้วนี่ว่าถ้ามีฉันก็จะโอนให้”

               “ตอแหล! คิดว่าฉันจะเชื่อหรือไง”

               “แต่ถ้าแม่มาโวยวายหน้าหอพักฉันแบบนี้ แม่อาจจะไม่ได้เงินฉันสักบาทเลยก็ได้”

               “อีรูท! แกขู่ฉันเหรอ” ลลิตาถลึงตาค้อนควักใส่ผู้เป็นลูก ขณะที่ศิรชัชซึ่งเงียบอยู่นานก็เอ่ยขึ้นบ้าง 

               “ลิตา ลูกสาวเธอก็ดีจริงๆ เลยนะ คนเป็นพ่อเป็นแม่กำลังลำบากแต่ตัวเองยังมีกินมีใช้ ดูเหมือนเธอจะเลี้ยงลูกให้ติดสบายไปหรือเปล่า”

               ได้ยินคำพูดของพ่อเลี้ยง ณิสรินทร์ก็เม้มปากแน่น เธอหันไปจ้องมองอีกฝ่ายด้วยแววตาดุดัน ไม่ยอมเป็นคนที่ถูกไล่ต้อนเพียงฝ่ายเดียว 

               “ฉันไม่เห็นจะรู้ว่าคุณเลี้ยงดูฉันมา มีแต่คุณหรือเปล่าที่เอาแต่อยากจะเกาะชายกระโปรงคนอื่นเขา”

               “อีรูท ใครให้แกพูดถึงผัวฉันแบบนั้น”

               หญิงสาวเหยียดยิ้ม ไม่สนใจเสียงตวาดและสีหน้าโกรธเกรี้ยวของผู้เป็นแม่ แม้ว่าสถานการณ์ในเวลานี้จะทำให้พวกเธอเริ่มตกเป็นเป้าสายตาของคนที่อยู่บริเวณนี้แล้วก็ตามที

               “ฉันพูดความจริง ทำไมแค่นี้แม่ถึงรับไม่ได้ล่ะ”

               ทั้งท่าทางและแววตาท้าทายยิ่งกระตุ้นอารมณ์โกรธของลลิตาให้สูงขึ้นเรื่อยๆ จนเงื้อมือขึ้นเตรียมตัวจะสั่งสอนลูกสาวอีกครั้ง แต่คราวนี้ไม่ง่ายเหมือนครั้งแรก เมื่อร่างสูงโปร่งของพสุกลับก้าวขึ้นมาขวางทั้งยังเอ่ยเตือนเสียงเข้ม 

               “ผมว่าคุณหยุดความคิดไว้แค่ตอนนี้ดีกว่าครับ”

               “อีรูท สรุปไอ้นี่มันผัวแกใช่ไหม ถึงได้วุ่นวายนักนะ”

               ณิสรินทร์ขมวดคิ้ว เธอหันมองอาจารย์หนุ่มเล็กน้อย ก่อนจะแทรกตัวขึ้นมาอีกครั้ง บอกกลายๆ ไม่ให้ชายหนุ่มเข้ามาวุ่นวายมากไปกว่านี้ 

               “แม่ไม่ต้องลากคนอื่นมาเกี่ยวด้วย ถ้าแม่ต้องการเงินก็แค่ทำตามที่ฉันบอก อย่ามาวุ่นวายที่นี่หรือแม้แต่ที่มหา’ลัยก็ตาม”

               คนเป็นแม่ฟังแล้วยิ้มเยาะก่อนโวยวายเสียงดังเรียกร้องความสนใจจากคนรอบตัวอีกครั้ง

               “โอ๊ย! ใช่สิ! ฉันมันคนไม่มีการศึกษา แค่มาหาลูกสาวก็เลยไม่มีหน้ามาหาเพราะคนมันอาย!”

ณิสรินทร์รู้ดีว่าลูกไม้ของอีกฝ่ายมีอะไรบ้าง ลลิตาชอบเรียกร้องความสนใจและอาศัยการดึงอารมณ์และความรู้สึกคนให้เห็นอกเห็นใจตัวเอง เธอคุ้นชินกับวิธีการนี้ที่อีกฝ่ายทำตั้งแต่ตนยังเด็ก ไม่ว่าจะเป็นการเรียกร้องความสนใจจากคนอื่นๆ ก็ดี หรือกับคนรักคนก่อนๆ ก็ตาม

               หญิงสาวยิ้มเย้ย ไม่สนใจว่าอีกฝ่ายจะคร่ำครวญเรียกความสงสารจากคนอื่นๆ อย่างไร เธอเพียงยืนอยู่ที่เดิมพร้อมเอ่ยเสียงเย็น 

               “ถ้าแม่สบายใจที่จะตีอกชกหัวคร่ำครวญต่อไปก็ทำเลย เพราะคนที่ต้องอายจริงๆ ไม่ใช่ฉัน...แต่เป็นแม่ต่างหาก”

               ลลิตาที่แสร้งคร่ำครวญชะงัก หันขวับมากดเสียงต่ำลอดไรฟันอย่างข่มอารมณ์ 

               “นังเด็กเวร!” พริบตาคนที่กำลังฟูมฟายโวยวายด้วยความเศร้าก็เปลี่ยนไปกะทันหัน ใบหน้าเปื้อนน้ำตาบิดเบี้ยวเพราะความเกรี้ยวโกรธ

               ไม่ทันได้ตั้งตัว มือของอีกฝ่ายก็พุ่งเข้าหาอย่างรวดเร็ว แต่ทั้งร่างของเธอถูกคนข้างตัวดึงถอยกลับไปด้านหลัง ทำให้ตัวเขาเองถูกผู้เป็นแม่ฝากคมเล็บไว้เป็นรอยข่วนเด่นชัดบนโหนกแก้ม

               ณิสรินทร์เบิกตากว้าง ยังไม่ทันได้เอ่ยปากถาม พสุกลับเป็นฝ่ายหันมาถามเธอก่อนอย่างรวดเร็ว

               “เป็นอะไรหรือเปล่าครับ” ชายหนุ่มหันมาก้มสำรวจหญิงสาวเร็วๆ พอเธอส่ายหน้าปฏิเสธ ริมฝีปากเรียวเข้มถึงได้ยกโค้งขึ้นอย่างสบายใจ ขณะเดียวกันณิสรินทร์พลันเห็นรอยข่วนบนใบหน้าอีกฝ่ายได้อย่างชัดเจน 

               “คุณ...”

               “อีรูท แกมานี่เลยนะ!”

