2

ในวันที่เขาเพิ่งรู้ตัว

 

2

ในวันที่เขาเพิ่งรู้ตัว

 

“อ้าวธี มีธุระอะไรหรือเปล่าจ๊ะ วันนี้มาเสียค่ำเชียว”

ดวงดาวเอ่ยถามพลางแย้มยิ้มเมื่อเห็นชายหนุ่มหน้าตาคุ้ยเคยมากดกริ่งหน้าประตู เธอแปลกใจนิดหน่อยที่เห็นอีกฝ่ายมายืนอยู่หน้าบ้าน เพราะปกติธีรดนย์ไม่ค่อยแวะมาหาในเวลาพลบค่ำเช่นนี้ ไม่สิ ปกติแล้วเจ้าตัวมักจะมา เพราะต้องแวะมาส่งหลานสาวของเธอที่ไปเล่นซนบ้านข้างๆ ต่างหาก 

“ผมมาหารินครับ พอดีผมแวะซื้อขนมร้านโปรดของเจ้าตัวมา เลยว่าจะเอามาฝาก”

เจ้าของชื่อตอบด้วยรอยยิ้ม ทว่าสายตากลับอดไม่ได้ที่จะมองลอดเข้าไปด้านในด้วยความคุ้นชิน ธีรดนย์รู้สึกว่าบรรยากาศวันนี้แปลกไปเล็กน้อย เขาไม่ได้ยินเสียงรินลดา ไม่เห็นเจ้าของใบหน้าสวยหวานที่มักวิ่งออกมาก่อนใครหากรู้ว่าเป็นเขา

“ถ้าอย่างนั้นธีก็ต้องผิดหวังแล้วล่ะ” 

“รินไม่อยู่เหรอครับ”

“ใช่จ้ะ น้องไม่อยู่” 

“งั้นผมฝากขนมไว้ให้รินหน่อยได้ไหมครับ กลับมาถึงจะได้ทานเลย”

ขนมร้านโปรดที่เขาแวะซื้อมาฝาก หากรับประทานทันทีจะยิ่งอร่อย แต่เก็บไว้สักหน่อยรสชาติก็คงไม่ด้อยลงไปนัก ธีรดนย์แวะซื้อมาจากร้านดังในห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง มันเป็นขนมร้านโปรดของรินลดา ที่ไม่ว่าผ่านไปเมื่อไรเจ้าตัวก็มักคะยั้นคะยอให้เขาพาแวะเข้าร้านเป็นประจำ

“อ้าว นี่ธีไม่รู้เหรอว่ารินย้ายออกไปอยู่ข้างนอกแล้ว ป้าก็นึกว่าน้องบอกธีเรื่องนี้แล้วเสียอีก”

“มะ...ไม่ครับ” 

ธีรดนย์รับรู้ได้ถึงเสียงสั่นไหวของตัวเอง มันเกือบจะเปล่งออกไปไม่ได้ และไม่ต้องคาดเดาก็รู้ว่าสาเหตุนั้นคืออะไร นอกจากเรื่องน่าตกใจที่เขาเพิ่งรับรู้มาเมื่อไม่กี่นาทีก่อน ก็คงไม่มีเรื่องอื่น

“รินไม่ได้บอกอะไรผมเลย”

หมายความว่าอย่างไร

รินลดาย้ายออกไปอยู่ข้างนอกโดยไม่บอกเขาอย่างนั้นเหรอ

ธีรดนย์เก็บความสงสัยและร้อนรุ่มที่สุมขึ้นไว้ในใจ ในหัวของเขาเต็มไปด้วยคำถามมากมาย แต่ยังไม่กล้าเสียมารยาทถามถึงรายละเอียดเมื่อคนเป็นผู้ใหญ่กว่าตรงหน้ายังไม่กล่าวถึง

“น้องย้ายออกไปอยู่คอนโดเก่าของป้าน่ะจ๊ะ พอดีว่าคนเช่าเดิมไม่ต่อสัญญา ป้าเห็นว่าใกล้มหา’ ลัยด้วยก็เลยไม่ขัดอะไร”

คนอายุมากกว่าอธิบายอย่างเป็นธรรมชาติ ทว่าเหตุผลที่กล่าวอ้างนั้นมีส่วนถูกเพียงครึ่งเดียว เพราะอีกครึ่งดวงดาวมั่นใจว่าคนตรงหน้าเธอรู้สาเหตุดียิ่งกว่าใคร แม้ที่ผ่านมาเธอจะไม่เคยพูดอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่ความรู้สึกของหลานสาวนั้นเธอรับรู้มาโดยตลอด 

“แล้วน้อง เอ่อ ย้ายออกไปตั้งแต่เมื่อไหร่ครับ”

“วันนี้แหละจ๊ะ ป้ากับลุงเพิ่งไปส่งมาเมื่อช่วงเช้านี่เอง ต่อไปธีคงสบายหูขึ้นเยอะเชียว ไม่มีเด็กช่างจ้ออย่างยายรินไปก่อกวน”

คนสูงวัยกว่าว่าพลางระบายยิ้ม นึกถึงเสียงเจื้อยแจ้วของหลานสาวแล้วรู้สึกคิดถึงขึ้นมา ความจริงดวงดาวไม่เคยบังคับกะเกณฑ์ชีวิตของใคร แต่เมื่อหลายสัปดาห์ก่อนหัวใจของเธอปวดแปลบเพียงเพราะเด็กน้อยที่เลี้ยงดูมาอย่างดีต้องร้องห่มร้องไห้ พรั่งพรูความเจ็บปวดหัวใจเพราะรักครั้งแรกที่ไม่สมหวัง เธอจึงเอ่ยปากแนะนำให้หลานสาวย้ายออกไปอยู่ข้างนอก

“ไม่หรอกครับ ที่ผ่านมารินไม่ได้กวนอะไรผมเลย”

“อย่างนั้นเหรอจ๊ะ ได้ยินธีพูดแบบนี้ป้าก็ค่อยสบายใจขึ้นมาหน่อย” 

ดวงดาวเคยคิดอยากกีดกันไม่น้อย ในฐานะคนที่เลี้ยงดูรินลดามาอย่างดีเธอไม่เคยอยากเห็นหลานสาวเสียใจ แต่ก็นั่นแหละ เธอรู้ว่านี่ไม่ใช่เรื่องที่ผู้ใหญ่อย่างเธอควรยุ่ง ปล่อยให้เป็นการตัดสินใจของคนทั้งคู่คงเหมาะกว่า เพราะแม้จะเลี้ยงมาตั้งแต่เล็กแต่น้อย แต่เธอก็ไม่เคยคิดบังคับกะเกณฑ์อะไร ยิ่งกับเรื่องความรักยิ่งไม่เคยคิดมาก่อน

ในครั้งนั้นรินลดามาร้องไห้กับเธอว่าอกหัก ไม่สมหวังในความรักเพราะธีรดนย์ไม่เคยคิดจะรักชอบกันในแง่นั้น แต่มาถึงตอนนี้ดูเหมือนอะไรๆ จะไม่รุนแรงอย่างที่เธอนึกกลัว เพราะดวงดาวมั่นใจว่าสายตาของเธอมองไม่ผิด

