10

บทที่ 10


๑๐

สะสาง

หลังจากเป็นลมจนถูกนำตัวส่งโรงพยาบาล อินทุอรก็ถูก ‘สั่ง’ ให้หยุดงานเป็นกรณีพิเศษ โดยมีสามีของเธอเป็นคนยื่นใบลา และเซ็นอนุมัติให้ด้วยตัวเอง เนื่องจากหมอบอกว่าครรภ์ของเธอยังอยู่ในช่วงไตรมาสแรกจึงมีภาวะเสี่ยงต่อการแท้ง กอปรกับมีอาการหน้ามืดหมดสติ สามีหนุ่มเลยยื่นคำขาดว่าเธอจะต้องอยู่พักผ่อนที่บ้าน หยิบจับงานเรือนเล็กๆ น้อยๆ ไปพลางๆ จนกว่าจะพ้น ๓ เดือนแรก!

ดังนั้นคนที่กลายเป็นคนว่างงานอย่างกะทันหันบางคนจึงต้องนั่งแก่วอยู่กับบ้าน แทบไม่ได้หยิบจับงานใดเป็นชิ้นเป็นอันเลย ดีที่วันนี้รวินท์รัมภามาเยี่ยมหม่อมชื่นจิต และเอาขนมมาฝาก ว่าที่คุณแม่จึงดูมีชีวิตชีวาขึ้นเป็นพิเศษ

หลังจากตรวจดูความเรียบร้อยของสำรับเย็นวันนี้แล้ว ทั้งสองก็ออกมานั่งรับลม และพูดคุยกันที่ศาลาริมน้ำใกล้ๆ กับเรือนประทุมซึ่งเป็นเรือนที่พำนักของหม่อม โดยมีเจ้าแมวอ้วน ‘ชายน้อย’ ตามมาเสนอหน้าและนอนผึ่งพุงอยู่ไม่ห่าง

ระหว่างนั่งสนทนากันตามประสาสาวๆ อินทุอรก็ให้ข้าหลวงตั้งเตาทำขนมจีบกุ้งของโปรดของหม่อมราชวงศ์ปราบดา ที่กลายมาเป็นเมนูถนัดของเธอ ผู้ที่เคยหยิบจับงานครัวไม่เป็น แต่หลังจากถูกหม่อมชื่นจิตและรวินท์รัมภาเคี่ยวกรำ ก็สามารถทำอาหารได้เกือบทุกอย่าง สร้างความภาคภูมิใจให้กับคนสอนเป็นอย่างยิ่ง

ตามจริงแล้วอินทุอรมีฝีมือด้านการจัดเตรียมวัตถุดิบได้สวยงาม เพียงแต่ขาดทักษะการปรุงรสให้เข้าที่ และทำให้สุกอย่างพอดีเท่านั้น จึงพัฒนาฝีมือได้ไม่ยาก

“อินรู้สึกเป็นห่วงยิ้มยังไงก็ไม่รู้ค่ะพี่รัมภา”

ว่าที่คุณแม่ปล่อยลมหายใจออกมาอย่างกลัดกลุ้ม ขณะจีบแผ่นแป้งเข้ากับไส้กุ้งรสเด็ดที่เธอประยุกต์สูตรของแม่และวังพยุหะมนตรีเข้าด้วยกัน

“พี่คิดว่าที่ยิ้มเลือกแบบนี้ คงเพราะเห็นว่าเป็นทางที่ดีที่สุดแล้ว พี่เองก็ไม่ค่อยสนิทกับพี่เจษฎ์ ตอบไม่ได้เต็มปากเหมือนกันว่าเขาเป็นคนยังไงแน่ แต่ถ้ามองในมุมที่ว่า...เขาเป็นเพื่อนรักของพี่ชาย เขาก็คงจะเป็นคนที่น่าไว้ใจได้คนหนึ่ง ทุกๆ อย่างมันอาจจะไม่ได้แย่อย่างที่คิดก็ได้”

รวินท์รัมภาแสดงความคิดเห็นแบบเป็นกลาง แม้จะเอนเอียงไปในทางวิยะดาที่เธอรักเหมือนน้องสาว แต่ก็ไม่อยากมองเรื่องทุกอย่างให้มันเลวร้าย

