1
ลดามันเลือดนักสู้
หลายสัปดาห์ก่อนหน้านั้น...
ภายในห้องนอนขนาดปานกลาง ไม่เล็กมาก แต่ก็ไม่ใหญ่ เตียงนอนขนาดควีนไซซ์ตั้งอยู่มุมหนึ่งของห้องปูด้วยผ้าปูที่นอนสีเขียว หมอนกับผ้าห่มกระจัดกระจายคนละทิศทาง ตู้เสื้อผ้าไม้ขนาดใหญ่ตั้งอยู่ปลายเตียง หน้าต่างเปิดทิ้งไว้ให้แสงแดดยามเย็นส่องเข้ามาภายใน แสงสีส้มอาบไล้รูปวาดสีน้ำมากมายที่แปะอยู่เต็มฝาผนัง ห้องนี้ไม่มีกลิ่นหอม มีเพียงกลิ่นสี กลิ่นกระดาษ กลิ่นกาวลาเท็กซ์ และกลิ่นอับอยู่นิดหน่อย ทว่าพอหลอมรวมกันแล้วกลายเป็นกลิ่นที่เจ้าของห้องชอบเหลือเกิน
ลดา พริ้มพรรณ หญิงสาววัยยี่สิบสามปี เจ้าของห้องนอนดังกล่าวบนชั้นสองของตึกแถว ชั้นล่างเป็นร้านทองขนาดใหญ่ ชื่อว่า ‘ห้างทองพริ้มพรรณ’ ตั้งอยู่ในย่านเยาวราช แหล่งชุมชนที่มีชาวไทยเชื้อสายจีนอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก
ร่างบางในชุดเสื้อยืดสีซีดกับกางเกงขาสั้น รวบผมเป็นมวยกลางศีรษะนั่งหลังค่อมอยู่บนโต๊ะทำงาน กำลังปักผ้าเช็ดหน้าอย่างตั้งอกตั้งใจขณะใส่หูฟังเสียงดนตรีไทยเดิมจากยูทิวบ์เพื่อจะได้เข้าถึงจิตวิญญาณของความเป็นกุลสตรีมากยิ่งขึ้น ข้างกายมีจานสีที่เริ่มแห้งกับพู่กันวางทับภาพที่ยังวาดไม่เสร็จ
ผ้าเช็ดหน้าสีขาวเตรียมปักลวดลายตัวอักษรภาษาอังกฤษพิมพ์ใหญ่สามตัวถ้วน ‘ICE’ ตามด้วยดอกทานตะวันกับรูปหัวใจเล็กๆ ที่มุมขวาล่าง
“โอ๊ย! เวรเอ๊ย” ลดาสบถ ก่อนจะสะบัดมือไปมาหลังจากทำเข็มตำนิ้วตัวเองเป็นรอบที่สามของวัน
“ซื้อเอาก็จบ หรือไม่แกก็ไปจ้างร้านที่ไหนก็ได้ให้ปักให้แก เสร็จแล้วก็ค่อยไปอ้างกับพี่ไอซ์ว่าแกทำเอง แค่เนี้ยง่ายๆ จะทำเรื่องง่ายให้เป็นเรื่องยากทำไม”
คำแนะนำแกมบ่นของเพื่อนสนิทอย่างอลินดังขึ้นในมโนสำนึกของลดาอีกครั้ง ตอนที่เธอบอกอลินว่าจะปักผ้าเช็ดหน้าให้อธิษฐ์เป็นของขวัญวันเกิด
“เออว่ะ แล้วทำไมเราไม่จ้างร้านทำวะ” คนต่อมความรู้สึกช้าปรารภกับตัวเองพลางถอนหายใจ ท้อแท้อยู่ได้ไม่นานก็ฮึบนั่งหลังตรงขึ้นมาอีกครั้ง ประกายตาเต็มไปด้วยความรัก ความปรารถนาอันแรงกล้า