 

ไฟส่องสว่างของบ้านรั้วข้างๆ เปิดจนสว่างจ้าเกือบทุกดวง ทว่าใบหน้าของผู้เป็นเจ้าของกลับหม่นหมองผิดกับแสงสีนวลตา ธีรดนย์กลับเข้าบ้านด้วยความร้อนรนใจ ความวูบโหวงที่อธิบายไม่ถูกเกาะกินอยู่ข้างในจนเผลอถอนหายใจแรงๆ อยู่หลายครั้ง 

โทรศัพท์มือถือที่เขาพยายามหลีกเลี่ยงอยู่หลายวัน ในที่สุดเขาก็ต้องหยิบมันขึ้นมากดเปิดข้อความที่อ่านค้างหลายวันขึ้นมาอ่านซ้ำอีกจนได้

‘ขอโทษที่ทำให้อาธีรู้สึกไม่ดีนะคะ รินจะไม่ไปรบกวนอาธีอีกแล้ว’

นี่น่ะเหรอวิธีที่รินลดาบอกว่าจะไม่มารบกวนเขาอีก

นี่คือวิธีที่เธอคิดจะทำใช่ไหม

ให้มันได้อย่างนี้สิ!

ฝ่ามือใหญ่ของชายหนุ่มเสยกลุ่มผมแรงๆ ตามอารมณ์ที่ไม่ปกตินัก นี่คงเป็นสาเหตุที่หลายวันมานี้รินลดาหลบหน้าเขา เด็กคนนั้นไม่มาให้เขาเห็นหน้าเลยแม้แต่ครั้งเดียว ไม่มีแม้แต่เสียงเจื้อยแจ้วคอยเรียกหาหรือก่อกวน 

เดิมทีเขาคิดว่าแค่ปล่อยเอาไว้สักพักทุกอย่างคงดีขึ้น ความสัมพันธ์ที่เกือบล้ำเส้นของพวกเขาคงกลับมาเป็นเหมือนเมื่อก่อน คิดว่ารินลดาคงสับสนระหว่างความรักกับความใจดีที่เขามีให้ ทว่าในเวลานี้เจ้าตัวกลับยืนยันคำตอบของตัวเองอย่างหนักแน่น 

คำตอบคือเธอเลือกจากไป แทนที่จะคงความสัมพันธ์กับเขาไว้เช่นเดิม รินลดาไม่ได้อยากตีจาก แต่เป็นเขาต่างหากที่ผลักไสเด็กคนนั้นออกไป ผลักออกจากความรู้สึกที่เขาเองไม่อาจยอมรับ

ธีรดนย์ไม่แน่ใจว่ากำลังรู้สึกเช่นไรในเวลานี้ เขารู้แค่ว่าในหัวมันว่างเปล่าตั้งแต่ได้ยินคำว่ารินลดาย้ายออกไปอยู่ที่อื่น คอนโดมิเนียมหลังนั้นใกล้มหาวิทยาลัยมากกว่าบ้านหลังเดิมที่เคยอาศัยอยู่ แต่เขาเชื่อว่านั่นไม่ใช่เหตุผลที่แท้จริงเลยแม้แต่น้อย

เด็กคนนั้นกำลังหนีหน้าเขา และเขาก็กำลังโมโหตัวเองที่เป็นฝ่ายหงุดหงิดงุ่นง่านเพราะการกระทำของเธอ 

ให้ตายเถอะ!

ธีรดนย์หัวเสียอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ทั้งที่ตัวเองเป็นคนผลักไส แต่พอเธอเลือกจากไปจริงๆ หัวใจเขากลับร้อนรนจนอธิบายไม่ถูก สุดท้ายเขาจึงต้องกดหมายเลขโทรศัพท์ที่คุ้นเคยมานานอีกครั้ง ทว่าเรื่องน่าหงุดหงิดใจตอนนี้คือเขาติดต่อรินลดาไม่ได้!

การกดโทร.ออกซ้ำๆ ไม่ใช่นิสัยที่เขาชอบทำนัก แต่บอกตามตรงว่าตอนนี้ธีรดนย์ผิดกฎที่ตั้งไว้แทบทุกอย่าง ทว่าจนแล้วจนรอดหมายเลขที่เขาเพียรต่อสายหากลับไม่มีสัญญาณตอบรับ ไม่ว่าจะทำอย่างไร ผลลัพธ์กลับยังเป็นเช่นเดิม สุดท้ายเขาจึงต้องล้มเลิกแล้วเปลี่ยนเป็นพิมพ์ตอบข้อความของเธอกลับไปแทน

‘กลับมาคุยกับอา ไม่งั้นก็โทร. กลับหาอาเดี๋ยวนี้’

ตัวหนังสือที่เต็มไปด้วยการออกคำสั่งดูเหมือนจะเป็นอีกเรื่องที่ธีรดนย์ควบคุมไม่ได้ เขาเพิ่งรู้ตัวตอนอ่านทวนข้อความนั้นอีกครั้งระหว่างรอข้อความตอบกลับ แต่นานนับสิบนาทีข้อความที่เขาส่งไปก็ไม่ถูกเปิดอ่าน 

มันนานเกินไป

ธีรดนย์รับรู้ได้ถึงความผิดปกติที่เกิดขึ้น พอมาถึงตอนนี้เขารู้ว่าแล้วระหว่างเขากับรินลดามีบางอย่างเปลี่ยนไปจริงๆ ปกติรินลดาไม่เคยตอบข้อความช้า เขาไม่เคยต้องรอ แต่ในเวลานี้กลับเป็นฝ่ายจดจ่ออยู่กับเครื่องมือสื่อสารตรงหน้าจนไม่อาจละสายตาไปไหนได้ 

ธีรดนย์ร้อนรน เขาไม่มั่นใจถึงสาเหตุ แต่อะไรบางอย่างที่บีบรัดอยู่ในอกตอนนี้ทำให้เขาอยู่ไม่สุขจริงๆ 

ฝ่ามือใหญ่ของชายหนุ่มกำแน่น นึกถึงภาพล่าสุดที่รินลดามองเขาด้วยสายตาตัดพ้อทั้งน้ำตาเอ่อคลอ เธอเม้มปากแน่นกลั้นเสียงสะอื้น พอนึกย้อนกลับไปเขาถึงได้รู้ว่าตัวเองใจร้ายมากแค่ไหน

คนอายุมากกว่าปวดในอกจนเจ็บไปหมด แต่จะให้เขาทำเช่นไรในเมื่อรู้อยู่เต็มอกว่าเรื่องระหว่างเขากับรินลดาเป็นไปไม่ได้ เขาคือผู้ชายอายุสามสิบปลายๆ ในขณะที่รินลดาอยู่ในวัยยี่สิบต้นๆ เท่านี้ก็เพียงพอแล้วไม่ใช่เหรอสำหรับความแตกต่างระหว่างพวกเขา 

