เผชิญหน้า
หลังจากกินอาหารและยาที่ทางโรงพยาบาลจัดเตรียมให้แล้ว วิยะดาก็จำเป็นต้องปล่อยวางเรื่องที่เจษฎ์บดินทร์บอก และหลับไปอีกครั้งด้วยฤทธิ์ยา ก่อนจะตื่นขึ้นมาในตอนเย็น พบว่าฝนกำลังตกหนัก ทำให้ภายในห้องพักฟื้นที่มีเพียงเธออยู่ตามลำพังได้ยินเสียงสายฝนที่เทลงมาชัดเจน
วิยะดาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูเวลา ก่อนจะต่อสายหาจินตนาการ ซึ่งยังคงไม่ทราบเรื่องตามที่เจษฎ์บดินทร์บอก
การพูดคุยกับจินตนาการในครั้งนี้ ทำให้วิยะดาได้ข้อมูลเพิ่มเติมว่าเมื่อวานเจษฎ์บดินทร์ถือสิทธิ์ใช้มือถือของเธอส่งข้อความไปแจ้งเรื่องโกหก
มาคิดดูแล้ว การที่จิตนาการและอินทุอรไม่ติดใจเรื่องที่เจษฎ์บดินทร์ส่งข้อความไปบอกว่าเธอค้างที่บ้านสุรสินทร์เมื่อคืนวาน คงเพราะก่อนออกมา วิยะดาได้เปรยกับเพื่อนว่าจะแวะไปดูบ้านหลังจากพบแพทย์ประจำตัวหลานสาว...
ดังนั้นพอวิยะดาบอกความจริง อีกฝ่ายจึงตกใจมาก ด่าว่าเจษฎ์บดินทร์ และจะเร่งรุดมาหาในทันที แต่ถูกวิยะดาปรามเอาไว้ บอกให้มาในวันพรุ่งนี้แทน เพราะเธอจะถือโอกาสนี้ เผชิญหน้าและเคลียร์ปัญหาที่ยังคั่งค้างอยู่กับเจษฎ์บดินทร์ให้แล้วเสร็จ
“ตัวไม่ต้องห่วงนะ ไม่ว่ายังไงเราก็ต้องคุยกับเขาอยู่ดี คุยให้จบวันนี้ก็ดีเหมือนกัน จะได้ไม่ต้องมาวุ่นวายกันอีก...ตอนนี้เราไม่อยากคิดอะไรทั้งนั้น นอกจากทำเรื่องแจ้งเกิดยายหนู รับแกเป็นบุตรบุญธรรม และดูแลเรื่องอาการป่วยของแก...อือ...ยังไงก็ฝากบอกและอธิบายกับอินด้วยนะ จ้ะ...แล้วเจอกันนะ”
วิยะดาวางสายจากเพื่อนรักด้วยสีหน้าเป็นกังวลเล็กน้อย เมื่อคาดเดาท่าทีของเจษฎ์บดินทร์เรื่องหลาน
ใช่ว่าเธอไม่รู้ว่าก่อนจากไป วาริศาได้พูดคุยทำข้อตกลงบางอย่างกับเจษฎ์บดินทร์ มันไม่ใช่แค่สิทธิ์ในการเลี้ยงดูยายหนูร่วมกันกับเธอ...แต่จะต้องมีอะไรมากกว่านั้นแน่!
ถึงเขาจะไม่ได้เป็นคนลงมือทำร้ายวาริศาโดยตรง แต่การรู้เห็นแล้วยืนมองคนอื่นตกลงเหวก็เท่ากับสมรู้ร่วมคิดและทำร้ายไม่ใช่หรือ คนโกหกหลอกลวง และไม่มีความจริงใจให้ใครแบบนั้น ไม่ควรได้รับสิทธิ์ในการเข้าใกล้ยายหนูเลยด้วยซ้ำ!
อย่างเรื่อง ‘อุบัติเหตุ’ ที่ทำให้วาริศาต้องมีสภาพเป็นผักอยู่ในโรงพยาบาลนานนับเดือน เพื่อรักษาชีวิตลูกน้อยในครรภ์กับสภาวะที่อาจจะคลอดก่อนกำหนดหรือแท้งได้ตลอดเวลานั้นเป็นฝีมือของ ‘ใคร’ ทั้งเขาและเธอต่างก็ทราบดี เพียงแค่ไม่มีหลักฐาน แต่...ด้วยความสามารถของเจษฎ์บดินทร์ หากคิดจะเรียกร้องความยุติธรรมให้กับวาริศาอย่างจริงใจแล้วล่ะก็ เขาย่อมทำได้...แต่ก็ไม่ทำ!
คนแบบนี้น่ะเหรอ ที่ควรไว้วางใจ...
วิยะดาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาอีกครั้ง พร้อมกับกดโทรออก ด้วยเบอร์ที่เธอเคยคิดจะลบทิ้งหลายครั้ง แต่ก็ยังไม่ได้ทำจนมาถึงวันนี้
เจษฎ์บดินทร์...
“ฉันอยากคุยกับคุณ มาพบฉันที่โรงพยาบาลได้ไหมคะ...”
ภาพทารกแรกเกิดแสนเปราะบางที่กำลังนอนหลับอยู่ในตู้อบตรึงสายตาหญิงสาวในชุดคนไข้ ที่ยืนนิ่งอยู่หน้าห้องซึ่งมีผนังกระจกกั้นอยู่
อีกหนึ่งชั่วโมงจะถึงเวลาที่เธอนัดหมายกับเจษฎ์บดินทร์เอาไว้
ความเงียบที่โอบล้อมรอบกาย ทำให้วิยะดาจมดิ่งไปกับความทรงจำที่ฉายชัดเข้ามาในห้วงสำนึก...