“ไม่ได้! ต้องโชว์ให้พี่ไอซ์เห็นว่าเรามีความตั้งใจจริง สู้สิวะ น้ำหยดลงหินทุกวันสักวันมันต้องกร่อน ถึงจะหยดมา หนึ่ง สอง สาม สี่ปีแล้วก็เถอะ ถ้ารวมช่วงแอบรักเฉยๆ ด้วยก็เป็นเจ็ด”
ลดานั่งนับนิ้วมือของตัวเองไปพลางหัวเราะจนตัวโยน...เชื่อเหลือเกินว่าถ้าใครมาเห็นพฤติกรรมของเธอคงบอกเป็นเสียงเดียวกันว่าเธอเสียสติ ทั้งชอบคุยกับตัวเอง ไหนจะหัวเราะกับตัวเองคนเดียวอีก
แต่ลดาไม่คิดแบบนั้น เธอไม่เคยคิดว่าตัวเองบ้า การพูดคุยถกเถียงกับตัวเองเป็นเหมือนการสำรวจจิตใจ คนเราพูดคุยกับคนอื่น ฟังเสียงของคนอื่นมาเยอะมากพอแล้วในแต่ละวัน ทำไมจะพูดคุยกับตัวเอง ฟังเสียงของตัวเองบ้างไม่ได้ล่ะ
เวลาล่วงเลยผ่านไปจากหกโมงเย็นมาเป็นสามทุ่มครึ่ง ปะป๊ากับหม่าม้าของลดาเรียกกินข้าวสองรอบเธอก็ยังไม่ออกไป จนพวกท่านปิดร้าน อาบน้ำเข้านอนกันแล้ว
ฉับ~
ลดาตัดเส้นด้ายเส้นสุดท้ายออก ในที่สุดผ้าเช็ดหน้าปักลวดลายสวยงาม เอ่อ...บูดๆ เบี้ยวๆ นิดหน่อยก็เสร็จสมบูรณ์ออกมาเป็นรูปเป็นร่างพร้อมใส่กล่องเป็นของขวัญให้คนพิเศษ
หญิงสาวฟุบนอนลงบนโต๊ะ กะว่าจะพักสายตาแป๊บหนึ่งแล้วจะลงไปหาอะไรกิน จากนั้นจะรีบเข้านอน เนื่องจากพรุ่งนี้เช้าเธอต้องไปทำงาน แต่เพราะความง่วงบวกความอ่อนเพลียทำให้เธอผล็อยหลับไป แม้ในยามหลับ จิตใจของเธอก็ยังพะวงถึงอธิษฐ์
“ที่รัก...”
เสียงทุ้มนุ่มดังอยู่ใกล้หู ลดาจำได้ดีว่าเป็นเสียงของอธิษฐ์ นึกแปลกใจว่าเขามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร แต่เธอก็ง่วงเกินกว่าจะลืมตามอง ทำได้เพียงขานรับ
“หืม พี่ไอซ์เหรอคะ”
“ถ้าไม่ใช่พี่ ใครจะเข้ามาปลุกดาได้แบบนี้ครับ ตื่นได้แล้ว” อธิษฐ์ยังคงรบเร้า คราวนี้ไม่ใช่แค่เสียง เธอรู้สึกได้ถึงสัมผัสอุ่นร้อนข้างแก้ม เขาหอมแก้มเธออยู่เหรอ
“ตื่นไปไหนอะ” ลดาพึมพำถาม
“ไปส่งเอเดนที่โรงเรียนไงครับ ลุกไหวไหม หรือจะให้พี่ไปส่งคนเดียว”
“เอเดนคือใครคะ” คิ้วเรียวขมวดมุ่น
“ลูกชายของเรา”
