หลังจากที่โดนผู้เป็นแม่ตามตัวกลับไทยแบบเร่งด่วน ถึงขั้นที่ว่าถ้าไม่ยอมกลับก็จะตัดแม่ตัดลูกกันไปเลย อีกทั้งทรัพย์สมบัติทั้งหมดที่มี เขาก็จะไม่ได้แม้แต่สตางค์แดงเดียว พอรู้เหตุผลเขาก็แทบอยากจะทึ้งหัวตัวเอง
หลังจากที่นั่งเครื่องบินข้ามฟ้าข้ามทะเลมาไม่ต่ำกว่าสิบชั่วโมง เขาก็เรียกแท็กซี่ให้พามาส่งยังคอนโดมิเนียมสุดหรูใจกลางเมือง ซึ่งเขาโทร. มาแจ้งฝ่ายนิติฯ ของคอนโดให้ส่งแม่บ้านเข้ามาทำความสะอาดไว้แล้วเมื่อไม่กี่วันก่อน
ด้วยความที่เหนื่อยล้าจากการเดินทางอันยาวนาน พอถึงห้องปุ๊บเขาก็ตรงดิ่งเข้าไปซุกตัวนอนใต้ผ้านวมผืนหนาท่ามกลางบรรยากาศเย็นสบายของเครื่องปรับอากาศ ไม่นานก็หลับใหล
ท่าทางเขาคงจะเพลียจัดจริงๆ ถึงได้หลับเป็นตายแบบนี้ ร่างสูงค่อยๆ ลุกขึ้นจากเตียงกว้าง ค่อยๆ ยืดเส้นยืดสายคลายความปวดเมื่อย พอดูเวลาบนหน้าจอโทรศัพท์มือถือที่วางไว้ส่งๆ บนโต๊ะข้างหัวเตียงก็พบว่าเกือบบ่ายโมงเข้าไปแล้ว มีสายที่ไม่ได้รับอยู่สี่สายจากมารดาบังเกิดเกล้า และยังมีข้อความทางโปรแกรมสนทนาที่ผู้เป็นแม่ฝากไว้อีก
ถึงไทยแล้วใช่มั้ย แม่รู้นะ! แล้วนี่เมื่อไหร่จะกลับบ้าน แม่มีคนรู้จักอยากจะแนะนำให้ภูรู้จักไว้ เป็นลูกสาวของเพื่อนแม่ รู้จักกันไว้ก็ไม่เสียหาย น้องก็หน้าตาน่ารักน่าเอ็นดู
เขาอ่านอีกหลายข้อความก็เข้าใจได้ไม่ยากว่าผู้เป็นแม่เร่งเพราะอยากให้เขาไปดูตัวมากแค่ไหน ก่อนหน้านี้แม่ก็เพียรหาคู่ให้เขา แต่เมื่อเห็นท่าทางเบื่อหน่ายของเขาจึงไม่ได้เซ้าซี้อะไรมาก จนกระทั่งรู้ว่าเทียมฟ้า เพื่อนสนิทของเขาแต่งงานเป็นฝั่งเป็นฝาไปแล้วนั่นละถึงได้มาเร่งเขายิกๆ แบบนี้
เทียมฟ้า หรือไอ้หมอเหนือ เพื่อนสนิทสุดซี้ย่ำปึ้กของเขาเข้าพิธีแต่งงานไปแล้วกับนักธุรกิจสาวรุ่นใหม่ไฟแรง ทั้งๆ ที่วันๆ ก็เจอแต่คนไข้และอยู่แต่ที่โรงพยาบาล อีกทั้งหมอนั่นก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะคบหาผู้หญิงคนไหนแบบเป็นจริงเป็นจังจนถึงขั้นแต่งงานได้ภายในระยะเวลาอันรวดเร็วแบบนี้
