3

บทที่ 3 ครอบครัวสุขสันต์


3

ครอบครัวสุขสันต์

การสัมภาษณ์งานเสร็จสิ้นลงในอีกหนึ่งชั่วโมงต่อมา ซึ่งตลอดการสัมภาษณ์ใช้เพียงภาษาอังกฤษเท่านั้น เพลงขวัญมั่นใจมากว่า ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด เธอต้องได้งานนี้แน่นอน เพราะไม่ว่าภานุรุจจะถามอะไร เธอก็สามารถตอบได้อย่างคล่องแคล่ว ทุกคำตอบล้วนออกมาจากใจจริง และแสดงถึงความมุ่งมั่นตั้งใจที่จะทำหน้าที่เลขานุการของเขาให้ดีที่สุด

            หวังว่าเขาจะไม่ตัดสินเธอจากอดีตอย่างที่พูดจริงๆ

            “ขอบคุณที่สละเวลามาสัมภาษณ์วันนี้นะครับ แล้วผมจะให้ฝ่ายบุคคลแจ้งผลไปอีกครั้ง มีอะไรจะถามเพิ่มเติมไหมครับ” ภานุรุจเอ่ยอย่างสุภาพ

            “ทางบริษัทจะแจ้งผลภายในกี่วันคะ” เธอต้องการทราบระยะเวลาที่แน่นอน จะได้วางแผนชีวิตได้ถูกต้อง

            “ไม่เกินสองวันครับ ไม่ว่าจะผ่านหรือไม่ผ่าน ทางเราก็จะโทร. แจ้งอย่างเป็นทางการเพื่อไม่ให้ผู้สมัครเสียเวลา”

            สิ่งที่เขาพูดทำให้เพลงขวัญรับรู้ได้เลยว่าเดอะ ซันกรุ๊ปเป็นองค์กรที่ให้เกียรติพนักงานเป็นอย่างมาก ถึงสุดท้ายผลจะออกมาว่าไม่ได้งาน แต่อย่างน้อยเธอก็ยังรู้สึกดีกับประสบการณ์การสัมภาษณ์ที่ได้รับ

            “ดิฉันไม่มีคำถามอื่นแล้วค่ะ ขอบคุณมากนะคะ” หญิงสาวยกมือไหว้เขา

            รองประธานหนุ่มพยักหน้ารับโดยไม่เอ่ยอะไร

เพลงขวัญอดหมั่นไส้ไม่ได้ คนอะไรหน้านิ่งได้อีก หรือว่ามีโควตายิ้มได้ไม่เกินวันละสิบครั้งก็ไม่รู้ คอยดูนะ ถ้าเธอได้เป็นเลขาฯ ของเขาเมื่อไร จะทำให้ยิ้มวันละร้อยรอบให้ได้เลย

“ถ้างั้นดิฉันขอตัวก่อนนะคะ”

เจ้าของร่างสูงสมาร์ตในชุดสูทสีกรมท่าคัตติงเนี้ยบลุกขึ้นจากเก้าอี้และเดินไปเปิดประตูให้เธอ “เดินทางปลอดภัยนะครับ”

“ขอบคุณค่ะ” เพลงขวัญยกมือไหว้เขาอีกรอบ ก่อนจะออกมาจากห้องประชุมเล็กพร้อมความรู้สึกดีๆ มากมาย

ภานุรุจมองตามจนกระทั่งหญิงสาวลับสายตาไป ริมฝีปากหยักลึกสีระเรื่อยกยิ้มน้อยๆ การสัมภาษณ์งานในวันนี้ทำให้เขาเปลี่ยนความคิดที่มีต่อเธอไปโดยสิ้นเชิง

 

เพลงขวัญกลับมาถึงบ้านที่ตั้งอยู่ในซอยประดิพัทธ์ย่านสะพานควายในอีกหนึ่งชั่วโมงต่อมา

            บ้านไม้สีขาวสองชั้นหลังขนาดกลางล้อมรอบด้วยรั้วไม้ระแนง พื้นที่หน้าบ้านมีต้นมะม่วง มะยม ชมพู่ และมะยงชิดปลูกอยู่อย่างละต้น มีม้าหินหนึ่งชุดตั้งอยู่ใต้ร่มเงาของต้นมะม่วง อีกมุมมีกระถางไม้ดอกและไม้ประดับหลายชนิดวางเรียงรายกันอย่างเป็นระเบียบ ไม่ว่าจะเป็นกุหลาบ ชวนชม ว่านเศรษฐี สาวน้อยประแป้ง และอื่นๆ นอกจากนั้นยังมีดอกบัวที่ชูช่ออยู่ในอ่างดินเผาที่ทำให้บรรยากาศดูร่มรื่นและน่าอยู่เป็นอย่างมาก