แล้วเด็กคนนั้นจะมาบอกว่ารักเขาได้ยังไง

‘รินรักอาธี’

นึกถึงคำพูดนั้นแล้วเขายิ่งมั่นใจว่ารินลดาสับสน หลายวันมานี้เขาจึงคิดว่ากำลังให้เวลาเธอตัดสินใจ ให้เวลาเธอตกตะกอนความคิดตัวเองเสียใหม่ คำว่ารักที่เจ้าตัวเอ่ยออกมา แท้จริงอาจเป็นเพียงอารมณ์ชั่ววูบเท่านั้น 

อาจเพราะเขาใจดี เพราะเขาตามใจ หรือจะเพราะอะไรก็แล้วแต่ แต่เขามั่นใจว่านั่นไม่ใช่ความรัก ไม่ใกล้เคียงเลยสักนิดเดียว ทว่าตอนที่เธอเอ่ยปากขอให้เขาพิสูจน์ ในยามที่กระดุมเม็ดเล็กถูกปลดจนสาบเสื้อตัวบางแยกออก เสียงตวาดกร้าวของเขากลับเป็นจุดสิ้นสุดความอดทน 

ธีรดนย์ยอมรับว่าตัวเองโกรธ เขาโกรธที่รินลดาคิดจะใช้วิธีนั้นพิสูจน์ความรู้สึกในแบบที่เธอว่า และยิ่งโกรธมากขึ้นไปอีกเมื่อเผลอนึกว่าเจ้าตัวอาจคิดเอาวิธีนี้พิสูจน์ความจริงใจกับคนอื่น

ให้ตายเถอะริน คิดจะทำอะไรของเรา!

ยิ่งเมื่อนึกไปถึงว่าเนื้อตัวนวลเนียนนั้นอาจมีคนอื่นได้เห็น ชายหนุ่มก็ขบกรามแน่นอย่างลืมตัว ในใจของคุณอาข้างบ้านร้อนรนสวนกับเหตุผลที่พยายามยกมากล่าวอ้าง

ความไม่เหมาะสมต่างๆ ที่หยิบยกขึ้นมา

ความห่างของอายุพวกเขา

หรือความรู้สึกที่อาจจะยังสับสนของรินลดา

แต่เหมือนทั้งหมดนี้จะมีน้ำหนักไม่มากพอให้อารมณ์ร้อนรนของเขาเย็นลงเลยสักนิด ธีรดนย์รู้ตัวว่าตอนนี้อารมณ์เขาไม่สงบนัก พานให้หวนนึกถึงเหตุการณ์เก่าๆ ตอนเจอกันครั้งแรก เด็กตัวจ้อยอย่างรินลดาต่อปากต่อคำกับเขาผู้ซึ่งเป็นเจ้าของบ้านอย่างไม่ลดละ น่าแปลกที่เธอกลับเป็นเด็กที่ได้รับความเอ็นดูจากเขามานานหลายปี

เขาเอ็นดูรินลดา 

อยากเห็นรอยยิ้มของเธอ

ธีรดนย์มั่นใจว่าความรู้สึกที่เขามีต่อรินลดาเป็นเพียงความปรารถนาดี เขาไม่เคยมีความคิดอื่นแอบแฝงในระหว่างที่อยู่ด้วยกัน ทว่าช่วงสองสามเดือนมานี้เขายอมรับว่ารู้สึกถึงความผิดปกติบางอย่าง ท่าทางที่รินลดามีต่อเขาค่อนข้างเปิดเผยและตรงไปตรงมา จนสุดท้ายที่เธอเลือกสารภาพความรู้สึกกับเขาในวันนั้น

ในที่สุดรินลดาก็ผลักประตูบานนั้นเข้ามา บานประตูที่เขาไม่เคยคิดจะผลักเข้าไปเลยสักครั้ง

ธีรดนย์ยอมรับว่าเขาสับสน เขาเคยมั่นใจว่าตัวเองมั่นคงและหนักแน่นในความรู้สึก คิดว่าความรู้สึกที่มีต่อรินลดาคงไม่มีทางแปรเปลี่ยนเป็นอย่างอื่น ทว่าพอเธอเลือกตัดขาดจากเขา ถึงขนาดย้ายออกไปอยู่คอนโดมิเนียมเองคนเดียวนั้น เขาถึงรู้ว่าเหตุการณ์นี้ไม่ใช่สิ่งที่เขาคาดคิดไว้ 

เขาร้อนรนและยอมรับว่าไม่อยากให้เป็นเช่นนั้น 

เขายังอยากเห็นรินลดามีความสุข อยากเห็นรอยยิ้ม อยากได้ยินเสียงเจื้อยแจ้วของเธอ แต่เขาไม่มั่นใจเลยว่าความรู้สึกที่ว่ามาจัดอยู่ในความสัมพันธ์รูปแบบใด เขาเห็นรินลดามานาน เวลาเกือบสี่ปีมากพอจะทำให้เห็นเธอในหลายๆ มุม มีบ้างที่เธองอแงและทำตัวไม่น่ารัก มีบ้างที่เอาแต่ใจเหมือนเด็กทั่วไป แต่ไม่เคยมีครั้งไหนที่เขาอยากลงโทษเธอเท่าครั้งนี้เลย

ครืด ครืด!

ธีรดนย์หลุดจากภวังค์เมื่อโทรศัพท์ที่วางอยู่สั่นครืดขึ้นมา คนร้อนรุ่มทิ้งเรื่องราวก่อนหน้านี้แล้วรีบคว้ามันขึ้นมาดู ทว่าพอเห็นชื่อที่ค้างอยู่บนหน้าจอ ความยินดีกลับค่อยๆ ถูกแทนที่ด้วยความผิดหวัง

“ว่าไงทัพ”

คนที่โทรศัพท์เข้ามาคือหนุ่มรุ่นน้องอย่างจอมทัพ ไม่ใช่หญิงสาวอีกคนที่เขารออยู่

“เฮีย เด็กของเฮียจะมาที่คลับ เอาไงดีครับ น้องสาวตัวแสบผมให้จองโต๊ะไว้แล้วเนี่ย”

หัวคิ้วของคนฟังกระตุกหลังฟังประโยคนั้นจบ ส่วนคำว่า ‘เด็กของเฮีย’ ที่จอมทัพพูดหมายถึงรินลดาอย่างไม่ต้องสงสัย เด็กที่เขารอคุยด้วยจนว้าวุ่น แต่ดูเหมือนเด็กคนนั้นจะไม่ได้เดือดเนื้อร้อนใจเลยสักนิด ผ่านไปไม่กี่สัปดาห์คนที่บอกว่ารักเขาหนักหนากลับไม่เศร้าเสียใจอย่างที่คิด

“เดี๋ยวเฮียเข้าไป ฝากดูไว้ก่อน”