เมื่อสมัยที่เธอยังเด็ก วิยะดาจำเหตุการณ์หนึ่งเมื่อครั้งที่นั่งคุยกับมารดาได้เป็นอย่างดี...ในปีนั้น ข่าวที่ผู้ใหญ่ต่างก็พูดถึง คือข่าวการเดินทางไปเรียนต่อยังต่างประเทศของทายาทนักธุรกิจใหญ่หลายตระกูล ซึ่งหนึ่งในนั้นคือทายาทอันดับที่ ๓ ของพุฒิวิริยะกุลอย่างเจษฎ์บดินทร์ ที่สามารถสมัครเข้าศึกษาต่อในมหาวิยาลัยที่มีชื่อเสียงของสหรัฐอเมริกาได้เป็นผลสำเร็จ เช่นเดียวกับเพื่อนรักทั้งสองของเขา แน่นอนว่าในตอนนั้นเจษฎ์บดินทร์กลายเป็นตัวอย่างของทายาทนักธุรกิจที่หลายๆ บ้านหยิบยกขึ้นมาเปรียบเทียบ หรือกวดขันลูกหลานของตนให้ยกเขาเป็นเป้าหมายพิชิตหรือเป็นแบบอย่าง ไม่เว้นแม้กระทั่งบ้านของเธอที่พี่ชายคนโตก็ถูกกดดันให้ตั้งใจเรียน เพื่อให้ได้เข้าเรียนในคณะและมหาวิทยาลัยเดียวกันกับเจษฎ์บดินทร์ในปีหน้า
‘พอเห็นว่าตาเจษฎ์ไปเรียนต่างประเทศแบบนี้ แม่ก็นึกถึงสมัยก่อนขึ้นมา” วิกานดารำพึง ดวงตาคู่สวยคล้ายกับมองย้อนไปถึงเรื่องมากมายที่เกิดขึ้นในอดีต
วิยะดาในวัย ๘ ขวบเงี่ยหูตั้งใจฟังเรื่องราวของ ‘พี่เจษฎ์’ ด้วยความสนใจ
“ยิ้มรู้ไหมลูก...ว่าพี่เจษฎ์เป็นเด็กที่เข้มแข็งมากนะ ทั้งเข้มแข็ง และเก่ง ถ้าคุณป้าอาภาของลูกยังอยู่...คงจะภูมิใจในตัวลูกชายคนนี้มาก’ วิกานดาเอ่ยด้วยน้ำเสียงและสีหน้าอบอุ่น แม้จะมีอาการสั่นเครือเล็กน้อยด้วยความสะเทือนใจเมื่อคิดถึง ‘อาภาศิริ พุฒิวิริยะกุล’ มารดาของเจษฎ์บดินทร์ แต่ทุกถ้อยคำที่เอื้อนเอ่ยถึงหนุ่มน้อยคนนั้นล้วนแสดงถึงความเอื้อเอ็นดู ภาคภูมิใจแทนเพื่อนรักผู้จากไป
‘รู้ค่ะ’ สาวน้อยเจ้าของเรือนผมยาวสลวยดำขลับซึ่งกำลังช่วยแกะซองขนมเวเฟอร์แบบแพ็กโหลใส่ลงไปในถาดตอบรับด้วยรอยยิ้มน่ารัก และเสียงอันหนักแน่น จนผู้เป็นแม่อมยิ้มเอ็นดู เอื้อมมือที่กำลังจัดเตรียมถุงพลาสติกบรรจุสำรับสำหรับใส่บาตรพรุ่งนี้เช้า มาลูบเส้นผมสลวยของลูกสาวคนเล็ก
วันนี้เป็นวันพิเศษกว่าทุกวัน เพราะหล่อนได้มีโอกาสใช้เวลาอยู่กับ ‘หนูยิ้ม’ หลังจากที่สาวน้อยปิดเทอม และเดินทางกลับมาเยี่ยมบ้านที่กรุงเทพฯ พร้อมกับพี่สาว ซึ่งตอนนี้ขออนุญาตออกไปดูหนังกับเพื่อน วิกานดาจึงได้ชวนวิยะดามาทำกิจกรรมร่วมกัน เพราะปกติแล้ว แม่หนูที่ห่างจากอกแม่ไปอยู่เชียงใหม่ตั้งแต่เด็กๆ จะถูกดูแลด้วยพี่เลี้ยง และพี่สาวของเธอ ส่วนวิกานดาต้องอยู่ที่กรุงเทพฯ และใช้เวลาส่วนใหญ่ในการออกงานสังคมกับสามี และดูแลเรื่องต่างๆ ในบ้านสุรสินทร์ในฐานะสะใภ้เพียงคนเดียว
เพราะหนูยิ้มอายุห่างจากพี่ๆ ของแกเกือบสิบปี จึงทำให้วิกานดารู้สึกเอื้อเอ็นดูบุตรสาวคนนี้มาก แต่ดูเหมือนว่าสาวน้อยจะสนิทกับพี่สาวของแกมากกว่ามารดาอย่างหล่อน ซึ่งในเรื่องนี้วิกานดาไม่ได้รู้สึกน้อยใจ เพราะหล่อนเลี้ยงดูวาริศามากับมือ ดังนั้นจึงเชื่อว่าเธอจะดูแลน้องสาว และทำหน้าที่แทนแม่ได้อย่างดี
“ถ้าหนูยิ้มเจอพี่เจษฎ์อีก ต้องทำตัวน่ารักกับพี่เขานะลูก ถึงจะเห็นแบบนี้ แต่จริงๆ แล้ว...พี่เจษฎ์เขาเหมือนตัวคนเดียว...”
สาวน้อยได้ยินดังนั้นก็ฉายสีหน้าไม่เห็นด้วย
“ตัวคนเดียว? แต่หนูยิ้มได้ยินพี่แยมบอกว่าพี่เจษฎ์เขามีพี่ชายด้วยนะคะคุณแม่ แถมยังมีครอบครัวใหญ่มากๆ ด้วย เมื่อปีที่แล้วที่ไปงานแซยิดคุณตาชาติชาย ก็มีแต่ญาติๆ พี่เจษฎ์เต็มไปหมดเลย” พูดแล้วก็หัวเราะเสียงสดใส “หนูยิ้มว่าญาติของพี่เจษฎ์น่ะ เยอะกว่าญาติของพวกเราอีกค่ะ”
วิกานดาได้ยินดังนั้นก็ได้แต่ยิ้มจืดจาง หล่อนเอื้อมมือมาลูบศีรษะเล็กๆ ของลูกสาว
“ถ้าแม่เล่าให้ฟังตอนนี้ หนูยิ้มก็คงไม่เข้าใจ แต่เอาเป็นว่า...สัญญาได้ไหมจ๊ะ ว่าหนูยิ้มจะเป็นเด็กดี ถ้ามีโอกาสได้เจอพี่เจษฎ์ก็ต้องห้ามดื้อ และปฏิบัติกับพี่เขาเหมือนที่ทำกับพี่โยและพี่แยม”
เด็กหญิงฟังคำพูดของมารดาแล้วก็พลันยิ้มกว้าง ความไร้เดียงสาของเธอ ไม่ได้ทำให้ฉุกใจคิดเรื่องที่มารดาเกริ่นเอาไว้
“สัญญาค่ะ หนูยิ้มจะรักพี่เจษฎ์มากๆ ให้เท่ากับพี่โยกับพี่แยมเลย!”