            หญิงสาวอาศัยอยู่ในบ้านหลังนี้กับยายเพียงสองคน หลังจากพ่อแม่เสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุระหว่างขี่มอเตอร์ไซค์กลับจากที่ทำงานเมื่อสองปีก่อน

            ยายมีอาชีพเป็นช่างตัดเสื้อมาตั้งแต่สมัยยังสาว แม้ตอนนี้อายุจะขึ้นเลขหกแล้ว ท่านก็ยังไม่วางมือ เพลงขวัญเคยบอกให้ยายหยุดรับงาน เพราะเงินเดือนของเธอก็มากพอที่จะใช้จ่ายในบ้านอย่างไม่ขัดสน แต่ท่านไม่ยอม เพราะรักงานนี้มาก

            ...

            ‘ยายไม่อยากอยู่ว่างๆ กลัวเป็นอัลไซเมอร์ อย่าห้ามยายเลย’ ผู้อาวุโสว่า

            เพลงขวัญยอมรับว่าสิ่งที่ท่านพูดก็ถูก ‘แต่ถ้ายายรับงานมากๆ จนไม่มีเวลาพักผ่อน ก็อาจจะกระทบกับสุขภาพได้นะคะ’ หญิงสาวบอกอย่างเป็นห่วง

            ‘ถ้างั้นยายรับงานน้อยลงก็ได้ แต่ยายไม่เลิกนะ’ ท่านยืนยันหนักแน่น

            สุดท้ายยายกับหลานจึงพบกันครึ่งทาง

            ...

ชุดทำงานของเพลงขวัญเกือบทั้งหมดก็ได้ยายนี่ละเป็นคนออกแบบและตัดเย็บให้ เวลาใส่ชุดใหม่ไปทีไร เพื่อนๆ ที่บริษัทก็จะชอบมาถามว่าซื้อที่ไหน จะได้ไปซื้อบ้าง พอเธอบอกว่ายายตัดชุดให้ ทุกคนต่างก็ไม่เชื่อ เพราะดีไซน์ของชุดดูทันสมัยและโฉบเฉี่ยวจนน่าจะเป็นฝีมือของดีไซเนอร์รุ่นใหม่มากกว่า แน่ละ ถึงยายจะอายุมากแล้ว แต่ท่านก็อัปเดตเทรนด์แฟชั่นใหม่ๆ อยู่เสมอเพื่อไม่ให้ตกยุค

ยายบอกเธอว่าท่านยังอยากเป็นคนที่โลกต้องการ จึงต้องตามโลกให้ทัน เพราะในยุคดิจิทัลที่โลกเราเปลี่ยนแปลงทุกวินาที คนที่ไม่เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ จะกลายเป็นคนที่ถูกลืมในท้ายที่สุด

            ทันทีที่ไขกุญแจเปิดประตูรั้วเดินเข้ามาในบ้าน กลิ่นอาหารหอมหวนก็ลอยมาเตะจมูกเพลงขวัญ ตอนนี้ยายกำลังทำอาหารเที่ยงอยู่แน่ๆ

            หญิงสาววางกระเป๋าสะพายสีครีมและแฟ้มเอกสารไว้บนโต๊ะรับแขก จากนั้นจึงเดินไปยังห้องครัวที่อยู่หลังบ้าน “หิวจังเลยยย” เธอส่งเสียงสดใสนำไป

            “อ้าว มาแล้วเหรอลูก ต้มข่าไก่กำลังจะเสร็จพอดี” หญิงชราร่างท้วมยิ้มกว้างตอบ

            “ของโปรดหนูเลยค่ะ” ดวงตากลมโตเป็นประกายแวววาว

            “ยายก็เห็นเราโปรดทุกอย่างนั่นแหละ” ยายทองเอ่ยเคล้าหัวเราะ

            “แหม ก็ยายทำอาหารอร่อยทุกอย่างเลยนี่คะ” ว่าแล้วเพลงขวัญก็กระโดดเข้าไปหาท่าน

            “โอ๊ย หลานคนนี้นี่ เดินเข้ามาดีๆ ไม่ได้หรือไง” ผู้อาวุโสส่ายหน้าไปมา แม้จะเอ่ยตำหนิ แต่น้ำเสียงเต็มไปด้วยความรักและเอ็นดู

