6

บทที่ 5


 

บทที่ ๕

นายหญิง’ ของไร่ภูคีรีต้องเสมองไปทางอื่นเมื่อไม่สามารถสบตากับดวงตาคมเป็นประกายนั่น หล่อนไม่เคยรู้ว่าคนท่าทางดุ สีหน้าเรียบเฉยตลอดเวลา จะสามารถพูดอะไรให้หล่อนรู้สึกใจไหวสั่นได้ขนาดนี้

“ว่าไง...” เสียงทุ้มยังดังมาตามหลัง

เท้าที่ก้าวเร็วๆ ชะงัก ก่อนเจ้าตัวจะหันไปถาม

“ว่าไงอะไรคะ”

“เธอยินดีที่จะเรียนรู้ให้สมกับเป็นนายหญิงของไร่ภูคีรีหรือเปล่าหนูดี” หางเสียงทอดอ่อน

“ค่ะ คุณภู หนูดีจะพยายามเรียนรู้ จะทำให้ดีที่สุด” หล่อนตอบเขา

หญิงสาวให้สัญญาแก่เขาและตัวเองไปพร้อมๆ กัน ตอนนี้เมื่อไม่มีพ่อ ชีวิตหล่อนก็เหลือแต่เขาและไร่ภูคีรีเท่านั้น หากเขารวมหล่อนเป็นส่วนหนึ่งของไร่ที่นี่ หล่อนก็จะตอบแทนเขา ตอบแทนไร่แห่งนี้ที่เป็น บ้าน มาตั้งแต่วันแรกที่ลืมตาดูโลก หากมีอะไรที่หล่อนพอจะทำได้เพื่อช่วยเขา เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการทำให้ไร่แห่งนี้เจริญก้าวหน้าต่อไป หล่อนก็จะทำ

ใบหน้าที่ปกติเรียบเฉยดูละมุนลง ดูเหมือนเขาจะพอใจในคำตอบของหล่อน แต่เขาไม่รู้ว่าคนพูดตั้งใจจริงจังมากกว่าแค่คำพูดไม่กี่คำแค่ไหน เขาไม่รู้...แต่หล่อนจะแสดงให้เขาเห็น

เมื่อเดินไปถึงแปลงกุหลาบที่ออกดอกสีแดงเบอร์กันดี ชายหนุ่มก็เดินไปยังต้นกุหลาบแล้วตัดดอกไม้มาอีกจำนวนหนึ่ง

“แองเจิลเฟซ” เขาบอกขณะยื่นกุหลาบให้หล่อนทั้งกำ “กลิ่นไม่หอมแรงเหมือนมาดามปล็องติเยร์ แต่เราปรับกลีบให้หนาและแข็งแรงขึ้น ไม่ช้ำง่าย และอยู่ได้นาน”

ยิหวายกดอกไม้ขึ้นดมโดยไม่ต้องรอให้เขาบอก กลิ่นหอมอวลๆ แบบเฉพาะของกุหลาบลอยกรุ่นเข้าจมูก เป็นกลิ่นหอมอ่อนๆ คนละแบบกับมาดามปล็องติเยร์ในมือ และใกล้เคียงกับกลิ่นกายของเขามากกว่า

“เดี๋ยวก็ต้องสกัดน้ำมันหอมแล้ว ทำไมต้องทำให้กลีบดอกหนาและทนล่ะคะ” หล่อนถาม

ลักษณะกลีบดอกของกุหลาบสองพันธุ์มีความแตกต่างอย่างเห็นได้ชัด มาดามปล็องติเยร์มีกลีบบางๆ ซ้อนกันหนา ในขณะที่แองเจิลเฟซมีกลีบดอกหนาอัดแน่น ดูเหมาะกับการจัดเข้าช่อมากกว่า

“ก็ใครว่าจะสกัดน้ำมันล่ะ” เขาถาม สีหน้าละมุน เขาดูอารมณ์ดีเมื่อได้พูดเรื่องดอกกุหลาบกับหล่อน