แต่ใครจะคิดว่าหลังจากวันนั้น อีก ๖ ปีให้หลัง วิยะดาจะได้พบกับพี่เจษฎ์พี่ชายที่สาวน้อยคิดถึงอีกครั้ง และนั่น...ก็ทำให้เธอค้นพบว่าตนเองไม่อาจทำตามสัญญาที่ให้กับมารดาได้ นั่นเพราะเธอไม่อาจคิดหรือรู้สึกกับพี่ชายคนนี้ได้อย่างที่รู้สึกกับพี่สาวและพี่ชายแท้ๆ ของตัวเอง...
ในวันนั้น คือวันที่สาวน้อยในวัย ๑๔ ปี ได้ค้นพบความรักที่ทำให้หัวใจของเธอเต้นระรัว มันเป็นความรู้สึกที่ยากจะเรียกว่าฉาบฉวย เพราะมันหอมหวาน ตราตรึง และฝังรากลึกจนเกินกว่าจะถอดถอน
นั่นเป็นวันที่วิยะดาได้ประจักษ์ถึงความรักครั้งแรกของตน
พร้อมกับค่อยๆ ทำความเข้าใจเกี่ยวกับสิ่งที่มารดาพูดถึงในวันนั้นทีละน้อย จากการได้ยิน ได้ฟัง และได้เห็นความสัมพันธ์อันแสนเย็นชา ห่างเหิน และแปลกประหลาดจนเกินกว่าจะเรียกว่าครอบครัวของเจษฎ์บดินทร์...ผู้โดดเดี่ยวท่ามกลางญาติสนิทมากมาย แต่หาความผูกพัน จริงใจ และความรักไม่มี...
มาจนถึงวันนี้...เธอก็ยังจินตนาการไม่ออกเลยว่า การต้องเติบโตโดยปราศจากผู้เป็นแม่คอยอุ้มชู อยู่ในครอบครัวที่มีแต่การแก่งแย่งชิงดี มีพ่อที่มองเห็นว่าตนเป็นคู่แข่ง มีพี่น้องที่เกลียดชังไม่เข้าหน้า และแม่เลี้ยงที่เป็นอดีตคนรักของพ่อ ซึ่งอาจจะเป็นสาเหตุการตายของมารดานั้น...เป็นเช่นไร
หากสุดท้ายมันก็ได้พิสูจน์ให้เธอได้เห็นความจริงอีกข้อหนึ่ง...นั่นคือ ต่อให้พวกเขา ‘พุฒิวิริยะกุล’จะจงเกลียดจงชัง และแก่งแย่งชิงดีกันเองมากแค่ไหน แต่สุดท้ายเมื่อต้องร่วมมือกันเพื่อทำร้าย ทำลาย และกอบโกยผลประโยชน์ของผู้อื่นแล้ว พวกเขาก็สามารถเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันได้อย่าง...น่ารังเกียจเป็นที่สุด!
ก่อนหน้าที่จะมาเยี่ยมหลานสาวที่นี่ วิยะดาได้แวะเข้าไปที่ห้องทะเบียน เพื่อสอบถามเรื่องเอกสารแจ้งเกิด หลังจากเคยไปสอบถามมาแล้วครั้งหนึ่ง เมื่อเสร็จสิ้นงานศพของวาริศาหรือเมื่อสามวันก่อน แต่เจ้าหน้าที่กลับให้คำตอบไม่ชัดเจนนัก บอกแค่ว่าก่อนที่วาริศาจะเสียชีวิตได้ทำเรื่องขอเอกสารนี้แล้วครั้งหนึ่ง ซึ่งทางนั้นไม่แน่ใจว่า ณ ตอนนี้เอกสารดำเนินการไปถึงขั้นตอนใด และมีผู้ไปรับแล้วหรือไม่ ต้องรอเจ้าหน้าที่รับผิดชอบอีกท่านมายืนยัน พอมาถึงวันนี้เธอเข้าไปสอบถามอีกครั้ง เจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบคนนั้นให้คำตอบว่า...เอกสารดังกล่าวถูก‘เจษฎ์บดินทร์’ มาทำเรื่องรับไปแล้ว
ความจริงนั้น มันทำให้ความกังวลใจของวิยะดาที่มีอยู่เดิมยิ่งทวีคูณมากขึ้น...
เขาคงจะแค่เก็บรักษามันเอาไว้ใช่หรือไม่ เขายังไม่ดำเนินการทำอะไรกับมันใช่หรือไม่...
ไม่หรอก เขาจะทำแบบนั้นได้ยังไง ก็ในเมื่อน่าจะรู้อยู่แล้ว ว่าสิทธิ์ในการเลี้ยงดูหลานสาวควรจะตกเป็นของเธอ ตามความต้องการของวาริศา! แม้ว่าบัดนี้เธอจะยังไม่มีคุณสมบัติอยู่ในเกณฑ์ที่จะรับบุตรบุญธรรมได้ เพราะอายุยังไม่ถึง ๒๕ ปี แต่มันก็แค่อีกไม่กี่เดือนเท่านั้น!
ถ้ามองในมุมของความจริง ตอนนี้ยายหนูอยู่ในสถานะที่เรียกว่า ‘ภาระ’ ที่ทุกๆ คนคงอยากจะปัดให้พ้นทาง เพราะการเกิดของแกคล้ายกับไม่ได้สร้างประโยชน์ให้ใคร โดยเฉพาะพุฒิวิริยะกุล
แต่...ถ้าเจษฎ์บดินทร์คิดจะฉวยโอกาสดึงยายหนูไปเป็นเครื่องมือเพื่อเอาชนะคะคานพี่ชายและแม่เลี้ยงเล่า...
เพราะถ้าเจษฎ์บดินทร์ได้สิทธิ์ในการเลี้ยงดูยายหนูอย่างสมบูรณ์จริง จะไม่เท่ากับเป็นการได้ตบหน้าคนเหล่านั้น ที่อยากกำจัดยายหนูไปให้พ้นทางชีวิตคู่ของเชษฐาหรอกหรือ!
อีกอย่างการอุปการะยายหนู มันอาจจะทำให้เขาดูเป็นหัวหน้าครอบครัวที่สมบูรณ์แบบ และมีภาพลักษณ์ที่ดีในสายตาผู้คน ที่รอดูความรับผิดของสองตระกูล...ที่มีให้กับทายาทซึ่งเกิดมาอย่างผิดที่ผิดทางคนนี้!