            “ไม่ได้ค่ะ” หญิงสาวทำหน้าทะเล้นและกอดเอวหนาของหญิงชราอย่างฉอเลาะ

            “สัมภาษณ์งานเป็นไงบ้างลูก” ยายทองถาม ขณะที่มือหยิบพริกชี้ฟ้า ใบมะกรูดฉีก ต้นหอม และอื่นๆ มาใส่หม้อต้มข่าไก่

            “คนสัมภาษณ์หล่อมากเลยค่ะยาย” ความหล่อของเขาเป็นสิ่งที่ปฏิเสธไม่ได้จริงๆ

            “ตอบคำถามได้หรือเปล่าเนี่ย ไม่ใช่มัวแต่มองหน้าคนสัมภาษณ์จนพูดผิดพูดถูกนะ” ผู้อาวุโสแซวพลางยิ้มขัน

            “โหย หนูพูดลื่นไหลเหมือนรู้คำถามล่วงหน้าเลยละค่ะ ท่าทางเขาก็ดูพอใจกับคำตอบของหนูนะคะ” ดวงตาคู่สวยฉายแววมั่นใจเหลือล้น

            “แล้วเขาจะแจ้งผลเมื่อไหร่”

            “อีกสองวันค่ะ รอลุ้นกัน”

            “เดี๋ยวยายจะตัดชุดใหม่ให้นะ หลานยายจะได้สวยที่สุดในออฟฟิศ”

            “ขอบคุณค่า ยายของหนูน่ารักที่สุดในโลกเลย” เพลงขวัญยิ้มกว้างจนตาหยี หวังว่าอีกสองวันเธอจะได้รับข่าวดีอย่างที่หวังไว้นะ

 

วันนี้ภานุรุจมีนัดกินอาหารเย็นกับครอบครัว หลังจากเลิกงานแล้วรองประธานหนุ่มจึงขับรถไปยังบ้านทีปกรนฤนาถที่ตั้งอยู่ในซอยแห่งหนึ่งย่านพร้อมพงษ์ แทนที่จะกลับคอนโดที่ทองหล่อ

ส่วนใหญ่แล้วถ้าเป็นวันธรรมดา ภานุรุจจะพักอยู่ที่คอนโด เพราะเป็นส่วนตัวมากกว่า และจะกลับมาค้างที่บ้านเฉพาะเสาร์อาทิตย์เท่านั้น แต่ก็ยังแวะมากินอาหารเย็นกับคนในครอบครัวเสมอเมื่อมีเวลาว่าง เพื่อไม่ให้พ่อแม่น้อยใจ หาว่าเขาทำตัวห่างเหินพวกท่าน

รองประธานหนุ่มใช้เวลาขับรถนานพอสมควรกว่าจะมาถึงบ้าน เมื่อเข้าไปในห้องรับประทานอาหารก็พบว่านอกจากพ่อแม่แล้วยังมีภากร พี่ชายของเขาอยู่ด้วย

“สวัสดีครับคุณพ่อคุณแม่ ขอโทษที่มาช้าครับ” เขายกมือไหว้พ่อแม่ ก่อนจะเดินเข้าไปนั่งบนเก้าอี้ข้างๆ ชายหนุ่มที่มีใบหน้าละม้ายคล้ายกัน

“รถติดเหรอเนส” ภากรถามน้องชายที่อายุน้อยกว่าเขาห้าปี

ภากรเรียนจบปริญญาโทสาขาวิศวกรรมโยธาจากมหาวิทยาลัยในสหรัฐอเมริกา ปัจจุบันชายหนุ่มเป็นโพรเจกต์แมเนเจอร์ผู้ควบคุมงานก่อสร้างตึกเออร์เบิน เฮริเทจที่สาทร ซึ่งกำลังจะกลายเป็นแลนมาร์กแห่งใหม่ของกรุงเทพมหานครในเร็วๆ นี้

“อือ วันนี้ว่างเหรอ”

“ใช่ ตอนเย็นไม่มีงานอะไร เลยกลับมากินข้าวกับคุณพ่อคุณแม่”

“อืม”

“ได้ข่าวว่าวันนี้สัมภาษณ์เลขาฯ ใหม่ เป็นไงบ้างวะ สวยไหม” ดวงตาของคนถามเป็นประกายวิบวับ

“ตาไนน์นี่ น้องเขาหาเลขาฯ ไม่ได้หาแฟน เกี่ยวอะไรกับความสวยจ๊ะ” อุษาส่ายหน้าขำลูกชายคนโต

บุคลิกของภากรและภานุรุจแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง เพราะคนพี่จะมีสองโหมดคือจริงจังเวลาทำงาน แต่พออยู่กับครอบครัวจะออกแนวทะเล้นมากกว่า ส่วนคนน้องไม่ว่าจะเวลางานหรือเวลาไหนก็นิ่งขรึม พูดน้อยอย่างนี้ตลอด