เสียงตวาดลั่นของผู้เป็นแม่ทำให้ความอดทนของเธอสิ้นสุด ณิสรินทร์เบี่ยงตัวออกจากชายหนุ่ม สาวเท้าเข้าไปใกล้ๆ อีกฝ่าย หยิบกระเป๋าเงินของตัวเองขึ้นมาเปิดคว้าเอาธนบัตรที่อยู่ในนั้นทั้งหมดยัดใส่มือคนตรงหน้า

               “แม่ได้เงินแล้วก็กลับไปสิ อย่ามาวุ่นวายที่นี่อีก”

ณิสรินทร์รู้ว่าแม่ของตนเป็นคนอารมณ์ร้ายกาจ หากเป็นเมื่อก่อนถึงเธอจะส่งเงินให้ช้าหรือต้องนัดกำหนดวันเพื่อโอนให้ ก็ไม่มีครั้งไหนที่อีกฝ่ายจะทำดื้อดึง ไม่คิดจะคุมสติของตัวเองเหมือนครั้งนี้ 

เมื่อนึกถึงความเป็นไปได้บางอย่าง หญิงสาวก็รีบหันหน้าไปมองพ่อเลี้ยงที่คอยประคองกล่อมกระซิบบางอย่างกับคนรักข้างหู ตอนนั้นเองที่เธอมั่นใจแล้วว่าการที่ผู้เป็นแม่มาตีฆ้องร้องป่าวโวยวายกับเธอแบบนี้ไม่ใช่ความคิดของตัวเอง แต่เป็นเพราะศิรชัชที่คอยเป่าหูบงการอยู่เบื้องหลังต่างหาก 

ทว่าอีกฝ่ายก็ไม่ใช่คนโง่ เมื่อรู้สึกได้ว่ากำลังถูกมอง ท่าทีของชายวัยกลางคนก็เปลี่ยนไปในทันที เขารีบประคองไม่ให้ภรรยาของตนพุ่งเข้าไปหาลูกเลี้ยง สายตาเอาแต่คอยสอดส่องมองรอบด้านที่มีหลายสายตาจับจ้อง เขารีบตั้งสติ หาทางลงที่สวยงามให้ตัวเอง

“รูท พ่อขอเถอะ อย่าใจร้ายใจดำกับแม่นักเลย อย่างน้อยเขาก็เป็นแม่นะ เป็นใครก็ต้องเป็นห่วงถ้าลูกสาวคนเดียวไม่เคยจะติดต่อกลับมาเลย พอเรามาหาก็ทำเย็นชาใส่แบบนี้ แม่เขาก็เสียใจนะ”

คำพูดของศิรชัชชวนให้ณิสรินทร์อยากหัวเราะออกมา ขณะเดียวกันเธอก็ขยะแขยงคำพูดนั้นเหลือเกิน

เป็นห่วง? เสียใจที่เธอเย็นชา? ความรู้สึกแบบนั้นทำไมเธอถึงไม่รู้สึกด้วยเลย 

ณิสรินทร์มองพ่อเลี้ยงด้วยสายตารังเกียจ ไม่มีสักวินาทีที่อยากใช้พื้นที่ร่วมหายใจกับคนเห็นแก่ตัวพรรค์นี้ เธอก้าวถอยกลับมาอย่างรวดเร็ว ปรายตามองชายวัยกลางคนตรงหน้าราวกับอีกฝ่ายเป็นเชื้อโรค

“ได้เงินก็กลับไปสิ จะรออะไรอีก”

พอลูกเลี้ยงสาวพูดแล้วศิรชัชก็ตั้งสติได้ ถึงจะรู้สึกเหมือนตัวเองโดนหยามหน้าที่ถูกลูกเลี้ยงปฏิบัติใส่ราวกับตนไม่ใช่คนก็ตาม แต่เมื่อภรรยาของตนดันไปทำร้ายร่างกายคนอื่น แม้จะเป็นเพียงบาดแผลภายนอกแค่เล็กน้อย แต่ยิ่งสายตาของคนรอบข้างเพ่งเล็งมากเท่าไร ความมั่นใจที่พกมาก็พลันหดหาย อีกทั้งผู้ชายที่อยู่ข้างณิสรินทร์ต่างหากที่เป็นตัวแปรสำคัญ ถึงจะเคยพบหน้ามาก่อน แต่อีกฝ่ายก็คล้ายไม่ใช่คนที่เขาสุ่มสี่สุ่มห้าจะไปวุ่นวายด้วยง่ายๆ ในเมื่อจุดประสงค์ที่จะมาเอาเงินจบลงด้วยดีแล้วก็ควรถอยเมื่อถอยได้ 

“ลิตา เรากลับกันเถอะ”

ลลิตาซึ่งยังอารมณ์คุกรุ่นกลับไม่รู้สึกเหมือนสามี เธออยากจะลากยายลูกสาวหัวสูงที่เอาแต่เชิดหน้าทำตัวโอหังมาตบสั่งสอนระบายอารมณ์อีกสักหน่อย แต่พอจะอ้าปากรั้งอยู่ต่อ ศิรชัชกลับรีบสำทับปรามเสียงเข้ม

“ลิตา อย่าดื้อ ถ้ายายรูทอยู่ที่นี่ ยังไงเราก็ยังมาหาลูกได้อีก” 

นอกจากคำพูดห้ามปรามแล้ว ลลิตายังสัมผัสได้ว่าสายตาของสามีกำลังสื่ออะไรบางอย่างกับตัวเอง เธอจึงข่มกลั้นอารมณ์พลุ่งพล่าน สะบัดหน้าเดินหนีไป ไม่หันมองลูกสาวของตัวเองสักนิด

คล้อยหลังเรื่องสงบแล้ว แผ่นหลังของคู่สามีภรรยาก็กลืนหายไปเงียบๆ ณิสรินทร์ผ่อนลมหายใจ ก่อนจะหันมาหาชายหนุ่มแล้วรีบสังเกตแผลบนใบหน้าของพสุทันที รอยข่วนที่โหนกแก้มแม้จะไม่ใช่รอยลึกแต่ก็ยังเห็นได้ชัด หญิงสาวขมวดคิ้ว ปากพร่ำบ่นเป็นเชิงถาม

“คุณมาดึงฉันทำไม ฉันไม่โดนง่ายๆ อยู่แล้ว แต่คุณสิ”

พสุเห็นสายตาที่แสดงความเป็นห่วงเป็นใยของคนตรงหน้าแล้วก็ยิ้มพลางตอบอย่างอารมณ์ดี 

“ไม่เป็นไรครับ แผลถากๆ แค่นี้ไม่กี่วันก็หาย แต่แก้มคุณแดงมากเลย อยากให้ผมพาไปโรงพยาบาลไหม”

ณิสรินทร์ส่ายหน้าแทนคำตอบ รอยตบแค่นี้ประคบเย็นหน่อยก็หายไปเอง ใช่ว่าเธอจะไม่เคยสัมผัสฤทธิ์เดชของผู้เป็นแม่มาก่อน แต่กับคนตรงหน้าเธอในเวลานี้ เห็นได้ชัดว่าเขาไม่สมควรเข้ามาเกี่ยวข้องหรือรับลูกหลงแทนเธอ ถึงพสุจะไม่ใส่ใจ แต่ณิสรินทร์ก็ยังไม่ปล่อยวางความตึงเครียด เธอเม้มปากมองซ้ายมองขวา เมื่อเห็นว่านักศึกษาและคนแถวนี้ส่วนใหญ่ต่างเลิกสนใจพวกตนแล้ว เธอก็ดึงชายแขนเสื้อของอีกฝ่ายราวกับเป็นสัญญาณ

พสุเห็นว่าปลายแขนเสื้อของตัวเองถูกร่างเล็กดึงก็เลิกคิ้วเป็นเชิงถาม ก่อนจะสังเกตว่าใบหน้าของนักศึกษาสาวดูคับข้องใจระคนขัดเขิน สุดท้ายหญิงสาวถึงได้เอ่ยเสียงแผ่วเบาอย่างรวดเร็ว

“ฉันจะรับผิดชอบคุณเองค่ะ”

คำว่า ‘รับผิดชอบ’ ที่หญิงสาวว่า แท้จริงคือเธอเอ่ยปากจะปฐมพยาบาลรักษาแผลข่วนตื้นๆ นี้ให้ พลางนึกขำตัวเองที่ก่อนหน้านี้เขาตื่นเต้นทำตัวไม่ถูกเมื่อได้ยินประโยคดังกล่าว แต่คิดๆ ดูแล้ว ทั้งหมดนี้ก็สมกับที่เป็นณิสรินทร์ดี