“อ้าว ก็คุณภูบอกว่าคุณภูปลูกกุหลาบขายดอกเพื่อไปสกัดน้ำมันหอมนี่คะ” หล่อนว่า

ชายหนุ่มแย้มริมฝีปากเป็นรอยยิ้มน้อยๆ รอยยิ้มที่หาได้ยากนักบนใบหน้าที่ปกติมักจะเรียบเฉยของเขา เขาอธิบายเสียงอ่อนโยน

“กุหลาบในไร่ทั้งหมดปลูกเพื่อขายเป็นดอกไม้ เราเพิ่งพัฒนาพันธุ์มาดามปล็องติเยร์สำหรับสกัดน้ำมันหอม และตอนนี้ก็ยังไม่สำเร็จอย่างที่บอก ถ้ารอมาดามอย่างเดียว ฉันคงไม่มีเงินมาจ่ายคนงานหรอก ทำมาสองปีแล้วยังไม่สำเร็จเลย” เขาว่ายิ้มๆ ดูไม่ได้ทุกข์ร้อนนักกับการที่ยังไม่สามารถปรับปรุงพันธุ์กุหลาบให้ได้ผลอย่างที่ต้องการ

“สองปีแล้วหรือคะ” ยิหวาถามตาโต

“งั้นสิ” เขาว่า

“ทำไม...มันนานขนาดนั้นล่ะคะ”

“ในดีเอ็นเอมียีนไม่รู้กี่ล้านตัวที่ส่งผลต่อลักษณะของกุหลาบแต่ละสายพันธุ์ แม้โปรแกรมคอมพิวเตอร์จะทำให้เราวิเคราะห์และคาดเดาลักษณะที่อาจจะเกิดขึ้นได้จากการเข้าไปปรับแต่งสารพันธุกรรมของกุหลาบ แต่การทดลองกับต้นจริงก็ต้องใช้เวลา บางทีผลจากการวิเคราะห์คอมพิวเตอร์ได้อย่างหนึ่ง แต่พอลองกับของจริงแล้วกลับได้ผลอีกอย่าง เพราะอาจจะมียีนบางตัวที่แสดงผลอย่างที่เราไม่รู้หรือไม่ได้คาดไว้”

ยิหวาฟังด้วยความทึ่ง หล่อนรู้หรอกว่ามีการตัดแต่งพันธุกรรมของพืชหรือสัตว์เพื่อให้ได้ผลตามที่ต้องการ แต่เมื่อได้มาพูดกับคนที่ลงมือทำจริงๆ หล่อนก็อดตื่นตาตื่นใจไม่ได้

“คุณภู...ทำเองคนเดียวหรือคะ”

“เปล่า มีทีมวิจัย”

“ทีมวิจัย!” ยิหวาอุทาน ตาเบิกโต นี่หล่อนอยู่ในไร่แห่งนี้มาแบบไม่รู้อะไรขนาดนี้เลยหรือ

“เธอดูตกใจ” เขาเอ่ย เลิกคิ้วน้อยๆ

“ค่ะ หนูดีไม่เคยทราบมาก่อน” หล่อนยอมรับตามตรง

“ก็เข้ามาที่บ้านแค่ปีละสองหน จะไปรู้อะไรล่ะ” เขาว่า

“คงงั้นค่ะ” ยิหวายอมรับ หล่อนเข้าไปที่บ้านของเขาแค่เทอมละครั้งเพื่อเอาผลการเรียนไปให้เขาดูเท่านั้นจริงๆ

“เอาเถอะ เดี๋ยวกลับจากนี่จะพาเข้าไปดูแล็บ”

แล็บ...ห้องทดลอง ห้องทดลองในไร่! ยิหวาเงยหน้าพิจารณาผู้ชายตรงหน้าราวกับไม่เคยเห็นมาก่อน มีอะไรอีกบ้างหนอที่หล่อนจะได้เรียนรู้เกี่ยวกับเขา