คำตอบที่ได้รับทำลดาตกใจจนสะดุ้งตื่น ร่างบางโผเผยันตัวเองขึ้นมานั่ง เช็ดคราบน้ำลายที่มุมปาก ดูนาฬิกาในสมาร์ตโฟนบอกเวลาสี่ทุ่ม เธอหลับไปครึ่งชั่วโมงเต็มๆ
ลดาไม่ได้รู้สึกประหลาดใจกับฝันหวานนี้มากนัก เธอไม่ได้มีเซนส์หยั่งรู้อนาคตหรืออดีตชาติเหมือนใครบางคนหรอก... มันแค่เกิดขึ้นจากความมโนที่เธอวางแผนเอาไว้ชัดเจนต่างหาก
อนาคตเธออยากจะมีลูกชายน่ารักๆ กับอธิษฐ์สักคน เลยเอาชื่อเล่นของเขากับชื่อเล่นของเธอมารวมกันเพื่อตั้งชื่อลูก
ไอซ์บวกดา กลายเป็น ‘เอเดน’
ฟังดูเลิศมากใช่ไหมล่ะ คิดชื่อลูกแล้ว แต่ยังไม่ได้แตะแขนพ่อของลูกเลยแม้แต่ปลายก้อย
เจริญจริง แม่สาวเลือดนักสู้
วันต่อมาที่คฤหาสน์ของครอบครัวเศรษฐกุล กล่องของขวัญสีชมพูผูกริบบิ้นสีเงินถูกเลื่อนมาตรงหน้าของ อธิษฐ์ เศรษฐกุล ชายหนุ่มผู้มีสิริอายุครบสามสิบปีบริบูรณ์ในวันนี้
“ให้อีกกล่องเหรอ”
ใบหน้าหล่อเหลาหันไปมองน้องสาวคนเดียว นึกแปลกใจในความใจกว้างใจดีผิดปกติของอีกฝ่าย
“ฝันไปเถอะค่ะ แค่รองเท้าที่ซื้อให้ก็ขูดเลือดขูดเนื้ออิงค์ไปเยอะแล้วนะ” อลินกลอกตามองบน ยอบตัวนั่งลงบนเก้าอี้ข้างพี่ชาย
อธิษฐ์ได้แต่ไหวไหล่ ไม่อยากย้อนว่าทีวันเกิดของแม่ตัวดีเขาซื้อรถให้เป็นของขวัญยังไม่ปริปากบ่นสักคำ พอวันเกิดของเขาบ้าง ซื้อรองเท้าคู่ละไม่กี่หมื่นให้บ่นจะเป็นจะตาย
น้องสาวใครก็ไม่รู้ เขี้ยวจริง
“แล้วสรุปว่านี่ของใคร”
“ของไอ้ดา มันฝากมาให้”
เมื่อรู้ว่าเจ้าของของขวัญชิ้นนี้เป็นใคร ชายหนุ่มก็นิ่งไป
“แกะเลยสิ ไอ้ดามันตั้งใจทำม้ากกกก แกะเลยเร้ว”
อลินเชียร์สุดใจ เพราะอยากเห็นปฏิกิริยาของพี่ชายเมื่อได้เห็นของขวัญ จะได้เอาไปเมาท์มอยกับลดาถูก
“ไม่ละ ไว้ค่อยแกะทีหลัง” อธิษฐ์ไสกล่องของขวัญดังกล่าวไปไกลจนสุดขอบโต๊ะอาหารตัวยาว
“อ้าว! พี่ไอซ์นะพี่ไอซ์ จะแกะดูสักหน่อยก็ไม่ได้ ดามันอุตส่าห์หลังขดหลังแข็งนั่งทำ”
ดาราสาวบ่นอย่างหงุดหงิด มองค้อนพี่ชายอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะละสายตามาจดจ่อบนหน้าจอสมาร์ตโฟน ปลายนิ้วพิมพ์ข้อความรายงานสถานการณ์ให้คนที่กำลังจดจ่อรอคอยอยู่อีกฟากของเมืองได้รับทราบ
