3

ติดสอยห้อยตาม

3

ติดสอยห้อยตาม

 

 ตลอดทั้งสัปดาห์ที่ภูรินท์อยู่เฝ้าพิมพ์พิสุทธิ์ราวกับเป็นคนในครอบครัว หญิงสาวไม่ได้ทำตัวเรื่องมากหรือน่ารำคาญเลยสักนิด ซึ่งเขาก็อดแปลกใจตัวเองไม่ได้เหมือนกันที่เขาอยู่ใกล้ผู้หญิงคนอื่นที่ไม่ใช่ทั้งคนในครอบครัว ญาติ แฟน หรือเพื่อนได้นานขนาดนี้ 

หลังจากที่ตรวจร่างกายอย่างละเอียดอีกหลายรอบ คุณหมอก็อนุญาตให้พิมพ์พิสุทธิ์กลับไปพักฟื้นที่บ้านหรือที่ที่คุ้นเคยได้ และยังแนะนำว่าสภาพแวดล้อมเดิมของเธอจะช่วยให้ความทรงจำที่หายไปฟื้นกลับคืนมาได้

แต่ปัญหาติดอยู่ตรงที่เธอจำไม่ได้ และเขาเองก็ไม่รู้เหมือนกัน เพราะสิ่งของติดตัวหญิงสาวมีเพียงกระเป๋าสตางค์ใบเล็กและสมาร์ตโฟนเครื่องละไม่กี่พันบาทเครื่องหนึ่ง ที่ตอนนี้นั้นหน้าจอมีรอยแตกร้าวรอยใหญ่

เฮ้อ! แล้วแบบนี้จะทำยังไงต่อไปล่ะเนี่ย

ภูรินท์คิดอย่างกลัดกลุ้มขณะที่กำลังนั่งรอหญิงสาวเปลี่ยนชุด วันนี้คุณหมออนุญาตให้เธอกลับไปพักฟื้นที่บ้านได้แล้ว เนื่องจากไม่มีอาการอะไรน่าเป็นห่วง อีกทั้งแผลฟกช้ำก็เริ่มจางหายไปจนเกือบหมดแล้ว แต่ย้ำว่าถ้าหากมีอาการปวดหัวอย่างรุนแรง หรืออาเจียน ให้รีบกลับมาพบแพทย์โดยเร็วที่สุด

หลังจากที่พิมพ์พิสุทธิ์เปลี่ยนเสื้อผ้าจากชุดของโรงพยาบาลเป็นเสื้อเชิ้ตแขนยาวสีฟ้าอ่อนและเก็บชายเสื้อเชิ้ตไว้ในกางเกงยีนสกินนีขายาวที่อยู่ในถุงชอปปิงของห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่งที่ชายหนุ่มหิ้วมาให้แล้ว เธอก็เดินออกมานั่งที่ปลายเตียงผู้ป่วย ดวงตากลมโตติดแววเศร้าทำเอาเขาไม่รู้จะเริ่มต้นพูดอะไรดี ยิ่งเธอเอาแต่นั่งนิ่งมองเขาแบบนี้ก็ยิ่งทำให้เขารู้สึกว่าเธอไม่ต่างอะไรกับเด็กน้อย

หญิงสาวทำให้เขานึกถึงบทเรียนทางวิทยาศาสตร์บทหนึ่งซึ่งเรียกว่าพฤติกรรมการเรียนรู้แบบฝังใจ เพราะตอนนี้เธอเองก็ไม่ต่างอะไรกับลูกเป็ดน้อยที่ฟักออกมาจากไข่ พอมาเจอหน้าสิงโตแบบเขาเป็นสิ่งแรกก็เลยทึกทักไปเองว่าเขาเป็นพ่อแม่เธอ แต่แท้จริงแล้วนั้นนอกจากจะไม่ใช่แล้ว เขายังเป็นคนทำให้เธอต้องตกอยู่ในสภาพนี้อีก

“คือผม...ต้องกลับบ้านที่เชียงใหม่ จริงๆ ผมต้องกลับตั้งนานแล้ว แต่ติดที่ว่ามาเกิดอุบัติเหตุเสียก่อน”

หญิงสาวฟังเขาเล่าตาใส ราวกับเด็กเล็กที่ตั้งใจฟังคุณครูพี่เลี้ยงพร่ำสอน

“คุณ...พอจะจำที่อยู่ตัวเองได้มั้ย” เขากลั้นใจถามออกไป แม้ว่าจะรู้คำตอบดีอยู่แล้ว แต่เขาก็ยังหวัง