“เกี่ยวสิครับคุณแม่ ถ้าเลขาฯ สวย เจ้านายก็จะกระชุ่มกระชวยเวลาทำงานไงครับ” ภากรยิ้มกว้าง ก่อนจะหันไปยักคิ้วเย้าแหย่น้องชาย “จริงไหมเนส”

ภานุรุจส่ายหน้าพลางถอนหายใจ “ฉันไม่ใช่สมภารกินไก่วัด”

“หึๆๆ แล้วจะรอดู” เห็นใครพูดคำนี้ทีไร สุดท้ายก็ต้องกลืนน้ำลายตัวเองทุกที

“เอ้า กินข้าวกันดีกว่าหนุ่มๆ พ่อหิวแล้ว” อาทิตย์บอกลูกชายที่มัวแต่คุยกัน

“วันนี้มีแต่ของโปรดไนน์กับเนสทั้งนั้นเลยนะจ๊ะ อ้ะ ปีกไก่น้ำแดงของเนสจ้ะ แล้วก็นี่ไข่เจียวปูของไนน์” หญิงวัยกลางคนตักอาหารใส่จานให้ลูกชายคนเล็ก จากนั้นจึงตักให้ลูกชายคนโตบ้าง

“ขอบคุณครับคุณแม่”

“ขอบคุณครับ”

“ตกลงสัมภาษณ์เลขาฯ เป็นไงบ้างเนส” ผู้เป็นพ่อถามด้วยน้ำเสียงเป็นการเป็นงาน

“ยังเลือกไม่ได้เลยครับ เพราะโอเคทั้งสองคนเลย” ภานุรุจตอบแล้วตักอาหารใส่ปาก

“เลือกคนที่แกรู้สึกว่าชอบมากกว่าดิ” ภากรแนะนำ เพราะการเลือกด้วยความรู้สึก บางครั้งก็ดีกว่าใช้สมองวิเคราะห์

“ชอบเท่าๆ กัน”

“ไม่มีทาง มันต้องมีคนที่แกชอบมากกว่านิดนึงแน่ๆ”

            “แกเป็นใคร ถึงได้รู้ความคิดฉันดีนัก”

            “ฉันก็เป็นพี่ชายแกไง แค่มองตาก็รู้ใจแล้วไอ้น้อง” ผู้เป็นพี่ยกมือขึ้นตบหัวน้องชายแบบเฉียดๆ ไปหนึ่งที

            “ตาไนน์! อย่าแกล้งน้องสิ” อุษาดุลูกชายพลางส่ายหน้าไปมา แม้ภากรจะอายุสามสิบสองแล้ว แต่ก็ยังชอบแกล้งน้องเหมือนตอนเด็กๆ ไม่เปลี่ยน

            “ถ้าผมไม่รักมัน ผมไม่แกล้งหรอกครับคุณแม่”

            “ไม่ได้แล้วนะจ๊ะ ต่อไปน้องจะเป็นประธานบริษัทแล้ว ถ้าเผลอไปแกล้งกันข้างนอก เดี๋ยวเสียภาพลักษณ์หมด”

            “ใช่ ให้เกียรติท่านประธานนิดนึง” อาทิตย์สำทับ

            ภานุรุจหันไปมองพี่ชายและกระตุกยิ้มมุมปากอย่างผู้เหนือกว่า

            “โธ่ ท่านประธานก็แค่ตำแหน่ง เวลากลับบ้านมันก็เป็นน้องชายผมเหมือนเดิมนั่นแหละ” ภากรพูดจบก็เอื้อมมือไปดึงแก้มว่าที่ท่านประธานด้วยความรักและเอ็นดู

 

หลังจากกินอาหารเย็นเสร็จแล้ว ภากรก็ชวนภานุรุจไปที่ห้องทำงานซึ่งอยู่ทางด้านปีกขวาของบ้านทีปกรนฤนาถด้วยกัน ผู้เป็นน้องชายเดินตามไปโดยไม่ขัดข้อง เมื่อเข้ามาถึงในห้องแล้วจึงเอ่ยถามพี่ชายเสียงเรียบ

            “มีอะไร”

            “ขอปรึกษาหน่อย” ภากรมีสีหน้าสับสนระคนว้าวุ่น

            “ว่า?” ภานุรุจยกมือขึ้นกอดอกรอฟังปัญหาของอีกฝ่าย

            “คือ...เมื่อเดือนก่อน ฉันเจอผู้หญิงคนนึง ฉันชอบเขามาก แล้วท่าทางเขาก็ชอบฉันเหมือนกัน” เจ้าของใบหน้าหล่อเหลาเกริ่นขึ้นโดยไม่อ้อมค้อม