เสียงฝีเท้ามั่นคง หยุดความคิดของวิยะดา และดึงให้หันมองเจ้าของร่างสูงใหญ่ที่เดินมาหยุดข้างๆ ร่างบอบบางในชุดคนไข้
ในชั่ววินาทีที่สองสายตาหันมาสบประสานกันนั้น ราวกับสรรพสิ่งรอบกายหยุดเคลื่อนไหว มีเพียงความหวาดกลัวในใจของวิยะดาที่เต้นระริกอยู่
เจษฎ์บดินทร์อยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตสีควันบุหรี่กับกางเกงสแล็คสีดำ แขนข้างหนึ่งพาดเสื้อสูทและถือซองสีน้ำตาลซองหนึ่งเอาไว้ ใบหน้าหล่อเหลาซึ่งดูเคร่งขรึมอยู่เป็นนิจยังคงอาบไปด้วยความเย็นชา หากดวงตาคู่คมกลับดูอ่อนโยนลงกว่าปกติ...และถ้ามีคนสังเกตเห็นจะรู้ว่า มันมักจะเป็นเช่นนี้เสมอเมื่อยามทอดมองหญิงสาวที่ยืนเงยหน้าจ้องเขาอยู่นี้
“คุณมาเร็วกว่าที่คิดนะคะ”
สรรพนามของวิยะที่ใช้เรียกแทนตัวเธอและเขาเปลี่ยนไป เช่นเดียวกันสายตา และการวางตัวห่างเหิน...และนี่ก็เป็นอีกครั้งที่เน้นย้ำความจริงข้อนั้น
“พี่ไม่อยากให้ยิ้มรอนาน”
ตามจริงแล้วเขาควรจะเอ่ยถามเรื่องอาการของเธอ แต่เจษฎ์บดินทร์ไม่ทำ...เพราะเขารู้ดีอยู่แล้ว
วิยะดาไม่ได้แสดงสีหน้าใดๆ ต่อคำพูดของอีกฝ่าย เธอมองอดีตคนที่เคยหลงรักด้วยสีหน้าและสายตาเจือความหวาดระแวง พยายามไม่พุ่งความสนใจไปที่ซองสีน้ำตาลปริศนาที่อยู่ในมือของเขา
“เราไปหาที่เงียบๆ คุยกันนะคะ”
“เอาสิ”
เมื่อเขาตอบรับเช่นนั้น เธอจึงออกเดินนำไปยังสถานที่ที่เคยใช้เป็นที่ปลดปล่อยอารมณ์เศร้าหมอง หรือกดดันเพียงลำพังในหลายๆ ครั้งที่เดินทางมาดูแลพี่สาวซึ่งต้องนอนนิ่งอยู่บนเตียงด้วยสภาวะเสี่ยงคลอดก่อนกำหนด
สถานที่แห่งนี้เป็นดาดฟ้าของตึกหนึ่งในโรงพยาบาลที่สามารถมองเห็นวิวแม่น้ำเจ้าพระยาในยามค่ำคืน
แสงสีจากไฟสีเหลืองทองซึ่งประดับอยู่บนสะพานข้ามแม่น้ำ และตึกรามบ้านช่องที่แออัด ดูงดงามมีชีวิตชีวาหากก็เปลี่ยวเหงาอย่างประหลาด ดูเหมือนว่าฝนที่เทลงมาเมื่อหัวค่ำ จะทำให้อากาศในยามนี้เย็นขึ้นกว่าปกติเล็กน้อย
วิยะดาถอนหายใจออกมาอีกครั้ง ก่อนจะสูดลมเย็นในยามค่ำคืนที่เข้ามาปะทะใบหน้าเพื่อเรียกแรงพลัง เธอหยุดฝีเท้าและหันกลับมาเผชิญหน้ากับคนที่เดินตามมาช้าๆ ด้วยก้าวย่างที่มั่นคง
หากก็ต้องหยุดชะงัก เมื่อรับรู้ถึงไออุ่นและกลิ่นสดชื่นแสนคุ้นเคยจากเสื้อตัวหนาที่ถูกห่มลงมาคลุมไหล่ทั้งสองข้างของตัวเอง มันคือเสื้อสูทตัวนอกที่เจษฎ์บดินทร์ถือติดมือมาด้วยนั่นเอง
“คลุมไว้ ที่นี่ลมแรง” เจ้าของเสื้อปรามเสียงดุ เมื่อวิยะดาพยายามจะถอดมันออก
“แต่ฉันไม่...”
“ถ้าไม่คลุมก็ไม่ต้องคุยกันตอนนี้ เพราะพี่ไม่อยากให้ยิ้มไข้กลับ”
ดังนั้นวิยะดาจึงได้แต่เม้มริมฝีปากเก็บถ้อยคำปฏิเสธและยอมทำตามที่เขาสั่งแต่โดยดี
เพราะเป็นตายยังไง เธอจะต้องพูดกับเขาให้จบในวันนี้...
“คุณสัญญาได้ไหมคะ ว่าคุณจะพูดทุกอย่างตามความจริง”
“พี่สัญญา ว่าพี่จะไม่มีวันโกหกยิ้มอีก ไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็ตาม”
วิยะดานิ่งไปกับคำสัญญานั้น ก่อนจะมองสบตากับคนตัวสูงที่ยืนอยู่ตรงหน้า
“ฉันบอกตามตรงนะคะ ว่าฉันอยากได้สิทธิ์ในการเลี้ยงดูยายหนูแต่เพียงผู้เดียว และไม่ต้องการให้แกยุ่งเกี่ยวกับพวกคุณ...พุฒิวิริยะกุลอีก”
“...”
“ฉันเลยอยากรู้...ว่านอกจากเรื่องสิทธิ์ในการอภิบาลยายหนู ‘ชั่วคราว’ แล้ว พี่แยมยังให้คุณทำอะไรอีก เจ้าหน้าที่แจ้งมาว่าเอกสารประกอบการแจ้งเกิดของยายหนูอยู่กับคุณ...จริงหรือคะ” ดวงตาคู่สวยจับจ้องมองเจษฎ์บดินทร์นิ่ง เธอจงใจพูดเน้นย้ำอย่างชัดถ้อยชัดคำ
ดูเหมือนเจษฎ์บดินทร์จะนิ่งไป กับคำถามของเธอ ทั้งๆ ที่เขาน่าจะรู้อยู่แล้วว่ามันคือสิ่งที่เธอต้องพูด
วิยะดามองกิริยาอีกฝ่ายอย่างไม่เข้าใจนัก ก่อนหลุบตาลงมองซองเอกสารสีน้ำตาลที่เขายื่นมาตรงหน้า
“เปิดดูแล้วยิ้มจะเข้าใจ”
คำพูดนั้นทำให้วิยะดาตัดสินใจเอื้อมมือไปรับซองปริศนา มาเปิดออกด้วยหัวใจเต้นแรงขึ้น...