มุมปากชายหนุ่มยกขึ้นเป็นรอยยิ้ม เดิมทีคำว่าเด็กของเขานั้นจอมทัพตั้งให้ขำๆ เพราะเห็นรินลดามักตามเขาแจ เขาไม่ได้ชอบใจ แต่ก็ไม่เคยต่อว่าจริงจัง ทว่าในเวลานี้คนที่อยู่ๆ ก็มีเด็กในปกครองกลับอารมณ์ดีขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ หรืออาจจะทราบ แต่เป็นสาเหตุที่เขาไม่อยากยอมรับเท่านั้นเอง

“จะเอาแบบนี้ก็ได้ริน”

 

“มันต้องแบบนี้สิ ตื้ดๆ แบบนี้ดีกว่านอนแกร่วอยู่ห้องเป็นไหนๆ”

รินลดาส่ายหน้าพลางยิ้มขำเพราะตลกกับความกระตือรือร้นของเพื่อนสนิท เฟื่องฟ้าเป็นคนที่ต่อให้อยู่ในสถานการณ์หน้าสิ่วหน้าขวานแค่ไหนก็ยังยิ้มได้ เธอยอมรับในพลังเหลือล้นนี้จริงๆ เพราะขนาดตอนกลางวันช่วยเธอจัดห้องจนหอบ แต่ตอนนี้พลังงานกลับเพิ่มขึ้นเต็มหลอดราวกับไม่เคยถูกใช้มาก่อน

“เฮียทัพ เฟื่องมาถึงแล้ว เฮียอยู่ตรงไหนคะ”

หญิงสาวกรอกเสียงแจ๋วๆ ใส่โทรศัพท์ ข้างในนี้ค่อนข้างมืด อีกทั้งเสียงเพลงจังหวะหนักๆ ยังดังต่อเนื่อง ทำให้การตามหาตัวคนดูไม่ค่อยสะดวกนัก ทว่าสองสาวยืนรออยู่ไม่นาน เจ้าของร่างสูงคุ้นตาก็เป็นฝ่ายเดินเบียดผู้คนเข้ามาหา

“พี่ทัพสวัสดีค่ะ” รินลดาเอ่ยทักพี่ชายเพื่อน 

“สวัสดีค่ะน้องริน มาถึงกันนานหรือยังคะ”

“ไม่นานค่ะ รินกับเฟื่องเพิ่งมาถึงเมื่อกี้นี้เอง” 

จอมทัพยิ้มให้เพื่อนสนิทของน้องสาว อีกทั้งยังเป็นคนที่ทำให้เขารู้สึกร้อนๆ หนาวๆ ในเวลานี้ด้วย สันหลังของเขาเย็นวาบๆ ลางสังหรณ์ตะโกนร้องว่าเขาอาจจะซวย

“ว่าไงยายตัวแสบ ดื้ออะไรถึงนึกอยากมาเที่ยววันนี้น่ะเรา”

“เฟื่องไม่คุยเรื่องนี้กับเฮียหรอก เรื่องนี้เฮียไม่มีสิทธิ์รู้”

“เอ้า! แล้วไหงมาลงที่เฮียได้ล่ะ”

“ไม่รู้แหละ”

คนเป็นน้องสาวค้อนขวับ เฟื่องฟ้าไม่ได้บอกพี่ชายว่าสาเหตุที่เธอมาเที่ยวครั้งนี้เพราะเพื่อนรักถูกคุณธีรดนย์หักอกดังเป๊าะ เพราะพี่ชายเธอสนิทกับชายหนุ่มอีกคนไม่น้อย เรียกว่าเป็นอีกคนที่เขานับถือไม่ต่างจากญาติผู้ใหญ่ พอเพื่อนรักเสียใจเพราะผู้ชายคนนั้น เธอเลยพานใส่พี่ชายเสียดื้อๆ แต่ก็ยอมรับนั่นแหละว่าเธอใส่การแสดงเพิ่มเข้าไปเล็กน้อยเพราะหวังผลบางอย่าง

“งั้นเดี๋ยวเฮียพาไปที่โต๊ะ แล้วทั้งหมดคืนนี้เฮียเลี้ยงเอง แบบนี้หายโกรธไหม”

“ก็ถ้าพูดแบบนี้ตั้งแต่แรก เฟื่องก็ไม่โกรธร้อก”

คนเป็นน้องสาวว่าพลางหัวเราะคิก เธอหันมาหาเพื่อนรักพลางป้องปากพูดแบบไม่มีเสียงว่า ‘สำเร็จ’ ส่วนรินลดาได้แต่ส่ายหน้า เธอยอมใจในความเจ้าบทบาทของเพื่อนสนิทคนนี้จริงๆ 

ความจริงเธอคิดว่าคนเป็นพี่ชายตั้งใจจะเลี้ยงตั้งแต่แรกอยู่แล้วต่างหาก ไม่เช่นนั้นอะไรๆ คงไม่ง่ายดายแบบนี้หรอก

เดิมทีรินลดากังวลไม่น้อยว่าการมาเที่ยวของเธออาจทำให้คุณอาข้างบ้านคนนั้นรู้และไม่พอใจ แต่พอคิดถึงความจริงที่ว่า ‘แล้วยังไงต่อ’ เธอถึงเลือกปัดความรู้สึกยุบยิบในหัวใจออก เพราะถึงเขารู้ก็ใช่ว่าจะสนใจเธอเสียเมื่อไร คิดได้ดังนั้นเธอจึงปัดความกังวลทิ้งแล้วเลือกมาผ่อนคลายสมองอย่างที่เพื่อนขอแทน

“ถึงแล้วค่ะ โต๊ะนี้แหละ เหมาะสำหรับสาวๆ อย่างพวกเรา” จอมทัพบอกสาวๆ เมื่อพาเดินมาถึงโต๊ะที่เขาเตรียมไว้

“มันไม่อยู่ลึกไปหน่อยเหรอคะเฮีย แถมยังห่างจากโต๊ะอื่นตั้งเยอะแน่ะ”

“ไม่ลึกหรอก จะได้อยู่ใกล้โต๊ะเฮียด้วยไง โต๊ะเฮียอยู่ตรงนั้น”

จอมทัพอธิบายพลางชี้มือทำท่าประกอบ เขาอึกอักเล็กน้อยตอนถูกน้องสาวตัวดีทักท้วง เพราะปกติเวลามาที่นี่ เขามักจองโต๊ะมุมสนุกๆ ด้านหน้าไว้ให้ แต่คราวนี้กลับเลือกโต๊ะอีกมุมซึ่งอยู่ตรงข้ามแทน

“มากันแค่สองคน เฮียเป็นห่วง ถ้าเรานั่งตรงนี้จะได้ใกล้หูใกล้ตาเฮียด้วยไง”

จริงๆ แล้วเรื่องนี้ก็มีส่วน เพราะปกติเฟื่องฟ้ามักพาเพื่อนมาหลายคน แต่คราวนี้มากันแค่สองสาว เขาจึงอดเป็นห่วงไม่ได้ เขาไม่คิดก้าวก่ายความสนุกของน้อง แต่อย่างน้อยขอให้อยู่ใกล้หูใกล้ตาก็ยังดี เผื่อมีอะไรเกิดขึ้นเขาจะได้ช่วยเหลือทัน