พิมพ์พิสุทธิ์พยายามนึก และแทบจะเค้นความทรงจำที่พอจะหลงเหลืออยู่ในสมองน้อยๆ แต่กลับพบว่า...มันว่างเปล่า

 “...ไม่ค่ะ”

ภูรินท์อยากจะเขกศีรษะตัวเองสักทีเหมือนกันที่ถามอะไรโง่ๆ แบบนั้นออกไป ชายหนุ่มหลับตาลง ครุ่นคิดถึงสิ่งที่ตนตั้งใจไว้เมื่อหลายวันก่อนเกี่ยวกับทางออกของปัญหานี้

“ผมจำเป็นต้องกลับเชียงใหม่จริงๆ เนื่องจากผมไม่ยอมกลับบ้านมาหลายปีแล้ว คราวนี้แม่ผมลั่นคำขาดไว้เลยว่าถ้าผมไม่กลับ แม่จะตัดผมออกจากกองมรดก และยกทรัพย์สมบัติทั้งหมดที่มีให้มูลนิธิต่างๆ” เมื่อเขาเล่าจบ ร่างบางก็เบิกตาโพลงอย่างตกใจ

“ที่บ้านผมทำธุรกิจหลายอย่าง ทั้งปลูกชา กาแฟ รีสอร์ต มีคนงานเข้าออกตลอด” เขาอธิบายให้เธอฟัง 

“ถ้าหากคุณไม่ลำบากใจเกินไป และยังจำอะไรไม่ได้ คุณไปพักที่บ้านผมก่อนก็ได้นะ ถือว่าไปเที่ยวเล่นบ้านเพื่อนก็ได้ บ้านผมกว้างขวาง มีหลายห้อง อีกทั้งคนงาน แม่บ้าน คนสวนก็มี คุณจะได้ไม่ต้องคิดมากว่าจะต้องไปอยู่กับผมแบบสองต่อสองไง”

ทำไมยิ่งอธิบาย เขาก็ยิ่งรู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองเป็นอาเสี่ยพุงพลุ้ยที่กำลังไล่ต้อนเด็กสาววัยละอ่อนให้ไปอยู่ในกรงทองยังไงยังงั้น

“ผมสาบานได้ว่าผมไม่ใช่พวกค้ามนุษย์ หรือเสี่ยตัณหากลับอย่างแน่นอน คุณจะเอาชื่อเอานามสกุลผมไปเซิร์ชหาประวัติอาชญากรหรืออะไรก็ได้ แล้วคุณก็ไม่ต้องกลัวว่าผมจะเอาคุณไปขายหรอกนะ ตัวผอมบางแบบนี้จะทำงานอะไรได้หรือเปล่าก็ไม่รู้ ยิ่งเด๋อๆ แบบคุณนี่ ยิ่งขายไม่ออกอย่างไม่ต้องสงสัยเลยแหละ”

แวบแรกพิมพ์พิสุทธิ์ก็หมั่นไส้เหลือเกินที่เขาคิดเข้าข้างตัวเองแบบนั้น แถมยังมั่นอกมั่นใจเสียเต็มประดาแบบไม่มีเคอะเขิน แต่เมื่อเธอมองเขาตั้งแต่ศีรษะจดปลายเท้าและคิดตามอย่างถี่ถ้วนแล้ว ทางออกที่ดีที่สุดก็คงจะเป็นอย่างที่เขาว่า เพราะของแบรนด์เนมที่เขาประโคมใส่ทั้งตัวนั้นก็ดูเหมือนพวกลูกคุณหนูมีอันจะกินจริงๆ รวมถึงการให้การรักษาพยาบาลที่ดีที่สุดแก่เธอตลอดระยะเวลาในการรับการรักษา[M2]  อีกทั้งที่เขาเสนอมานั้นก็ดูเข้าท่าดีเหมือนกัน เนื่องจากตอนนี้เธอยังจำอะไรไม่ได้ ตัวเองเป็นใคร รู้จักใครบ้างก็ยังไม่รู้

