เช้าวันหยุดสุดสัปดาห์ต่อมาพิมพ์พิสุทธิ์ต้องเตรียมตัวให้พร้อมตั้งแต่เช้า เนื่องจากเมื่อวานเย็นคุณหญิงชไมพรโทรศัพท์มาบอกว่า
‘พรุ่งนี้เตรียมตัวให้พร้อมแล้วกันนะ เดี๋ยวช่วงสายๆ จะรับไปทำธุระ”
‘คะ...ค่ะ ได้ค่ะ’ ถึงแม้ว่าจะ แต่หญิงสาวก็ตอบตกลงไปแล้ว ถึงจะเกิดคำถามขึ้นกับตัวเธอเองว่า...ไปไหน แต่ก็สายเกินไปเสียแล้ว
...
พิมพ์พิสุทธิ์แต่งตัวพร้อมออกไปข้างนอกด้วยชุดเหมือนกับที่เธอสวมทุกวัน คือเสื้อเชิ้ตพับแขนกับกางเกงยีนเอวสูงที่อวดขาเรียวยาว หญิงสาวนั่งกินข้าวต้มกุ้งไปพลางๆ ไม่นานก็เห็นชายหนุ่มเดินลงมาจากชั้นบนในชุดเสื้อยืดแขนสั้นและกางเกงขาสั้นเหนือเข่าเล็กน้อยแบบสบายๆ สำหรับพักผ่อนอยู่บ้าน
“ทำไมตื่นเช้าจัง”
“ก็เมื่อวานนี้คุณแม่พี่ภูบอกว่าวันนี้จะมารับพาไปทำธุระน่ะค่ะ พี่ภูลืมแล้วเหรอ”
“เออ จริงด้วยสิ”
“พี่ภูจะรับอาหารเช้าเป็นข้าวต้ม หรือว่าเป็นอเมริกันเบรกฟาสต์ดีคะ พริ้มจะได้บอกพี่ๆ ในครัวถูก”
“เอาเหมือนพริ้มนั่นแหละ กินได้หมด”
“ได้เลยค่ะ ถ้ายังไงรอแป๊บนะคะ เดี๋ยวพริ้มมา” หญิงสาวว่า ก่อนจะผละไปนำอาหารเช้ามาให้เขา
ชายหนุ่มนั่งอ่านข่าวสารบ้านเมืองผ่านจอแท็บเล็ตรอไปพลางๆ
หลังจากกินมื้อเช้าอิ่มไม่นาน ราวสิบโมงนิดๆ รถตู้จากบ้านใหญ่ก็พามารดาของชายหนุ่มมาถึง คนขับรถรีบลงจากรถแล้ววิ่งมาเปิดประตูให้ผู้เป็นนาย
คุณหญิงชไมพรเดินเข้ามาในบ้านก็พบบุตรชายนั่งอ่านหนังสือเล่มหนึ่งอยู่ ขณะที่หญิงสาวอีกคนนั่งอ่านนิตยสารอยู่อีกฟากหนึ่งของห้องนั่งเล่น ทั้งสองคนพากันหันมามองนางและยกมือไหว้ทักทาย นางก็ยกมือรับไหว้
“พากันไปขึ้นรถเร็ว นี่ก็จวนจะถึงเวลานัดที่แม่นัดเขาไว้แล้ว”
“ตาภูขึ้นไปเปลี่ยนชุดให้มันสุภาพกว่านี้” นางบอกเมื่อเห็นสภาพบุตรชายที่แต่งตัวแบบอยู่บ้านสบายๆ กางเกงขาสั้นเหนือเข่ากับเสื้อยืดง่ายๆ
“ผมต้องไปด้วยเหรอครับ”
“ก็ใช่น่ะสิ จะขาดเราไปได้ไง ต้องไปกันทั้งคู่นั่นแหละ รีบขึ้นไปเปลี่ยนชุด เดี๋ยวแม่จะสาย”
“ครับๆ คุณนาย รอแป๊บนึงแล้วกันครับ” ภูรินท์ว่าก่อนจะยอมผละไปเปลี่ยนชุดใหม่ให้เหมาะสมที่จะออกไปข้างนอก