“มีทีมวิจัยก็ต้องมีที่ให้พวกเขาทำงานสิ” เขาว่าเมื่ออ่านสีหน้าหล่อนออก

“ค่ะ” หล่อนว่า หลุบตาลงพื้นหลบนัยน์ตาวิบวับอย่างขบขันของเขา รู้สึกว่าตั้งแต่พาหล่อนเดินข้างแปลงกุหลาบนี่ เขาจะอารมณ์ดีเหลือเกิน

ระหว่างทางกลับ คีรีหยุดเพื่อตัดดอกกุหลาบสีอื่นอีกสองสามหน มากเสียจนยิหวาหอบเต็มอ้อมแขน เขาจึงรับส่วนหนึ่งไปถือด้วย จากนั้นก็เดินเคียงกันไปเงียบๆ ตรงไปยังบ้านหลังใหญ่บนเนินที่มองเห็นอยู่ไม่ไกลนัก

เมื่อถึงบ้าน ชายหนุ่มสั่งให้ต้นหอมเอากุหลาบไปใส่แจกัน ส่วนเขาหันมาเอ่ยชวนหญิงสาว

“ขึ้นไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้ากันเถอะ แล้วจะพาไปดูแล็บก่อนกินข้าวเย็น”

“ค่ะ คุณภู” ยิหวารับคำอย่างว่าง่าย และเดินตรงไปยังบันไดขึ้นชั้นบนตามสัมผัสเบาที่ข้อศอกที่คนข้างตัวยื่นมือมาแตะอย่างสุภาพ แต่แม้อย่างนั้นก็ทำให้หล่อนรู้สึกวูบๆ วาบๆ อยู่ไม่น้อย

ชายหนุ่มเดินไปส่งหญิงสาวจนถึงหน้าห้องนอน ยืนรอจนประตูห้องที่เล็กกว่าปิดลงแล้วจึงเดินเข้าห้องของตน ระหว่างเดินไปยังห้องน้ำ สายตาอดมองไปยังประตูเชื่อมระหว่างห้องที่ปิดสนิทอยู่ไม่ได้ ในใจอยากให้ถึงวันที่เขาจะสามารถเปิดประตูบานนี้แล้วเดินเข้าไปในห้องนั้นด้วยความเต็มอกเต็มใจของเจ้าของห้อง ซึ่งก็ไม่รู้ว่าเมื่อไรวันนั้นจะมาถึง

คีรีส่ายศีรษะให้ความคิดฟุ้งซ่านของตนขณะก้าวยาวๆ ตรงไปยังห้องน้ำ

ชายหนุ่มใช้เวลาอาบน้ำไม่นานก็กลับออกมาแต่งตัว ลงไปข้างล่าง รออยู่ครู่เดียวหญิงสาวก็ตามลงมา

“ตั้งโต๊ะได้เลยนะป้าสุขใจ เดี๋ยวผมจะพาคุณหนูดีเข้าไปดูแล็บแป๊บเดียว” ชายหนุ่มสั่งแม่ครัว จากนั้นก็พาหญิงสาวเดินตรงไปยังห้องทำงานของเขา

ยิหวาทำหน้านิ่วน้อยๆ อย่างไม่เข้าใจ เขาบอกว่าจะพาหล่อนไปดูห้องทดลอง แต่กลับพาหล่อนไปยังห้องทำงาน ที่ที่หล่อนเคยเข้าไปหลายหนแล้วและไม่เห็นว่าจะมีห้องทดลองอยู่ในนั้น แต่แล้วหญิงสาวก็ต้องกะพริบตาปริบๆ เมื่อชายหนุ่มเดินไปด้านหลังโต๊ะทำงานของเขา และแตะการ์ดบางอย่างลงบนกรอบสี่เหลี่ยมของอะไรสักอย่าง เกิดเสียงดังปี๊บ จากนั้นผนังห้องทำงานด้านหนึ่งก็เลื่อนออกช้าๆ ก่อนจะหยุดลงเมื่อเปิดออกกว้างขนาดบานประตู

หญิงสาวอ้าปากค้างกับสิ่งที่เห็นอยู่ภายใน...