อินทุอรปล่อยลมหายใจออกมาอีกครั้ง เธอเองก็พอจะเข้าใจในสิ่งที่รวินท์รัมภาบอก แต่...ก็อดห่วงเพื่อนรักไม่ได้อยู่ดี

“อย่าถอนหายใจบ่อยแบบนั้นสิจ๊ะ คุณแม่หน้านิ่วคิ้วขมวดแบบนี้เดี๋ยวตัวเล็กในท้องก็เครียดกันพอดี ยิ้มหน่อยเร็ว” รวินท์รัมภาลูบแขนพี่สะใภ้ที่เด็กกว่าตน ๔ ปีด้วยรอยยิ้มละมุน

ฟังดังนั้น อินทุอรจึงพลอยคลี่ยิ้มบางๆ ตาม ก้มมองหน้าท้องแบนราบของตัวเองด้วยความรู้สึกอบอุ่นเต็มตื้นขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก

การได้รู้ว่าตัวเองตั้งครรภ์ เริ่มทำให้เธอเข้าใจความรู้สึกของวิยะดาบ้างแล้ว...ว่าการอยากปกป้องใครสักคนหนึ่งด้วยชีวิตนั้นเป็นเช่นไร สัญชาตญาณความเป็นแม่ที่วิยะดาพูดถึง...คงเป็นเช่นนี้

“เรื่องของยิ้ม...อินคงได้แต่ภาวนา ว่าขอให้ทุกๆ อย่างเป็นไปในทางที่ดีนะคะพี่รัมภา อินไม่อยากให้ยิ้มเจ็บอีก...”

ว่าแล้วสองสาวก็ได้แต่มองหน้าให้กำลังใจกัน และทำงานในมือต่อไป กระทั่ง...

“เอ...ใครมาน่ะ...” อินทุอรที่นั่งหันหน้าไปทางเรือนของหม่อมชื่นจิต แลเห็นรถสัญชาติยุโรปสีดำสนิทและรถตู้สีตะกั่วขับเข้ามาจอดบริเวณลานหน้าเรือน

ยังไม่ทันได้คำตอบ เธอก็ขยับตัวไปบอก ‘เมย’ ในชุดแบบฟอร์มข้าหลวงของวังพยุหะมนตรีที่กำลังดูเตาไฟอยู่ใกล้ๆ

เมยเป็นเพื่อนเล่นกึ่งๆ พี่เลี้ยงของอินทุอรมาตั้งแต่จำความได้ และเป็นคนที่ติดตามเธอมาจากบ้านเดิม

“ไปแจ้งในครัวให้เตรียมจัดน้ำกับเครื่องว่างทีค่ะ หม่อมท่านมีแขก”

“ค่ะคุณอิน” ว่าแล้วเมยก็วางมือและยกหน้าที่ให้ข้าหลวงรุ่นสาวคนหนึ่งทำงานต่อ ส่วนตนรีบเดินเร็วๆ ไปทางครัวของเรือนประทุม

            ลับหลังเมยไปแล้ว สายตาของอินทุอรและรวินท์รัมภาก็ยังจับอยู่ที่รถหรูซึ่งจอดนิ่งด้วยความสนใจใคร่รู้ เพราะกลุ่มผู้ชายในชุดสูทสีดำที่ลงมาก่อนนั้น ดูท่าทางจะเป็นบอดี้การ์ดมากกว่าแขกตัวจริง พวกเขาต่างก็แยกกันไปเปิดประตูรถตอนหลังด้วยท่าทางนอบน้อม จึงยังไม่แน่ชัดว่า ‘กลุ่มคน’ ที่มานั้นเป็นใคร

ไม่นานก็ต้องแสดงสีหน้าประหลาดใจ ปนสงสัยเมื่อเห็นแขกที่ลงมาจากรถเป็นชายหญิงต่างวัยสามคน คนแรกเป็นผู้หญิงวัยกลางคนที่ลงมาจากรถตู้ หล่อนแต่งกายด้วยชุดเดรสผ้าไหมสีพื้นเรียบหรูตั้งแต่หัวจรดปลายเท้า ตามด้วยชายร่างท้วมอายุอานามประมาณ ๕๐ ปลาย ที่ดูมีอำนาจและภูมิฐานยิ่ง ส่วนอีกคนหนึ่งนั้น ลงมาจากรถสีดำที่ขับเข้ามาจอดก่อนหน้า และเป็นคนที่ทั้งสองรู้จักเป็นอย่างดี...เจษฎ์บดินทร์

