6

บ้านภัทรไพศาลสกุล

6

บ้านภัทรไพศาลสกุล


เช้าวันต่อมาดุลยวัตลงมากินอาหารเช้ากับสมาชิกของบ้านภัทรไพศาลสกุลที่วันนี้อยู่กันพร้อมหน้าทั้งป๊า ม้า พี่สาว และพี่ชาย

    บนโต๊ะไม้กลมตัวใหญ่มีอาหารหลายอย่างวางเรียงราย ไม่ว่าจะเป็นผัดผักบุ้งไฟแดง ซุปเยื่อไผ่ซี่โครงหมู ต้มยำกุ้ง หมูทอดราดซอสเปรี้ยวหวาน เต้าเจี้ยวหลน และไข่ตุ๋น ซึ่งทั้งหมดเป็นฝีมือม้าของเขานั่นเอง

    “โห น่าอร่อยทั้งนั้นเลยม้า” ดุลยวัตที่เดินเข้ามาในห้องอาหารทำตาพราวเมื่อเห็นเมนูละลานตาบนโต๊ะ 

    “น่าอร่อยก็กินเยอะๆ เลยตี๋น้อย” พรรณวดีบอกลูกชายคนเล็กด้วยน้ำเสียงเอื้อเอ็นดู

    “คร้าบ” เจ้าของร่างสูงโปร่งยิ้มทะเล้น ก่อนจะนั่งลงบนเก้าอี้ข้างปริญญ์ เมื่อแม่บ้านตักข้าวสวยใส่จานให้แล้ว ดุลยวัตก็เอื้อมมือไปตักหมูทอดราดซอสเปรี้ยวหวานซึ่งเป็นเมนูโปรดมาใส่จาน กินกับข้าวสวยร้อนๆ พอดีคำด้วยแววตาเป็นประกายมีความสุข 

‘ฝีมือม้าอร่อยไม่เปลี่ยนเลย’

    “แต่งตัวหล่อเชียว จะไปไหนยะ” คีตภัทรถามเมื่อเห็นน้องชายใส่เสื้อเชิ้ตสีขาวปลดกระดุมสามเม็ดกับกางเกงยีนสีน้ำเงินเข้ม แถมยังเซตผมเปิดโครงหน้าหล่อเหลา ทั้งที่ปกติแล้วในวันหยุดแบบนี้เจ้าตัวจะลงมากินข้าวในชุดเสื้อบาสและกางเกงกีฬาขาสั้นพร้อมกับหัวฟูๆ 

    “มีนัดอะเจ้” 

    “นัดหญิง?”

    “อืมมม...” คนถูกถามทำหน้าครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบ “ครับ”

    “แฟนเหรอ” ม้ามีสีหน้าสนใจขึ้นมาทันที

    “เปล่าม้า ไม่ใช่แฟน”

    ใบหน้าของหญิงวัยกลางคนเปลี่ยนเป็นผิดหวังเมื่อได้รับคำตอบ

    “ทำไมม้าทำหน้าอย่างนั้นล่ะครับ” ปริญญ์แซวผู้เป็นแม่พลางหัวเราะเบาๆ 

    “ก็ม้านึกว่าตี๋น้อยมีแฟนแล้วน่ะสิ” พรรณวดีถอนหายใจ 

เป็นที่รู้กันดีของลูกๆ ว่าม้าอยากอุ้มหลานมาก เพราะลูกๆ ของเพื่อนท่านล้วนแต่งงานมีหลานกันหมดแล้ว ท่านจึงลุ้นว่าเมื่อไรลูกๆ ของตัวเองจะมีแฟนสักที แต่ก็ไม่มีวี่แววว่าลูกคนไหนจะมีคนรัก พอได้ยินว่าลูกชายคนสุดท้องมีนัดกับผู้หญิง ท่านจึงคาดหวังว่าผู้หญิงคนนั้นจะเป็นแฟนของเจ้าตัว แต่ก็...ไม่ใช่

“เจ้เลย เมื่อไหร่เจ้จะมีแฟน” ดุลยวัตโยนไปให้พี่สาว

“อะไรเนี่ย คุยเรื่องแกอยู่ไม่ใช่เหรอ” คีตภัทรแยกเขี้ยวใส่น้องชายที่จู่ๆ ก็โยนเผือกร้อนมาให้