สิ่งแรกที่สะดุดตาคือ ห้องกระจกขนาดใหญ่ซึ่งเต็มไปด้วยเครื่องไม้เครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ที่คุ้นตาเพราะเคยเห็นที่โรงเรียนบ้าง และแปลกตาอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อนเลยบ้าง เครื่องมือหลายอย่างเชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์ มีจอมอนิเตอร์ติดอยู่ด้านข้าง ผนังห้องด้านหนึ่งมีชั้นเก็บเอกสารซึ่งมีแฟ้มเอกสารจัดเรียงอยู่เต็ม ภายในห้องกระจกนั้นปราศจากผู้คน คงเพราะเป็นเวลาเย็นแล้วนั่นเอง

“มาสิ จะพาทัวร์” ชายหนุ่มว่าพลางแตะข้อศอกหญิงสาวให้เดินเข้าไปในทางเดินข้างห้องกระจก

เขาพาหล่อนเดินอ้อมไปทางด้านหลังของตู้เก็บเอกสาร เผยให้เห็นตู้ล็อกเกอร์ขนาดความสูงเท่าตู้เอกสาร ซึ่งล็อกเกอร์แต่ละช่องถูกล็อกกุญแจไว้อย่างดี

“ล็อกเกอร์เก็บชุดสำหรับใส่ทำแล็บของทีมงาน” ชายหนุ่มบอก เมื่อเห็นยิหวามองอย่างสนใจ เขาก็อธิบายต่อ “ทีมวิจัยจะเข้ามาทำงานที่นี่ทุกวัน ทางเข้าของพนักงานอยู่ด้านนั้น” เขาชี้ไปยังประตูที่อยู่บนผนังอีกด้าน

“ในนี้จะมีล็อกเกอร์และห้องน้ำอยู่ทางนั้น กับห้องอาหาร ทีมงานเข้ามาแล้วก็จะเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดสำหรับทำแล็บ เมื่อเลิกงานก็เปลี่ยนเป็นชุดที่ใส่มาจากบ้าน...มาทางนี้สิ” เขาว่าพลางแตะข้อศอกหล่อนให้เดินไปตามทางที่เพิ่งเดินผ่านมา

ยิหวาคิดว่าเขาจะพาหล่อนเข้าไปในห้องปฏิบัติการที่เห็นอยู่ตรงหน้า แต่ชายหนุ่มกลับพาเดินเลยไป เปิดประตูบานเล็ก พาหล่อนเข้าสู่ห้องทำงานขนาดกะทัดรัด มีโต๊ะทำงานและคอมพิวเตอร์อยู่อย่างละสองตัว

“ก่อนที่เราจะทดลองในแล็บ เราจะวิเคราะห์ข้อมูลในนี้เสียก่อน” ชายหนุ่มบอก ชี้ให้ดูคอมพิวเตอร์แบบตั้งโต๊ะที่วางอยู่บนโต๊ะตัวหนึ่ง จากนั้นจึงชี้ไปยังคอมพิวเตอร์อีกเครื่องที่ดูเทอะทะกว่า แล้วบอกด้วยสีหน้าเรียบเฉยแต่ตาเป็นประกาย

“ส่วนคอมพิวเตอร์เครื่องนี้...มีมูลค่าหลายล้าน”

“หลายล้าน...คอมพิวเตอร์อะไรทำไมมันแพงขนาดนั้นคะ” ยิหวาถามเสียงสูง เพิ่งจะเคยมีวาสนาเห็นเครื่องคอมพิวเตอร์ราคาเป็นล้านก็ตอนนี้เอง

คีรียิ้มเมื่อเห็นสีหน้าของหล่อน “ไม่ใช่มูลค่าของคอมพิวเตอร์หรอก สิ่งที่อยู่ในคอมพิวเตอร์ต่างหาก” และเมื่อหล่อนยังทำท่าไม่เข้าใจ เขาจึงเฉลย

“ข้อมูลในนี้มีมูลค่าสูงมาก เป็นข้อมูลพันธุ์กุหลาบทั้งหมดในไร่ภูคีรี พันธุ์กุหลาบที่ทีมอาร์แอนด์ดีของเราพัฒนาขึ้น” เขาไม่ได้บอกต่อว่า...และมีคนอยากได้มากจนทำได้ทุกอย่าง กระทั่งนำไปสู่ความสูญเสียอันยิ่งใหญ่...