            “พี่เจษฎ์มาที่นี่ทำไม”

            รวินท์รัมภาส่ายหน้ากับคำถามของพี่สะใภ้ ก่อนจะหันมาสบตากันเมื่อเห็นว่าในมือของเจษฎ์บดินทร์ถือพานดอกไม้ธูปเทียนแพมาด้วย ขณะที่ผู้ติดตามหยิบกระเช้าผลไม้และของขวัญหลายกล่องหลายตะกร้าติดตามทั้งสามขึ้นเรือนไป...โดยที่มีหม่อมชื่นจิตในชุดผ้าไหม ที่ดูเป็นการเป็นงาน และประณีตกว่าทุกๆ วัน ยืนรอรับอยู่ด้านบนด้วยรอยยิ้ม ท่านรับไหว้ผู้เยาว์วัยกว่าทั้งสาม และเอ่ยทักทายเช่นคนที่คุ้นเคยกันเป็นอย่างดี

รณพีร์ชะลอความเร็วของรถลงเมื่อเห็นรถ SUV สีขาวคุ้นตาคันหนึ่งขับสวนออกมาจากทางเข้าบ้าน ก่อนที่แสงสว่างจากไฟที่ขนาบประตูทางเข้าทั้งสอง จะทำให้เห็นชัดเจนและจำได้ในทันทีว่ารถคันนั้นเป็นรถของวิยะดา

“ยิ้ม...”

เธอเพียงยิ้ม และพยักหน้าทักทาย ก่อนจะเลี้ยวรถออกสู่ถนน ทิ้งให้เขาเป็นฝ่ายมองตาม

รณพีร์รู้สึกเจ็บใจที่ตนเองพลาดการพบเจอกับเธอ ทั้งๆ ที่อีกฝ่ายมาหาถึงบ้าน ถ้าเขาไม่มัวแต่คุยกับเพื่อนที่เจอกันที่สนามบินหลังจากลงจากเครื่อง ก็คงได้พูดคุยกับคนที่เฝ้าคิดถึงไปแล้ว

รณพีร์เพิ่งกลับมาจากอเมริกา หลังจากเดินทางไปจัดการธุระ และลาออกจากงานเพื่อย้ายกลับมาอยู่ที่เมืองไทยเป็นการถาวร

เมื่อขับรถมาถึงหน้าบ้าน ชายหนุ่มก็ลงจากรถ และโยนกุญแจให้กับคนรถที่รับได้อย่างฉิวเฉียด แล้วเดินเข้าบ้านไปราวกับพายุ

สิ่งที่เกิดขึ้นในใจเขาคือคำถาม...วิยะดามาทำไม หรือเธอจะมีเรื่องอะไรสำคัญให้ทางนี้ช่วยเหลือ หรือ...จะมาพูดเรื่องงานแต่ง

            ครั้นเข้าไปถึงด้านในก็เห็นพ่อประคองแม่เดินออกมาจากห้องรับแขกด้วยสีหน้าแปลกไปจากทุกครั้ง ดูหนักใจ และหม่นหมอนอย่างประหลาด

            “ป๊าม๊า” รณพีร์ยกมือไหว้ท่านทั้งสอง

            “อ่าวเจ้าพีร์ มาแล้วเหรอ ป๊านึกว่าจะกลับสักวันเสาร์”

            “กินข้าวมารึยังลูก”

            “พอดีจัดการธุระทางโน่นเสร็จเร็ว เลยรีบจับเครื่องกลับมาน่ะครับ กินแล้วครับม๊า แล้วนี่มีเรื่องอะไรกันรึเปล่าครับ เมื่อกี้ผมเห็น...”

