3

มูฟออนเป็นวงแหวนดาวเสาร์ 

 

ลูกหยีเดินออกมาจากห้องน้ำด้วยเสื้อเชิ้ตสีขาวที่อธิษฐ์ให้ยืมเปลี่ยน ส่วนเสื้อเชิ้ตที่เลอะน้ำส้มของตัวเองนั้นพับใส่ถุงพลาสติกเพื่อนำกลับไปซักที่บ้าน 

“ขอโทษนะไอซ์ หยีทำให้ไอซ์ต้องลำบากไปด้วยเลย เดี๋ยวหยีจะรีบซักเสื้อส่งคืนไอซ์นะ”

หญิงสาวขอโทษขอโพยชายหนุ่ม ทั้งเกรงใจ ทั้งรู้สึกผิดในความซุ่มซ่ามของตัวเอง

“บอกแล้วไงว่าไม่ต้องคิดมาก” อธิษฐ์คลี่ยิ้มบางๆ พลางสั่นศีรษะ

“ไอซ์นี่ใจดีตลอดเลยนะ ชินกับการเอาใจสาวๆ หรือเปล่า” ลูกหยีกระเซ้า

“ไอซ์ยังไม่มีแฟน” อธิษฐ์ไหวไหล่ แต่ก่อนจะได้พูดอะไรไปมากกว่านี้ เขาก็สังเกตเห็นน้องสาวกับเพื่อนสะพายกระเป๋าเหมือนกำลังจะออกไปข้างนอก

“ไปไหนกัน” เสียงทุ้มนุ่มเอ่ยถาม

“อิงค์จะพาวิวกับดาไปกินข้าวข้างล่าง เสร็จแล้วก็จะพาไปส่งบ้าน” อลินตอบเสียงเย็นชากลับมา ด้วยยังรู้สึกโกรธพี่ชายตัวเองไม่หายที่อาจหาญทำร้ายจิตใจเพื่อนรักของเธอต่อหน้าต่อตา

“อืม” อธิษฐ์เพียงพยักหน้ารับคำ

“สวัสดีค่ะพี่ไอซ์ สวัสดีค่ะพี่ลูกหยี” วาดฟ้ายกมือไหว้ลาคนทั้งสอง

“สวัสดีค่ะ”

ลดาเองก็ยกมือไหว้ตามด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก ดวงตาเรียวเล็กเศร้าสร้อยหลุบมองต่ำ ไม่อยากมองหน้าคนใจร้าย ก่อนจะเดินตามอลินออกจากห้องเพนต์เฮาส์ไป หัวใจดวงน้อยหนักอึ้งเหลือเกิน

“งั้นหยีคงต้องขอตัวกลับก่อนนะไอซ์ รบกวนไอซ์มามากแล้ว” ลูกหยีขอตัวลา พยักหน้ากับลูกน้องสองคน

“อืม” อธิษฐ์รับคำแล้วเดินไปส่งแขกที่หน้าประตูลิฟต์ แต่ก็ต้องรอสักพักจนกว่าลิฟต์จะมา เพราะลิฟต์โดยสารมีเพียงตัวเดียวที่อลินกับเพื่อนใช้ไปก่อนหน้านั้นแล้ว

“บาย” ลูกหยีโบกมือให้ชายหนุ่มเมื่อลิฟต์มาถึงแล้ว

“เดี๋ยวก่อนหยี”

“หืม?”

“ไอซ์ขอผ้าเช็ดหน้าคืนด้วย”

“อ๋อ...” หญิงสาวล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าเสื้อ หยิบผ้าเช็ดหน้าส่งคืนให้อธิษฐ์

“ตอนแรกหยีกะว่าจะเอาไปซักแล้วส่งคืนพร้อมเสื้อเลย”

“ไม่เป็นไร เดี๋ยวไอซ์เอาไปซักเองดีกว่า”

“คงเป็นของสำคัญของไอซ์มากเลยใช่ไหม ผ้าเช็ดหน้าเนี่ย” เธอพูดยิ้มๆ

“เปล่าหรอก ไม่มีอะไร” อธิษฐ์สั่นศีรษะ

“งั้นลากันจริงๆ ละ บายนะ”

“บาย”