เมื่อคิดถึงความสูญเสียที่ผ่านมาชายหนุ่มก็รู้สึกวิบโหวงในอก ยิ่งเมื่อมองคนตัวเล็กที่มองเครื่องคอมพิวเตอร์อย่างไม่รู้อีโหน่อีเหน่เขายิ่งรู้สึกเศร้าใจ ความสูญเสียของหล่อนมีสาเหตุมาจากเขาแท้ๆ

“คุณภู...เป็นอะไรหรือเปล่าคะ” ยิหวาถามเมื่อหล่อนละสายตาจากคอมพิวเตอร์หันไปทางเขา แล้วพบว่าเขามองหล่อนอยู่ด้วยแววตาแสนเศร้า...และคล้ายกับรู้สึกผิด...

“เอ่อ...เปล่า ไม่ได้เป็นอะไร” ชายหนุ่มตอบ ยกมือขึ้นลูบหน้าเก้อๆ ที่เผลอเผยอารมณ์ให้หล่อนจับได้ “ไปกันหรือยัง ป่านนี้ป้าสุขใจบ่นแล้วมั้ง หายมากันนานแล้ว เดี๋ยววันจันทร์ทีมอาร์แอนด์ดีเข้ามาทำงานจะพาเข้าไปแนะนำให้รู้จัก พอดีทางไร่ยุ่งๆ ฉันเลยให้พวกเขาหยุดไปก่อน จะกลับมาทำงานวันจันทร์นี่ละ”

“ค่ะ...ไปสิคะ” ยิหวาว่าง่าย เดินตามเขาออกจากห้องปฏิบัติการ หล่อนสังเกตเห็นชายหนุ่มกดปุ่มภายในห้องทำงาน ทำให้ประตูเลื่อนปิด และเมื่อประตูปิดสนิท ก็มองดูเหมือนกับผนังห้องเรียบๆ ที่ไม่รู้ว่าอีกฝั่งของผนังเป็นห้องปฏิบัติการทันสมัยเลย

 

ไปนั่งดูทีวีกับฉันได้ไหมหนูดี คีรีถามหลังจากอิ่มอาหารเย็น

ยิหวาเงยหน้าขึ้นมองคนถาม คิดสักครู่แล้วจึงพยักหน้า เพราะไม่รู้ว่าควรจะปฏิเสธเขาด้วยเหตุผลใด แม้ว่าหล่อนจะไม่ได้อยากนั่งดูโทรทัศน์กับเขาก็เถอะ

“งั้นก็ไปกันเถอะ” เขาว่าแล้วลุกขึ้น ยิหวาจึงลุกตาม ตรงไปยังห้องนั่งเล่น

ระหว่างที่คีรีกำลังเลือกหารายการโทรทัศน์ ป้าสุขใจก็เดินเอาของว่างกับเครื่องดื่มวางไว้ให้ แล้วเดินออกจากห้องไปเงียบๆ ทิ้งเจ้านายทั้งสองไว้เพียงลำพัง

“เคยดูซีรีส์พวกนี้หรือเปล่า” ชายหนุ่มถามเมื่อรายการที่เขาต้องการดูกำลังเริ่ม ซึ่งเป็นซีรีส์สืบสวนสอบสวนชื่อดังของต่างประเทศ

“ไม่เคยค่ะ”

“งั้นดูกันนะ” เขาเอ่ย กึ่งชวนกึ่งขออนุญาต

“แต่มันเป็นภาษาอังกฤษนี่คะ” หล่อนไม่เข้าใจ

“เธอต้องใช้ภาษาอังกฤษอีกมาก ฝึกไว้ต่อไปจะได้ชิน” เขาบอก

“ค่ะ” หล่อนรับคำง่ายๆ ไม่พยายามโต้แย้งอะไร

คีรีปรายตามองคนว่าง่ายแล้วอดยิ้มไม่ได้ เขาบอกหล่อนด้วยน้ำเสียงคล้ายปลอบประโลม

“คืนนี้ดูรายการที่ฉันอยากดู คืนพรุ่งนี้ค่อยดูที่เธออยากดูนะ”