            ไม่ทันที่บุตรชายคนเล็กจะได้พูดจบ ท่านทั้งสองก็พลันถอนใจ

            “แกไปถามเจ้าวีร์เถอะ นั่งอยู่ในห้องนั่งเล่นโน่น ตอนนี้ป๊ากับม๊ายังพูดไม่ออก ไม่รู้จะเล่ายังไงว่ะ” คนเป็นพ่อบอกพลางส่ายหน้า ก่อนจะประคองภรรยาเดินขึ้นชั้นสองไป

            รณพีร์รู้สึกร้อนใจอย่างบอกไม่ถูก รีบสาวเท้าผ่านโค้งประตูเข้าไปด้านใน

            “เกิดอะไรขึ้นเฮีย ทำไมป๊าม๊าทำหน้าแบบนั้น ยิ้มมาทำไม”

            ชัชวีร์ที่ยืนอยู่หน้าเคาน์เตอร์วางขวดคริสตัลบรรจุบรั่นดีที่กำลังจะเทใส่แก้วทรงเตี้ยลง

            “มาแล้วเหรอ” น้ำเสียงที่ตอบรับนั้นดูเนือยๆ บ่งบอกว่ามีเรื่องให้ขบคิดและหนักใจ เขาเอื้อมมือไปหยิบแก้วลงมาอีกใบหนึ่ง และวางลงข้างๆ แก้วของตัวเอง

            “มาก็ดีแล้วดื่มเป็นเพื่อนเฮียหน่อยก็แล้วกัน”

            “ตกลงมันเรื่องอะไรกันเฮีย” รณพีร์ที่เดินมาหยุดข้างๆ พี่ชายถามอีกครั้งอย่างร้อนใจ

            ชัชวีร์ไม่ตอบคำในทันที เขาผลักแก้วเครื่องดื่มไปให้น้องชาย ก่อนจะพยักพเยิดไปยังกล่องแหวนที่วางอยู่ตรงหน้า ซึ่งรณพีร์เพิ่งสังเกตเห็น

“เขามาขอถอนหมั้น แล้วก็มากราบขอโทษป๊ากับม๊า”

ชั่ววินาทีนั้นรณพีร์รู้สึกดีใจที่วิยะดาถอนหมั้นกับชัชวีร์ แต่ในเวลาต่อมากลับรู้สึกว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องดีแน่ มันต้องมีอะไรบางอย่างเกิดขึ้น

“ถอนทำไม”

สำหรับเรื่องความรู้สึกที่เขามีให้กับวิยะดามาตลอดนั้น ได้เปิดเผยแก่พี่ชายไปหมดแล้วในวันที่พูดคุยกันข้างสระน้ำ พร้อมกับความจริงเรื่องที่พี่ชายและวิยะดามีแผนจะถอนหมั้นกันมานานแล้ว ดังนั้นเมื่อชัชวีร์ได้ฟังความในใจของเขาก็โล่งอก บอกว่าหากเป็นเขาที่ได้แต่งงานกับวิยะดาคงจะเป็นเรื่องดี เพราะเขารักเธออย่างจริงใจ ทั้งยังบอกว่าจะช่วยให้เขาสมหวังกับเธอ

“เขาจะต้องแต่งงานกับ...เจษฎ์บดินทร์เพื่อให้ได้สิทธิ์ในการรับยายหนูเป็นบุตรบุญธรรม”

“ผมไม่เข้าใจ” เสียงของคนเป็นน้องแหบลง “มันไม่จำเป็นต้องเป็นไอ้หมอนั่น ก็ไหนเฮียบอกว่าครอบครัวมันทำให้ครอบครัวยิ้มเป็นแบบนี้ไง เธอจะแต่งงานกับมันได้ยังไง!” ดูเหมือนว่ารณพีร์จะไม่อาจควบคุมอารมณ์ได้อีกต่อไป

ชัชวีร์ยกแก้วขึ้นดื่มรวดเดียวหมดแล้ววางลงบนเคาน์เตอร์ และหยิบขวดขึ้นมาเติมราวกับไม่รับรู้ถึงความร้อนใจของน้องชาย แต่...ความจริงแล้ว เขากำลังสรรหาคำพูดที่จะโต้ตอบ และไม่ทำให้รณพีร์วู่วาม

“เฮีย!”

“เจษฎ์บดินทร์ขออำนาจศาลรับยายหนูเป็นบุตรบุญธรรมแล้ว เรื่องนี้เป็นความยินยอมของแม่เด็กด้วย ตอนนี้ทางเดียวที่ยิ้มจะอยู่กับหลาน และรับแกเป็นบุตรบุญธรรมได้ ก็คือต้องแต่งงานกับเจษฎ์บดินทร์”

“...”

“นายตัดใจซะเถอะ ยิ้มตัดสินใจแล้ว...”