ห้องพักของนักศึกษาสาวไม่ได้กว้างขวางหรือมีพื้นที่มากนัก เมื่อเข้ามาในห้องแล้วก็สามารถเห็นพื้นที่ทุกอย่างในห้อง ไม่ว่าจะเตียงนอน มุมโต๊ะทำงาน ตู้เสื้อผ้า แม้สภาพห้องจะเก่า แต่ห้องกลับสะอาดสะอ้าน ม่านที่เปิดทิ้งไว้ทำให้แสงจากข้างนอกส่องผ่านเข้ามา กลิ่นหอมอ่อนๆ ของดอกไม้และกลิ่นแดดทำให้พสุรู้สึกว่ากำลังถูกโอบล้อมด้วยกลิ่นอายและตัวตนของหญิงสาว

“นั่งตรงนี้ก่อนค่ะ”

เมื่อได้ยินเสียงของณิสรินทร์ พสุก็รีบเก็บสายตาที่กำลังลอบสำรวจเงียบๆ ในใจคืนมาอย่างรวดเร็ว ก่อนขยับไปหาเก้าอี้พับทรงสูงที่เจ้าของห้องเตรียมไว้ให้แล้วนั่งลงตามอย่างว่าง่าย เขามองหญิงสาวที่กำลังหันไปหยิบอุปกรณ์ปฐมพยาบาลที่เก็บไว้ออกมา เป็นเวลาเดียวกับที่อีกฝ่ายเหลือบมองกลับมาเล็กน้อยพลางเอ่ยเสียงเรียบ

“ถึงจะแผลไม่ลึกแต่ทำความสะอาดไว้ดีกว่าค่ะ เชื้อโรคมันเยอะ ถ้าคุณไม่สบายใจจะไปโรงพยาบาลก็ได้นะคะ ฉันจะจ่ายค่ารักษาให้” 

“ไม่เป็นไรครับ ผมบอกแล้วว่าแผลไม่ได้ลึก คุณน่าจะดูแก้มตัวเองมากกว่า รอยแดงยังชัดอยู่เลย” พสุตอบ ระหว่างนั้นก็สำรวจท่าทางทะมัดทะแมงของหญิงสาวที่กำลังจัดเตรียมอุปกรณ์ทำแผล “ดูคล่องมือดีนะครับ” 

“ถ้าคุณต้องทำอะไรด้วยตัวเองบ่อยๆ เรื่องพวกนี้ก็จะชินไปเอง”

หญิงสาวไหวไหล่ราวกับไม่ได้ใส่ใจสิ่งที่พูดนัก และดูเหมือนจะไม่สนใจความเจ็บปวดบนแก้มของตัวเองสักนิด กลับกันมือเรียวเล็กเร่งมือแกะห่อสำลีห่อใหม่ ใช้คีมพลาสติกสำหรับทำแผลคีบก้อนสำลีจุ่มลงในถ้วยที่เทน้ำเกลือสำหรับทำความสะอาด เช็ดบริเวณรอบแผลก่อนหนึ่งรอบ ก่อนจะเปลี่ยนสำลีก่อนใหม่และเช็ดซ้ำอีกครั้งด้วยแอลกอฮอล์ล้างแผล วนจากขอบแผลด้านในออกมาด้านนอก

เมื่อพยาบาลจำเป็นตรวจดูความเรียบร้อยของรอยแผลข่วนเรียบร้อยแล้ว เธอก็หันไปหยิบปลาสเตอร์ขึ้นมาแกะ ค่อยๆ แนบแถบกาวบนปลาสเตอร์ลงบนผิวหน้า ปิดรอยข่วนนี้เป็นขั้นตอนสุดท้าย

ไออุ่นจากหญิงสาวทำให้พสุเพิ่งตระหนักได้ว่าระยะห่างของพวกเขาย่นลงโดยไม่รู้ตัว เดิมทีเขาก็มีส่วนสูงเกินมาตรฐานชายไทย เมื่อเปลี่ยนมุมมองกลายเป็นฝ่ายที่ต่ำกว่าเช่นสถานการณ์ตอนนี้ทำให้ตนมองหญิงสาวตรงหน้าได้ในอีกมุมที่ไม่เคยเห็น ดวงตาของณิสรินทร์หลุบต่ำเอาแต่สนใจบาดแผลจนเขาสามารถสังเกตแผงขนตางอนละเอียด ปลายจมูกทรงหยดน้ำและริมฝีปากอิ่ม จังหวะการหายใจของหญิงสาวต่างจากปกติเล็กน้อย คงเป็นเพราะเธอกลั้นหายใจเอาไว้ทุกครั้งเมื่อใบหน้าของตัวเองขยับเข้ามาใกล้ พอให้ลมหายใจอุ่นรินรดข้างแก้มจนรู้สึกยุบยิบในใจแทน

ยังไม่ทันได้ปรับลมหายใจของตัวเองให้เป็นปกติ ดวงตาของหญิงสาวและตัวเขาเองก็เคลื่อนมาประสานกันอย่างไม่ทันตั้งตัว ทันใดนั้นทุกอย่างรอบข้างพลันนิ่งสงัด ทั้งตัวเหมือนถูกดึงดูดด้วยดวงตาคู่นี้ จากระยะห่างอันใกล้ชิด มีเพียงลมหายใจของคนทั้งคู่ที่คลอเคลียรวมเป็นหนึ่ง

พสุเลื่อนสายตาจากดวงตาหงส์ ค่อยๆ ไล่ลงไปกระทั่งถึงริมฝีปากอิ่มสีระเรื่อ กลิ่นอายหอมหวานของหญิงสาวทำเอาลำคอของเขาเริ่มเกร็ง แม้ในใจจะร้องเตือนให้ตนขยับถอยออกมาเพื่อรักษาระยะห่างไม่ให้คนตรงหน้าอึดอัดใจ แต่มือของเขากลับทำตามใจ ยกขึ้นเกลี่ยลูกผมที่ร่วงเคลียอยู่ข้างพวงแก้มหญิงสาวขึ้นทัดหู ดวงตาทอดมองรอยแดงรูปฝ่ามือด้วยความปวดใจ

สัมผัสจากปลายนิ้วที่ปัดผ่านพวงแก้มดึงสติให้ร่างบอบบางสะดุ้งพร้อมขยับตัวถอยห่าง เว้นระยะกันและกันโดยอัตโนมัติ พสุกระแอมกระไอเสียงเบาพร้อมกับสังเกตท่าทางทำตัวไม่ถูกของอีกฝ่าย 

“เจ็บหรือเปล่าครับ...ที่แก้มน่ะ”

“ไม่ได้เจ็บอะไรขนาดนั้นหรอกค่ะ” 

เป็นอีกครั้งที่ณิสรินทร์ตอบราวกับไม่ใส่ใจความเจ็บปวดจากการลงโทษอย่างไม่มีเหตุผลของผู้เป็นแม่ แต่คนที่รู้สึกเป็นเดือดเป็นร้อนแทนกลับเป็นเขา เนื่องจากณิสรินทร์ก้มหน้าลงเล็กน้อย ทำให้พสุไม่อาจเห็นสีหน้าของเธอได้ชัด แต่มือที่กำลังง่วนอยู่กับการเก็บของเพียงไม่กี่ชิ้นตรงหน้าซ้ำๆ ทำให้พสุคิดได้อย่างเดียว...ใช่ว่าไม่เจ็บปวด เพียงแต่หญิงสาวรู้ดีว่าไม่อาจพูดออกไปได้ว่าเธอเจ็บ ไม่มีใครยินดีจะฟังเสียงของเธอ จึงทำได้แค่เปลี่ยนตัวเองให้ชินกับบาดแผลบนร่างกายและจิตใจเช่นนี้