ร่างสูงโปร่งยืนรอจนประตูลิฟต์ปิดลง เขาหันหลังเดินกลับเข้ามาในห้องเพนต์เฮาส์ ดวงตาคมก้มลงมองสำรวจผ้าเช็ดหน้าสีขาวในมือที่ปักชื่อของเขา มองอยู่นาน จากนั้นจึงเดินเข้าไปในห้องน้ำ นำผ้าเช็ดหน้าไปซักกับสบู่อ่อนให้กลับมาสะอาดดังเดิม

อลินกลับมาห้องเพนต์เฮาส์อีกทีในช่วงเย็น หญิงสาวถามหาคนเป็นพี่ชายกับสาวใช้ทันทีที่กลับมาถึง

“พี่ไอซ์อยู่ไหนคะพี่บุ้ง”

“คุณไอซ์น่าจะอยู่ในห้องหนังสือนะคะ” สาวใช้ตอบตามที่ทราบ

“โอเคค่ะ” ดาราสาวพยักหน้า เดินไปยังห้องหนังสือด้วยท่าทีมาดมั่น เปิดประตูเข้าไปโดยไม่เคาะให้เสียเวลา ดวงตากลมโตแลเห็นพี่ชายนั่งอยู่ตรงมุมโซฟาอันเป็นที่ประจำ เขากำลังอ่านหนังสือด้วยอาการสงบ

“พี่ไอซ์” ร่างบางเดินเข้าไปหยุดยืนอยู่ใกล้ๆ สองแขนเท้าเอวเอาเรื่อง

“มีอะไร” อธิษฐ์เงยหน้าจากหนังสือขึ้นมอง

“ทำไมต้องทำแบบนั้นด้วย จงใจทำร้ายจิตใจไอ้ดาใช่ไหม”

“พูดเรื่องไร้สาระอีกแล้วนะอิงค์ พี่ทำอะไรฮึ”

“ก็เอาผ้าเช็ดหน้าของเพื่อนอิงค์ให้กิ๊กของตัวเองไงล่ะ รู้ไหมว่าดามันหน้าเสียขนาดไหนตอนที่เห็นพี่ไอซ์ทำแบบนั้น”

เห็นคนที่ตัวเองรักกะหนุงกะหนิงกับผู้หญิงคนอื่นก็เจ็บพอแล้ว ยังต้องมาเห็นเขาเอาของของตัวเองใหัผู้หญิงคนอื่นอีก...เฮ้อ อลินเหนื่อยใจแทนเพื่อนนัก

“ฟังนะ อิงค์ต้องเลิกคิดไปเองได้แล้ว พี่ไม่ได้จงใจทำร้ายจิตใจใครทั้งนั้น ผ้าเช็ดหน้าดาเป็นคนให้พี่เองไม่ใช่เหรอ มันเป็นของพี่แล้ว พี่จะใช้ทำอะไรมันก็เป็นสิทธิ์ของพี่ อ้อ แล้วลูกหยีก็ไม่ใช่กิ๊กของพี่ด้วย”

อธิษฐ์อธิบายด้วยน้ำเสียงและสีหน้าจริงจัง

“ไม่ใช่กิ๊ก? แต่พาขึ้นมาคุยงานถึงเพนต์เฮาส์ได้ทั้งๆ ที่พี่ไอซ์หวงพื้นที่ส่วนตัวจะตาย เวลาคุยกันก็จู๋จี๋ดู๋ดี๋ อิงค์มองแล้วยังเลี่ยนจนอยากจะอ้วกเลย” อลินแสร้งยกมือทาบอก ทำหน้าเหมือนอยากคลื่นไส้ประกอบคำพูด

“เฮ้อ พี่ไม่อยากคุยกับเราแล้ว คนอะไรจำญาติตัวเองไม่ได้” อธิษฐ์ถอนหายใจเฮือกใหญ่

“อะไรนะ! ญาติ?” หญิงสาวเบิกตาโพลง

“ก็ใช่น่ะสิ ลูกหยีเป็นหลานของคุณปู่ธาม น้องชายคนเล็กของคุณปู่เรา เท่ากับว่าลูกหยีเป็นลูกพี่ลูกน้องกับพวกเรา ถ้าไม่เชื่อก็ลองไปเช็กนามสกุลของลูกหยีดูว่าเป็นเศรษฐกุลเหมือนพวกเราไหม”