            “อือฮึ”

            “เราสองคนคุยกันถูกคอมาก แล้วก็อยากจะลองคบกันเป็นแฟน แต่จู่ๆ เขาก็หนีฉันไปเว้ย จนถึงตอนนี้ฉันก็ยังไม่รู้เลยว่าตัวเองทำอะไรผิด” ชายหนุ่มถอนหายใจยาวเหยียดด้วยความกลัดกลุ้ม

            ภานุรุจพยักหน้าเบาๆ นึกอยู่แล้วว่าต้องเป็นปัญหาหัวใจ เพราะอีกฝ่ายไม่เคยปรึกษาเขาเรื่องงานเลย “แกไม่มีเบอร์ ไลน์ หรือเฟซบุ๊กของผู้หญิงคนนั้นเหรอ” ดวงตาคมกริบหรี่ลงเล็กน้อย

            “ไม่มี”

            “อ้าว แล้วไหนบอกว่าคุยกันถูกคอมาก”

            “ก็ใช่ แต่ฉันกับเขาคุยกันเรื่องอื่น ยังไม่ได้ถามข้อมูลติดต่ออะไรทั้งนั้น เอาจริงๆ แม้แต่ชื่อเขาฉันยังไม่รู้เลย” คิ้วหนาของคนพูดแทบจะผูกกันเป็นปม

            “อะไรนะ!” ภานุรุจทำหน้าทึ่ง คุยกันยังไงถึงไม่รู้จักแม้แต่ชื่อ

            “เออ นั่นแหละ ฉันเจอเขาในงานเปิดตัวบริษัทของเพื่อน แล้วก็มีโอกาสได้คุยกันในงาน เราไปนั่งดื่มกันต่อหลังจากนั้น ถึงจะใช้เวลาด้วยกันแค่ไม่กี่ชั่วโมง แต่ฉันชอบเขามากๆ ฉันรู้สึกว่าผู้หญิงคนนี้แหละคือคนที่ฉันอยากใช้ชีวิตที่เหลือด้วย”

นัยน์ตาของภากรเป็นประกายพร่างพราวเมื่อเอ่ยถึงหญิงสาวที่เขาไม่รู้ว่าเป็นใคร แต่เธอครอบครองหัวใจของเขาไปแล้วทั้งดวง

            “แกแน่ใจเหรอว่าไม่ได้ทำอะไรผิด” พูดถึงเรื่องผู้หญิงหนี ภานุรุจก็อดนึกถึงเรื่องของตัวเองไม่ได้ เพียงแต่เขาไม่ได้รู้สึกลึกซึ้งอะไรกับผู้หญิงคนนั้น

            “ไม่เลย ก่อนที่จะหนีไป เขายังคุยกับฉันดีๆ อยู่เลย”

            “เขาอาจจะมีเหตุผลของเขา”

            “เหตุผลอะไรวะ”

            “ไม่รู้ แต่เดี๋ยววันนึงแกก็รู้เอง โลกมันไม่ได้กว้างใหญ่ขนาดนั้น ถ้าแกกับเขาเป็นเนื้อคู่กันจริงๆ ยังไงก็ต้องกลับมาเจอกันอีกจนได้”

ยกเว้นเรื่องของเขากับเพลงขวัญ...เพราะการที่โชคชะตานำพาให้เขาและเธอโคจรกลับมาพบกันก็เพื่อให้โอกาสแต่ละฝ่ายชี้แจงเรื่องที่ยังค้างคาให้เข้าใจกันเท่านั้น เขาไม่ได้ชอบเธอ และเธอก็ไม่ได้ชอบเขาด้วย

            “ฉันก็หวังว่าจะได้เจอเขาอีกครั้ง ไม่งั้นคงคาใจไปตลอดชีวิตแน่ๆ” ภากรถอนหายใจอย่างอึดอัด ใบหน้าหล่อเหลาเคร่งเครียด

            “อืม ขอให้ได้เจอแล้วกัน” ภานุรุจอวยพร เขาเข้าใจความรู้สึกของพี่ชายดี

การที่คนคนหนึ่งเดินออกจากชีวิตเราไป ไม่ว่าจะบอกเหตุผลหรือไม่บอก มันก็คงเจ็บปวดไม่ต่างกัน เพราะสุดท้ายเราก็ไม่มีเขาอยู่ในชีวิตอีกต่อไปอยู่ดี

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น