ยิหวาจะทำอะไรได้ นอกจากตามใจเขาเท่านั้นเอง

 

หนูดี...หนูดี ตื่นเถอะ ได้เวลาเข้านอนแล้ว

เสียงทุ้มพร้อมกับสัมผัสหนักๆ ที่ต้นแขนปลุกยิหวาให้รู้สึกตัว หล่อนลืมตามองคนปลุกงงๆ เมื่อเห็นใบหน้าเข้มคมชะโงกอยู่เหนือร่าง ใกล้เสียจนเห็นไรเคราเขียวของเขา หล่อนก็ผุดลุกขึ้นอย่างตกใจ

“หนูดี...เอ่อ...หลับไปหรือคะ” หล่อนถาม ยกมือขึ้นลูบผมอย่างเก้อเขินที่ผล็อยหลับต่อหน้าเขา ก็เมื่อคืนหล่อนแทบไม่ได้นอน พอนั่งดูซีรีส์ที่ฟังไม่รู้เรื่องจึงหลับไปอย่างง่ายดาย

“ดึกแล้ว เข้านอนเถอะ”

“ค่ะ” หล่อนว่า ขยับตัวลุกขึ้น

คีรีรอจนหญิงสาวลุกขึ้นยืนแล้วจึงยื่นมือไปแตะข้อศอกหล่อนพาเดินออกจากห้องนั่งเล่น ตรงไปยังบันไดที่ทอดขึ้นสู่ห้องนอนชั้นบน

ชายหนุ่มเดินไปส่งหญิงสาวหน้าห้อง แต่หลังจากที่ยิหวาเปิดประตูและกำลังจะก้าวเข้าห้อง มือใหญ่ก็ยื่นไปคว้าแขนหล่อนไว้ก่อน เมื่อหล่อนชะงักและหันกลับมา เขาก็วาดแขนโอบเอวบางของหล่อนแล้วรั้งเข้าหาตัว

“คุณภู...” ยิหวาตกใจอุทานเรียกเขาเสียงแผ่ว หัวใจตกไปอยู่ที่ตาตุ่ม หรือคืนนี้เขาจะทวงสิทธิ์ของเขาแล้ว...หล่อนคิดอย่างอกสั่นขวัญแขวน

หากเขาต้องการหล่อนจะทำอย่างไร...

“ฉันน่ากลัวขนาดนั้นหรือ” เขาถาม สบตากลมโตที่มีแต่แววหวาดหวั่นของหล่อน

ยิหวาไม่ตอบ หล่อนหลุบตาลงเพียงเสมออกเขา แต่แล้วก็ต้องเงยหน้าขึ้นเมื่อมือใหญ่ยื่นมาเชยคางหล่อน

หญิงสาวรู้สึกถึงหัวใจที่สั่นรัวราวกับจะหลุดออกมานอกอกเมื่อเขาก้มหน้าลงมาหา จากนั้นก็หลับตาปี๋เมื่อเขาขยับเข้ามาใกล้จนรู้สึกถึงลมหายใจของกันและกัน

ริมฝีปากนุ่มที่แตะแผ่วบนหน้าผากพร้อมเสียงทุ้มอ่อนโยนว่า “ฝันดีนะหนูดี” เรียกยิหวาให้ลืมตาขึ้น ทันเห็นใบหน้าของเขาผละห่าง สายตาอ่อนโยนทอดมองหล่อน สีหน้าที่ปกติมักแข็งกระด้างดูอ่อนละมุนอย่างที่หล่อนไม่ค่อยได้เห็นบ่อยนัก

“เข้าห้องเถอะ” เขาบอกพร้อมกับคลายอ้อมแขน ยืนรอจนหญิงสาวก้าวเข้าไปในห้อง แต่ก่อนที่ประตูจะปิดลง เขาก็บอก

“พรุ่งนี้ฉันจะไปส่งที่โรงเรียน”

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น