“ณิสรินทร์” หลังจากที่เรียกคนตรงหน้า ก็ใช้เวลาอยู่นานกว่าอีกฝ่ายจะเงยหน้าขึ้นมา นัยน์ตาเรียวคมของหญิงสาวทอดมองกลับมาอย่างมีคำถาม “ถึงคุณจะเก่งแค่ไหน แต่ไม่จำเป็นต้องฝืนกับทุกๆ อย่างนะครับ” 

               ดวงตาของคนตรงหน้าเบิกกว้างขึ้นเล็กน้อย นัยน์ตาสะท้อนความรู้สึกหลากหลาย เสี้ยวหนึ่งที่พสุเห็นความอ่อนแอที่เผยออกมาพร้อมกับที่ริมฝีปากยกขึ้นเป็นรอยยิ้มน้อยๆ แต่เพียงแค่เสี้ยววินาทีสั้นๆ รอยยิ้มที่ว่านั้นก็พลันหายไป นักศึกษาสาวหลุบตาลง เมื่อเงยหน้าขึ้นมาเผชิญหน้าเขาอีกครั้งก็ไม่มีร่องรอยความหวั่นไหวใดๆ ให้เห็นอีก

               “ไม่แปลกเลยนะคะที่ใครต่อใครก็ยกย่องให้คุณเป็นเจ้าชายในฝัน”

ณิสรินทร์พูดพลางขำ นึกขึ้นได้ว่าตั้งแต่เข้าเรียนชั้นปีที่หนึ่ง ในวันปฐมนิเทศที่พสุได้เข้ามาเยี่ยมเยียนทักทายน้องๆ หน้าใหม่ เขาก็กลายเป็นขวัญใจของสาวๆ รุ่นน้องไปแล้วหลายคน พอมาได้สัมผัสด้านที่เป็น ‘สุภาพบุรุษ’ ที่แสนจะน่ายกย่องนี้แล้ว รอยยิ้มประชดประชันก็ค่อยๆ ปรากฏบนใบหน้าพร้อมกับเสียงเยาะในลำคอเบาๆ โดยที่ไม่ทันรู้ตัว

“จะฉันหรือคุณก็มีชีวิตไม่เหมือนกัน ฝืนธรรมชาติของตัวเองหรือไม่ก็มีแค่เจ้าตัวที่รู้ แต่ก็ขอบคุณนะคะที่ถาม เรื่องวันนี้คุณมารับเคราะห์แทน ฉันก็ควรเป็นฝ่ายขอบคุณและรับผิดชอบ”

ไม่รู้ว่าเพราะอะไร พสุถึงสัมผัสได้ว่ากำแพงทิฐิอันสูงใหญ่ของหญิงสาวค่อยๆ สูงขึ้นทีละนิด ก่อนจะตั้งตระหง่านกั้นเธอกับทุกคนรวมถึงตัวเขาเองเอาไว้

“ถ้าคุณเจอฉันในสถานการณ์แบบนี้อีก ถือว่าฉันขอก็แล้วกันนะคะ” ครั้งนี้ณิสรินทร์หันมาสบตาเอ่ยอย่างจริงจัง น้ำเสียงก็หนักแน่นและแข็งกร้าวกว่าครั้งไหนๆ “ฉันอยากขอให้คุณเดินหนีไปให้ไกล ทำเหมือนว่าเราไม่รู้จักกันได้ยิ่งดี”

บรรยากาศอ่อนหวานอ้อยอิ่งก่อนหน้านี้หายวับไปกับตา สีหน้าและคำพูดเย็นชาตัดรอนน้ำใจยิ่งชวนให้น่าอึดอัดใจ จนแม้แต่รอยยิ้มบางๆ บนใบหน้าของพสุก็ไม่อาจรักษาไว้ได้อีก 

“ทำไมล่ะ”

ครั้งนี้ณิสรินทร์หันหลังกลับไปปิดกล่องเก็บอุปกรณ์ทำแผลของตัวเอง ชายหนุ่มจึงเห็นได้เพียงแผ่นหลังบอบบางที่พยายามเหยียดตรงอย่างโดดเดี่ยวของอีกฝ่าย 

ความเงียบที่เกิดขึ้นชั่วขณะไม่ใช่คำตอบที่พสุต้องการ เขาลุกขึ้นขยับเข้าไปใกล้ร่างเล็ก จับท่อนแขนหญิงสาวอย่างอ่อนโยน อยากรู้นักว่าสีหน้าและแววตายามที่เอ่ยคำเย็นชาเหล่านี้เป็นอย่างไร 

“บอกเหตุผลที่เหมาะสมกับผมสิ ว่าทำไมผมต้องทำแบบนั้น” 

หญิงสาวไม่ตอบ ทั้งยังหลุบตาไม่ยอมเงยหน้าขึ้นมาสบตาตรงๆ แรงต่อต้านที่พยายามจะดึงรั้งท่อนแขนของตัวเองกลับไปย่อมเป็นการบอกปัดกลายๆ พสุเหมือนจะเข้าใจและไม่เข้าใจ แต่ท้ายที่สุดแล้วเขาก็ไม่คิดจะยอมแพ้แค่ตรงนี้ 

“ณิสรินทร์ ถ้าคุณไม่ให้เหตุผลดีๆ แก่ผม ผมก็จะไม่ปล่อยคุณ คุณอยากอยู่แบบนี้ต่อไปก็ได้ ผมไม่ถืออยู่แล้ว”

คำพูดที่เหมือนเป็นการยั่วยุนี้ไม่ทำให้ร่างเล็กเล่นไปตามเกม นักศึกษาสาวตรงหน้ายังคงดื้อแพ่งพยายามต่อต้านด้วยภาษากาย สุดท้ายพสุถึงได้ใช้ไม้ตาย แค่เขาขยับตัวเล็กน้อยก็สามารถรวบตัวคนตรงหน้าขึ้นมาได้ภายในคราวเดียว 

เสียงอุทานด้วยความตกใจหลุดรอดผ่านริมฝีปากอิ่ม ทิวทัศน์โลกทั้งใบของหญิงสาวพลิกกลับไปชั่วขณะ กระทั่งทรงตัวได้แล้วถึงพบว่าถูกอาจารย์หนุ่มยกขึ้นสูง โอบสะโพกไว้ให้เธอนั่งบนท่อนแขนของเขา แขนทั้งสองข้างของตนวางอยู่บนไหล่กว้าง หากเธอก้มหน้าลงก็จะเจอใบหน้าของชายหนุ่มได้ในระยะประชิดทันที 

ณิสรินทร์เบิกตากว้าง โวยวายเสียงหลง 

“คุณ! ทำอะไร ปล่อยฉันลงเดี๋ยวนี้นะ”

แต่พอขยับตัวจะหนีให้พ้นจากคนตรงหน้า ร่างกายก็เสียศูนย์จนเสียววูบ กลัวว่าจะหล่นไปแวบหนึ่งจนต้องเอนตัวกลับมาเกาะไหล่อีกฝ่ายแน่น ถลึงตาใส่เขาอย่างรวดเร็ว

“เขาว่าเด็กๆ ชอบที่สูงไม่ใช่เหรอครับ โดยเฉพาะเด็กดื้อน่ะ”

“ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้นะ”

“ไม่ครับ จนกว่าคุณจะบอกเหตุผลดีๆ กับผมก่อน”

สีหน้าขี้เล่นแปรเปลี่ยนเป็นจริงจังขึ้นมากะทันหันจนเธอตั้งตัวไม่ทัน ณิสรินทร์อึดอัดใจขึ้นมาเมื่อต้องเผชิญหน้ากับการถูกบังคับให้ตอบแบบนี้เป็นครั้งแรก สุดท้ายก็ได้แต่กัดฟันตอบเขาไปส่งๆ หวังให้ร่างสูงโปร่งปล่อยเธอเป็นอิสระเสียที

“จริงๆ เรื่องของฉันก็ไม่เกี่ยวข้องกับคุณอยู่แล้ว คุณไม่ต้องมายุ่งมันก็สมควรไม่ใช่เหรอคะ”

“แล้วถ้าผมอยากยุ่งล่ะ”

“เอ๊ะ!”