ด้านในซองนั้นบรรจุสำเนาเอกสารหลายฉบับซ้อนกันเป็นปึก วิยะดาค่อยๆ ไล่สายตาอ่านเอกสารฉบับแล้วฉบับเล่า จากที่ค่อยๆ คลี่และสับช้าๆ ก็กลายเป็นเร็วขึ้น ด้วยใบหน้าฉายชัดความตื่นตระหนก และสะท้านสะเทือนใจ
มือเย็นเฉียบที่สั่นน้อยๆ แทบขย้ำกระดาษเหล่านั้นจนยับยู่ ริมฝีปากอิ่มเต็มสีสดเม้มเข้าหากันแน่น
“นี่มัน...นี่มันอะไรกัน...”
ดวงตากลมโตแดงก่ำที่คลั่งคลอด้วยหยาดน้ำตาเหลือบมองชายหนุ่มผู้ยืนอยู่ตรงหน้าด้วยสายตาเจ็บแค้นจนแทบจะฉีกทึ้งเขาให้ย่อยยับ เธอชูเอกสารปึกนั้นขึ้น
“บอกฉันซิ! ว่านี่มันไม่ใช่เรื่องจริง! เอกสารบ้าๆ นี่มันไม่ใช่ของจริง!”
“พี่ทำเรื่องรับเด็กคนนี้เป็นลูกบุญธรรม และศาลก็มีคำสั่งแล้ว ...ทุกอย่างคือความต้องการของแยม”
“โกหก!”
วิยะดาปาเอกสารปึกนั้นใส่อกของเจษฎ์บดินทร์ที่ยืนอยู่ตรงหน้า แผ่นกระดาษที่เป็นเหมือนสิ่งน่ารังเกียจสำหรับเธอ ร่วงและปลิวหล่นลงกระจายไปกับพื้น ถมทับเงาร่างของคนสองคน ที่สะท้อนจากแสงไฟสีเหลืองสลัวเลือนราง
ถึงมันจะเป็นสิ่งที่วิยะดาหวาดกลัวว่ามันอาจจะเกิด แต่ก็ไม่คิดว่าเรื่องมันจะเกิดขึ้นเร็วถึงเพียงนี้...การที่เขาใช้คำว่า ‘ศาลมีคำสั่งแล้ว’ มันย่อมหมายความว่าจงใจให้เรื่องนี้มันเกิดขึ้นตั้งแต่ต้น และเสร็จสมบูรณ์ในเวลาอันรวดเร็ว
แน่นอน...ว่าระดับเจษฎ์บดินทร์ พุฒิวิริยะกุล แล้ว เพียงเขาต่อสายไม่ถึงนาที เรื่องทุกๆ อย่างที่ควรจะใช้ระยะเวลาในการดำเนินการ ย่อมเสร็จสิ้นในเดี๋ยวนั้น!
“เรื่องทั้งหมดมันเป็นแผนของคุณใช่ไหม! คุณตั้งใจที่จะทำแบบนี้ตั้งแต่แรกแล้ว! ตั้งใจจะแย่งยายหนูไปจากฉัน!” วิยะดาเอ่ยถามเสียงสั่น ปลายจมูกและกระบอกตาของเธอแสบร้อน ภาพใบหน้าเรียบเฉยที่อยู่ตรงหน้าค่อยๆ พร่าเลือน
เธอไม่อยากจะเชื่อเลย ไม่อยากจะเชื่อเลย! ว่าสุดท้ายพี่แยมก็ยังไว้ใจเขา!
แล้วทำไม ในวันนั้นถึงได้ฝากฝังยายหนูไว้กับเธอ ให้เธอสัญญาว่าจะไม่ทอดทิ้งแก ทั้งๆ ที่พี่แยมตั้งใจยกยายหนูให้อยู่ในการดูแลของเจษฎ์บดินทร์ ผู้ที่เป็นพุฒิวิริยะกุล ผู้ที่รู้เห็นเหตุแห่งหายนะทุกอย่างของสุรสินทร์ ผู้ที่ชาตินี้ทั้งชาติไม่อาจเดินร่วมทางกับเธอได้อีก!
หากเจษฎ์บดินทร์ยังคงใจเย็น และรักษาสีหน้าเอาไว้ดังเดิม
“พี่ไม่ได้โกหก ยิ้มก็เห็นแล้วไม่ใช่เหรอ...ว่าคนที่เซ็นเอกสารคือแยมเอง และทั้งหมดนี้ ก็เพื่อปกป้องเด็กคนนั้นรวมถึงยิ้มด้วย”
“แม้แต่วาระสุดท้ายคุณก็ยังโกหกหลอกลวงพี่แยมให้เชื่อใจคุณ คุณธรรมในใจคุณมันไม่มีแล้วหรือไงเจษฎ์บดินทร์! ถอนสิทธิ์ซะ! ไม่อย่างนั้น...เราจะได้เห็นดีกันแน่!” น้ำเสียงที่เอื้อนเอ่ยแข็งกร้าว และเต็มไปด้วยความรู้สึกบีบคั้นไปถึงก้นบึ้งของหัวใจ น้ำตาหยดรินลงมา ขณะที่จ้องมองเขาไม่กระพริบ
“ไม่ได้ เพราะเด็กคนนั้นรวมถึงยิ้มจำเป็นจะต้องมีคนดูแล โดยเฉพาะสิทธิ์ในการเลี้ยงดูเด็ก จะรอช้าไม่ได้ เราต้องกันไว้ดีกว่าแก้”
“แต่มันไม่จำเป็นต้องเป็นคุณ! ไม่สิ...มันไม่ควรจะเป็นคุณเลยด้วยซ้ำ!”
สองสายตาประสานกัน อีกหนึ่งร้อนระอุราวกับไฟ อีกหนึ่งเย็นยะเยือกราวกับน้ำแข็ง...
“ผิดแล้ว เพราะมันต้องเป็นพี่ต่างหาก แยมเลยเตรียมการเรื่องนี้ไว้ตั้งแต่ที่เด็กคนนี้ยังไม่เกิด แค่นี้ยิ้มยังมองไม่ออกอีกเหรอ...ว่าทำไม”
“แต่พี่แยมบอกให้ฉันดูแลยายหนู! และปกป้องแก แล้วพี่แยมก็ไม่เคยพูดกับฉันเกี่ยวกับเรื่องนี้ ทั้งหมดนี่มันเป็นแผนของคุณใช่ไหมเจษฎ์บดินทร์ คุณคิดจะใช้ยายหนูเป็นเครื่องมือใช่ไหม!”