“คุณน้ารอสักครู่นะคะ เดี๋ยวพริ้มไปยกน้ำกับของว่างมาให้” พิมพิสุทธิ์เอ่ยพร้อมกับรีบไปจัดเตรียมหาน้ำท่ามาให้คุณหญิงชไมพร คุณหญิงก็เพียงพยักหน้ารับเบาๆ
“แล้วนี่...คบหาดูใจกับตาภูมานานหรือยังล่ะ” นางเอ่ยถามหญิงสาวหลังจากรับน้ำเย็นมาดื่ม
“คะ?” เธอนิ่งคิดครู่หนึ่ง ก่อนจะจำได้ว่าเป็นเรื่องที่เคยตกลงเป็นคนรักกำมะลอกับชายหนุ่ม “เอ่อ ก็ประมาณนึงค่ะคุณน้า” เธอไม่ได้โกหก เพราะเธอกับเขาก็เพิ่งรู้จักกันเมื่อไม่นานมานี้
“หมั้นกันนานหรือยังล่ะ”
พิมพ์พิสุทธิ์รู้สึกเหมือนกำลังโดนสอบสวน รู้สึกอึดอัดกระวนกระวายใจ ใจหนึ่งก็ไม่อยากโกหกท่านเลย
“ก็ไม่นานเท่าไหร่หรอกค่ะ”
นางชไมพรครางรับในลำคอ ก่อนจะเอ่ยถามต่อ “รู้หรือเปล่าว่าข่าวลือของเราทั้งคู่น่ะมันแพร่กระจายไปถึงไหนต่อไหนแล้ว” นางเอ่ยบอกเสียงเรียบ แต่แฝงแววดุจริงจังอย่างผู้ใหญ่ที่กำลังสอนเด็กที่ทำผิด
“โตๆ กันแล้ว จะทำอะไรก็ควรจะรู้นะว่าผลมันจะเป็นยังไง เฮ้อ! เด็กสมัยนี้ เอาแต่ตัวเองเป็นที่ตั้ง ไม่ได้คิดเผื่อสังคมภายนอกบ้างเลย” ซึ่งนั่นทำให้ร่างบางตรงหน้านางซีดเผือดไป
“พริ้มขอโทษค่ะ พริ้มไม่ได้ตั้งใจ” เธออยากจะร้องไห้ เธอไม่ได้อยากให้มันเป็นแบบนี้...ไม่เลยสักนิดเดียว
“เอาเถอะ เรื่องมันผ่านไปแล้ว จะไปแก้ไขอะไรมันก็ไม่ทันแล้วละ อะไรที่ผ่านไปแล้วก็ปล่อยให้มันผ่านไป ส่วนเรื่องที่ยังพอแก้ไขได้ก็แก้ไขไปให้มันถูกต้อง”
หญิงสาวอยากจะขอบคุณคุณหญิงเหลือเกินที่อภัยให้เธอ และไม่ดุด่าว่าเธอ หลังจากนั้นท่านก็ชวนเธอพูดคุยเรื่องสัพเพเหระทั่วไป ผ่านไปเกือบสิบนาทีภูรินท์ก็ลงมาในชุดที่พร้อมจะออกไปข้างนอกมากกว่าเมื่อครู่
ชายหนุ่มอยู่ในชุดเสื้อยืดคอโปโลสีเข้มกับกางเกงยีนสีเข้มตัวเก่งแบรนด์ดัง ดูผิวเผินก็คล้ายๆ ว่าแต่งตัวเรียบง่าย ถ้าคนไม่รู้อาจจะทึกทักว่าพวกเขาเหมือนคู่รักที่แต่งตัวเหมือนๆ กันเวลาออกไปเที่ยวข้างนอก
“ถ้าพร้อมแล้วก็ไปกันเถอะ แม่นัดคนรู้จักไว้ ไปสายเดี๋ยวจะน่าเกลียดเอา” ชไมพรเอ่ยนำพร้อมกับก้าวขึ้นรถนำหนุ่มสาวไป
“พี่ภูรู้หรือเปล่าคะว่าคุณน้าจะพาเราไปทำธุระที่ไหน” พิมพ์พิสุทธิ์อดกระซิบถามภูรินท์ไม่ได้