ณิสรินทร์ก้มมองคนตรงหน้าด้วยความขัดใจ คำตอบและรอยยิ้มแพรวพราวตรงหน้าทำให้เธอไปไม่เป็นไปชั่วขณะ ไม่รู้ตัวเลยว่ามือที่เกาะไหล่กว้างไว้ค่อยๆ กำเข้าหากันจนเสื้อเชิ้ตของชายหนุ่มยับยู่ยี่ สำหรับพสุที่รู้ตัวอยู่แล้วก็ยิ่งไม่ถือสา กลับกันเขากระชับอ้อมแขนแล้วพูดต่ออย่างไม่หวั่นเกรง 

“ถ้าผมอยากจะมีส่วนร่วมด้วยจริงๆ แบบนี้คุณจะทำยังไงครับ”

คำพูดนี้ทำให้สมองของหญิงสาวว่างเปล่า คำพูดทั้งหลายที่อยากจะปฏิเสธไล่คนตรงหน้าไปให้ไกลติดอยู่ในลำคอและปลายลิ้น เธอมองใบหน้าของอีกฝ่ายให้ชัดก็ไม่พบแววล้อเล่น

“ผมรู้ว่าคุณไม่ต้องการความช่วยเหลือจากใครเลย” 

น้ำเสียงของชายหนุ่มอ่อนหวานคล้ายกำลังขับกล่อมและปลอบโยนไปในคราวเดียวกัน พสุค่อยๆ วางเธอลงบนเตียง ส่วนตัวเขาก็ขยับถอยออกมา รักษาระยะห่างระหว่างกันอย่างสุภาพ หัวใจที่แกว่งขึ้นสูงเพราะความไม่คุ้นชินจึงค่อยๆ ลอยกลับลงมาที่เดิม ขณะเดียวกันก็สัมผัสได้ว่าผู้ชายคนนี้ไม่มีเจตนาจะฉวยโอกาสจากเธอเลยสักครั้ง

“คุณคงรู้ดีแก่ใจว่าพวกเขาคงไม่หยุดแค่นี้ใช่ไหม คุณจะจัดการทั้งหมดนี้ด้วยตัวเองจริงๆ เหรอครับ”

ณิสรินทร์เม้มปาก ไม่เข้าใจตัวเองเช่นกันว่าทำไมแค่การปฏิเสธคนตรงหน้าไปให้เหมือนครั้งก่อนถึงเป็นเรื่องยากขึ้นมากะทันหัน 

“ฉันดูแลตัวเองได้ คุณ...”

พอคิดจะปฏิเสธชายหนุ่มตรงหน้าให้เด็ดขาด ท้ายที่สุดก็เป็นเธอเองที่ถูกเขาต้อนจนไร้คำพูดอีกครั้ง

“ผมอยากรู้จักคุณมากกว่านี้ พอจะให้โอกาสผมได้ไหมครับ...รูท”

               

“ตัดสินใจดีแล้วใช่ไหม” อาจารย์เสกสรรมองหน้าศิษย์เก่าที่เป็นที่รักและที่เคารพของทั้งอาจารย์ในคณะและรุ่นน้องอย่างพสุเงียบๆ ในใจนึกเสียดายขึ้นมากับการตัดสินใจของอีกฝ่าย

               “ครับอาจารย์ ผมทบทวนดูแล้ว มีอีกหลายเรื่องที่ผมยังไม่อยากตัดใจง่ายๆ เพราะแบบนี้ถ้าจะให้ผมเข้ามาสอนน้องๆ ด้วยความรู้สึกครึ่งๆ กลางๆ ไม่เต็มที่แล้ว ผมก็คงเอาเปรียบพวกเขาเกินไป”

               อาจารย์อาวุโสยกถ้วยชาขึ้นจิบเบาๆ ไอควันกรุ่นๆ จากผิวน้ำทำให้ช่วงวินาทีหนึ่งเขาเห็นใบหน้าลูกศิษย์หนุ่มเลือนรางไปชั่วขณะ แต่เมื่อวางถ้วยชาลงบนโต๊ะและมองสีหน้าแน่วแน่ตั้งใจของอีกฝ่ายแล้ว ตนก็ต้องเป็นฝ่ายถอนหายใจแทน 

               “อาจารย์เข้าใจแล้ว ถึงจะเสียดายแทนเด็กๆ เทอมหน้าที่จะไม่มีโอกาสเรียนรู้จากรัก แต่ถ้ารักมีสิ่งที่ตั้งใจอยากทำให้สำเร็จ อาจารย์ก็อวยพรให้รักโชคดีนะ”

               “ขอบคุณครับอาจารย์” ชายหนุ่มยิ้มสุภาพ ต่อมาก็พูดสรุปสั้นๆ อีกครั้ง “คลาสที่ผมดูอยู่ตอนนี้ก็มีเซลฟ์กับอะนาโตมีที่ผมช่วยอาจารย์ริสา ผลประเมินการเรียนทั้งสองวิชานี้ผมจะส่งให้ตอนสรุปงานคะแนนไฟนัลเด็กๆ นะครับ”

               อาจารย์เสกสรรไม่ตอบ เพียงพยักหน้าเป็นเชิงว่ารับรู้แล้ว พสุจึงระบายยิ้มอย่างสบายใจ กระทั่งเห็นเอกสารของนักศึกษาประจำสาขาวางอยู่บนโต๊ะทำงานของเจ้าของห้อง ชายหนุ่มก็เลิกคิ้ว ซึ่งปฏิกิริยาเล็กๆ น้อยๆ นี้ก็หนีไม่พ้นสายตาของอีกคน

               “พวกนี้เป็นเอกสารนักศึกษาทุนของสาขาเราทั้งนั้น อาจารย์กำลังเตรียมรวมเอกสารชั่วโมงทุนกับผลการเรียนให้ทางมหา’ลัย ก็เป็นตามขั้นตอนปกติ มีอะไรหรือเปล่า”

               “อ๋อ เปล่าครับ พอดีเห็นแล้วผมนึกขึ้นได้ว่าที่สาขามีรุ่นน้องเป็นนักศึกษาทุนอยู่หลายคน”

               พอพูดขึ้นแล้วอาจารย์เสกสรรก็พยักหน้า แล้วก็เอ่ยถึงบางคนขึ้นมา ไม่ว่าจะเป็นความบังเอิญหรือความตั้งใจ เจ้าของชื่อนี้ก็สะดุดใจคนฟังเป็นอย่างมาก 