“พี่ไม่จำเป็นต้องใช้เด็กคนนั้นเป็นเครื่องมือ”
วิยะดาหัวเราะในลำคออย่างเย้ยหยัน หันไปมองทางอื่น บ่งบอกว่าไม่เชื่อถือคำพูดเขาแม้แต่นิด!
“และที่แยมไม่พูด เพราะรู้ว่ายิ้มไม่มีทางยอมรับเรื่องนี้ได้”
“ใช่...ฉันยอมรับไม่ได้...ให้ตายฉันก็ไม่มีวันยอมรับมันได้!”
ทันทีที่เห็นเอกสารพวกนั้น โลกทั้งใบก็เหมือนพังครืนลงมาต่อหน้า ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นนี้ มันเหมือนกับว่าวาริศาพี่สาวผู้ล่วงลับได้หลอกลวง และหักหลังเธออย่างโหดร้ายที่สุด
ทำไมต้องปิดบัง...ทั้งๆ ที่ร้องขอคำสัญญาจากเธอ!
“ยิ้มไม่มีทางปกป้องเด็กคนนั้นได้ด้วยตัวคนเดียว และไม่มีทางซ่อนเด็กคนนั้นไปได้ตลอดทั้งชีวิต เพราะมันจะไม่ใช่แค่เด็กคนนั้นที่จะมีอันตราย แม้แต่ตัวยิ้มเองก็ด้วย ยิ้มก็เห็นแล้ว ว่าเรื่องทุกอย่างมันไม่ได้ง่าย หรือว่ายิ้มไม่เข้าใจ ว่าการที่เด็กคนนั้นเกือบแท้งมันหมายถึงอะไร และการที่แกมีชีวิตรอดมันมีความเสี่ยงแค่ไหน ณ ตอนนี้มีพี่คนเดียวเท่านั้นที่ปกป้องเด็กคนนั้นได้ การให้แกเป็นลูกสาวพี่ จะไม่มีใครกล้าแตะต้อง หรือถ้ากล้าจริงมันก็ไม่ง่าย และแกก็จะได้รับทุกสิ่งทุกอย่างอย่างที่แกควรจะได้รับในฐานะทายาทคนหนึ่งของพุฒิวิริยะกุล”
“ยายหนูไม่จำเป็นต้องเกี่ยวข้องกับพุฒิวิริยะกุลอีก และความปลอดภัยของแกก็ไม่จำเป็นต้องเป็นคุณที่ปกป้อง! ถึงจะสูญเสียกิจการไป แต่ฉันก็ไม่ได้สิ้นไร้ไม้ตอกหรอกนะเจษฎ์บดินทร์ ฉันมีญาติ มีเพื่อน และมีคู่หมั้นที่พร้อมจะยื่นมือเข้ามาช่วย และแน่นอนว่าช่วยอย่างบริสุทธิ์ใจ บอกตามตรงนะ...ฉันไม่ต้องการเกี่ยวข้องกับคุณอีก ไม่ต้องการแม้แต่จะเห็นหน้าคนสับปลับอย่างคุณ ฉันเกลียดคุณ ขยะแขยงจนเกินกว่าจะอยู่ร่วมโลกได้ด้วยซ้ำ! หึ! คนไม่เคยมีความจริงใจให้กับใครอย่างคุณน่ะเหรอที่จะดูแลปกป้องยายหนู คุณจะต่างอะไรกับพวกเขา คุณก็คือพวกเดียวกัน อย่ามาพูดอะไรให้สวยหรูหน่อยเลย ละครฉากนั้นมันปิดฉากลงแล้ว และฉันก็ไม่ใช่เด็กไร้เดียงสาคนเดิมที่ยืนต่อหน้าคุณเมื่อสองปีก่อน ไม่ใช่พี่แยมที่จะยอมใจอ่อนกับคำพูดของคุณ! เลิกยุ่งกับพวกเราสักที!”
เจษฎ์บดินทร์นิ่งไป หากดวงตาของเขายังมองจ้องหญิงสาวที่ยืนอยู่ตรงหน้า
“มันสายไปแล้วยิ้ม...เพราะตอนนี้พี่คือพ่อของเด็กคนนั้น ดังนั้นพี่ขอเตือนว่าอย่าพยายามดึง ‘คนอื่น’ ที่ไม่เกี่ยวข้องมายุ่งกับเรื่องนี้”
“คุณเจษฎ์บดินทร์!”
“ใช่ พี่คือเจษฎ์บดินทร์ ดังนั้นยิ้มน่าจะรู้ว่าพี่ทำได้ทุกอย่าง เพื่อรักษาสัญญาที่ให้ไว้กับแยม”
“สัญญาที่ให้กับพี่แยม...ฉันว่าก่อนพี่แยมจะสิ้นใจฉันไม่ได้หูฝาดนะ พี่แยมขอสัญญาจากคุณว่าจะไม่ให้ใครมาแย่งยายหนูไปจากฉัน และคุณก็รับปากแล้ว แต่นี่มันคืออะไร!”
“พี่ไม่ได้คิดจะแย่งยายหนูไปจากยิ้ม แต่เพื่อให้เราทั้งสองฝ่ายอยู่ร่วมกันได้ และรักษาสัญญาที่ให้กับแยมทั้งคู่ พี่ถึงต้องทำ และเสนอทางเลือกให้กับยิ้ม”
เสนอทางเลือก...
“หมายความว่ายังไง”
“มาถึงขั้นนี้แล้ว พี่อยากให้ยิ้มตัดเรื่องปัญหาระหว่างเราออกไปก่อน แล้วมองในมุมที่เป็นประโยชน์กับตัวหลานอย่างที่แยมมองเห็น”
“...”
“ทุกอย่างก็เพราะแยมต้องการปกป้องยิ้ม และต้องการให้ยิ้มมีทางเลือก...ถ้ายิ้มไม่อยากแบกรับภาระเรื่องของเด็กคนนี้...”
ทุกถ้อยคำของเจษฎ์บดินทร์หนักแน่นมั่นคง จนทำให้วิยะดาที่เดือดพล่านต้องกำมือแน่น ความโกรธที่พุ่งสูงทำให้น้ำตาของเธอเหือดแห้ง หลงเหลือแต่เพียงความรู้สึกโกรธแค้นที่ฉายชัดในแววตาไหวระริกด้วยเพลิงโทสะนั้น
“ยายหนูคือหลานสาวของฉัน และต่อไปแกจะเป็นลูกสาวที่ถูกต้องตามกฎหมายของฉัน คุณต่างหากที่เป็นคนอื่น อย่ามาทำเป็นพูดกล่าวหาว่าฉันไม่ต้องการแก เพราะต่อให้ตาย ฉันก็ไม่มีวันปล่อยให้ยายหนูไปอยู่ในมือของพวกคุณแน่!”