ไม่มีคำพูดใดหลุดออกมาจากปากของรณพีร์ มีเพียงเสียงลมหายใจสั่นๆ ด้วยความเดือดพล่านที่พุ่งสูงขึ้น

“เฮ้ย! ไอ้พีร์! นั่นนายจะไปไหน เฮ้ย!” ชัชวีร์สบถ ขณะรีบตามน้องชายที่สืบเท้าจากไป

เมื่อออกมาถึงหน้ามุกบ้าน ก็เห็นว่ารถของรณพีร์ขับออกไปแล้ว

“เฮ้ย! มีใครอยู่แถวนี้บ้างวะเอากุญแจรถมา เร็ว!”

พลั่ก!

ใบหน้าหล่อเหลาของเจษฎ์บดินทร์สะบัดไปตามแรงต่อย ร่างสูงใหญ่เซเล็กน้อย เขาจับกรามที่โยกไปด้วยแรงปะทะ ขณะยกมือส่งสัญญาณให้บอดี้การ์ดที่แฝงตัวอยู่ใกล้ๆ ไม่ต้องเข้ามาช่วยเหลือ

“ไอ้เจษฎ์มึง!”

พลั่ก! พลั่ก!

คนที่จู่โจมก่อนโดยไม่ทันตั้งตัวพุ่งตรงเข้ามาอีกครั้ง แต่คราวนี้กลับเป็นเจษฎ์บดินทร์ที่สาวหมัดชกกลับหนุ่มรุ่นน้องไปสองหมัดติด จนฝ่ายนั้นลงไปกองกับพื้น

“นี่นายจะมาหาฉันเพราะเรื่องนี้เหรอ ทำไมไม่นัดที่สนามมวยแทนวะ” เจษฎ์บดินทร์ยังคงรักษาท่าทีและสีหน้าเรียบเฉยเย็นชา มีเพียงมุมปากเท่านั้นที่ปรากฏรอยแดงจากการแตก เขาใช้ลิ้นดุนกระพุ้งแก้มเล็กน้อย

“จะบอกเหตุผลก่อน หรือต่อยให้เสร็จก่อน เลือกเอา” รุ่นพี่หนุ่มถาม พลางปลดเนคไทให้คลายตัวลง

หมัดของเจษฎ์บดินทร์หนักและเร็วอย่างที่รณพีร์คาดไม่ถึง มารู้ตัวอีกทีเขาก็กระเด็นมาฟุบอยู่กับซีเมนต์เย็นเฉียบอย่างหมดสภาพแล้ว

แม้จะชาระบมและมึนงงกับการถูกสวนกลับ แต่มันไม่ได้ทำให้แรงอารมณ์ของรณพีร์ลดลงเลยแม้แต่น้อย

“ไอ้เจษฎ์! ไอ้หน้าตัวเมีย มึงมีสิทธิ์อะไรบังคับยิ้มให้แต่งงานกับมึง ไอ้เหี้ย” รณพีร์สบถ พร้อมกับพยุงตัวขึ้น และเข้าไปแลกหมัดกับเจษฎ์บดินทร์อีกครั้ง

แต่คราวนี้มันไม่ง่าย เขาไม่สามารถเข้าถึงตัวเจษฎ์บดินทร์ได้ เพราะฝีมือที่เหนือชั้นกว่าอย่างน่าตกใจของหนุ่มนักธุรกิจรุ่นพี่

สุดท้ายก็เป็นรณพีร์ที่ลงไปกองกับพื้นซีเมนต์อีกครั้ง เจษฎ์บดินทร์ที่มีอาการหอบหายใจเล็กน้อยกับการออกแรง และเหงื่อที่ผุดขึ้น หันไปเรียกให้บอดี้การ์ดเข้ามาล็อกตัวรณพีร์ไว้ เพราะขืนสู้กันต่อไป อีกฝ่าย...ก็มีแต่จะเจ็บตัวเท่านั้น

“นายแพ้แล้ว สู้ไม่ได้ก็ถอยไป”

แน่นอนว่าคำพูดของเจษฎ์บดินทร์หมายถึงทั้งเรื่องต่อสู้ และเรื่องของวิยะดา...

ในตอนนั้น รถของชัชวีร์ก็พุ่งเข้ามาจอดไม่ไกลนัก

“ปล่อยกู!”