ครั้งล่าสุดที่พวกเขาคุยกันยังแซวกันอยู่เลยเรื่องหวงความโสด ตัวเขาเองก็โสด ลอยไปลอยมาแบบนี้ตั้งนานแล้ว...แต่ที่หมอนั่นยังโสดก็เป็นเพราะหน้าที่การงานที่ต้องรับผิดชอบ ทำให้ไม่ค่อยมีเวลาให้ผู้หญิงที่ผ่านเข้ามานัก หลายรายที่ผ่านเข้ามาทอดสะพานให้ ไม่นานก็มักโบกมือลา แล้วอยู่ๆ หมอนั่นแต่งงานปุบปับ จะไม่ให้เขาแปลกใจได้ยังไง
จริงๆ แล้วที่เขากลับไทยครั้งนี้ไม่ใช่กลัวว่าแม่จะตัดเขาออกจากกองมรดกหรอก เพราะถึงยังไงเขาก็เป็นลูกชายคนเดียวของตระกูล ถ้าเขาไม่สืบทอดกิจการแล้วจะเป็นหน้าที่ใครล่ะ แต่ที่เขายอมกลับมาเพราะกลัวว่าความดันของผู้เป็นแม่จะขึ้น แล้วโรคประจำตัวก็จะกำเริบ อีกทั้งเขาเองก็ไม่ได้กลับไทยมาหลายปีแล้ว ผนวกกับติดใจเรื่องการแต่งงานของเทียมฟ้า เขาจึงยอมกลับเมืองไทยมาอย่างง่ายดายโดยไม่อิดออด
หลังจากหากาแฟเข้มๆ และอาหารเช้าบวกเที่ยงอย่างง่ายๆ ให้ตัวเองแล้ว ชายหนุ่มก็มานั่งเล่นที่ระเบียง ก่อนจะต่อสายหาผู้เป็นแม่
“พ่อตัวดี ว่างโทร. กลับมาหาแม่ได้แล้วเหรอฮะ”
“โถ่! คุณแม่ครับ ผมเพิ่งจะมาถึงเมื่อเย็นวานนี้เองนะครับ”
“เชอะ! มาถึงแล้วทำไมไม่รีบโทร. หาแม่ฮะ รู้ทั้งรู้ว่าแม่เป็นห่วง จะโทร. มาบอกให้หายกังวลบ้างนี่ไม่ได้เลยรึไง”
“อภัยให้ลูกชายคนนี้เถอะนะครับแม่ ยังไงผมก็ยอมกลับมาตามที่แม่ต้องการแล้วไงครับ”
“จ้ะพ่อคุณ กลัวพ่อกับแม่เอาสมบัติไปบริจาคน่ะสิถึงรีบกลับ”
“ก็นั่นน่ะ พ่อกับแม่หาไว้ให้ภูนี่ครับ จะไปยกให้คนอื่นได้ยังไง ภูไม่ยอมหรอก” เขาบอกอย่างขันๆ
“ถ้ากลัวอย่างที่พูด ภูก็รีบกลับบ้าน เรามีเรื่องที่จะต้องคุยกันอย่างจริงจังนะแม่ว่า และคราวนี้แม่ก็จะไม่ยอมใจอ่อนให้เราอย่างเมื่อก่อนหรอกนะจะบอกให้”
เขารับปากผู้เป็นแม่อย่างเป็นมั่นเป็นเหมาะ แต่ต่อรองขออยู่เที่ยวกรุงเทพฯ ต่ออีกสองสามวัน ก่อนที่จะเดินทางกลับบ้านที่เชียงใหม่
บ่ายแก่ๆ เขาก็ได้รับสายจากเพื่อนสนิทอีกสองคนอย่างณกรกับปฐพี ทั้งสองจะเลี้ยงต้อนรับเขากลับเมืองไทยในรอบห้าปี
...