ถ้าพูดถึงสายเลือดที่เข้มข้นกว่า ย่อมเป็นเธอที่เป็นน้องสาวท้องเดียวกันกับแม่ของยายหนู ขณะที่เจษฎ์บดินทร์ นอกจากจะเป็นพี่น้องต่างแม่กับพ่อยายหนูแล้ว เขายังมีความสัมพันธ์ด้านลบกับฝ่ายนั้นด้วย ดังนั้นมันไม่ได้ประโยชน์อะไรเลยที่เขาจะมาทำแสนดี รับอุปการะหลานที่แม้แต่ปู่ย่าหรือพ่อแท้ๆ ของแกยังไม่เหลียวแล! นอกจากต้องการผลประโยชน์แอบแฝงอย่างที่เธอคิดไว้แต่ต้น!
“งั้นก็ดี ถือว่าเรามีจุดหมายเดียวกัน”
ดวงตาที่มักราบเรียบอยู่เสมอทอประกายแรงกล้าขึ้น บ่งบอกให้รู้สึกว่านี่ต่างหากคือจุดประสงค์ของเขาในวันนี้
“ถอนหมั้นกับชัชวีร์ซะ และแต่งงานกับพี่”
คำสั่งนั้นทำให้วิยะดาผงะวูบ
“คุณพูดอะไรของคุณ!”
“ทางเดียวที่ยิ้มจะสามารถเลี้ยงดูยายหนูได้อย่างที่แยมและยิ้มต้องการ คือยิ้มต้องแต่งงานจดทะเบียนสมรสกับพี่ เพื่อให้ได้สิทธิ์ในการเป็นแม่ของยายหนูอย่างถูกต้องตามกฎหมาย”
“คุณ...คุณรู้ตัวไหมว่าพูดอะไรออกมา คุณเป็นบ้าไปแล้วเหรอเจษฎ์บดินทร์”
ที่เธอพร่ำพูดถ้อยคำเจ็บแสบเหล่านั้นมันไม่ได้ช่วยให้เขาเข้าใจเลยหรือ ว่าเธอเกลียดเขามากเสียจนไม่อยากจะอยู่ร่วมโลกเลยด้วยซ้ำ!
“พี่ไม่ได้บ้า มันคือเรื่องที่พี่ตั้งใจไว้ตั้งแต่ก่อนจะรับยายหนูเป็นบุตรบุญธรรม เพราะพี่เชื่อเหมือนกับแยมว่าคงไม่มีใครทำหน้าที่แม่ของยายหนูได้ดีเท่ายิ้ม พี่ไม่ได้บังคับยิ้ม...แต่จะให้ยิ้มเลือก ว่าจะปล่อยมือจากเด็กคนนี้ เพื่อจะได้ไม่ต้องยุ่งเกี่ยวกับพี่และพุฒิวิริยะกุลอีก หรือจะยอมถอยหนึ่งก้าวเพื่อร่วมมือกับพี่ สร้างครอบครัวที่อบอุ่นให้กับแก...”
“...”
“ถ้ายิ้มเลือกแบบที่หนึ่ง พี่ก็คงต้องหาพี่เลี้ยงหรือแม่นมสักคน มาทำหน้าที่เลี้ยงดูยายหนู เพราะพี่เป็นผู้ชาย คงได้แต่ปกป้องและอุปการะแกเท่านั้น แต่บอกให้ยิ้มสบายใจได้ ว่าพี่จะเลือกคนที่ไว้ใจได้มาทำหน้าที่นี้ และยายหนูจะไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับเพ็ญพักตร์ เชษฐา พ่อของพี่ หรือแม้แต่ปู่ของพี่ พี่ได้เตรียมบ้านไว้หลังใหม่ไว้แล้ว และจะย้ายไปอยู่กับแกที่นั่น”
วิยะดาก้าวถอยหลัง ความหวาดกลัวจู่โจมจิตใจจนแทบทานทนไม่ไหว ขณะที่เจษฎ์บดินทร์ยังคงพูดต่อไป
“แต่ถ้ายิ้มเลือกอย่างที่สอง ยอมทนแต่งงานกับพี่ เพื่อสร้างครอบครัวที่อบอุ่นให้กับแก พี่จะปกป้องดูแลแกรวมถึงยิ้ม ในฐานะพ่อและสามีที่ดี ส่วนยิ้มก็ทำหน้าที่แม่ของแก ให้การเลี้ยงดู ให้ความอบอุ่น และได้อยู่กับแกอย่างที่ยิ้มต้องการ โดยที่พี่จะยกหน้าที่ดูแลเรื่องภายในบ้าน และการดูแลยายหนูให้กับยิ้มอย่างเต็มที่ ไม่ก้าวก่าย หรือยื่นมือเข้าไปยุ่งเกินหน้าที่ของตัวเอง”
“แล้วถ้าฉันไม่ตกลง ไม่ยอมทำตาม! ไม่สนใจข้อเสนอบ้าๆ นี่ของคุณล่ะ!”
“พี่ก็คงต้องทำสิ่งที่พี่ไม่อยากทำที่สุด นั่นคือ...การแย่งแกมาจากยิ้มอย่างสมบูรณ์”
เผียะ!!!
ใบหน้าคมคายสะบัดหันไปตามแรงตบ ก่อนจะเบือนกลับมาด้วยสีหน้าไม่เปลี่ยนแปลงไปแม้แต่น้อย
วิยะดามองคนที่เคยเป็นผู้ที่เธอรัก และเทิดทูนอย่างเจ็บปวดรวดร้าว เธอไม่เคยคิดว่าจะมีวันนี้ ไม่เคยคิดว่าตัวเองจะโกรธและเกลียดใครคนหนึ่งถึงขั้นลงมือตบหน้า..และไม่เคยคิดเลยว่าคนๆ นั้นจะเป็นเจษฎ์บดินทร์
“คุณยังมีความเป็นคนเหลืออยู่บ้างไหม ถึงได้กล้าบีบบังคับฉันแบบนี้ ที่ฉันต้องสูญเสียทุกอย่างไปมันยังไม่มากพออีกเหรอ คุณถึงได้มาแย่งยายหนูไปจากฉัน!”
“...”
“ถอนหมั้น? คุณบอกให้ฉันถอนหมั้นฉันก็ต้องทำตามอย่างนั้นเหรอ! เจษฎ์บดินทร์...คุณคิดว่าตัวเองเป็นใครกัน! กล้าดียังไงมาขู่บังคับฉันให้ทำตามสิ่งที่คุณต้องการ! เมื่อสองปีก่อน…มันเป็นคุณเองไม่ใช่เหรอ ที่บอกให้ฉันแต่งงานกับพี่วีร์ แต่มาวันนี้...กลับมาบีบบังคับฉันให้ถอนหมั้นกับเขา! คุณเห็นฉันเป็นตัวอะไร...ยังเห็นว่าฉันเป็นคนอยู่ไหม!”