“ก็เจ้เป็นพี่ ต้องแต่งงานก่อนน้องนะรู้ปะ” ชายหนุ่มหันไปขอเสียงสนับสนุนจากผู้เป็นพ่อและพี่ชาย “ใช่ไหมป๊า เฮีย”

“เรื่องนี้ป๊าจะไม่ยุ่ง” ชายวัยกลางคนร่างท้วมเล่นมุก ใบหน้าอวบอูมเกลื่อนไปด้วยรอยยิ้ม

“เฮียก็ไม่ยุ่งเหมือนกัน” ปริญญ์โบกมือ

“มันเกี่ยวด้วยเหรอว่าพี่ต้องแต่งก่อนน้อง” คีตภัทรถามน้ำเสียงจริงจัง

“เกี่ยวสิเจ้ เพราะน้องต้องให้เกียรติพี่” 

“งั้นฉันจะไม่แต่ง แกจะได้ไม่ต้องแต่ง ดีไหม ไอ้ตี๋น้อย!” หญิงสาวกระตุกยิ้มชั่วร้าย

“ไม่ได้นะหมวยใหญ่ ม้าไม่ยอม ถ้าไม่มีใครแต่ง ม้าก็ไม่ได้อุ้มหลานสิ” พรรณวดีโวยวาย

ดุลยวัตรีบพยักพเยิดเห็นด้วยกับมารดาที่ตอนนี้พุ่งเป้าไปที่คีตภัทรแทนเขา “ใช่ๆ เจ้รีบหาแฟนเลย ม้าจะได้อุ้มหลาน”

“เราก็เหมือนกันนั่นแหละตี๋น้อย” หญิงวัยกลางคนตวัดสายตาไปมองลูกชายคนเล็ก ก่อนจะมองเลยไปยังลูกชายคนโต “เฮียปรินซ์ด้วย หาแฟนได้แล้วนะ” 

“อ้าว ผมด้วยเหรอม้า” ปริญญ์หรือที่ผู้เป็นแม่มักจะเรียกว่า ‘เฮียปรินซ์’ นิ่วหน้า

“ใช่ ทุกคนเลย พี่จะแต่งก่อนน้อง หรือน้องจะแต่งก่อนพี่ ม้าก็ไม่มีปัญหา ขอแค่มีอาตี๋หรืออาหมวยตัวน้อยๆ มาให้ม้าอุ้มไวๆ  ก็พอ” บ้านหลังใหญ่หลังนี้คงมีชีวิตชีวามากขึ้นหลายเท่าถ้ามีอาตี๋และอาหมวยตัวน้อยๆ มาวิ่งเล่นหยอกล้อกัน พรรณวดีคิดพลางอมยิ้ม และมองสามพี่น้องด้วยแววตาคาดหวัง

คีตภัทรหรือควีน ลูกสาวคนโตของท่านอายุสามสิบสามปีแล้ว ตอนนี้เป็นผู้จัดการฝ่ายการตลาดของบริษัทเครื่องสำอางแห่งหนึ่ง

    ปริญญ์หรือปรินซ์ ลูกชายคนกลาง ปัจจุบันอายุสามสิบสองปี ทำงานเป็นอายุรแพทย์อยู่ที่โรงพยาบาลเลิศรักษ์ ซึ่งเป็นโรงพยาบาลเอกชนชื่อดัง ตามรอยป๊ากับม้าที่ต่างก็เป็นหมอด้วยกันทั้งคู่ แต่ตอนนี้พวกท่านเกษียณอายุแล้ว และใช้เวลาพักผ่อนสบายๆ อยู่ที่บ้าน

    นอกจากปริญญ์แล้ว ลูกชายคนเล็กวัยสามสิบเอ็ดปีอย่างดุลยวัตหรือเดย์ ก็เลือกเรียนหมอเพราะมีป๊ากับม้าเป็นแรงบันดาลใจเช่นกัน คนนี้เพิ่งเรียนจบเฉพาะทางด้านออร์โธปิดิกส์ และทำงานอยู่ที่โรงพยาบาลรัฐบาลในย่านปทุมวัน