“งั้นเหรอ...อิงค์ก็คุ้นหน้าอยู่ แต่ทำไมไม่เห็นรู้จักเลย” อลินพึมพำเบาๆ ใบหน้าสวยฉายแววครุ่นคิด

“คงจะรู้จักหรอก เวลามีงานเลี้ยงทีไรตัวเองก็เลี่ยงการพบปะเครือญาติตลอด อีกอย่างคุณปู่ของเราก็มีพี่น้องหลายคน ตระกูลเรามันเป็นตระกูลใหญ่อยู่แล้ว”

“แหะๆ โอเค ญาติก็ญาติเนอะ” คนไม่ชอบพบปะญาติยิ้มเจื่อน ก็ว่าแล้วทำไมเธอคุ้นหน้าลูกหยีเหมือนเคยเห็นตามงานเลี้ยง

“อะแฮ่ม แต่ยังไงก็เถอะ...” อลินกระแอมก่อนกลับมาทำทีเคร่งขรึมดังเดิม

“พี่ไอซ์ก็ไม่ควรเอาผ้าเช็ดหน้าของไอ้ดาให้ผู้หญิงคนอื่นอยู่ดี ต่อให้ผู้หญิงคนนั้นจะเป็นญาติกับเราก็ตาม อิงค์มาเตือนแค่นี้แหละ อย่าทำให้ไอ้ดาเสียใจบ่อยๆ ไม่งั้นอิงค์จะไม่ทน เข้าใจ๊?”

“แล้วทำยังไงดาถึงจะไม่เสียใจ ต้องรับเป็นแฟนงั้นสิ” อธิษฐ์พูดประชด

“ได้แบบนั้นก็ดี ยังไงดามันก็รักพี่ข้างเดียวมาแปดปีแล้ว แอบรักตอนมอปลายสามปี จีบพี่ไอซ์สี่ปีตั้งแต่มันขึ้นปีหนึ่ง มันถึงเวลาที่พี่ไอซ์ควรใจอ่อนได้แล้ว”

“นี่อิงค์ เรื่องของความรู้สึกมันบังคับกันไม่ได้หรอกนะ เราไม่สามารถไปชี้นิ้วสั่งให้ใครรักใครได้ ถ้าคิดว่าสามารถสั่งพี่ให้ไปรักดาได้ งั้นพี่ลองสั่งให้อิงค์ไปรักไอ้เจตบ้างได้หรือเปล่า” อธิษฐ์หมายถึง เจต เจตนิพัทธ์ เพื่อนสนิทของตนเอง

“บ้าเหรอ แล้วเรื่องอะไรอิงค์ต้องไปรักพี่เจตไม่ทราบ” อลินโวยหน้าดำหน้าแดง ด้วยไม่ชอบเจตนิพัทธ์เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ฝ่ายนั้นกวนประสาทจะตาย 

“เห็นมั้ย อิงค์ยังรักไอ้เจตไม่ได้เลย”

“แต่มันไม่เหมือนกันกับไอ้ดาสักหน่อย!”

“ไม่เหมือนยังไง”

“ก็มัน...โอ๊ย! ไม่คุยกับพี่ไอซ์แล้ว เหนื่อยใจ อิงค์เอาเวลาไปเชียร์ให้ไอ้ดาตัดใจก็ได้ ไม่ต้องเอาแล้วพี่ไอซ์เนี่ย ผู้ชายดีๆ มีอีกเยอะ ถมเถ”

ว่าจบอลินก็สะบัดหน้า เดินจ้ำออกจากห้องหนังสือไปท่ามกลางสายตาขบขันแกมเอือมระอาของคนเป็นพี่ชาย

มันจะมีอะไรแย่ไปกว่าการอกหักวันอาทิตย์และต้องตื่นไปทำงานในเช้าวันจันทร์...