ชายหนุ่มส่ายหน้าเบาๆ ก่อนจะกระซิบตอบ “ไม่รู้เหมือนกัน”
พอได้คำตอบ หญิงสาวก็ได้แต่สงสัยไปตลอดทางขณะที่รถมุ่งหน้าเข้าตัวเมืองของจังหวัด ราวๆ หนึ่งชั่วโมงได้ที่รถวิ่งมาไกล และมาหยุดที่ร้านร้านหนึ่งที่กินเนื้อที่กว้างขวางหลายตึก
เมื่อรถหยุด คนขับรถวิ่งมาเปิดประตูให้ ทั้งหมดก็พากันทยอยลงจากรถ พิมพ์พิสุทธิ์รีบหันมองรอบๆ พื้นที่ทันที กระจกใสรอบๆ ด้านของร้านทำให้เห็นได้อย่างชัดเจนว่าเป็นร้านอะไรนั้นยิ่งทำให้หญิงสาวยิ่งงงและสงสัยเข้าไปใหญ่
คุณแม่ของภูรินท์พาพวกเขามาทำธุระอะไรที่ร้านนี้ เร็วเท่าความคิด หญิงสาวมองสบดวงตาคมที่มองมาที่เธอเช่นกัน อีกฝ่ายก็เกิดคำถามไม่ต่างไปจากเธอเท่าไรนัก
“แม่มาทำธุระอะไรที่นี่หรือครับ” ภูรินท์เอ่ยถามเมื่อมารดาพาพวกเขามาที่หน้าร้านเวดดิงแบบครบวงจร
นางชไมพรส่ายหน้าเบาๆ ก่อนจะตอบทั้งคู่ให้หายสงสัย “ไม่ใช่แม่ แต่เป็นพวกเราทั้งคู่นั่นแหละ”
“ฮะ! /คะ!”
“แม่ได้ฤกษ์มงคลมาแล้ว อีกสามอาทิตย์คือเร็วสุด” คุณหญิงชไมพรตอบพร้อมกับรอยยิ้ม
“หรือไม่งั้นก็ต้องรออีกทีปีหนึ่งเต็มๆ ซึ่งแม่เห็นว่ารอฤกษ์หลังคงจะไม่เหมาะกับเหตุการณ์ในตอนนี้ ในเมื่อชาวบ้านเขาพากันลือไปถึงไหนต่อแล้วว่าภูพาสะใภ้เข้าบ้าน เพราะฉะนั้นแม่จึงเห็นด้วยกับฤกษ์แรก”
“อะไรนะครับแม่! นี่แม่กำลังหมายความว่า...”
“แม่พาลูกกับหนูพริ้มมาลองชุดแต่งงานจ้ะ เข้าไปข้างในกันเถอะ แม่นัดช่างไว้แล้ว” นางบอกก่อนจะก้าวเดินนำเข้าร้านไป ปล่อยให้สองหนุ่มสาวยืนค้างอึ้งอยู่กับที่
พิมพ์พิสุทธิ์กะพริบตาปริบๆ หลังจากหายตกใจกับเรื่องที่ได้ยิน ก่อนจะหันไปสะกิดชายหนุ่มที่ยืนนิ่งอึ้งไม่ต่างไปจากเธอนัก “พี่ภูคะ เรื่องมันไปกันใหญ่แล้ว”
“อือ” ชายหนุ่มคิ้วขมวดเป็นปม ก่อนจะยกมือหนาขึ้นกุมขมับ “นี่แม่ถึงขนาดไปหาฤกษ์แต่งมาเลยเหรอเนี่ย”
“เราจะทำยังไงดีคะ” หญิงสาวเองก็หน้าเครียดไม่ต่างจากชายหนุ่มนัก
ไม่นานก็มีพนักงานจากทางร้านมาตามเธอและเขาให้รีบเข้าไปในร้าน เนื่องจากคุณหญิงชไมพรให้มาตามและรออยู่
“เข้าไปก่อนแล้วกัน เราอาจจะต้องตามน้ำไปก่อน”
“แต่พริ้มว่า...”