“โต๊ะนี้ก็ดีนะเฟื่อง ดูไม่ค่อยวุ่นวายดี” เห็นสีหน้าเพื่อนเป็นกังวล รินลดาจึงช่วยพูดอีกแรง

“เอางั้นเหรอ แกโอเคนะ”

“อื้ม โอเค”

รินลดาคิดว่ามุมนี้ก็ไม่เลวเท่าไร เพราะจริงๆ มันไม่ได้แย่หรือเป็นมุมลึกอย่างที่เฟื่องฟ้าว่า ออกจะอยู่ในจุดที่มองเห็นมุมอื่นๆ ของร้านค่อนข้างชัดทีเดียว

“ก็ได้ค่ะ งั้นเฟื่องกับรินนั่งโต๊ะนี้” 

จอมทัพยิ้มกว้าง คนโตกว่าแอบถอนหายใจเบาๆ เมื่อทุกอย่างเข้าที่เข้าทาง ก่อนเขาจะหันไปยิ้มขอบคุณเพื่อนน้องสาวที่ช่วยพูดอีกแรง 

“ถ้างั้นก็ตามสบายกันเลยนะ มีอะไรโทร. หาเฮีย เดี๋ยวเฮียไปดูลูกค้าก่อน ตามสบายนะคะน้องริน” 

รินลดาพยักหน้ารับยิ้มๆ หลังพี่ชายเพื่อนสนิทขอตัวไปดูแลร้าน โต๊ะตัวเล็กที่ค่อนข้างเป็นส่วนตัวก็เหลือเพียงสองสาว เฟื่องฟ้าที่มีประสบการณ์มากกว่าจึงอาสาสั่งเครื่องดื่มและของกินเล่นมาเช่นทุกครั้ง ซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นเมนูที่พวกเธอมักสั่งประจำเวลามานี่ที่นั่นเอง

“โอเคขึ้นบ้างไหม”

เสียงของเฟื่องฟ้าแทบจะกลายเป็นตะโกนเพราะต้องแข่งกับเพลงจังหวะหนักๆ ที่กำลังปลุกเร้า กระตุ้นเหล่านักท่องราตรีให้ขยับโยกไปตามจังหวะอย่างสนุกสนาน 

“อื้ม ก็ดี เพลงเพราะดี” 

รินลดาตอบตามจริง ออกจะติดตลกเล็กน้อย ทั้งไม่อยากให้เพื่อนเป็นห่วง และไม่อยากให้เสียบรรยากาศ เพราะอย่างน้อยการมาอยู่ที่นี่ก็ดีกว่าการอยู่ห้องคนเดียวจริงๆ 

“เชื่อสิว่ามันต้องมีอย่างอื่นดีกว่าเพลง”

ส่วนหญิงสาวอีกคนก็กล่าวอย่างมาดมั่น เฟื่องฟ้าขยิบตาขยุกขยิกจนคนมองหลุดขำไปหลายหน พวกเธอคุยกันต่ออีกหลายเรื่อง แต่ยังไม่หลุดจากเป้าหมายที่ตั้งไว้เสียทีเดียว

แน่นอนว่าการมาครั้งนี้วัตถุประสงค์ของสาวโสดสองคนย่อมชัดเจน โดยเฉพาะเฟื่องฟ้าที่หมายมั่นปั้นมือสร้างความมั่นใจให้เพื่อนรัก เธอไม่อยากอวย แต่รินลดาเป็นคนสวยและมีเสน่ห์ แถมนิสัยใจคอโดยรวมยังสุดแสนจะน่ารัก มองไปทางไหนก็ไม่มีมุมน่าเกลียด คุณอาข้างบ้านคนนั้นถือว่าพลาดมากที่ปฏิเสธเพื่อนเธอ!

“จริงๆ ก็ดีกว่าอยู่ห้องคนเดียวนั่นแหละ ขอบใจมากที่ชวนมา”

“มาขอบจงขอบใจอะไรกันเล่า แกเป็นเพื่อนฉันนะ เรื่องแค่นี้โคตรเล็กน้อยเลย”

ไม่ใช่แค่เรื่องนี้หรอกที่รินลดารู้สึกขอบคุณ เธอรู้ดีว่าเหตุผลที่เฟื่องฟ้ามาขลุกอยู่กับเธอทั้งวัน แถมตอนนี้ยังพาออกมาข้างนอก เพราะเฟื่องฟ้าไม่อยากให้เธอจมอยู่กับความเศร้า ไม่อยากให้เธออยู่คนเดียว เพราะคนอกหักส่วนใหญ่มักจมดิ่งในเวลาแบบนี้ทั้งนั้น

“ไม่เอา ไม่เศร้าแล้ว ดูนั่นสิ! มองไปที่สิบนาฬิกา” 

รินลดาค่อยๆ หันมองไปทางสิบนาฬิกาที่เพื่อนส่งให้อย่างแนบเนียน แล้วเธอก็เห็นชายหนุ่มคนหนึ่งกำลังยกแก้วเครื่องดื่มขึ้น ท่าทางแบบนั้นไม่ต้องเดาก็รู้ว่าต้องการสานสัมพันธ์ 

“แต่ว่านั่นโต๊ะเฮียทัพไม่ใช่เหรอ หรือจะเป็นเพื่อนเฮีย” เฟื่องฟ้าวิเคราะห์สถานการณ์ ก่อนจะพูดต่อเมื่อเห็นเพื่อนในกลุ่มของพี่ชายอีกสองสามคนที่เธอจำได้ 

“ฉันว่าต้องใช่แน่ๆ แต่ไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าเฮียมีเพื่อนงานดีแบบนี้”

วิเคราะห์จบก็หัวเราะคิกคัก คราแรกเธอตั้งใจจะชงเพื่อนเล่นๆ เพราะรู้ดีว่ารินลดาคงไม่สนใจใครในเวลานี้ แถมการพบรักในสถานบันเทิงก็ดูจะไม่ใช่แนวเพื่อนของเธอสักเท่าไร แต่พอเห็นว่าอีกฝ่ายเป็นเพื่อนพี่ชาย แน่นอนว่าโพรไฟล์แต่ละคนย่อมไม่ธรรมดาอยู่แล้ว เฟื่องฟ้าจึงคิดว่าคงไม่เสียหาย หากเพื่อนรักของเธอจะเปิดใจรับใครอีกสักคนเข้ามาเป็นตัวเลือก

แต่ในขณะที่น้องสาวยิ้มกริ่มวางแผนในหัวเป็นฉากๆ หารู้ไม่ว่าหัวใจของพี่ชายร่วงลงไปกองบนพื้นตั้งแต่เห็นเพื่อนในกลุ่มยกแก้วเครื่องดื่มขึ้นให้รินลดาแล้ว

จอมทัพที่กลับมาถึงโต๊ะพอดีแทบจะปัดมือข้างนั้นของเพื่อนลง มันก็ยกไม่ดูตาม้าตาเรือเอาเสียเลย เพราะถ้ามองถัดจากนั้นไปอีกนิดก็คงได้เห็นใบหน้าถมึงทึงของใครบางคนอยู่หลังหญิงสาว

กลิ่นอายความไม่สบอารมณ์เข้มข้นแทบทะลุความมืด แผ่กว้างจนเขาแทบจะสั่งเปิดไฟในร้านให้เพื่อนเห็นเต็มตาว่าสนใจคนผิด! แล้วก็ไม่ผิดจากที่เขาคิดเลยสักนิด เพราะระหว่างที่เพื่อนยังยกแก้วค้าง ข้อความในโทรศัพท์ของเขาก็สั่นครืดทันที

‘หมอนั่นเป็นใคร’

‘งานเข้าจนได้!’