เวลาตีห้า ลดานอนลืมตาอยู่บนเตียงนอนในความมืดสลัว ใบหน้าของสาวหมวยสุดแสนระทมทุกข์ เธอถอนหายใจครั้งแล้วครั้งเล่า ไม่อาจข่มตานอนต่อได้หลังจากที่สะดุ้งตื่นขึ้นมาตอนตีสี่

บทเพลงแสนเศร้าจากเพลย์ลิสต์คนอกหักในสมาร์ตโฟนยังดำเนินต่อไปเพลงแล้วเพลงเล่า ความคิด ความรู้สึกของลดาเองก็ไหลไปตามบทเพลงเหล่านั้นเช่นกัน

“มันถึงเวลาที่แกควรต้องมูฟออนได้แล้วหรือเปล่าวะ แปดปีมันนานพอแล้วสำหรับรักข้างเดียว”

ลดาเอ่ยกับตัวเองด้วยเสียงแหบแห้ง นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เธอคิดจะมูฟออน เธอคิดมาเป็นร้อยเป็นพันครั้ง แต่เธอไม่เคยทำได้เลยสักครั้ง

อธิษฐ์เป็นผู้ชายเพอร์เฟกต์ที่ลดาใฝ่ฝันอยากยืนเคียงข้างเขาในฐานะภรรยา เขารูปร่างหน้าตาดี หน้าที่การงานดี ฐานะดี ถึงจะยังไม่รู้นิสัยใจคอขนาดนั้น แต่เขาก็เป็นคนน่ารักสำหรับเธอ ความสัมพันธ์ของเขากับเธอคงไม่ใช่เรื่องยากหากเขาแง้มประตูใจสักนิดให้เธอเข้าไป

ทว่าผ่านมาแปดปี ประตูบานนั้นไม่มีทีท่าว่าจะเปิดออก แถมยังล็อกกุญแจแน่นหนาเสียด้วย

“พี่ไอซ์ดูมีความสุขมากตอนอยู่กับคุณลูกหยี แกเทียบอะไรคุณลูกหยีไม่ได้เลยดา”

ลดาตัดพ้อ ผู้หญิงคนนั้นดูมั่นใจ ทำงานเก่ง สวย และฉลาด ส่วนเธอไม่เคยมั่นใจในตัวเอง หน้าตาไม่ได้ดีอะไร หน้าที่การงานก็งั้นๆ  หากนำมาเปรียบเทียบกันว่าใครควรจะได้ยืนเคียงข้างอธิษฐ์อย่างสง่างาม เธอคงไม่ใช่คนที่ถูกเลือกอยู่แล้ว

“ยายขี้แพ้เอ๊ย ฮือ!”

หญิงสาวพลิกกายนอนคว่ำ กดหน้าลงกับหมอนพร้อมกับส่งเสียงครางออกมาด้วยความสิ้นหวัง เกลียดตัวเองเหลือเกิน...เกลียดที่ตัวเองคือ ลดา พริ้มพรรณ

รุ่งเช้า ลดาฝืนสังขารลุกขึ้นอาบน้ำแต่งตัว เสร็จแล้วก็ลงไปรับประทานอาหารเช้ากับบิดา มารดา หลังจากอิ่มข้าวแล้วก็เดินออกจากบ้านไปยังร้าน  Big Shop อันเป็นสถานที่ทำงานของตนเอง

ระหว่างกำลังเดินๆ อยู่ สมาร์ตโฟนในมือก็มีเสียงแจ้งเตือนจากแอปพลิเคชันไลน์ขึ้นมา เธอจึงหยุดเดินเพื่อเปิดดู เป็นอลินที่ส่งข้อความมาในกรุ๊ปไลน์ ว.อ.ด.  นั่นเอง

อ.อิงค์ : ไอ้ดา นอนจมกองน้ำตาตายไปแล้วหรือยัง

 

ลดายิ้มขัน แม้กำลังอยู่ในอารมณ์เสียใจ แต่ก็พิมพ์ข้อความโต้ตอบกลับไปอย่างนึกสนุก

ด.ดา : ตายแล้ว กำลังจะไปหาแกที่เพนต์เฮาส์ จะพาแกไปอยู่ด้วย

อ.อิงค์ : อย่ามาเลย เดี๋ยวทำบุญไปให้ 

ว.วิว : พวกแกนี่ตีกันแต่เช้าเลยเหรอ 

อ.อิงค์ : แต่ก่อนที่ยมบาลจะมารับตัวไอ้ดา แกมีเรื่องสำคัญเรื่องหนึ่งที่ต้องรู้ก่อน

ด.ดา : เรื่อง?