“ก็ได้ค่ะ ถ้าหากว่าไม่เป็นการรบกวนคุณเกินไป” พิมพ์พิสุทธิ์ตอบเขาเสียงเบา

ภูรินท์ที่รอฟังคำตอบอยู่ถึงกับยิ้มออกที่ทุกอย่างคลี่คลายไปในทางที่ดี

“ดีเลย! ถ้าอย่างนั้นก็ไปกันเถอะ ผมเอารถมา เราต้องเดินทางกันอีกนาน เพราะผมตั้งใจว่าจะขับรถไปเชียงใหม่เอง” 

เมื่อตกลงกันได้แล้ว ภูรินท์ก็พาหญิงสาวไปรับยาและชำระค่าใช้จ่ายทั้งหมด ตอนแรกเธอคิดจะบอกเขาว่าถ้ามีเงินเมื่อไรจะทยอยคืนให้ แต่หลังจากได้ยินยอดชำระทั้งหมด แวบแรกยังคิดว่าเธอหูฝาด แต่เมื่อถามย้ำอีกครั้งและได้ยินชัดแล้ว เธอก็สรุปเบาๆ ในใจว่าให้เป็นหน้าที่ของเขานั่นละถูกแล้ว

ไม่ใช่ว่าเธองกหรืออะไรหรอกนะ แต่เงินมากมายขนาดนั้น เธอมั่นใจว่าทั้งชีวิตนี้เธอไม่เคยแตะเงินก้อนเยอะขนาดนั้นแน่ๆ แค่สัปดาห์กว่าๆ ค่ารักษาเกือบห้าแสน...จะเป็นลม

 

หลังจากชำระค่าใช้จ่ายทั้งหมดแล้ว ภูรินท์ก็ชวนหญิงสาวออกไปหาอะไรรับประทานรองท้อง เพราะนี่ก็เกือบสิบโมงแล้ว โชคดีที่พิมพ์พิสุทธิ์ไม่ใช่คนเรื่องมาก เขาพาเธอเดินเข้าร้านอาหารขนาดกลาง สั่งอาหารพื้นๆ ไม่กี่อย่างมา เธอก็ไม่ขัดข้อง แถมยังกินเกลี้ยงจนเขาอดแซวไม่ได้

“ข้าวที่โรงพยาบาลไม่อร่อยเลยหรือไงถึงทานเอาๆ แบบนั้น ระบายกับผมก็ได้นะ เพราะเพื่อนผมมันเป็นทายาทเจ้าของโรงพยาบาลนี้ เขาจะได้รีบปรับปรุง ไม่งั้นโรงพยาบาลเจ๊งเพราะว่าอาหารไม่อร่อยถูกปากคนไข้นี่ก็ไม่ไหวนา”

พิมพ์พิสุทธิ์ค้อนเขา ก่อนจะอุบอิบตอบอย่างเขินอายที่เผลอทำอะไรเสียกิริยาออกไป “ก็พริ้ม...พริ้มหิวนี่คะ”

ภูรินท์ได้ยินแบบนั้นก็ตกใจ ดวงตาคมเบิกโตเล็กน้อย ตอนแรกคิดว่าเขาหูฝาดเสียอีกที่หญิงสาวแทนตัวเองด้วยชื่อเล่นออกมา 

เมื่อเห็นคนที่นั่งตรงข้ามนิ่งค้าง หญิงสาวก็ชักใจไม่ดี เขินก็เขิน อายก็อาย แต่ก็งงด้วยว่าเขาเป็นอะไร เมื่อสักครู่ยังดีๆ อยู่แท้ๆ 

“คุณ! คุณภูรินท์คะ! เป็นอะไรหรือเปล่าคะ” เธอถามพลางยื่นมือออกไปโบกไปมาตรงหน้าเขา แต่ดูเหมือนว่าเขาจะไม่ได้ยินที่เธอเรียกเลยสักนิด

ราวกับภูรินท์ตกอยู่ในภวังค์ตั้งแต่ได้ยินเสียงไพเราะเสนาะหู แถมเธอยังแทนตัวเองอย่างสนิทสนมราวกับกำลังพูดกับคนใกล้ชิด อีกทั้งใบหน้านวลใสไร้เดียงสา แล้วยังดวงตาคู่สวยนั่นอีก

พิมพ์พิสุทธิ์ตกใจเล็กน้อยเมื่อชายหนุ่มยื่นมือหนามาจับมือเธอให้หยุดโบกส่ายไปมาตรงหน้าเขา 

“เอ่อ คือ...ขอโทษค่ะ พริ้มขอโทษ” เธอรีบก้มหัวแล้วละล่ำละลักเอ่ยขอโทษเขา ไม่ทันคิดว่าสิ่งที่เธอทำนั้นอาจจะทำให้เขารำคาญหรือหงุดหงิดได้ 