จอมทัพแทบจะทำโทรศัพท์หลุดมือเมื่ออ่านข้อความจบด้วยความที่เขาทั้งเคารพและเกรงใจ ‘หุ้นส่วนใหญ่’ ของร้าน ความจริงที่ไม่มีใครรู้ว่าหุ้นส่วนเกินครึ่งของร้านนั้นคือเฮียธีที่เขานับถือไม่ต่างจากพี่ชาย 

จอมทัพเย็นสันหลังวาบๆ รีบตอบข้อความของคนที่บอก ‘ไม่เคยคิดอะไร’ กับเพื่อนน้องสาวเขา แต่ในเวลานี้ดันจี้ถามเขาว่าผู้ชายที่ยกแก้วให้ ‘คนของตัวเอง’ คือใคร 

ต่อให้คนทั้งโลกมองไม่ออก แต่คนที่เฝ้าสังเกตมาโดยตลอดอย่างเขาเรียกว่ามองออกทะลุปรุโปร่งทีเดียว

‘เพื่อนผมเองครับ มันคงแค่เห็นน้องน่ารัก เฮียไม่ต้องคิดมากหรอก’

ได้ทีใส่ไฟไปเล็กน้อย แต่จะเรียกใส่ไฟคงไม่ถูกนัก เพราะเพื่อนของเขาก็ไม่ใช่เล่นๆ เช่นกัน นิสัยกับโพรไฟล์ถือว่าดีและเหมาะสม ปกติมันไม่เคยสนใครง่ายๆ ทว่าตั้งแต่ที่รินลดาเดินเข้ามาในร้าน เขาเห็นมันมองไม่วางตา พอเห็นแบบนี้เขาจึงต้องรีบเตือนพี่ชายคนสนิทให้ทำอะไรสักอย่าง ขืนชักช้าจอมทัพก็ไม่มั่นใจว่าตัวเองจะเอาอยู่หรือไม่

คนหนึ่งก็เพื่อน อีกคนก็พี่ชายที่เคารพ 

เฮ้อ

เกิดเป็นเขานี่มันลำบากจริงๆ 

จอมทัพเวิ่นเว้ออยู่ในใจ ไม่ทันไรดวงตาของเขาก็เบิกกว้างแทบถลน เมื่อคนที่เขาหมายมั่นให้ทำอะไรสักอย่างดูเหมือนจะทำเร็วกว่าที่คิด ผ่านไปไม่ถึงนาที เขาก็เห็นพี่ชายคนสนิทเดินเข้าไปประชิดตัวสองสาวเสียแล้ว

‘ฉิบหาย!’ 

จอมทัพตะโกนร้องอยู่ในใจอย่างคนชนักติดหลัง สงสัยคราวนี้คงมีคนซวยแบบไม่ต้องสงสัย เขาได้แต่ภาวนาว่าเฮียจะไม่โกรธจนถอนหุ้นร้านออกไปจนหมด

ทางฝั่งสองสาวซึ่งยังไม่รู้เรื่องรู้ราวยังทำตัวร่าเริงเป็นปกติ เฟื่องฟ้ายุเพื่อนสนิท ทำปากขมุบขมิบให้รินลดายกแก้วขึ้นตอบรับเพื่อนพี่ชาย ทว่าบรรยากาศที่อยู่ๆ ก็เย็นเยียบขึ้นจากข้างหลังทำเอาหญิงสาวต้องรีบหันกลับไปมอง แล้วถึงกับเบิกตาค้างเมื่อเห็นว่ามีใครบางคนยืนอยู่

อาธี!

เขามาอยู่ที่นี่ได้ยังไง!

เฟื่องฟ้าหัวใจหล่นวูบตอนเห็นใบหน้าถมึงทึงนั้น เธออยากสะกิดบอกเพื่อนรักให้รู้ตัว แต่ไม่ทัน เพราะทันทีที่แก้วเครื่องดื่มของรินลดาถูกยกขึ้น ชายผู้มาใหม่ก็คว้าจากมือเธอไปแล้วกระดกเข้าปากรวดเดียวจบ

“อาธี!”

“อืม อาเอง”

“มาอยู่ที่นี่ได้ยังไงคะ!”

ดวงตาคู่สวยของรินลดาเบิกค้าง พอหันไปมองเพื่อนที่มีอาการไม่ต่างกัน เธอถึงมั่นใจว่าไม่ได้ตาฝาด 

“อาต่างหากที่ต้องถามเรา ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่”

เสียงนั้นฟังก็รู้ว่าดุดันและเต็มไปด้วยความไม่พอใจแข่งกับเสียงเพลง ทำให้ยิ่งเสียงเพลงดังเท่าไรก็ยิ่งเหมือนประโยคที่เขาเอ่ยจะยิ่งหนักแน่นกว่าเดิมหลายเท่า

“ริน ริน...”

หัวใจของรินลดาเต้นแรงเพราะความตื่นตระหนก เธอยังจับต้นชนปลายไม่ถูกเมื่อเห็นคุณอาข้างบ้านมายืนทำหน้าถมึงทึงเกรี้ยวโกรธอยู่ตรงหน้า คนเด็กกว่าเตรียมคิดหาคำอธิบายเหมาะๆ สำหรับเหตุการณ์นี้ด้วยความคุ้นชิน แต่พอนึกย้อนกลับไปตั้งแต่ต้นว่าเธอไม่ได้ทำอะไรผิด ถึงคิดได้ว่าแล้วทำไมเธอต้องมานั่งหาคำอธิบายให้เขาฟังด้วย

นั่นสิ ในเมื่อไม่ผิด แล้วทำไมต้องอธิบายด้วย!

“รินไม่เห็นจำเป็นต้องตอบ อาธีไม่ใช่ผู้ปกครองของรินสักหน่อย”

ใบหน้าเรียวเล็กของรินลดาเชิดขึ้นด้วยความถือดี เพราะคิดว่าตัวเองไม่มีความผิด ทว่าพอพูดจบข้อมือกลับถูกเขาจับเอาไว้ หญิงสาวมองคุณอาข้างบ้านหน้าตาตื่น พยายามสะบัดมือออก แต่เหมือนจะไม่ได้ผล

“จะเอาแบบนี้ใช่ไหมริน”

คนถูกยียวนกัดฟันตอบด้วยน้ำเสียงกดต่ำ ธีรดนย์แทบจะจับไหล่บางของคนตรงหน้ามาเขย่าสักทีสองทีข้อหาพูดจาไม่น่ารัก แต่เขายังพยายามข่มกลั้นอารมณ์พลุ่งพล่านในอกเอาไว้อย่างสุดความสามารถ 

เขายังมีเรื่องต้องคุยกับรินลดา และแน่นอนว่าไม่ใช่คุยกันที่นี่!