อ.อิงค์ : ไม่แกะ
ด.ดา : เรื่องปกติ ถ้าพี่ไอซ์แกะสิแปลก 555
อลินถอนหายใจเฮือกใหญ่ รู้ว่าภายใต้เลขห้าของเพื่อนรักมีความเสียใจซ่อนอยู่มากมาย แต่ทำไงได้ พี่ชายของเธอมันเย็นชาสมชื่อ
ลดาให้ของขวัญอธิษฐ์โดยฝากผ่านเธอมาหกปี รวมปีนี้ด้วยก็ครบเจ็ด อธิษฐ์ไม่เคยแกะของขวัญให้เห็น ทั้งลดาเองก็ไม่เคยให้ของขวัญกับมือ เพราะไม่เคยมีโอกาสได้มาร่วมฉลองวันเกิดของอธิษฐ์ แม้เธอจะเคยขอร้องแกมคะยั้นคะยอพี่ชายให้ลดามาร่วมฉลองด้วย เขาก็ยังคงยืนกรานคอนเซปต์เดิม
‘อิงค์ก็รู้ว่าพี่ชอบฉลองวันเกิดเฉพาะกับคนในครอบครัวเท่านั้น’
ซึ่งอลินไม่สามารถหาข้อโต้แย้งในจุดนี้ได้ เพราะแม้แต่บรรดากลุ่มเพื่อนของพี่ชายก็ยังไม่เคยได้มาร่วมฉลองวันเกิด นับประสาอะไรกับเพื่อนน้องสาวอย่างลดา ต่อให้ลดาจะสนิทสนมกับเธอ สนิทสนมกับบิดา มารดาของเธอมากแค่ไหนก็ตาม
“สองพี่น้องทำหน้ามุ่ยเชียว โตแล้วยังทะเลาะอะไรกันอีกฮึ”
เสียงทักทายดังมาจากประตูทางเข้าห้องอาหาร อธิษฐ์กับอลินหันมองพร้อมเพรียงกัน จึงพบว่าบิดากับมารดาในชุดเสื้อผ้าสบายๆ เดินจูงมือกันเข้ามา ตามด้วยแม่บ้านที่เข็นรถเข็นอาหารมากมายเตรียมพร้อมเสิร์ฟเป็นมื้อเย็น ฉลองวันเกิดทายาทคนโตของครอบครัว
“อ้าว แล้วนี่ของขวัญใครกันล่ะเนี่ย” ธีร์ บิดาของสองพี่น้องและเป็นหัวหน้าครอบครัวเศรษฐกุล หยิบกล่องของขวัญสีชมพูที่วางอยู่สุดขอบโต๊ะขึ้นมาพิจารณา
“ของพี่ไอซ์นั่นแหละค่ะคุณพ่อ ดามันฝากมาให้ อิงค์บอกให้แกะดูสักหน่อยก็ไม่ยอมแกะ” อลินบอกเสียงหงุดหงิด
“ถ้าอยากดูนักก็แกะเองเลย ไม่ต้องมาบีบบังคับคนอื่นเขา” อธิษฐ์ผลักศีรษะน้องสาวเบาๆ อย่างมันเขี้ยว
“อิงค์ไม่ได้อยากดูเอง! อิงค์อยากให้พี่ไอซ์ดูเข้าใจมั้ย เวลาไอ้ดามันฝากของขวัญวันเกิดมาให้ทีไร พี่ไอซ์ไม่เคยแกะให้เห็นสักปี ไม่รู้ว่าแอบเอาไปทิ้งทีหลังหรือเปล่า”
“เว่อร์เกินแล้วอิงค์ เล่นละครมากไปใช่ไหมฮึ”
“ก็พี่ไอซ์...”