ภูรินท์ที่ยังช็อกไม่หายหลังได้ยินหญิงสาวเผลอพูดชื่อเล่นตัวเองออกมารีบบอกอีกฝ่ายให้หายกังวลใจ “หยุดๆ ผมไม่ได้เป็นอะไร” ซึ่งก็ได้ผล ร่างบางหยุดกิริยานั้นทันที ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองสบตาเขาอย่างประหม่านิดๆ 

“ผมไม่ได้เป็นอะไรหรอก...แค่ตกใจน่ะที่จู่ๆ คุณก็หลุดพูดชื่อเล่นตัวเองออกมา” 

เจ้าของดวงหน้าใสเบิกตากว้างเล็กน้อย ก่อนจะถามย้ำ “ฉันเหรอคะ!”

เมื่อภูรินท์พยักหน้ายืนยัน ก็ดูเหมือนว่าคนตรงหน้าจะยิ่งช็อกและตกใจไปยิ่งกว่าเขาเสียอีก “เมื่อกี้คุณแทนตัวเองว่า ‘พริ้ม’ กับผมตั้งหลายหนแน่ะ”

พิมพ์พิสุทธิ์กะพริบตาปริบๆ หัวสมองมึนงงไปชั่วครู่ ก่อนที่ริมฝีปากอวบอิ่มได้รูปจะพึมพำเบาๆ “พริ้ม” เธอพยายามนึกและลองทวนอีกครั้ง “พริ้ม...พิมพ์พิสุทธิ์”

“ผมว่าเป็นสัญญาณที่ดีนะที่จู่ๆ คุณก็แทนตัวเองด้วยชื่อเล่นออกมา เหมือนกับว่าคุณคุ้นเคย มันก็เลยทำให้คุณพูดออกมาตามความเคยชิน” ชายหนุ่มพูดอย่างดีใจที่หญิงสาวมีแววว่าจะกลับมาเป็นปกติในเร็ววัน

ประกายแห่งความหวังปรากฏในดวงตากลมโตคู่สวยเช่นกัน

 “จริงด้วยค่ะ” ริมฝีปากอิ่มได้รูปเผยยิ้มกว้างสดใสให้คนตรงหน้าอย่างดีใจราวกับเด็ก เมื่อรู้ว่าเธอยังมีหวังที่ความทรงจำของเธอจะกลับมา

ภูรินท์ตะลึงมองรอยยิ้มกว้างพราวระยับ อีกทั้งดวงตากลมโตคู่สวยนั้นก็ยิ่งชวนให้หลงใหลได้อย่างไม่ยาก กว่าจะรู้ตัวก็ไม่รู้ว่าเขานั่งจ้องมองคนตรงหน้ายิ้มระรื่นนานเท่าไรแล้ว จนต้องรีบดึงสติกลับมา 

“เอ่อ อะแฮ่ม! คือ...”

“คุณเป็นอะไรหรือเปล่าคะ มีอะไรติดคอหรือเปล่า” พิมพ์พิสุทธิ์เอ่ยถามอย่างสงสัยและเป็นห่วงในคราวเดียวกัน ก่อนที่จู่ๆ เธอจะพลันรู้สึกตัวขึ้นมา 

“เอ่อ...” หญิงสาวพูดออกมาได้แค่นั้นพลางเหลือบมองไปยังมือบางของตนที่ตอนนี้มือหนาของชายหนุ่มยังกุมไว้หลวมๆ 

ภูรินท์มองตามสายตาของหญิงสาว เมื่อเห็นแบบนั้นก็รีบปล่อยมือเธอราวกับโดนของร้อน ทำไมเขาถึงต้องรู้สึกว่าหน้าตัวเองกำลังร้อนขึ้นอย่างไม่มีสาเหตุด้วย

“อ้อ! ผมขอโทษ...ผมไม่ทันระวัง”

“ไม่เป็นไรค่ะ” พิมพ์พิสุทธิ์ปฏิเสธเสียงเบา ทั้งๆ ที่ร้อนวูบวาบบริเวณข้อมือบางที่ชายหนุ่มถือวิสาสะจับไว้ครู่ใหญ่