               “พูดแล้วก็นึกถึงณิสรินทร์ขึ้นมาเลย”

               พสุยังคงรักษาความนิ่งสงบและคำพูดของตนได้เป็นอย่างดี เขายกถ้วยชาที่อยู่ตรงหน้าขึ้นมาจิบบ้างขณะรออาจารย์หัวหน้าสาขาพูดต่อ 

               “เธอเป็นนักศึกษาที่มีแววไปไกลมากเลยละ ยิ่งมองเธอยิ่งเหมือนเห็นรักสมัยก่อน”

ครั้งนี้พสุยิ้มบางๆ ความรู้สึกอุ่นวาบระคนภูมิใจผุดขึ้นในใจเป็นระลอกคลื่น 

               “เธอเก่งครับ”

ดวงตาคมหลุบมองผิวน้ำของชาในถ้วย ทำให้เห็นภาพสะท้อนดวงตาที่โค้งลงเล็กน้อยด้วยความพอใจของตน 

               “ที่จริงอาจารย์ว่าจะชวนเธอลงประกวดประจำคณะอยู่ ไม่รู้ว่าเจ้าตัวเขาจะอยากเข้าร่วมไหม”

               พออาจารย์เสกสรรพูดถึงการประกวดประจำคณะขึ้นมา พสุก็ครางรับเบาๆ ในลำคอ การประกวดนี้จัดขึ้นภายในคณะ โดยมีข้อกำหนดว่าบุคลากรหรือนักศึกษาชั้นปีสามขึ้นไปที่อยู่สาขาไหนก็ตามสามารถส่งผลงานเข้าประกวดได้ โดยจะแบ่งรางวัลตามประเภทของผลงาน ตั้งแต่ผลงานกราฟิก ภาพประกอบ แอนิเมชัน-ภาพยนตร์เรื่องสั้น และภาพพิมพ์ ซึ่งแต่ละประเภทจะมีรางวัลมอบให้ ตอนที่พสุเรียนอยู่เขาก็เคยได้รับรางวัลชนะเลิศจากการประกวดนี้เช่นกัน 

               ข้อดีจากการประกวดนอกจากรางวัลแล้ว การประกวดครั้งนี้ยังเป็นพื้นที่ให้แมวมองหรือรุ่นพี่และผู้ที่สนใจงานสายศิลปะเข้ามาดูผลงานของอาจารย์และนักศึกษา สำหรับกลุ่มนักศึกษาปีสี่ นี่เป็นอีกหนทางที่ช่วยเผยแพร่ผลงานของตัวเองให้เป็นที่รู้จัก หากโชคดีหน่อยพวกเขาอาจจะได้รับการติดต่อเข้าทำงานจากการประกวดครั้งนี้ 

               “ก็ดีนะครับ ผมว่าปีนี้น้องๆ หลายคนคงสนใจ”

               “แล้วรักไม่ลงสักหน่อยล่ะ ไม่ได้เห็นงานเรามาหลายปี เดี๋ยวนี้ฝีมือคงพัฒนาไปไกลแล้วสินะ”

               เมื่อถูกถาม พสุก็ชะงักไปเล็กน้อย เพราะไม่รู้ว่าจะตอบอย่างไร ในเมื่อเขาเองก็ไม่ได้มีผลงานวาดรูปออกมานานแล้ว แต่เพื่อไม่ให้เสียน้ำใจผู้อาวุโสกว่า ชายหนุ่มจึงยิ้มจางๆ แล้วตอบอย่างแบ่งรับแบ่งสู้แทน

               “ผมยังไม่แน่ใจครับ เปลี่ยนเป็นผู้ชมกับเขาบ้างก็น่าจะดีเหมือนกัน”

               คนฟังถอนหายใจก่อนพึมพำเสียงเบา แต่ก็ดังมากพอที่พสุจะได้ยิน

               “ถึงจะเป็นอาจารย์พิเศษแต่ก็ใช่ว่าจะลงประกวดไม่ได้ เอาเถอะๆ เรื่องนี้อาจารย์บังคับใครได้ที่ไหนล่ะ”

               พออาจารย์ที่เขาเคารพพูดขึ้นแบบนี้แล้ว พสุก็ได้แต่อมยิ้ม ยกถ้วยชาขึ้นจิบเบาๆ เป็นเชิงรู้กันสองคนว่าถ้าพสุตัดสินใจแล้วก็ไม่คิดจะเปลี่ยนใจแน่นอน 

               กระทั่งเสียงเคาะประตูห้องของอาจารย์เสกสรรดังขึ้น เจ้าของห้องก็เหลือบมองไปทางประตูพลางเอ่ยอนุญาตให้อีกฝ่ายเข้ามา 

               “ขออนุญาตค่ะ อาจารย์เสก”

               เสียงนุ่มติดจะเรียบนิ่งของคนพูด ต่อให้พสุไม่ได้เหลือบตามองก็รู้ได้ทันทีว่าอีกฝ่ายเป็นใคร ทันทีที่ณิสรินทร์ขยับตัวพ้นจากประตู พวกเขาก็ต่างเห็นกันและกันได้เต็มตา ใบหน้าของหญิงสาวนิ่งชะงัก สีหน้ามีร่องรอยของความคาดไม่ถึง 

               “ณิสรินทร์ อาจารย์มีเรื่องอยากพูดคุยกับคุณพอดี นั่งก่อนๆ”

ได้ยินเสียงอาจารย์เรียก เจ้าของชื่อก็ได้สติ เดิมทีวันนี้เธอก็ไม่ได้มีคาบเรียนหรือธุระที่ไหน ที่แวะเข้ามาที่คณะก็เพียงเพราะถูกอาจารย์หัวหน้าสาขาเรียกหา แต่ไม่คิดเลยว่านอกจากอาจารย์เสกสรร ภายในห้องนี้จะมีคนอื่นอยู่ด้วย

               ถึงอาจารย์หัวหน้าสาขาจะเชื้อเชิญให้ตนนั่งลงแล้ว ทว่าณิสรินทร์ยังยืนนิ่งพลางมองอาจารย์พิเศษอย่างพสุด้วยความประหลาดใจระคนกังขา หากว่าเป็นเรื่องที่จะคุยกับเธอแล้วทำไมเขาถึงได้ยังอยู่ที่นี่ ไม่จากไปเสียที ถึงเขาจะขยับแบ่งเก้าอี้ให้แล้วก็ตาม แต่เธอก็ยังไม่นั่งลงในทันที สายตามองที่นั่งตรงหน้าอย่างประเมินสลับกับใบหน้าชายหนุ่ม แต่ใครจะรู้ว่าท่าทีระแวดระวังเช่นนี้จะเป็นท่าทางของรุ่นน้องผู้เขินอายในสายตาอาจารย์อาวุโสไปได้ 

               “ไม่ต้องเขินหรอก เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องใหญ่ ยังไงพี่รักของคุณก็ต้องรับรู้ อาจารย์กำลังปรึกษากับเขาพอดี”

               ณิสรินทร์ถอนสายตาออกจากชายหนุ่มอย่างรวดเร็วเมื่อได้ยินประโยคดังกล่าว ถึงจะเข้าใจว่า ‘พี่รักของคุณ’ ที่อาจารย์เสกสรรพูดหมายถึง ‘พี่รัก’ ที่เป็น ‘รุ่นพี่’ ของ ‘พวกเธอ’ ก็ตามที แต่เมื่อสัมผัสได้ถึงประกายในแววตาชายหนุ่มที่กำลังแอบมองตัวเธออยู่ตอนนี้ ณิสรินทร์ก็อยากจะรีบแก้ต่างขึ้นมา

               “อาจารย์คะ คือ...”