“รินไม่เอาอะไรทั้งนั้นละค่ะ รินแค่ออกมาดื่ม รินไม่ได้ทำอะไรเสียหาย แล้วอาธีก็ไม่มีสิทธิ์มาก้าวก่ายรินด้วย”

คุณอาข้างบ้านอย่างเขาหมดสิทธิ์ในการตักเตือนหรือต่อว่าเธอตั้งแต่วันที่เขาไล่เธอออกจากบ้านแล้ว ทว่าเจ้าตัวคงไม่รู้ว่าถ้อยคำโต้ตอบนั้นคือฟางเส้นสุดท้ายที่ทำให้ความอดทนของชายหนุ่มขาดผึง 

ธีรดนย์กระชับข้อมือเล็กของคนเด็กกว่าให้แน่นขึ้น แต่ก็รักษาแรงไม่ให้เธอเจ็บหรือแน่นเกินไป ในเวลานั้นเองที่หนุ่มรุ่นน้องอย่างจอมทัพเดินปรี่เข้ามาหา เขาจึงถือโอกาสออกคำสั่งกลายๆ ถึงหญิงสาวอีกคนที่ยังมองตาค้างไม่ต่างกัน

“ฝากดูเฟื่องด้วย ส่วนรินเดี๋ยวเฮียพากลับเอง”

“ไม่ต้องห่วงครับ ทางนี้เดี๋ยวผมดูแลเอง”

ชายหนุ่มสองคนตกลงกันเสร็จสรรพ ไม่ได้ถามไถ่ความสมัครใจเจ้าของชื่อในบทสนทนาแม้แต่น้อย จอมทัพผละไปหาน้องสาวที่ดูเหมือนจะตกใจ แต่ยังพอรับรู้สถานการณ์ ส่วนหญิงสาวอีกคนนั้นถูกรุ่นพี่ที่เคารพพาเดินออกไปเรียบร้อยแล้ว

“อาธีปล่อยรินนะ รินไม่กลับกับอาธี รินจะกลับพร้อมเฟื่อง” 

ยื้อมือออกจากมือใหญ่ของคุณอาข้างบ้านก็เหมือนจะเปลืองแรงเปล่า เพราะอีกฝ่ายไม่สะดุ้งสะเทือนแม้แต่น้อย เขาไม่ยอมคลายมือออก นอกจากไม่ปล่อยแล้ว ยังวาดท่อนแขนมาประคองด้านหลังเพื่อกันเธอออกห่างจากการเบียดเสียดของผู้คน ไม่สนใจเสียงร้องแง้วๆ ของคนข้างๆ อย่างเธอเลยสักนิด 

“นี่! อาธีไม่ได้ยินที่รินพูดหรือไงคะ รินจะฟ้องป้าดาว!” 

คนถูกพาเดินออกมานอกร้านขู่ฟ่อ รินลดารีบอ้างชื่อผู้ปกครองทันที หวังให้คนอายุมากกว่าเกรงใจ แต่นอกจากจะไม่ได้ผลแล้ว เสียงกระซิบชิดข้างหูก็คล้ายเป็นสัญญาณหยุดการดื้อดึงของเธอลงทั้งหมด

“อยากให้อาอุ้มไหม ลองดูก็ได้ริน เรารู้ดีว่าอาพูดจริงทำจริงแค่ไหน”

รินลดาฮึดฮัดขัดใจ แต่ไม่กล้าสะบัดมือออกจากการเกาะกุมของคนตัวใหญ่ เพราะเธอรู้ว่าคุณอาข้างบ้านคนนี้ไม่แค่ขู่เล่นๆ เขาทำจริงแน่ ถ้าเธอยังดื้อและไม่ยอมเชื่อฟัง

เสียงอึกทึกก่อนหน้าสงบลงไปมากเมื่อถูกพาออกมาด้านนอก รินลดาปล่อยให้คุณอาข้างบ้านจับจูงมือมาจนถึงรถยนต์คันหรูที่จอดอยู่ เธอเหนื่อยจะห้ามแล้ว เพราะทั้งขู่ทั้งทุบจนเจ็บมือเขาก็ยังไม่มีท่าทีจะปล่อยเธอหลุดจากพันธนาการ 

“ขึ้นไป”

ธีรดนย์ออกคำสั่งเสียงเรียบ เปิดประตูรถด้านหน้ารอเด็กดื้อที่ยังฮึดฮัดเพราะถูกขัดใจ ใบหน้าสวยหวานของเธององ้ำและบูดบึ้ง แต่พอเขาไม่ยอมใจอ่อน สุดท้ายเธอก็ต้องก้าวขึ้นไปรอบนรถอยู่ดี

‘เรื่องดื้อน่ะไม่มีใครเกิน’ คุณอาข้างบ้านถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนจะเดินอ้อมไปยังประตูฝั่งคนขับ กระชากเปิดและปิดลงไม่เบาแรงนัก 

“คาดเข็มขัด”

“...”

รินลดากอดอกนั่งนิ่ง เชิดหน้าอย่างต้องการประท้วงคนเผด็จการ ทว่ายังไม่ทันครบนาทีคนดื้อดึงกลับต้องหวีดร้องเสียงหลงเมื่อคนที่ออกคำสั่งก่อนหน้าโน้มตัวลงมาแล้วดึงเข็มขัดนิรภัยมาคาดให้

“อาธี!”

กริ๊ก!

เสียงปลดล็อกดังให้รู้ว่าทุกอย่างเสร็จสิ้น ทว่าคนโน้มหน้าลงมาใกล้กลับไม่ยอมผละห่าง แถมยังก้มลงมาใกล้จนคนถูกรุกรานอย่างเธอต้องกลั้นหายใจ 

“ทำไมอาโทร. หาเราไม่ติด”

คำถามที่เอ่ยขึ้นแบบไม่มีปี่มีขลุ่ยทำเอาคนถูกถามเม้มปากแน่น รินลดานั่งตัวลีบ กำโทรศัพท์มือถือที่วางบนตักจนมือแทบชื้นเหงื่อ จะให้เธอบอกออกไปได้อย่างไรว่าเธอบล็อกช่องทางการติดต่อของเขาทั้งหมดแล้ว

“ตอบอา”

“...”