“แม่รอพวกเรานานแล้ว อาจจะสงสัยได้ว่าทำไมถึงไม่เข้าไปสักที เข้าไปเถอะ”
“แต่นี่มันเรื่องใหญ่เกินไปแล้วนะคะ” เธอบอกอย่างกังวลเพราะเรื่องบานปลายไปเรื่อยๆ
“เราเริ่มมันแล้วนะพริ้ม เพราะฉะนั้นเราก็ต้องดำเนินเรื่องต่อไป” ชายหนุ่มพูดอย่างให้กำลังหญิงสาวที่กำลังสับสนและอยากถอย “มีผมอยู่ด้วยทั้งคน ไม่ต้องกลัวหรือกังวลอะไรทั้งนั้น”
พอสีหน้าที่สับสนยุ่งเหยิงคลายลง ภูรินท์ก็จูงมือหญิงสาวพาเดินเข้าร้านเวดดิงแบบครบวงจรเพื่อเดินตรงไปหาผู้เป็นมารดาที่นั่งคอยอยู่ก่อนแล้ว
ตลอดเวลาพิมพ์พิสุทธิ์รู้สึกเหมือนกับเป็นตุ๊กตาบาร์บี้ เพราะเธอถูกสั่งให้ลองชุดแต่งงานทั้งชุดไทยและชุดสำหรับงานเลี้ยง พอเธอหันมองไปทางภูรินท์ ชายหนุ่มเองก็มีสภาพไม่ต่างไปจากเธอนัก
“อืม แม่ว่าชุดนี้เหมาะกับผิวหนูพริ้มมากเลยนะ” คุณหญิงชไมพรเอ่ยขึ้นเมื่อว่าที่ลูกสะใภ้ออกมาหลังจากเข้าไปลองชุดไทยสไบเฉียงสีกลีบบัว เพราะสีชุดขับผิวที่ขาวอยู่แล้วของหญิงสาวให้ดูนวลผ่องราวกับน้ำนมก็ไม่ปาน
“คุณพี่วิมลคิดว่ายังไงบ้างคะ” นางหันไปถามช่างตัดเย็บมือหนึ่งที่พ่วงตำแหน่งเจ้าของร้าน
“สวยมากค่ะ พี่ว่าคุณน้องพริ้มใส่ชุดไหนก็สวยนะคะ หุ่นก็ดีอย่างกับดารานางแบบ” เจ้าของร้านเห็นด้วย ก่อนจะยิ้มอย่างเอ็นดูว่าที่เจ้าสาวที่ยิ้มอย่างกระอักกระอ่วน
“หนูพริ้มว่าไงคะลูก หนูชอบชุดนี้หรือเปล่า”
“เอ่อ คือ...” หญิงสาวอึกอักเล็กน้อยก่อนจะตอบ “สวยค่ะคุณน้า”
“ถ้ายังไงคุณพี่วิมลก็ช่วยเร่งมือให้หน่อยนะคะ ประเดี๋ยวจะไม่ทันวันงาน นี่ก็ใกล้เข้ามาแล้ว”
“รับรองค่ะว่าเสร็จทันวันงานแน่ๆ ระดับลูกชายนายแม่แต่งงานทั้งที คุณพี่จัดแพ็กเกจใหญ่สุดให้เลยค่ะ ไม่ต้องกังวลอะไรเลย ไว้ใจร้านเรา ไม่ผิดหวังแน่นอนค่ะ” วิมลพูดอย่างเป็นมั่นเป็นเหมาะ รับปากคุณหญิงชไมพรเรื่องชุดและเวดดิงแพลนเนอร์ที่ได้รับมอบหมายงานนี้เป็นอย่างดี
วันนั้นทั้งวันทั้งภูรินท์และพิมพ์พิสุทธิ์ใช้เวลาไปกับการลองชุด เธอและเขาไม่ค่อยได้มีโอกาสสนทนากันมากนัก เพราะต่างก็โดนจับแยกไปเตรียมตัวและลองชุด และต่างก็เหนื่อยมาก
“แม่ว่าจะเดินทางไปหาแม่ของหนูพริ้มหน่อยนะ อีกสักอาทิตย์หนึ่ง เวลาน่าจะเหมาะสม ช่วงนี้หนูพริ้มก็เกริ่นๆ กับทางฝ่ายนู้นไว้บ้างแล้วกันว่าแม่จะไปหา ไปเจรจาเรื่องสำคัญด้วย” คุณหญิงชไมพรพูดขึ้นหลังจากรับประทานมื้อค่ำด้วยกันที่ร้านอาหารดังแห่งหนึ่งของจังหวัด