“ที่พี่ทำก็เพื่อต้องการปกป้องยิ้ม”
“โกหก!! คุณไม่เคยปกป้องฉัน ไม่เคยมีแม้แต่เศษเสี้ยวของความจริงใจด้วยซ้ำ! ไม่ว่าจะเป็นวันนี้หรือเมื่อก่อน! ทั้งๆ ที่ฉัน...เชื่อคุณมาตลอด...ว่าต่อให้คนทั้งโลกทำร้ายฉัน แต่มันจะไม่ใช่คุณ ต่อให้...คุณจะไม่เคยรักฉัน แต่คุณจะไม่มีวันทำร้ายฉันอย่างที่เป็นอยู่ตอนนี้!”
น้ำตาที่คั่งคลอขึ้นจากความเจ็บแค้นค่อยๆ ไหลรินลงมาอาบแก้มเนียนใส ดวงตาที่ยังคงสบประสานกับเจษฎ์บดินทร์เต็มที่ได้ด้วยความเจ็บปวดชิงชังจนแทบจะฉีกทึ้งเขาให้แหลกละเอียดไม่มีชิ้นดี
ในชั่ววินาทีนั้น อารมณ์ที่พุ่งสูงทำให้ร่างกายที่อ่อนแออยู่เดิมซวนเซ วิยะดารู้สึกหน้ามืดขึ้นมาฉับพลัน แต่ก็กัดฟันยืนประจันหน้ากับเขาไม่ยอมแสดงความอ่อนแอออกมา!
“ทำไมฉันถึงได้โง่แบบนี้...ทำไมตอนนั้นฉันถึงได้โง่ มองไม่ออกว่าคุณเป็นคนยังไง...”
“...”
“คุณรู้ไหม...ว่าจนถึงตอนนี้ ฉันก็ยังไม่อยากเชื่อ...ว่าเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดนี้จะเป็นเรื่องจริง ไม่อยากเชื่อ...ว่าคุณจะสมรู้ร่วมคิดกับพวกเขาโกหกหลอกลวงและทำร้ายครอบครัวของฉันได้จริงๆ...”
“...”
“ฉันได้แต่ถามตัวเอง...ว่ามันจะเป็นไปได้ยังไง...พี่เจษฎ์....พี่เจษฎ์คนนั้น คนที่ฉันเคย...รัก....เคยศรัทธาจะทำร้ายครอบครัวของฉันได้ยังไง...”
“...”
“มันจะเป็นไปได้ยังไง ในเมื่อเขาเป็นพี่ชายที่แสนดี เป็นฮีโร่ของฉัน เป็นคนที่คอยเช็ดน้ำตาให้ฉัน....และปกป้องฉัน เขาเป็นคนที่...ถึงจะไม่ค่อยยิ้ม แต่ก็มักอ่อนโยนและใจดีกับฉันมากกว่าใครเสมอ...เขาจะทำแบบนี้กับครอบครัวของฉันได้ยังไง...มันไม่ทางเป็นไปได้ มันไม่มีทางเป็นไปได้เลย แต่สุดท้าย...เรื่องทุกอย่างมันก็คือความจริง เป็นคุณจริงๆ ที่ร่วมมือกับพวกเขาทำลายครอบครัวของฉัน...แม้แต่ในวันนี้ก็ยังเป็นคุณที่กำลังจะแย่งหลานไปจากฉัน คุณทำได้ยังไง...คุณทำแบบนี้กับฉันได้ยังไง พี่เจษฎ์ทำแบบนี้กับยิ้มได้ยังไง! ทำไม...ทำไมต้องพี่เจษฎ์ที่ทำแบบนี้กับยิ้ม ทำไม!!”
หากทันทีที่สิ้นเสียงร่ำไห้ด้วยความเจ็บปวดจนเกินกว่าจะทานทนไหว ร่างบอบบางก็ถูกดึงเข้าสู่อ้อมกอดของคนที่เอาแต่ยืนนิ่ง!
แน่นอน ว่าปฏิกิริยาตอบกลับของเธอคือการดิ้นรนขัดขืน และทุบตีร่างสูงใหญ่ที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้ออย่างไม่อาจระงับอารมณ์
ไม่นานใบหน้าคมคาย และผิวกายนอกร่มผ้าก็ปรากฏริ้วแดงและรอยเล็บจิกข่วน หากสีหน้าของเขายังคงราบเรียบ มีเพียงดวงตาเท่านั้นที่ฉายชัดความรู้สึกท่วมท้น
“ปล่อยฉัน! ปล่อยฉันนะ! ปล่อย! ปล่อยฉัน!”
“พี่ขอโทษ...ยิ้ม...พี่ขอโทษ...”
หากมันไม่ได้ส่งไปถึงวิยะดา ไม่เลยแม้แต่นิดเดียว...
“ฉันเกลียดคุณเจษฎ์บดินทร์...ฉันเกลียดคุณ เกลียดคุณ ได้ยินไหม...ฉันเกลียดคุณ! ฉันเกลียดคุณ!”
เจษฎ์บดินทร์หลับตาลง และซบใบหน้าเข้ากับเรือนผมหอมกรุ่นที่โหยหา ยอมรับวาจาและโทษทัณฑ์ของเธออย่างไม่ปัดป้อง
“แต่พี่...ไม่เคยไม่รักยิ้มเลยนะ”
คำพูดที่ถูกเปล่งออกมาด้วยเสียงเข้มที่พร่าและสั่นเทา ทำให้ร่างบอบบางในอ้อมกอดหยุดชะงัก มือบอบบางที่ขยุ้มอยู่บนอกเสื้อของเขาบีบแน่น....
น้ำตารินหลั่งลงมาราวกับไม่มีวันหมดสิ้น ก่อนที่เธอจะออกแรงดิ้นรนอีกครั้ง พร้อมกับกระหน่ำทุบตีร่างสูงใหญ่ด้วยเรี่ยวแรงทั้งหมดที่มี
เสียงสะอื้นไห้ถูกปล่อยออกมาโดยปราศจากวาจา ขณะที่เจษฎ์บดินทร์ยังคงกอดรัดร่างเล็กของผู้หญิงที่มีความหมายที่สุดในชีวิตของเขาเอาไว้....ไม่ยอมปล่อย...ราวกับคนที่ตายไปแล้ว
ความคิดเห็น |
---|