    เรื่องงาน พรรณวดีไม่ห่วงลูกๆ เลย เพราะทั้งสามต่างมีหน้าที่การงานที่ดี จะห่วงก็แต่เรื่องความรักนี่ละ

    คีตภัทรที่มีวี่แววว่าจะเข้าประตูวิวาห์ก่อนใครในบรรดาสามพี่น้องเลิกกับแฟนหนุ่มที่คบกันมานานไปเมื่อสองปีก่อน เพราะต่างฝ่ายต่างยุ่งกับงานจนไม่มีเวลาให้กัน แต่ถึงอย่างนั้นก็เป็นการจากกันด้วยดี

    ส่วนปริญญ์ หลังจากเลิกกับแฟนคนแรกที่คบกันมาเจ็ดปี เจ้าตัวก็ไม่มีแฟนอีกเลย 

    และดุลยวัต...คนนี้มีสาวๆ ตลอด แต่ก็ไม่มีใครถูกใจจนเจ้าตัวยอมใช้คำว่าแฟน

    “งั้นม้าก็ต้องสร้างแรงจูงใจให้พวกเราแล้วละ” ลูกชายคนเล็กยิ้มเจ้าเล่ห์

    “แรงจูงใจอะไร” ผู้เป็นแม่ขมวดคิ้วมุ่น

    “ก็อย่างเช่น...ใครแต่งงานคนแรกแจกทองหนึ่งร้อยบาทไงม้า” ดุลยวัตยิ้มแฉ่ง

    “เอาไหมล่ะ ม้าแจกทั้งทองทั้งเพชรเลย หรือจะเอาบ้านพร้อมที่ดินด้วยก็ได้นะ ม้าพร้อมเปย์” พรรณวดีบอกอย่างจริงจัง

    “ม้าเปย์ขนาดนี้ รีบหาแฟนเลยหมวยใหญ่ เฮียปรินซ์ ตี๋น้อย” มานพยุลูกๆ ก่อนจะหันไปยิ้มให้ภรรยาสุดที่รัก

    “ว่าไงเจ้ เฮีย” ดุลยวัตหันไปถามพี่สาวและพี่ชาย

    “ควีนก็อยากได้อยู่นะม้า ทั้งทอง ทั้งเพชร ทั้งบ้านพร้อมที่ดิน แต่หาแฟนมันหาง่ายๆ ที่ไหนล่ะ”

    “ผมสละสิทธิ์นะ ขอเชียร์เจ้กับตี๋น้อยดีกว่า” แม้ ‘แรงจูงใจ’ จะมากแค่ไหน แต่ปริญญ์ก็ไม่มีท่าทีสนใจเลยแม้แต่น้อย

    “โห ไรอ้ะเฮีย ที่โรง’บาลเฮียก็น่าจะมีคนไข้น่ารักๆ เยอะนะ ไม่จีบสักคนล่ะ” ดุลยวัตรอฟังคำตอบของพี่ชายอย่างจดจ่อ

    “ให้เฮียจีบคนไข้นี่นะ ผิดจรรยาบรรณหมอไหม” เรื่องนี้หมอทุกคนรู้ดีว่าไม่เหมาะสม

    “ถ้าอยากจีบจริงๆ มันก็มีวิธีที่ไม่ผิดจรรยาบรรณไหมอะเฮีย แต่เฮียก็ต้องวางแผนให้แนบเนียนด้วย อย่างเช่นขอไลน์คนไข้ไว้ติดตามอาการงี้”

    “แกนี่มันเจ้าเล่ห์จริงๆ นะ เคยทำใช่ปะ” คีตภัทรแขวะน้องชายคนเล็กที่เจ้าแผนการมาแต่เด็ก

    “เคยที่ไหน”

    “เชื่อดีไหมเนี่ย” เธอหรี่ตามองจอมเจ้าเล่ห์อย่างไม่เชื่อถือ

    “เชื่อเหอะเจ้ ผมเนี่ยไม่เคยจีบคนไข้ตัวเองเล้ย” ดุลยวัตยืนยันเสียงหนักแน่น

    “อ้าว แล้วมาบอกให้เฮียจีบ” ปริญญ์ขมวดคิ้วเข้าหากัน

    แพทย์หนุ่มหัวเราะพลางทำหน้าเป็น “ผมก็ยุไปงั้น ว่าแต่ตกลงเฮียถูกใจคนไข้คนไหนบ้างไหมครับ” 