พิมพ์พิสุทธิ์ได้ยินแบบนั้นก็มองสบดวงตาคมของชายหนุ่ม ก่อนจะพูดกับคุณหญิงชไมพร “คือ...คุณน้าคะ...” เรื่องราววุ่นวายเสียจนเธออยากจะสารภาพความจริงออกไป แต่ภูรินท์พูดแทรกขึ้นมาเสียก่อน
“ผมกับพริ้มต้องไปด้วยมั้ยครับ”
“ไปสิยะ ถามมาได้ จะไปขอลูกสาวเขามาดูแลก็ต้องไปหาแม่เขาหน่อย”
“ถ้าอย่างนั้นแม่นัดวันแล้วบอกผมนะครับ ผมจะได้พาพริ้มเดินทางไปก่อนล่วงหน้า”
“แล้วทำไมไม่นั่งเครื่องไปพร้อมกัน” คุณหญิงเอ่ยถามบุตรชายอย่างสงสัย
“ก็จะได้ไปเรียนรู้วิถีชีวิตของคนที่นู่นก่อนไงครับ แม่ยายจะได้เอ็นดูแล้วก็ยอมใจอ่อนยกลูกสาวให้”
“จ้ะพ่อคุณ! ถ้าได้วันแน่ๆ แล้วแม่จะโทร. บอก” คุณหญิงเย้าบุตรชายนิดหน่อยก่อนจะพูดต่อ “หลังจากที่แม่ไปขอหนูพริ้มกลับมาแล้ว หนูพริ้มอาจจะต้องไปพักที่บ้านในเมืองกับแม่ เพราะขืนปล่อยให้หนูพริ้มพักอยู่กับภู มันจะดูไม่งามเท่าไหร่นัก”
“ให้พริ้มอยู่บ้านไร่ต่อไปก็ไม่เห็นเป็นไรเลยนี่ครับ ไม่เห็นต้องคิดมากเลย”
“ลูกน่ะไม่คิดมาก แต่คนภายนอกที่เขาไม่รู้อะไรด้วยเขาคิด แล้วก็คิดไปไกลจนถึงไหนต่อแล้ว” นางดุก่อนจะหันไปมองว่าที่สะใภ้ ที่พอถูกมองปุ๊บก็หน้าแดงเขินอายทันที ก่อนจะเสมองไปทางอื่นแทน
“จะทำอะไรก็ให้เกียรติน้องเขาและครอบครัวน้องบ้าง ห่างกันแค่ไม่ถึงสามอาทิตย์ ลูกคงไม่ลงแดงตายหรอกมั้ง อีกไม่กี่วันก็ถึงวันงานแล้ว อดทนหน่อยสิ เป็นผู้ชายก็รู้จักหัดอดเปรี้ยวไว้กินหวานบ้าง”
“ใครว่าล่ะครับ นั่นน่ะทรมานกันชัดๆ ไม่ได้เห็นหน้ากันแบบเมื่อก่อนทุกวัน” ชายหนุ่มแสร้งโอดครวญให้ดูน่าสงสารที่ต้องห่างหญิงอันเป็นที่รัก เพราะเขาเองก็ไม่ได้อยากให้พิมพ์พิสุทธิ์ไปอยู่บ้านในเมืองนัก เนื่องจากกลัวว่าหญิงสาวจะทนไม่ไหว แล้วสารภาพออกไปแบบหมดเปลือก เขาได้ตายก่อนได้รับมรดกแน่ๆ แต่ถึงอย่างนั้นมารดาของเขาก็หาได้เห็นใจหรือใจอ่อน
“ถึงงั้นก็เถอะ ถือว่าแม่ของร้องนะภู” นางบอกอย่างอ่อนใจกับความดื้อดึงของบุตรชาย “ถึงยังไงก็ทำงานที่เดียวกัน ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่ได้เห็นหน้ากันขนาดนั้นหรอก”
ความคิดเห็น |
---|