จากนั้นบรรยากาศก็เป็นไปอย่างเก้อเขิน ไม่กล้ามองสบตากันตรงๆ จนกระทั่งออกจากร้านอาหารและขึ้นรถเพื่อมุ่งหน้าไปยังเชียงใหม่ ภายในรถมีแค่เสียงเพลงคลอเบาๆ จากเครื่องเสียงชั้นดีเท่านั้น 

ชายหนุ่มแวะปั๊มน้ำมันเป็นระยะเพื่อพักรถและคลายความเหนื่อยล้าจากการขับรถติดต่อกันเป็นเวลานานหลายชั่วโมง และเพื่อให้หญิงสาวทำธุระส่วนตัวด้วย

หลังจากทำธุระส่วนตัวเสร็จ ภูรินท์ก็มายืนรอหญิงสาวอยู่ใกล้ๆ รถ พิมพ์พิสุทธิ์บอกว่าจะไปซื้อของในร้านสะดวกซื้อ แต่ผ่านไปครู่เดียวก็เดินกลับมา หน้าขาวซีดสลับกับแดงก่ำอย่างคนที่กำลังเขินอาย

“อ้าว! ไหนบอกว่าจะไปซื้อของไง ทำไมกลับมาเร็ว แล้วก็ไม่เห็นได้อะไรกลับมาเลยล่ะ” เขาถามอย่างสงสัย

ร่างบางเม้มริมฝีปากแน่นก่อนจะสารภาพในที่สุด “คือ...พริ้มเพิ่งนึกได้น่ะค่ะว่าพริ้มไม่มีเงินติดตัวเลย”

“เฮ้อ! ซะงั้น ป้ำๆ เป๋อๆ แบบนี้จะรอดมั้ยเนี่ย” เขาว่าพลางล้วงกระเป๋าหยิบธนบัตรออกมาให้เธอ

“รอดสิคะ พริ้มก็แค่ลืมว่าตัวเองไม่มีเงินติดตัว คุณก็แค่ให้พริ้มหยิบยืมก่อน แค่นั้นเอง” หญิงสาวหน้ามุ่ยอย่างไม่สบอารมณ์นิดๆ 

“บวกลบเลขถูกต้องแล้วเหรอ ถึงมั่นใจว่าตัวเองจะรอดน่ะ” เขาว่า ยิ่งทำให้ร่างบางตรงหน้าแทบจะพ่นไฟใส่หน้าเขา

“พริ้มก็แค่ความจำเสื่อมนิดหน่อย ไม่ได้กลับไปเป็นเด็กทารกแรกเกิดที่ไม่รู้อะไรเลยซะหน่อย!”

คนบ้า! เธอค้อนเขาในใจ โมโหและโกรธนิดๆ ที่เขาปรามาสเธอแบบนั้น ก่อนจะฉกธนบัตรสีเทามาจากมือเขา จากนั้นก็หันหลังเดินกลับเข้าไปในร้านสะดวกซื้อ เพื่อซื้อขนมกรุบกรอบ นม น้ำ และอีกหลายอย่างที่เธอต้องการ

ผ่านไปราวๆ สิบนาทีหญิงสาวก็กลับมาพร้อมกับถุงค่อนข้างใหญ่สองใบ พิมพ์พิสุทธิ์เปิดประตูรถแล้วจึงขึ้นไปนั่งที่เบาะข้างคนขับ 

“เงินที่เหลือเป็นทิปสำหรับค่าเหนื่อยที่พริ้มลงไปซื้อของก็แล้วกันนะ”

ภูรินท์หันขวับไปมองร่างบางอย่างไม่อยากจะเชื่อนัก “โห! นั่นทิปหนักไปหรือเปล่าคุณ”

“ไม่รู้แหละค่ะ ค่าเหนื่อย ค่าไปเลือกซื้อ ค่าหิ้ว ค่าเดิน ครบพอดี” หญิงสาวเฉไฉพร้อมยิ้มมุมปาก 

ภูรินท์ได้แต่มองคนที่นั่งเบาะข้างๆ อย่างเหลือเชื่อ

 ‘นี่ขนาดจำอะไรไม่ได้ยังแสบใช่ย่อยเลยนะเนี่ย เห็นนิ่งๆ เงียบๆ แต่ก็ไม่ได้ยอมคนไปทั่วจนหงอ แบบนี้ค่อยยังชั่วหน่อย มีเธอเข้ามาในชีวิต ชีวิตเขาก็คงมีสีสันและไม่น่าเบื่อจนเกินไปนัก’

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น