    ผู้เป็นพี่ชายยิ้มและส่ายหน้าเบาๆ “ไม่อ้ะ”

    “จริงเหรอ”

    “อืม เฮียไม่พร้อมจะมีแฟนตอนนี้” ดวงตาของปริญญ์มีร่องรอยของความรวดร้าวเจืออยู่ลึกๆ 

    ทุกคนมองชายหนุ่มด้วยสายตาห่วงใย แม้จะผ่านมาห้าปีแล้ว แต่ดูเหมือนว่าบาดแผลในใจปริญญ์จะยังไม่หายดีสักที

    “เอาละๆ ม้าไม่เร่งรัดก็ได้ เอาเป็นว่าใครพร้อมเมื่อไหร่ก็เมื่อนั้นละ แต่ม้าก็รอเปย์อยู่นะจ๊ะ” พรรณวดีเอ่ยขึ้นเพื่อไม่ให้บรรยากาศบนโต๊ะอาหารตึงเครียด ก่อนจะเปลี่ยนเรื่องคุย


หลังจากกินอาหารเช้าเสร็จ คีตภัทรและดุลยวัตก็มาคุยกันที่ห้องหนังสือ ในขณะที่ป๊า ม้า และปริญญ์ไปดูทีวีกันต่อที่ห้องนั่งเล่น

“ฉันนึกว่าปรินซ์มูฟออนได้แล้วนะเนี่ย” หญิงสาวเอ่ยขึ้นเมื่ออยู่กันสองคน 

    “ผมเข้าใจเฮียนะ เรื่องที่เกิดขึ้นกับเฮียมันหนักมาก ไม่แปลกที่เฮียจะเข็ดจนไม่กล้ารักใครอีก”

    คีตภัทรถอนหายใจหนักหน่วง “แล้วปรินซ์จะปิดตัวเองแบบนี้ไปตลอดชีวิตเลยเหรอ”

    “ไม่หรอกเจ้ ผมเชื่อว่าเฮียจะค่อยๆ ดีขึ้น แต่อาจจะต้องใช้เวลาหน่อย” ถ้าเทียบกับห้าปีก่อน ตอนนี้ก็ถือว่าปริญญ์ดีขึ้นมากแล้ว 

    “หวังว่าจะเป็นอย่างนั้นนะ” คนเป็นพี่พยักหน้าเบาๆ “ว่าแต่แกนัดสาวไว้กี่โมงเนี่ย” 

    “สิบเอ็ดโมงครับ”

    “ตกลงไม่ใช่แฟน?”

    “ไม่ใช่”

    “คนคุย?”

    “ไม่ใช่ครับ”

    “เพื่อน?”

    “ก็ไม่ใช่อีกนั่นแหละ”

    คีตภัทรทำหน้างง “อ้าว แฟนก็ไม่ใช่ คนคุยก็ไม่ใช่ เพื่อนก็ไม่ใช่ แล้วสถานะอะไรล่ะ”

    “แค่คนรู้จักครับ”

    “หมายถึงเขาให้แกเป็นแค่คนรู้จัก?”

“โหเจ้ น้องเจ้หล่อขนาดนี้ ผู้หญิงที่ไหนจะให้เป็นแค่คนรู้จักคร้าบ” ดุลยวัตไม่พูดเปล่า แต่ยังเก๊กหน้าหล่อไปด้วย

หญิงสาวแบะปากอย่างหมั่นไส้ “รีบไปได้แล้วย่ะ เดี๋ยวสาวรอ”

“ครับผม” แพทย์หนุ่มยิ้มกว้าง ก่อนจะเดินออกมาจากห้องหนังสือ จากนั้นก็ขี่สปอร์ตไบค์รุ่น Yamaha YZF-R1 สีน้ำเงินคันใหญ่มุ่งหน้าไปยังคอนโดของ ‘สาว’ ที่นัดกันไว้

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น