               “นั่งได้เลยนะ” 

เมื่อประโยคที่เธอต้องการพูดโดนบางคนพูดตัดบทอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาว หญิงสาวก็หันขวับไปมองชายหนุ่มอีกคนในห้องอีกครั้ง นอกจากประกายเจิดจ้าแล้ว ณิสรินทร์ยังสังเกตเห็นรอยยิ้มพึงพอใจของเขา โดยเฉพาะท่าทางราวกับได้เป็นเจ้าของโลกใบนี้ของเขาทำให้เธอนึกหมั่นไส้ แต่ด้วยติดที่อยู่ต่อหน้าอาจารย์ผู้อาวุโส จึงทำได้เพียงข่มอารมณ์ที่กำลังปะทุลงแล้วยอมนั่งลงแต่โดยดีเพื่อไม่ให้เสียมารยาทต่อหน้าผู้ใหญ่

               “อาจารย์มีอะไรหรือเปล่าคะ”

               “อืม ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร เห็นว่าอีกไม่ถึงสองเดือนก็จะจบเทอมแรกแล้ว พอเข้าเทอมสองพวกคุณก็คงยุ่งกับการทำตัวจบ ประมาณเดือนหน้าที่คณะจะมีการส่งผลงานประกวด อาจารย์เห็นว่าคุณก็มีแววไม่น้อย เลยอยากเรียกมาถามว่าคุณสนใจอยากลงประกวดด้วยไหม”

               อาจารย์เสกสรรมองหน้านักศึกษาสาวอย่างใจเย็น ขณะเดียวกันก็หยิบถ้วยชาขึ้นมาจิบคั่นจังหวะพูด 

               “คุณมีแววตั้งแต่เข้ามาใหม่ๆ อย่างน้อยในการประกวดนี้ ถ้าโชคดีหน่อยคุณอาจจะได้ข้อเสนอดีๆ เข้าทำงานด้วยนะ จะได้หมดเรื่องกังวลใจไปบ้าง”

คำพูดและความปรารถนาดีของอาจารย์ตรงหน้า ณิสรินทร์ย่อมรับรู้ได้ในทันที เพราะเรื่องสถานการณ์การเงินของตัวเองก็มีอาจารย์อาวุโสตรงหน้าที่เข้าใจว่าเธอไม่ได้รับการสนับสนุนจากครอบครัว 

               “ขอบคุณค่ะ หนูจะไตร่ตรองอย่างดีค่ะ”

               คนเป็นอาจารย์พยักหน้าอย่างพอใจ จากนั้นก็ไม่ลืมหยิบเอกสารที่เกี่ยวข้องกับการประกวดส่งให้นักศึกษาสาวตรงหน้า 

“นี่เป็นรายละเอียดของหัวข้อและเกณฑ์การส่งผลงานเข้าประกวดในปีนี้นะ”

               “ขอบคุณมากค่ะ” ณิสรินทร์รับเอกสารชุดนั้นมา ยังไม่ทันได้ก้มอ่านรายละเอียดบางส่วนที่เขียนอยู่ด้านหน้า เสียงของอาจารย์เสกสรรก็ดังขึ้นอีกครั้ง

               “ถ้าคุณมีปัญหาตรงไหนถามรักได้เลย เขาเคยเข้าประกวดมาก่อน”

               “ค่ะ” ณิสรินทร์รับปากทั้งๆ ที่ไม่ได้คิดจริงจังตามที่อาจารย์พูด สำหรับเธอแล้ว ชื่อของพสุหรืออะไรที่เกี่ยวข้องกับเขาเป็นเหมือนปริศนาที่มองไม่เห็น และเธอไม่ต้องการพาตัวเข้าไปสู่ความวุ่นวายเหล่านั้น 

               “อืม จะว่าไป ผลประเมินในคาบเรียนเซลฟ์ของคุณดูเหมือนจะติดปัญหาเรื่องการตีความอยู่นิดหน่อยนะ แต่ไม่ต้องกังวลมากหรอก ค่อยๆ ปรับไป ถ้ารักแนะนำอะไรคุณก็ลองนำไปใช้ดู คุณเป็นคนมีฝีมือ อาจารย์หวังว่าจะได้เห็นงานดีๆ ของคุณอีกนะ”

               “ขอบคุณอาจารย์มากค่ะ”

               ณิสรินทร์อยู่ฟังอาจารย์เสกสรรแนะนำเรื่องการประกวดวาดรูปอีกสักพัก หลังจากนั้นอาจารย์หัวหน้าสาขาวิชาก็เอ่ยปากเป็นสัญญาณ พสุกับณิสรินทร์ต่างเข้าใจความหมายที่ซ่อนอยู่ได้ไม่ยาก เมื่อธุระที่ต้องพูดคุยจบแล้ว ทั้งคู่ก็ลุกขึ้นขออนุญาตจากมาเงียบๆ 

               ทันทีที่ประตูห้องของอาจารย์หัวหน้าสาขาปิดลง ณิสรินทร์ก็หมุนตัวเดินหนีไปอีกทาง แสร้งทำเป็นไม่ได้ยินเสียงเรียกของชายหนุ่ม 

               “ณิสรินทร์”

               หญิงสาวก้าวฉับๆ ไม่สนใจเสียงเรียกของอาจารย์พิเศษ หนำซ้ำยังเร่งฝีเท้าเร็วขึ้น

               “รูทครับ”

               ทว่าเสียงเรียกขานที่เปลี่ยนไปทำให้เจ้าตัวชะงัก รีบหันขวับไปถลึงตาใส่อีกฝ่าย ส่วนคนโดนค้อนกลับยิ้ม เมื่อเห็นหญิงสาวหยุดเท้าเขาถึงได้ก้าวเข้ามาประชิดคนตัวเล็กกว่า

               “ไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นใช่ไหมครับ”

               “เมื่อครู่นี้คุณเรียกฉันว่าอะไรนะคะ”

               “หืม? รูทไงครับ”

               “ฉันยังไม่ได้บอกเลยนะคะว่าให้คุณเรียกแบบนั้น”

               “ผมเรียกไม่ได้เหรอครับ”

               คำถามนี้ทำให้หญิงสาวขมวดคิ้ว 

               “ฉันไม่ได้อนุญาตนะคะ กรุณาเรียกให้ถูกด้วยค่ะ”

               “ผมนึกว่าคุณอนุญาตแล้วตั้งแต่วันนั้น”

               ความทรงจำภายในห้องพักของเธอฉายวนเข้ามาในหัวอีกหนึ่งรอบ พวงแก้มที่ไร้การแต่งแต้มเครื่องสำอางขึ้นสีชมพูจางๆ อย่างควบคุมไม่อยู่ พสุอดโน้มตัวลงไปเย้าแหย่ร่างเล็กไม่ได้

               “นึกออกแล้วใช่ไหมครับ”

               มีหรือที่เจ้าเม่นตัวน้อยจะยอมอยู่เฉย ณิสรินทร์ขู่พองขน ดวงตาหงส์วาววับราวกับว่าหากเขาพูดจาไม่เข้าหูเธออีกครั้งแล้วละก็...หนามแหลมๆ ของตนจะพุ่งใส่เขาทันที 