อ.อิงค์ : ฉันจะไลน์บอกแกตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว แต่ฉันลืม 

ว.วิว : แล้วสรุปมันคือเรื่องอะไรวะ 

อ.อิงค์ :  พี่ลูกหยีไม่ใช่กิ๊กพี่ไอซ์นะ เขาเป็นญาติห่างๆ ของเรา 

ว.วิว : เชี่ย คดีพลิก!

 

ดวงตาเรียวเล็กของลดาเบิกกว้างเท่าที่จะกว้างได้ เมื่อได้รับทราบชุดข้อมูลใหม่จากอลิน หัวใจดวงน้อยสั่นไหว รู้สึกเหมือนตัวเองถูกฉุดขึ้นมาจากก้นเหวลึก

อ.อิงค์ : เอ้อ แล้วก็ ผ้าเช็ดหน้าของไอ้ดาที่พี่ไอซ์ให้พี่ลูกหยีใช้อะ ฉันเห็นมันตากอยู่ที่ราวตากผ้า พี่ไอซ์ไม่ได้ยกให้เลย เลิกเศร้าได้แล้วนะคะเพื่อนรัก

 

โอ... ลดารู้สึกเหมือนตัวเองกำลังล่องลอยขึ้นไปบนสวรรค์ ฟุตพาทแข็งๆ กลายเป็นปุยเมฆนุ่ม มันทั้งเบาสบายและโล่งใจ ความรู้สึกเศร้าหมองมลายหายในพริบตา เหลือความกรุ่นโกรธไว้เพียงน้อยนิด

‘ชิ แต่ถึงยังไงก็ใจร้ายอยู่ดีนั่นแหละน่า’ ลดาคิดเคียดแค้นแบบไม่จริงจังนัก ริมฝีปากสีชมพูเผยอยิ้มออกมาอย่างห้ามไม่อยู่

เย็นนี้ต้องฉลอง

ฉลองให้แก่การมูฟออนเป็นวงแหวนดาวเสาร์ของตัวเอง!

ร้าน Big Shop เป็นตึกแถวสามชั้นขนาดใหญ่เหมือนบ้านของลดา ชั้นล่างเป็นออฟฟิศขนาดเล็ก (เล็กมาก) สำหรับให้ลูกค้าเข้ามาติดต่อดีลงาน ประตูกระจกของร้านตกแต่งด้วยสติกเกอร์ชื่อร้านและรายละเอียดการรับทำสิ่งต่างๆ ซึ่งมีสีสันฉูดฉาด บ่งบอกสไตล์ความชอบของเจ้าของร้านได้เป็นอย่างดี

ส่วนชั้นสองกับชั้นสามจะเป็นสถานที่สำหรับฝ่ายผลิต เมื่อลดาออกแบบกราฟิกเรียบร้อยตามบรีฟและเป็นที่พอใจของลูกค้าแล้ว ก็จะส่งให้ฝ่ายผลิตข้างบนนำไปสานต่อ เช่น ทำสติกเกอร์ นามบัตร ป้ายไวนิล ป้ายสแตนดี ป้ายโฆษณา และอื่นๆ อีกสารพัด

“มึงใส่เสื้ออะไรของมึงวะดา เหมือนเสื้ออาม่าที่บ้านกูเลย”

‘เฮียบิ๊ก’ เจ้าของร้าน Big Shop และเป็นเจ้านายของลดา เป็นชายวัยสามสิบแปดปี รูปร่างสูงใหญ่ออกไปทางท้วมนิดๆ ย้อมผมสีสันแสบตา ผิวขาวอย่างคนเชื้อสายจีน เขามักแต่งกายด้วยเสื้อยืดแบบวัยรุ่นกับกางเกงยีนที่ตัวเองคิดว่ามันเท่ที่สุดแล้ว จึงชอบมาวิจารณ์การแต่งตัว รูปร่างหน้าตาของลูกน้องในร้านอยู่เสมอ คนโดนบ่อยสุดเห็นจะเป็นลดานั่นละ เพราะเธอเป็นลูกน้องหัวเรี่ยวหัวแรงของเขา เห็นหน้ากันบ่อยสุดในบรรดาลูกน้องคนอื่น

“ดาใส่เสื้อวินเทจต่างหาก” ลดาตอบเสียงชินชา ไม่อยากถือสาความปากร้ายของเจ้านายตัวเองมากนัก ตอนนี้เธอกำลังใช้สมาธิจดจ่ออยู่กับการใช้โปรแกรมตัดต่อภาพ