ราวสองทุ่มครึ่งเขาก็เดินทางมาถึงร้านที่เพื่อนๆ บอกพิกัดไว้ ขณะเดินเข้าไปในร้าน สองคนนั้นก็โบกไม้โบกมือเรียกให้เดินไปยังโต๊ะที่จองไว้แล้ว เขาส่งยิ้มให้เพื่อนนิดๆ เมื่อเดินไปถึงโต๊ะ ก่อนจะยื่นกำปั้นไปชนกับกำปั้นที่อีกฝ่ายยื่นมา
“ไง ไอ้ภู หายหน้าไปนานเลยนะแก กลับไทยไม่ถูกเหรอวะ” ปฐพีแซวเพื่อน
ภูรินท์เพียงยิ้มแทนคำตอบ “พวกเอ็งสบายดีนะเว้ย”
“เรื่อยๆ ว่ะ” ณกรตอบก่อนจะหันไปสั่งเครื่องดื่มให้เพื่อนสนิท หลังจากที่ห่างหายกันไปนานถึงห้าปีเต็ม ถึงแม้ว่าจะอยู่คนละฟากฟ้า แต่เทคโนโลยีสมัยนี้ทำให้โลกแคบลง พวกเขาจึงยังติดต่อและพูดคุยกันได้ผ่านแอปพลิเคชันต่างๆ จึงไม่ค่อยรู้สึกว่าอยู่ไกลกันเท่าไรนัก
“แล้วเป็นไงมาไงวะ คราวนี้พ่อพวงมาลัยจอมกะล่อนอย่างแกถึงยอมกลับมาเมืองไทยได้” ปฐพีหรือดินถาม เพราะอย่างที่รู้กันคือเพื่อนตัวดีของเขานั้นรักอิสระ ไม่ชอบหยุดนิ่ง
“ก็ไม่ไง แม่ยื่นคำขาดน่ะ บอกว่าถ้าไม่ยอมกลับจะตัดออกจากกองมรดก”
“เฮ้ย! เรื่องจริง?” ทั้งสองคนอุทานพร้อมกัน
“ก็ทำนองนั้น อีกอย่างก็อยากมาเจอไอ้เหนือด้วย ได้ข่าวว่าแต่งงานแล้ว” ภูรินท์เปิดประเด็น
“อ้อ! ใช่ รายนั้นปกติก็นัดเจอตัวยากอยู่แล้ว พอมีคู่หมั้นนี่ก็หายไปเลย เจอไอ้หมออีกทีก็นู่น วันแต่งงานของมัน” ปฐพีกระแนะกระแหนเพื่อนด้วยความหมั่นไส้
“แล้วคบกันมานานแล้วเหรอ ไอ้เหนือมันถึงแต่งเร็วแบบนั้น”
“นานที่ไหนล่ะ ไอ้หมอมันไปรวบหัวรวบหางเขาน่ะสิถึงได้แต่งฟ้าแลบแบบนั้น” ปฐพีพูดอย่างคันปาก
ภูรินท์ก็ให้ความสนใจในเรื่องนี้เป็นอย่างดี เพราะถ้าจะให้ไปซักฟอกจากเจ้าตัวเองก็อาจจะไม่ได้รู้อะไร
“จริงๆ แก ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าเพื่อนแกมันแรด อยากแต่งงานกับเขาจนตัวสั่น” ณกรช่วยสำทับอีกเสียง
“ไปรักไปชอบเขา แล้วก็กลัวว่าเขาจะหลุดลอยไป เลยรวบหัวรวบหางแล้วจับกินกลางตลอดตัว แถมยังจับมัดไว้ข้างๆ อีก เล่นดักทางไม่ให้สาวเจ้าดิ้นหลุดเลย แบบนี้น่ากลัวไอคิวของมันจริงๆ ว่ะ” ปฐพีพูดอย่างแหยงๆ ในความคิดของเพื่อนสนิทอีกคนที่เป็นทายาทเจ้าของโรงพยาบาล อีกทั้งยังมีดีกรีเป็นคุณหมอด้วย