               “คุณคิดเองเออเองทั้งนั้น” ณิสรินทร์กดเสียงต่ำ ตัดสินใจแล้วว่าจะไม่เสียเวลากับผู้ชายคนนี้อีก เธอหันหลังเตรียมเร่งฝีเท้าออกไปให้ไกล แต่ก็ยังคงได้ยินเสียงฝีเท้าของเขาที่ดังไล่หลัง 

               “ไม่ถามถึงแผลของผมหน่อยเหรอครับ”

               พออีกฝ่ายพูดเรื่องนี้ขึ้นมาแล้ว ณิสรินทร์ถึงได้ยอมหยุดเดินและหันกลับไปเผชิญหน้ากับร่างสูง กวาดตามองใบหน้าของชายหนุ่มอย่างละเอียดอีกครั้ง...แม้ว่าเธอจะแอบสำรวจรอยแผลเขาเงียบๆ ตั้งแต่เห็นเขาในห้องพักอาจารย์แล้วก็ตาม เมื่อเห็นว่ารอยแผลสมาน ไม่ทิ้งแม้แต่รอยสะเก็ดแบบนี้ชัดๆ เธอก็เบาใจ

               ณิสรินทร์แสร้งทำเป็นสำรวจใบหน้าของชายหนุ่มอีกครั้ง ทันใดนั้นก็เข้าใจแล้วว่าทำไมถึงได้ยินเพื่อนๆ หรือรุ่นพี่รุ่นน้องสาวส่วนใหญ่ยกให้คนตรงหน้าเธอนี้เป็นที่หนึ่งของสาขา ใบหน้าของชายหนุ่มคมเข้มทุกสัดส่วน ไล่ตั้งแต่คิ้วโค้งเข้ม ดวงตาของเขาเป็นทรงยาว หัวตาแหลม เห็นตาสองชั้นชัดเจน เมื่อรวมกับหางตาที่โค้งลงมาเล็กน้อยก็ทำให้ดวงตาคู่นี้ดูอ่อนช้อย ยามยิ้มก็ดูอ่อนโยน ขณะเดียวกันก็ดูเย้ายวนอย่างเป็นธรรมชาติ ขนตายาวของชายหนุ่มเรียงเป็นแพสวยขนาดที่ผู้หญิงบางคนต้องอิจฉา จมูกโด่งเป็นสัน ปลายเชิด เมื่อรวมกับริมฝีปากเรียวบางได้รูปก็ยิ่งส่งเสริมให้องค์ประกอบบนใบหน้าของพสุสะกดสายตาผู้พบเห็นได้ไม่ยาก ไหนจะบุคลิกที่ดูอบอุ่นเป็นกันเองและเข้าถึงง่าย ณิสรินทร์ไม่แปลกใจเลยที่เขาจะเป็นที่นิยมชมชอบมากขนาดนี้ 

               “มองนานกว่านี้ผมจะเรียกให้รับผิดชอบแล้วนะ”

ได้ยินคำพูดเย้าแหย่จากปากชายหนุ่ม เธอก็ชะงัก ภาพอันงดงามถูกทำลายป่นปี้ไม่เหลือชิ้นดี ดูเหมือนว่าคนที่หลงใหลภาพลักษณ์ของอาจารย์หนุ่มจะไม่รู้เสียแล้วว่าแท้จริงผู้ชายคนนี้เหมือนจิ้งจอกเจ้าเล่ห์ไม่มีผิด 

ณิสรินทร์กระแอมกระไอในลำคอเบาๆ ก่อนจะปรายตามองเขาเร็วๆ อีกครั้ง เมื่อเห็นว่าพสุดูแข็งแรงสบายดี ในใจก็พลันเบาโปร่งโล่งสบายขึ้นมา

               “ดูท่าทางสบายดีนะคะ หรือว่าคุณจะมาขอค่ารักษาพยาบาลจากฉันกัน”

               “เปล่าครับ” พสุส่ายหน้า 

               “ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ฉันขอตัวก็แล้วกันค่ะ” 

หญิงสาวไม่รอให้อาจารย์หนุ่มตอบ เตรียมจะหมุนตัวจากไป แต่ถูกคนข้างหลังรั้งเอาไว้อีกครั้ง เพียงแต่คราวนี้เขาขยับฝีเท้าก้าวขึ้นมาเกาะกุมข้อมือเธอไว้หลวมๆ แทน

               “เดี๋ยวก่อนครับ”

               ณิสรินทร์หันมาเลิกคิ้วมองเป็นเชิงถาม สายตาดุๆ ที่จ้องมองมือของชายหนุ่มทำให้เขาหัวเราะเบาๆ ก่อนปล่อยข้อมือเธออย่างนุ่มนวล 

               “อะไรคะ”

               “คุณยังไม่ได้ตอบคำถามผมเลยนะครับ ว่าตกลงตั้งแต่วันนั้นก็ไม่มีเรื่องอะไรใช่ไหม”

               “ไม่ค่ะ” หญิงสาวตอบตามจริง หลังจากได้เงินไปจำนวนหนึ่ง ถึงจะไม่มาก แต่ลลิตากับศิรชัชก็ไม่มาวุ่นวายอีก พวกเขาเงียบหายไปราวกับตัวเธอไม่มีความสำคัญใดๆ อีก “ทุกอย่างปกติดีค่ะ”

               “ดีแล้วครับ ถ้าเกิดอะไรขึ้น คุณรู้ใช่ไหมครับว่าคุณพึ่งผมได้”

               ความหมายของคำพูดนี้ณิสรินทร์เข้าใจดี เย็นวันนั้นที่ห้องพักของเธอ นอกจากพสุจะทิ้งคำพูดที่ชวนให้หัวใจของเธอสั่นไหวแล้ว เขายังทิ้งหมายเลขโทรศัพท์ของตัวเองไว้ให้ พลางเอ่ยย้ำอย่างหนักแน่นให้เธอบันทึกเบอร์ของเขาไว้ แต่จนถึงตอนนี้ณิสรินทร์ก็ยังไม่ได้เพิ่มหมายเลขของอีกฝ่ายเสียที

               “คุณยังมีอะไรหรือเปล่าคะ ฉันมีธุระต้องไปแล้ว”

               “อย่างนั้นเหรอครับ” ใบหน้าของพสุประดับรอยยิ้มจางๆ ที่มุมปาก ดูเหมือนไม่คิดจะรั้งเธอไว้อีก แต่ชายหนุ่มก็ไม่ลืมกำชับเธออีกครั้ง น้ำเสียงเวลาพูดก็เจือความเป็นห่วงอย่างชัดเจน 

               “คุณไปทำธุระเถอะ ถ้าคิดถึงผมเมื่อไหร่ก็โทร. มาได้นะครับ”

ประโยคในตอนท้ายทำเอาหัวใจของเธอไหววูบ แต่ณิสรินทร์ก็ยังคงรักษาความนิ่งสงบบนใบหน้าเอาไว้ได้ เธอขยับตัวเดินเลี่ยงไปอีกทาง ไม่สนใจเลยว่าแผ่นหลังของตนจะมีใครจับจ้องตามมาบ้าง

               วินาทีนี้เธอต้องตั้งสติให้ได้ ต้องเว้นระยะห่างจากผู้ชายคนนี้ให้มากที่สุด ทั้งหมดนี้หวังเพียงว่าทุกอย่าง...ไม่ว่าจะเป็นเป้าหมาย ความคิด รวมถึงหัวใจตัวเอง...จะกลับไปนิ่งสงบได้ดังเดิม


 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น