“เออนั่นแหละ โคตรแก่เลย” 

“แก่ก็แก่ค่ะ” หญิงสาวถอนหายใจ คร้านจะต่อปากต่อคำ 

“ว่าแต่เฮียบิ๊กเถอะ บ่ายสองโมงกว่าแล้วเพิ่งจะเข้าร้าน” แม้จะรู้ว่าการเข้าร้านสาย หรือบางทีไม่เข้าร้านเลยเป็นเรื่องปกติของเจ้านาย แต่ลดาก็แสร้งทักท้วงไปอย่างนั้น เพราะไม่อยากให้เขาโยงบทสนทนามาเข้าเรื่องการแต่งกายของเธออีก

“กูก็มีธุระของกูสิวะ เอ้า ซื้อขนมมาฝาก” ชายหนุ่มวางถุงใส่กล่องโดนัตเจ้าดังลงบนโต๊ะของลูกน้องสาว ก่อนจะผละไปเอนหลังบนโซฟา หยิบสมาร์ตโฟนมาเล่นเกม

“โอ๊ย กำลังอยากกินเลย ขอบคุณนะเฮียบิ๊ก” ลดาคลี่ยิ้มกว้าง ดวงตาลุกวาวภายใต้แว่นกรองแสงเหมือนเด็กเห็นขนม รีบเปิดกล่องโดนัตกินทันที

เฮียบิ๊กนั้นปากร้ายมากก็จริง...แต่เขาก็มีข้อดีอย่างหนึ่ง (และอย่างเดียว) คือมีน้ำใจกับลูกน้องเสมอ เขามักหอบหิ้วขนม หรือสั่งอาหารดีๆ มาเลี้ยงประจำ นี่กระมังทำให้เธอทนทำงานกับเขาได้

“เออ จะว่าไปมึงก็ทำงานกับกูมาเป็นปีแล้วนะดา กูยังไม่เห็นมึงมีแฟนสักคน” คนเป็นเจ้านายพูดไปเล่นเกมไป

“โอ๊ย แค่ทำงานก็หมดไปแล้วหกวัน ได้หยุดแค่วันอาทิตย์วันเดียวก็อยากนอนพักผ่อน ดาจะเอาเวลาที่ไหนไปหาแฟน” ลดาตอบขณะเคี้ยวโดนัตตุ้ยๆ มือก็คลิกเมาส์ทำงานไปด้วย 

“เออ แต่อย่างว่าแหละ เด็กกะโปโลอย่างมึงผู้ชายที่ไหนจะมาชอบ เฟอะฟะเงอะงะ วันแรกที่มาสมัครงานยังใส่รองเท้าผิดข้างเลย” เขาหัวเราะร่วนเมื่อนึกถึงเหตุการณ์วันนั้น

ลดาเองก็อดหัวเราะตามไม่ได้ วันที่เธอมาสมัครงานที่ร้านนี้เธอตื่นสาย ด้วยความที่ลนและรีบมากจึงใส่รองเท้าผ้าใบข้างหนึ่ง รองเท้าแตะข้างหนึ่งวิ่งออกมาเรียกมอเตอร์ไซค์วิน ปะป๊ากับหม่าม้าของเธอก็ไม่มีใครทักท้วง เพราะทั้งคู่กำลังปั้นปึ่งที่เธอดันทุรังออกไปหางานข้างนอกแทนที่จะอยู่เฝ้าร้าน ทำมาหากินอยู่กับบ้าน

ตอนมาถึงร้าน เฮียบิ๊กทักเรื่องรองเท้าของเธอเป็นอย่างแรก เธอทั้งเขินทั้งอาย เขาสัมภาษณ์เธอด้วยน้ำเสียงดุดันและเคร่งเครียด เธอก็ตอบเสียงสั่นแบบล่กๆ ด้วยความกลัวเกรง ในหัวคิดไปแล้วว่าคงจะไม่ได้งานนี้แน่ๆ ทว่าผิดคาด เมื่อเขาตกลงรับเธอเข้าทำงานทันทีที่จบการสัมภาษณ์ มันง่ายเสียจนลดาตั้งตัวไม่ทัน พอร์ตฟอลิโอโชว์ผลงานที่เธอตั้งใจทำมาดิบดี เพราะกลัวเขาไม่เชื่อว่าเธอทำกราฟิกได้เนื่องจากจบมาไม่ตรงสาย เขาไม่ได้เปิดมันดูสักหน้าเลยด้วยซ้ำ