คนถูกคาดคั้นไม่ยอมเปิดปาก ไม่กล้าแม้แต่จะขยับร่างกายไปไหนสักเสี้ยว กระดิกกระเดี้ยสักนิดก็ไม่เลย เพราะเพียงเท่านี้เธอก็ได้กลิ่นน้ำหอมอ่อนๆ ของอีกฝ่ายชัดเจนแล้ว เขาอยู่ใกล้เธอมาก ใกล้จนเธอไม่กล้าแม้แต่จะลืมตาขึ้นมอง เพราะกลัวว่าหัวใจที่เต้นแรงอยู่แล้วจะยิ่งเต้นแรงจนเขาได้ยิน

“อาจะนับหนึ่งถึงสาม...หนึ่ง”

ราวกับตกอยู่ในสงครามที่รินลดาเป็นฝ่ายถูกไล่ต้อน ด้านหน้าเป็นกองทัพมนุษย์ตัวใหญ่ยักษ์อย่างคุณอาข้างบ้าน ส่วนด้านหลังเป็นหน้าผาที่แค่ขยับเพียงก้าวเดียวร่างทั้งร่างของเธอก็ร่วงหล่น

“สอง”

“...!”

“สะ...”

“รินบล็อก!” 

สุดท้ายคนถูกต้อนให้จนมุมก็ร้องตะโกนออกไปอย่างพ่ายแพ้ รินลดาคิดว่าตัวเองเสียงดังสุดชีวิต แต่ความจริงแล้วมันทั้งสั่นเครือและไม่มั่นคง

“รินบล็อกอาธี บล็อกทั้งหมด ทั้งเบอร์โทรศัพท์ ทั้งไลน์ พอใจหรือยังคะ!”

เพราะเธอไม่อยากติดต่อกับเขา เพราะกลัวว่าตัวเองจะเผลอทำอะไรให้เขารำคาญใจอีก ถึงเลือกจะตัดทุกอย่างออกจากชีวิต 

หลายสัปดาห์ที่ผ่านมาผู้ชายคนนี้ไม่สนใจไยดีเธอด้วยซ้ำ เขาไม่แม้แต่จะถามว่าเธอเจ็บปวดเสียใจหรือเปล่า แต่พอเธอทำท่าจะมูฟออนเขากลับเป็นฝ่ายไล่ต้อนให้เธอจนมุมซ้ำแล้วซ้ำเล่า

“ถ้ารำคาญรินนัก อาธีก็ไม่ต้องมายุ่งสิ ถ้าเกลียดเด็กอย่างรินนัก ก็พารินไปส่งบ้าน รินสัญญาว่าต่อไปจะไม่มาให้อาธีเห็นหน้าอีก รินจะตัดใจจากอาธี แล้วเราก็ไม่ต้องมาเจอกัน...อื้อ!” 

ดวงตาคู่สวยของหญิงสาวเบิกกว้างเมื่อสัมผัสหนักๆ จากริมฝีปากคุณอาหนุ่มทาบลงมาบนกลีบปากของเธอ ต้นคอขาวถูกฝ่ามือใหญ่คว้าไว้ ก่อนที่สัมผัสร้อนผ่าวจะบดขยี้เล่นงานเธออย่างเอาแต่ใจ แนบชิดเสียจนไม่เหลือช่องว่างให้ขยับเขยื้อน เขาทั้งบดเบียดและรุกเร้าจนคนเด็กกว่าสั่นเทาไปทั้งร่าง

ธีรดนย์ขบเม้มกลีบปากนุ่มแรงๆ จนหญิงสาวสะดุ้ง เปิดทางให้เขาสอดปลายลิ้นเข้าไปด้านในอย่างถนัดถนี่ เกี่ยวกระหวัดกลืนกินจนสัมผัสถึงลมหายใจถี่กระชั้นของคนใต้ร่าง 

เขารวบฝ่ามือทั้งสองข้างที่ทุบอกเขาเข้าด้วยกัน พร้อมกันนั้นปลายลิ้นร้อนก็วกมาไล้กลีบปากอิ่ม คนอายุมากกว่าหยอกเย้าและแตะชิมจากด้านนอก ก่อนจะกดแทรกและดันมันเข้าไปด้านใน หยอกเย้าปลายลิ้นเล็กของเธอแรงๆ จนได้ยินเสียงร้องอู้อี้

“อื้อ”

ราวกับความหวานซ่านเล่นงานคนตัวโตกว่าจนร่างกายร้อนผ่าว ธีรดนย์สบถในลำคอเพราะความเผลอไผลจนพลอยควบคุมอะไรหลายๆ อย่างไม่อยู่ 

เขานอตหลุดเพราะคำว่า ‘ไม่ต้องมาเจอกันอีก’ รินลดาคิดจะหนีหน้าเขาเหมือนหลายสัปดาห์ที่ผ่านมาอย่างนั้นใช่ไหม ถ้าเป็นแบบนั้นเขาจะบอกว่าไม่ง่ายนักหรอก

ธีรดนย์ยอมรับว่าความรู้สึกของเขาชัดเจนในวินาทีที่รินลดาทำท่าจะสานต่อกับผู้ชายคนอื่น ความหวงแหนก่อนหน้าแล่นเข้ากระทบใจคุณอาหนุ่มอย่างเลี่ยงไม่ได้ ส่งผลให้ริมฝีปากร้อนบดเบียดเข้าหาคนตัวบางหนักหน่วงยิ่งขึ้น 

เคล้นคลึงและกลืนกินจนน้ำลายเหนียวใสเปรอะเปื้อน แต่ก็ถูกเขากวาดชิมทุกหยาดหยด แต่ก่อนทุกอย่างจะเลยเถิดไปมากกว่านี้ เขาจำเป็นต้องตัดใจจากริมฝีปากหวานฉ่ำอย่างแสนเสียดาย

“ปลดบล็อกทั้งหมดให้อาซะ”

เสียงกระซิบสั่นพร่า ริมฝีปากคนอายุมากกว่ายังแนบอยู่บนมุมปากของหญิงสาวไม่ยอมผละห่าง ธีรดนย์แอบสำรวจผิวแก้มของอีกฝ่ายที่เปลี่ยนเป็นสีแดงจัดน่ามอง พลางตั้งใจสงบสติอารมณ์ที่ตื่นเพริดของตัวเองให้เข้าที่เข้าทางอีกครั้ง

“รินไม่ อื้อ!”

ทว่าถ้อยคำปฏิเสธของเธอกลับเป็นจุดสิ้นสุดความอดทนของเขา กลีบปากหยักของคุณอาข้างบ้านบดเบียดลงไปอีกครั้ง คราวนี้ทั้งเรียกร้องและเอาแต่ใจกว่าเดิมเป็นเท่าตัว ฝ่ามือใหญ่กระชับกรอบหน้าเรียวไม่ให้มีโอกาสได้ขยับหนี พร้อมกันนั้นก็ป้อนจูบแสนดุดันให้คนในอ้อมแขนซ้ำแล้วซ้ำเล่า 

“ถ้าไม่ปลดอาจะจูบอยู่แบบนี้ ลองดูก็ได้ริน อามีเวลาเล่นกับเราทั้งคืน”

เขามีเวลาทั้งคืนจริงๆ และแน่นอนว่าถ้ารินลดายังดื้อดึง เขาก็พร้อมจะพิสูจน์

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น