“พอๆ ทะเลาะกันอีกแล้วนะ ทำตัวเป็นเด็กๆ ไปได้” นิสาผู้เป็นมารดารีบห้ามปรามศึกสายเลือดระหว่างลูกชายกับลูกสาว ซึ่งทะเลาะกันแทบทุกวันตั้งแต่เล็กจนโต
“แต่จะว่าไปก็จริงอย่างที่อิงค์พูดนะ แม่เห็นหนูดาฝากของขวัญมาให้ไอซ์ทีไรก็ทำหน้าไม่ยินดียินร้าย อคติอะไรกับเขาหรือเปล่าฮึ” นิสามิวายตั้งคำถามกับคนเป็นลูกชาย
“ผมไม่เคยอคติครับ คุณแม่กับยายอิงค์เลิกพูดให้ผมดูแย่เสียที” อธิษฐ์ถอนหายใจ บ้านเขาทั้งบ้านชอบคิดไปเองเป็นตุเป็นตะอยู่เรื่อย
“งั้นพ่อขอแกะดูได้ไหม” บิดาชูกล่องของขวัญในมือ
“เชิญครับ” เขาเอ่ยปากอนุญาตทันทีแบบไม่คิดอะไร เพราะอยากรีบจบปัญหาลงเสีย
“โอ้โห ผ้าเช็ดหน้าปักลายน่ารักเชียว” นิสาออกปากชมขณะยื่นหน้าไปดูผ้าเช็ดหน้าผืนสีขาวที่สามีนำออกจากกล่องมากางออก
“ปักคำว่า ICE มีดอกทานตะวันกับรูปหัวใจ ใช่ไหม...” ธีร์หรี่ตามอง
“ดามันปักเองเลยนะคะ ตั้งใจมาก” อลินนำเสนอด้วยความภาคภูมิใจแทนเพื่อน
“ในกล่องนี้มีจดหมายด้วย น่าจะเป็นจดหมายอวยพร แต่พ่อไม่ถือวิสาสะอ่านของแกหรอก เอาไปอ่านเอง”
ชายสูงวัยปิดฝากล่องของขวัญแล้วส่งให้ลูกสาวส่งต่อไปยังลูกชายอีกที
“แต่ถ้าแกไม่อยากได้ผ้าเช็ดหน้านี่พ่อขอได้ไหม” เขาแสร้งหยั่งเชิงถาม
“ผ้าเช็ดหน้าปักชื่อผมไปแล้วไม่ใช่เหรอครับ ผมว่าคุณพ่ออย่าเอาไปใช้ดีกว่า”
“อ้อ...ก็จริงนะ ปักชื่อแกไปแล้วมันก็เป็นของแก พ่อเอาไปใช้คงดูไม่ดีเท่าไหร่” ธีร์พูดยิ้มๆ แล้วส่งต่อผ้าเช็ดหน้าในมือให้เจ้าของที่แท้จริงไป
“หนูดานี่น่ารักเสมอต้นเสมอปลายเลยเนอะ” นิสาคลี่ยิ้มเอ็นดูยามนึกถึงสาวหมวยเพื่อนสนิทของลูกสาว ท่าทีโก๊ะๆ จริงใจและใสซื่อ แต่ก็ไม่ได้โง่ ดูฉลาด รู้เท่าทันคนพอสมควรทำให้หล่อนประทับใจ
“ใช่ไหมคะคุณแม่ เพื่อนอิงค์น่ารักกกก” อลินลากเสียงยานคางพลางเหลือบตามองพี่ชายที่กำลังพับเก็บผ้าเช็ดหน้าใส่กล่องของขวัญตามเดิม
“ทานข้าวกันเถอะครับ เดี๋ยวอาหารจะเย็นหมด”
อธิษฐ์ตัดบทกลายๆ ก่อนที่สมาชิกในครอบครัวทั้งหมดจะนั่งลงรับประทานอาหาร พูดคุย หัวเราะสนุกสนานเฮฮา บรรยากาศเคยเงียบเหงาร้างรากลับมาครึกครื้นและอบอุ่น เพราะสมาชิกทุกคนอยู่พร้อมหน้า ปิดท้ายด้วยการร้องเพลงแฮปปีเบิร์ทเดย์ให้ชายหนุ่มเป่าเทียนเลขสามสิบบนยอดเค้กชั้นที่สาม