จากวันนั้นถึงวันนี้ลดาจึงได้ข้อสรุปว่า เจ้านายของเธอเป็นประเภทภายนอกดุดันและปากร้าย แต่ภายในกลวงโบ๋... เป็นคนไม่มีอะไรนอกจากมีเงิน

“แต่ถึงจะไม่มีผู้ชายที่ไหนมาชอบดาก็ไม่แคร์หรอก ดามีคนที่ดารักอยู่แล้ว”

“ใครวะ” เฮียบิ๊กเลิกคิ้ว ละสายตาจากเกมขึ้นมามองหน้าลูกน้องสาว

“บอกไปเฮียบิ๊กก็ไม่รู้จักหรอก” 

“เออ แต่ถ้าได้กันเมื่อไหร่ก็อย่าลืมพามาให้กูรู้จักแล้วกัน” 

‘ถ้าได้กันจริงๆ เฮียบิ๊กไม่มีทางได้เห็นดาพาเขามาให้รู้จักหรอกค่ะ เพราะดาจะลาออกจากที่นี่เป็นอย่างแรก หลังจากได้กับเขาแล้ว’

สาวหมวยคิดในใจ แต่กระนั้นก็ตอบเจ้านายด้วยน้ำเสียงสดใสพร้อมรอยยิ้มเสแสร้งที่เขาไม่ทันได้สังเกต

“ได้เลยค่ะเฮีย”

ลดาให้รางวัลตัวเองด้วยการออกมาชอปปิงเล็กๆ น้อยๆ ที่ห้างสรรพสินค้าหลังเลิกงาน วันนี้ทั้งวันเธออารมณ์ดีมากเป็นพิเศษ ตามประสาคนเพิ่งหายจากอาการอกหัก 

“รู้แล้วน่า ม้าไม่ต้องห่วง ดาจะรีบกลับไม่เกินสองทุ่ม”

ร่างเล็กแนบหูกับหน้าจอสมาร์ตโฟนระหว่างเดินขึ้นบันไดเลื่อนมาจากอุโมงค์รถไฟฟ้าใต้ดิน ซึ่งเชื่อมต่อกับห้างสรรพสินค้าอันเป็นจุดหมายปลายทาง

หญิงสาวแวะรับประทานอาหารในฟาสต์ฟูดที่ชอบ ไปชอปปิงเครื่องสำอางอย่างสองอย่าง เสร็จจากนั้นก็ตรงไปร้านขายหนังสือกึ่งอุปกรณ์เครื่องเขียนที่เธอชอบที่สุดและรู้สึกมีความสุขทุกครั้งที่ได้มาเยือน

“สีน้ำเงินหมด สีแดงหมด” ลดาพึมพำระหว่างหยิบขวดสีน้ำใส่ตะกร้า หยิบกระดาษวาดรูปปึกหนึ่ง และพู่กันด้ามใหม่สามด้าม 

“แต่อยากได้สีชอล์กด้วย” เธอทอดอาลัยมองกล่องสีชอล์กบนชั้นวาง แต่ในที่สุดก็ต้องตัดใจด้วยราคาของมันแพงเกินไป งบประมาณของเธอมีจำกัด

“ไว้ขายรูปได้จะมาซื้อใหม่นะ” ลดาบอกพลางเอื้อมมือไปแตะมันเบาๆ 

เธอมีอาชีพเสริมคือวาดรูปลงขายบนเว็บไซต์ของต่างประเทศ และเปิดแอกเคานต์รับจ้างวาดรูปบนโซเชียลมีเดียอย่างทวิตเตอร์ เธอก็ได้เงินบ้างเล็กๆ น้อยๆ ไม่ได้มากมายอะไร ประกอบกับว่าเธออยากจะรับงานช่วงไหนด้วย เพราะเธอมองว่าการวาดรูปคือความสุขส่วนตัว มันทำให้จิตใจของเธอโบยบินเป็นอิสระ จึงไม่อยากให้ผู้อื่นมากะเกณฑ์