ภูรินท์ได้ยินแบบนั้นก็ยิ่งฉงนใจ และชักอยากจะเห็นหน้าภรรยาสาวของเพื่อนแล้วสิ
“ขนาดนั้นเลยเหรอวะ”
ทั้งสองคนตอบรับอย่างจริงจัง จากนั้นไม่นานหัวข้อสนทนาก็เปลี่ยนมาเป็นเรื่องของเขาแทน
“แล้วนี่คุณหญิงแม่แกยังไม่เลิกจับคู่ให้อีกเหรอวะ” ณกรถามเพื่อน
“ก็เหมือนเดิมอะแหละ แต่เริ่มจะหนักข้อขึ้นตั้งแต่ที่รู้ว่าไอ้เหนือมันแต่งงานเป็นฝั่งเป็นฝา”
“งั้นแบบนี้ก็ส่อเค้าว่าแกก็จะโสดอีกไม่นานน่ะสิวะ”
ภูรินท์ได้ยินปฐพีพูดแบบนั้นก็เลิกคิ้วขึ้นสูง “ทำไมแกคิดแบบนั้น”
“อ้าว! แกลองนึกดูดิวะ คุณหญิงแม่เร่งแบบนี้ แปลว่าเตรียมการคลุมถุงชนไว้ให้แกแน่ๆ ชัวร์ป้าบ เชื่อหัวฉันได้เลย”
“คงไม่ถึงขนาดนั้นหรอกมั้ง” เขาตอบ เพราะตลอดมาแม่เขาก็ทำแบบนี้เป็นปกติอยู่แล้ว เพียงแต่ไม่ได้หนักข้อถึงขนาดนี้
“แล้วถ้าคุณหญิงแม่บีบบังคับแกจนจนมุมล่ะ แล้วแกจะมีทางรอดหรือ ในเมื่อยังไม่มีตัวจริงเป็นๆ มาอ้าง ฉันว่าแกระวังไว้หน่อยก็ดีนะเว้ย อย่าชะล่าใจนัก” ณกรและปฐพีต่างก็พยายามไซโคสุดฤทธิ์ สุดท้ายเขาต้องหาหัวข้ออื่นมาสนทนาเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจของทั้งคู่ไป
หลังจากนั้นพวกเขาทั้งสามคนก็นั่งจิบเหล้าเคล้าบรรยากาศ พูดถึงเพื่อนคนนั้นคนนี้บ้างตามที่พอจะนึกออก ไม่นานก็แยกย้ายกันเมื่อเห็นว่าเริ่มจะมึนๆ เบลอๆ แล้ว ทั้งๆ ที่ต่างก็แค่จิบๆ เพียงเล็กน้อยเท่านั้น
ระหว่างที่ภูรินท์ขับรถกลับคอนโดนั้นจู่ๆ ฝนก็ตกราวกับฟ้ารั่วกะทันหัน ลมกระโชกแรงเสียจนดังเข้ามาถึงในรถ ยังดีที่รถไม่ติดเนื่องจากค่อนข้างดึกแล้ว
ชายหนุ่มพยายามขับอย่างระมัดระวัง แต่บนท้องถนนไม่ค่อยมีรถจึงเหยียบเร็วประมาณหนึ่ง ทว่าก็ไม่เร็วขนาดรีบไปแหกโค้งที่ไหน เพราะด้วยความที่ฝนตก ถนนก็ต้องลื่น
ถึงแม้จะระวังแล้ว บนถนนที่มีเพียงแสงรางๆ จากเสาไฟบนเกาะกลางถนนก็ไม่ทำให้เขาเห็นสิ่งหนึ่งที่พุ่งออกมาจากข้างทาง กว่าจะเห็นชัดว่าอีกฝ่ายคือสิ่งมีชีวิตร่างแบบบางก็พร้อมๆ กับตอนที่เขาหักพวงมาลัยหลบ...ซึ่งช้าไปเสียแล้ว
“เฮ้ย!!!...”
เอี๊ยดดด!!! โครม!!!
ความคิดเห็น |
---|