อีกฟากหนึ่งของเมือง ลดากำลังเดินเตร็ดเตร่ในชุมชนหลังจากเลิกงาน แสงแดดสีส้มยามเย็น จราจรติดขัด ผู้คนขวักไขว่วุ่นวาย เสียงดังเอะอะ เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันของเธอไปแล้ว
ลดาจิ้มขนมจีบเจ้าประจำที่ซื้อติดมือมาด้วยระหว่างทางกลับบ้านใส่ปากเคี้ยวตุ้ยๆ ใบหน้าของสาวหมวยเซ็งและเบื่อหน่ายเต็มที กินไปก็ถอนหายใจไป
ชีวิตของพนักงานตำแหน่งกราฟิกดีไซน์เล็กๆ มันช่างน่ารื่นรมย์เสียจริง ลูกค้าจุกจิกจู้จี้ เจ้านายบ่นว่า แถมยังชอบวิจารณ์รูปร่างหน้าตาของเธอโดยเห็นว่ามันเป็นเรื่องตลกขบขัน แม้ลดาอยากจะเถียงออกไปเต็มทนว่าสมัยนี้แล้วนะคะ เขาเลิกวิจารณ์รูปร่างหน้าตาเชื้อชาติกันหมดแล้วค่ะ ถ้าพี่ยังพูดจาแบบนี้สักวันอาจโดนคนเขากระทืบเอาได้
แต่ลดาไม่กล้าหรอก เธอยังอยากทำงานนี้อยู่ ต่อให้บางครั้งมันจะ Toxic กับชีวิตของเธอ เธอก็ยังได้ทำงานที่รักและถนัด เธอยังรู้สึกถึงการได้ใช้ชีวิตมากกว่าอยู่เฝ้าร้านทองเฉยๆ อย่างที่ปะป๊ากับหม่าม้าของเธอต้องการ
ไม่นานนักลดาก็เดินเท้ากลับมาถึงบ้าน เพราะระยะทางจากร้าน Big Shop ที่เธอทำงานอยู่ถัดออกไปแค่สามซอย เดินสิบนาทีก็ถึงแล้ว นี่จึงเป็นเหตุผลที่เธอสามารถทำงานที่นี่ได้เพราะมันอยู่ใกล้บ้าน ลำพังออกไปหางานไกลๆ เช่าห้องพักอยู่ข้างนอกด้วยเงินเดือนหมื่นห้าคงไม่พอประทังชีวิต อีกเหตุผลที่สำคัญคือปะป๊ากับหม่าม้าของเธอค่อนข้างหวงและเป็นห่วง จึงไม่ยอมให้ไปไกลหูไกลตา
‘หวง’ ทั้งที่อายุยี่สิบสามย่างยี่สิบปีแล้วนี่ละ
“กลับมาแล้วเหรอ” หม่าม้าที่นั่งกดเครื่องคิดเลขอยู่บนเคาน์เตอร์เอ่ยทักทายเหมือนอย่างทุกครั้ง เมื่อลดาผลักบานประตูกระจกใสเข้าไป แอร์เย็นโชยมาปะทะใบหน้าชุ่มเหงื่อพอให้หายใจโล่งจมูก
“อืม” หญิงสาวรับคำเสียงเนือย เดินไปนั่งลงบนเก้าอี้ทรงสูงข้างมารดา
“ป๊าทำกับข้าวอยู่หลังบ้าน เดี๋ยวอีกสักพักคงเสร็จ” ลาวัลย์เงยหน้าจากเครื่องคิดเลข หันไปเพ่งพิศใบหน้าซีดเซียวของลูกสาว
“หน้าอมทุกข์ไม่มีสง่าราศีเอาเสียเล้ย ทำไม ทำงานมันเครียดหรือไง”