“ใจร้อน ไม่คิดหน้าคิดหลัง ใช้อารมณ์เป็นที่ตั้ง แต่ไม่กล้าต่อสู้ในเวลาที่ถูกต้อง...นายแพ้ตั้งแต่ตรงนั้นแหละ”

“ไอ้เจษฎ์ ไอ้สัตว์! มึงปล่อยกูสิโว้ย!!”

“ไอ้พีร์!”ชัชวีร์เรียกน้องชายทันทีที่วิ่งมาถึง เขารีบเข้าไปดึงรณพีร์ที่มีคนของเจษฎ์บดินทร์กดอยู่กับพื้น

“ถือว่าผมขอร้อง อย่าถือสาไอ้พีร์เลย มันใจร้อนพี่ก็รู้” ขณะที่พูด คนของเขาที่ตามมาอีกสองคนก็เข้าไปยืนข้างๆ ในลักษณะเตรียมสู้

            เจษฎ์บดินทร์มองผู้มาใหม่ “นายก็มาด้วยเหรอ”

            ชัชวีร์ยืนขึ้น เขามองสบตากับเจษฎ์บดินทร์ตรงๆ ความโกรธที่คิดว่าตนเองสามารถจัดการได้พลันแล่นขึ้นมา

            ถึงเขาไม่ได้รู้สึกกับวิยะดาอย่างคนรัก แต่เธอก็คือน้องสาวที่เขาเอ็นดูยิ่งกว่าใคร

            สันกรามที่ถูกขบจนนูนเด่นบนใบหน้าขาวตี๋ ประจักษ์ชัดในสายตาของเจษฎ์บดินทร์ นี่เป็นครั้งแรกที่เขาหลุบตาลงให้กับฝ่ายตรงข้ามที่เป็นผู้ชาย...อย่างรู้สึกผิด

            “ต่อยเถอะ ถ้านายอยากต่อย เพราะคนที่ควรจะต่อยฉันเป็นนาย ไม่ใช่หมอนั่น”

            ไม่ต้องรอให้เจษฎ์บดินทร์บอกย้ำอีกครั้ง ชัชวีร์ก็สาวเท้าเข้าไป พร้อมง้างหมัดต่อยที่ใบหน้าคมคายของอีกฝ่ายสุดแรงเกิด โดยเจษฎ์บดินทร์ที่ยืนนิ่ง ถูกแรงปะทะทำให้เซจนเกือบล้ม

            “พี่แม่งโคตรเหี้ยเลยว่ะ” ชัชวีร์เค้นเสียงออกมา ขณะดึงคอเสื้อเจษฎ์บดินทร์ที่มีส่วนสูงมากกว่าตนเล็กน้อยกลับมา

            สำหรับชัชวีร์แล้ว เขารู้ความรู้สึกของวิยะดามาโดยตลอด จากทั้งที่สังเกตเห็นสมัยเด็กๆ และได้ยินจากปากของเธอ เช่นเดียวกัน เขาไม่ได้ตาบอดจนมองไม่เห็น...ความรู้สึกลึกๆ ในสายตาของเจษฎ์บดินทร์ที่มีให้กับวิยะดา

            ดังนั้นเขาจึงไม่เคยเข้าใจเลยว่าทำไมญาติผู้พี่ถึงได้ปฏิเสธการหมั้นหมายกับเธอ จนกลายมาเป็นเขา...

            “พี่แม่งทำแบบนี้กับยิ้มได้ยังไงวะ...คนที่เขารักกันไม่ทำแบบนี้หรอกเว้ย...”

            “...”

            “ถ้าพี่ทำให้ยิ้มเสียใจอีก ผมไม่ปล่อยไว้แน่! และถ้าถึงวันนั้น...ผมจะไปเอาน้องคืน จำไว้!”

            ว่าแล้วเขาก็ผลักอกเจษฎ์บดินทร์ แล้วเดินไปหาน้องชายที่ยังถูกกดอยู่กับพื้นและส่งเสียงคำรามด้วยความโกรธแค้น

            “ปล่อยน้องกู”

            ชายในชุดดำมองมายังเจษฎ์บดินทร์ที่กำลังยกมือขึ้นเช็ดมุมปาก เมื่อเห็นว่าเจ้านายพยักหน้าจึงยอมปล่อย

 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น