สาวหมวยผละจากโซนขายอุปกรณ์เครื่องเขียนไปยังโซนขายหนังสือ ขณะกำลังเดินดูหนังสือโน่นนี่ไปเรื่อยเปื่อยเธอก็เผลอไปชนกับใครบางคนเข้าอย่างจัง

“ขอโทษค่ะ ขอโทษจริงๆ” 

ลดาลนลานรีบก้มหน้าขอโทษขอโพยอีกฝ่าย เธอมองเห็นรองเท้าหนังสีดำเงาวับ ไล่สายตาขึ้นมาเรื่อยๆ ก็เห็นว่าเขาเป็นผู้ชายสวมชุดสูทสีน้ำเงินเข้ม พอเงยหน้าขึ้นมองเท่านั้นละ...หัวใจของลดาตกลงไปกองอยู่ที่พื้น

“พะ...พี่ไอซ์!”

ใบหน้าขาวผ่องเป็นยองใยแบบนี้ เครื่องหน้าหล่อๆ แบบนี้ ริมฝีปากอิ่มสีแดงเรื่อเหมือนพระเอกหนังจีนแบบนี้ จะเป็นใครไปได้ นอกจากอธิษฐ์

“อืม” 

ใช่เลย ยิ่งตอบกลับเสียงเย็นชาแบบนี้ด้วย

“พี่ไอซ์มาทำอะไรที่นี่คะ” ลดาเอ่ยถามขึ้นหลังจากสงบสติอารมณ์ตัวเองได้แล้ว 

“มาซื้อเสื้อ” 

“แต่ที่นี่ไม่มีเสื้อนะคะ มีแต่หนังสือกับเครื่องเขียน” สาวหมวยบอกพาซื่อ

“ก็รู้นี่ แล้วจะถามทำไม” อธิษฐ์เลิกคิ้ว ถือหนังสือสองเล่มในมือไปชำระเงินที่เคาน์เตอร์

กว่าลดาจะรู้ตัวว่าถูกเขาประชด เธอก็ยืนงงจนเขาชำระเงินเสร็จและเดินออกจากร้านไป โดยมีบอดีการ์ดสองคนที่ยืนรออยู่ข้างนอกเดินตามไปติดๆ 

การได้เจออธิษฐ์ตัวเป็นๆ อยู่ตรงหน้าแบบนี้มันต้องไม่ใช่เรื่องบังเอิญ มันคือพรหมลิขิต และโชคดีเป็นของเธอแล้ว!

ลดารีบถลาไปที่เคาน์เตอร์ชำระเงิน หยิบของในตะกร้าส่งให้พนักงานด้วยความเร่งรีบ พอชำระเงินเสร็จ นำของทุกอย่างใส่ลงถุงผ้าของตัวเองเรียบร้อยแล้ว เธอก็สับเท้าวิ่งออกจากร้านตามอธิษฐ์ไปอย่างไม่คิดชีวิต

‘อยากจะรักก็ต้องเสี่ยง เอาวะ เป็นไงเป็นกัน!’ 

“พี่ไอซ์ ไปทานข้าวกับดาไหมคะ”

หญิงสาวร้องถามในตอนที่วิ่งไปเกือบจะถึงตัวเขา ร่างเล็กหยุดหอบหายใจ พร้อมกับแผ่นหลังสีน้ำเงินเข้มที่หยุดนิ่งลง บอดีการ์ดของเขาหันมามองเธอ ก่อนเขาจะค่อยๆ หันมามองตาม

“ว่าอะไรนะ”

“ไป...ทานข้าวกับดานะคะ” 

ลดากะพริบตาปริบๆ หัวใจสั่นรุนแรงกับคำตอบที่กำลังจะได้รับในอีกไม่กี่อึดใจข้างหน้า ต่อให้เขาปฏิเสธ เธอก็ไม่เสียใจ อย่างน้อยเธอได้ทำคะแนนเต็มที่แล้ว 

“ก็ได้ ไปสิ”

และคำตอบที่ได้รับจากเขาก็ทำลดาฉีกยิ้มกว้าง แทบกระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจ แม้จะอิ่มแสนอิ่มจากอาหารฟาสต์ฟูดที่เพิ่งกินมา แต่เธอก็พร้อมจะจุกตายหากได้กินข้าวกับพี่ไอซ์อีกรอบ


 

 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น