“นิดหน่อยน่ะม้า วันนี้อาเจ้ร้านเกาเหลาใส่ดาเต็มที่เลย อีหาว่าดาทำงานชุ่ย ทั้งๆ ที่ดาทำตามบรีฟของอีทุกอย่าง อีให้ดาแก้งานสามครั้งครบโควตาแล้ว ถ้าจะให้แก้อีกก็ต้องเสียเงินเพิ่มตามระเบียบ แต่อีไม่ยอม”
ร้าน Big Shop ที่ลดาทำงานเป็นร้านรับจ้างทำเกี่ยวกับสื่อสิ่งพิมพ์ทุกชนิด เช่น ป้ายโลโก้ ป้ายอิงค์เจ็ต ป้ายไวนิล สติกเกอร์ ฉลาก นามบัตร ป้ายสแตนดี แล้วแต่ลูกค้าจะเข้ามาติดต่อ ด้วยความที่เป็นร้านเล็กๆ พนักงานกราฟิกดีไซน์ก็มีแค่ลดาคนเดียว พนักงานส่วนที่เหลืออีกประมาณสี่ห้าคนจะเป็นฝ่ายผลิต ช่วงไหนมีออร์เดอร์เข้ามาเยอะก็จะมีการจ้างฝ่ายผลิตเพิ่ม
“แล้วเจ้านายลื้อไม่ช่วยพูดหน่อยหรือไงฮึ” คราวนี้เป็นเสียงปะป๊าของลดา อีกฝ่ายยืนเท้าเอวอยู่ตรงประตูทางเข้าหลังร้าน มาฟังตอนไหนเธอก็ไม่ทราบ
“ช่วงนี้เฮียบิ๊กเขาไม่ค่อยอยู่ร้านน่ะป๊า” หญิงสาวแก้ต่างให้เจ้านายผู้แสนประเสริฐ นอกจากจะไม่ค่อยอยู่ติดร้านแล้ว ถึงอยู่ก็ไม่เคยรับมือกับปัญหาอะไรสักอย่าง นั่งเล่นเกมไปวันๆ คนรับหน้าจึงต้องเป็นเธอ
“ป๊าก็บอกลื้ออยู่ทุกวี่ทุกวันว่าให้ลาออกมาช่วยกันเฝ้าร้าน มาช่วยกันทำมาค้าขาย เงินทองเราก็มีเยอะแยะ ต้องไปเป็นขี้ข้าเขาทำไม” มงคลว่าเสียงขุ่น เพราะลูกสาวคนเดียวไม่ยอมเชื่อฟังตนเอง
“งั้นก็ต้องให้ดาบอกป๊าอีกกี่ครั้งว่านั่นมันเป็นชุดความคิดเก่าเต่าล้านปี ดาอยากทำงาน ดาอยากหาเงินให้ตัวเองใช้” และที่สำคัญลดาไม่อยากอยู่ในระบบกงสีเลยสักนิด
“จะเก่าไม่เก่ายังไงสักวันลื้อก็ต้องสืบทอดกิจการของตระกูลเราต่อจากป๊ากับม้า ลื้อจะให้ป๊ากับม้าไปสู้หน้าบรรพบุรุษตอนตายไปแล้วได้ยังไงว่าลูกที่มีอยู่คนเดียวทอดทิ้งกิจการของตระกูลเราที่ทำมาตั้งแต่แรกเริ่ม!”
“ป๊าใจเย็นก่อน อย่าไปดุลูกสิ” ลาวัลย์รีบลุกจากเก้าอี้เดินเข้าไปหาสามี ลูบอกเบาๆ หวังให้ใจเย็นลง ไม่อยากให้เกิดศึกกลางบ้าน แต่คงไม่ทันแล้วเพราะตอนนี้ไฟจุดติดลูกสาวนางเต็มๆ
“แล้วยังไงเหรอป๊า กิจการที่ทำมาตั้งแต่สมัยบรรพบุรุษมันต้องทำต่อไปจนชั่วลูกชั่วหลานเลยเหรอ ตระกูลเรามันทำงานอย่างอื่นไม่ได้แล้วใช่ไหมนอกจากขายทอง!”
“อาดา!!!” มงคลหน้าแดงก่ำ มือไม้สั่นระริก
“ป๊ากับม้าไม่เคยถามความต้องการดาเลยสักครั้ง ดาชอบวาดรูป อยากเรียนศิลปะก็หาว่าเลอะเทอะ จบไปจะไปทำอะไรกินได้ ดายอมตามใจป๊ากับม้า เรียนมหา’ลัยใกล้บ้าน เรียนเอกภาษาจีนทั้งๆ ที่ไม่ได้ชอบด้วยซ้ำ ทั้งหมดนี้จบมาก็เพื่อมานั่งเฝ้าร้านทองไปจนแก่ตายเหรอ” ลดาเถียงเสียงสั่น ดวงตาเอ่อคลอน้ำตาจ้องหน้าบิดาผู้ให้กำเนิด
“อาดา พอแล้ว พอๆ ขึ้นห้องเอาของไปเก็บเถอะ แล้วเดี๋ยวค่อยลงมากินข้าว ป๊าเองก็พอได้แล้วนะ” ลาวัลย์ห้ามปรามสองฝ่าย เห็นน้ำตาลูกแล้วก็พาให้ใจอ่อนยวบ รีบดันสามีไปนั่งสงบสติอารมณ์อีกทาง
ลดาปาดน้ำตาลวกๆ คว้ากระเป๋าผ้าบนเคาน์เตอร์มาคล้องไหล่ เดินไปเปิดประตูหลังร้านเพื่อจะขึ้นห้องนอน มิวายได้ยินเสียงปะป๊าพึมพำบ่นไล่หลัง
“หึ ถ้ามีลูกชายสักคน อั๊วคงจะไม่ปวดหัวแบบนี้”
หญิงสาวรีบปิดประตู วิ่งขึ้นบันได หนีจากคำพูดร้ายๆ ของคนในครอบครัว ในที่สุดก็มาฟุบนั่งอย่างคนหมดแรงอยู่ตรงหน้าประตูห้องนอนของตัวเอง เธอเหนื่อยเหลือเกิน...เหนื่อยกับทุกอย่าง
ชีวิตลดาอยู่ภายใต้อำนาจของปะป๊ากับหม่าม้าที่มีแนวคิดอนุรักษนิยมสุดขั้ว เธอไม่มีทางได้เป็นอิสระเลย ลำพังจะเชิดหน้าออกจากบ้านไปหางานทำที่อื่นก็ไม่มีหวังในภาวะเศรษฐกิจแบบนี้ เงินเดือนน้อยนิดสวนทางกับค่าครองชีพสูงเสียดฟ้าจะไปด้วยกันได้อย่างไร อีกอย่าง เธอยังมีแผนอยากไปเรียนต่อด้านศิลปะที่ต่างประเทศ ถึงได้ยอมกล้ำกลืนอดทนทำงานเก็บเงิน ถึงครอบครัวของเธอจะพอร่ำรวยเงินทอง เธอก็ไม่มีหวังได้เงินสนับสนุนจากพวกเขา เธอยังจำคำพูดของปะป๊าได้ดีในวันที่เกริ่นเรื่องอยากไปเรียนต่อต่างประเทศ
‘ถ้าลื้ออยากไปนักละก็ แน่จริงเอาเงินตัวเองไปสิ ไม่ต้องมาขอเงินจากกงสี’
แล้วเธอจะไปเอาเงินจากที่ไหนได้ละ ทั้งชีวิตเงินเก็บของเธอไม่ได้มากมายอะไร และเธอไม่เคยคิดอยากยืมเงินจากเพื่อนรักทั้งสองอย่างอลินกับวาดฟ้า เพราะไม่อยากให้มิตรภาพต้องมีเรื่องเงินๆ ทองๆ มาเกี่ยวข้อง
ลดายกยิ้มบางๆ เอนศีรษะซบกับบานประตูพลางหลับตาลง ปล่อยให้น้ำตาหยดสุดท้ายไหลริน...
ในยามทุกข์ใจขั้นสุด ใบหน้าประดับรอยยิ้มของอธิษฐ์เมื่อครั้งอดีตก็ปรากฏขึ้นในความทรงจำ ข้อความจากอลินที่บอกว่าเขาไม่ยอมยกของขวัญของเธอให้บิดาของเขาก็พาให้รู้สึกชื่นใจแล้ว
‘พรุ่งนี้ดาจะลุกขึ้นสู้ต่อไปค่ะพี่ไอซ์ สู้กับทุกเรื่องในชีวิต สู้กับเรื่องของพี่ไอซ์ด้วย...’
ความคิดเห็น |
---|